ประมวลกฎหมายพระศาสนจักร

บรรพ 1 กฎเกณฑ์ทั่วไป

มาตรา 1 มาตราต่างๆ ในประมวลกฎหมายนี้ใช้บังคับเฉพาะพระศาสนจักรลาตินเท่านั้น

มาตรา 2 ประมวลกฎหมายนี้ส่วนใหญ่มิได้กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับพิธีกรรมต่างๆ ด้วยเหตุนี้จึงให้ยึดถือกฎเกณฑ์พิธีกรรมที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันเว้นไว้แต่ว่ากฎเกณฑ์ทางพิธีกรรมนั้นขัดกับมาตราต่างๆ ในประมวลกฎหมายนี้

มาตรา 3 มาตราต่างๆ ในประมวลกฎหมายมิได้เพิกถอนสนธิสัญญา (Pacts) ต่างๆทั้งหมด ทั้งไม่ลิดรอนบางส่วนที่สันตะสำนักได้ทำไว้กับนานาชาติหรือกับองค์กรทางการเมืองอื่นๆ ด้วยเหตุนี้ข้อตกลงต่างๆ เหล่านั้นจึงยังคงมีผลบังคับใช้ในปัจจุบัน แม้จะมีข้อกำหนดในประมวลกฎหมายนี้ที่ขัดแย้งกับสนธิสัญญาเหล่านั้นก็ตาม

มาตรา 4 สิทธิที่ได้มา และเช่นเดียวกันสิทธิพิเศษที่สันตะสำนักได้มอบให้แก่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันและสิทธินั้นยังมีการใช้อยู่โดยมิได้ถูกเพิกถอนไปให้ถือว่าสิทธินั้นยังคงมีอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงเว้นแต่เมื่อมีการเพิกถอนสิทธินั้นอย่างชัดแจ้งโดยมาตราต่างๆในประมวลกฎหมายนี้

มาตรา 5 วรรค 1 ประเพณีสากลหรือเฉพาะถิ่นที่ยังคงใช้อยู่ในปัจจุบัน แต่ขัดกับกฎของมาตราต่างๆเหล่านี้ และที่ซึ่งมาตราต่างๆของประมวลกฎหมายนี้ประณามให้ยกเลิกประเพณีดังกล่าวทั้งหมด และห้ามรื้อฟื้นนำมาใช้อีกในอนาคต และประเพณีอื่นๆก็ให้ยกเลิกด้วย เว้นไว้แต่ว่าประมวลกฎหมายนี้ระบุเป็นอย่างอื่นไว้ชัดเจนหรือประเพณีที่ปฏิบัติสืบทอดกันมานานนับร้อยปี หรือนานมากจนมิอาจจดจำระยะเวลาได้ ซึ่งในกรณีนี้อาจจำยอมให้ใช้ต่อไปได้ หากผู้ใหญ่ผืทรงอำนาจ (ordinary) เห็นว่าไม่อาจเพิกถอนได้ เพราะสภาพแวดล้อมของสถานที่และบุคคลที่เกี่ยวข้อง

วรรค 2 ประเพณีสากลหรือเฉพาะถิ่นยังคงใช้กันอยู่โดยไม่เกี่ยวกับกฎหมายนี้ (praeter ius)

มาตรา 6 วรรค 1 เมื่อประมวลกฎหมายนี้มีผลบังคับใช้ ให้เพิกถอนสิ่งต่อไปนี้

1.       ประมวลกฎหมายพระศาสนจักรที่ประกาศใช้เมื่อปี 1917

2.       กฎหมายอื่นๆ ไม่ว่าสากลหรือเฉพาะที่ขัดแย้งกับกฎเกณฑ์ในประมวลกฎหมายนี้ เว้นไว้แต่ว่ามีการระบุไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้งสำหรับกฎหมายเฉพาะถิ่น

3.       กฎหมายอาญาทั้งหมด ทั้งที่เป็นสากล และเฉพาะถิ่นที่ออกโดยสันตะสำนัก เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายนั้นยังคงรักษาไว้ในประมวลกฎหมายนี้เอง

4.       กฎหมายทางวินัยสากลอื่นๆ ด้วย ที่ประมวลกฎหมายนี้ได้นำมาเรียบเรียงใหม่ทั้งหมด

วรรค 2 ในส่วนที่มาตราต่างๆ ในประมวลกฎหมายนี้ ตราตามกฎหมายฉบับเดิม ให้ตีความตามธรรมเนียมปฏิบัติของกฎหมายฉบับเดิม

ลักษณะ 1 กฎหมายพระศาสนจักร

มาตรา 7 กฎหมายมีขึ้นเมื่อมีการประกาศใช้

มาตรา 8 วรรค 1 กฎหมายพระศาสนจักรสากลประกาศใช้เป็นกฎหมายโดยการพิมพ์ในหนังสือทางการของสันตะสำนัก “Acta Apostolicae Sedis” เว้นไว้แต่ว่ามีการกำหนดใช้รูปแบบอื่นในการประกาศเป็นกรณีเฉพาะกฎหมายต่างๆมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อผ่านไปแล้วนับจากวันที่ปรากฎในหนังสือทางการของสันตะสำนักฉบับพิเศษเว้นไว้แต่ว่าตามลักษณะของกฎหมายนั้น มีผลบังคับใช้ทันทีหรือเมื่อกฎหมายนั้นมีข้อกำหนดพิเศษอย่างแจ้งชัดให้มีผลก่อนหรือหลังระยะเวลาที่กำหนดไว้ตามปกติ

วรรค 2 กฎหมายพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นประกาศใช้ตามที่ผู้ออกกฎหมายกำหนด และให้มีผลบังคับใช้หลังจากหนึ่งเดือน นับจากวันประกาศใช้ เว้นไว้แต่ว่าได้กำหนดระยะเวลาเป็นอย่างอื่นในตัวบทกฎหมายเอง

มาตรา 9 กฎหมายใช้กับเรื่องในอนาคต มิใช่เรื่องในอดีต เว้นไว้แต่ว่ามีการระบุไว้ในกฎหมายเป็นการเฉพาะสำหรับเรื่องในอดีต

มาตรา 10 เฉพาะกฎหมายที่ระบุให้การกระทำเป็นโมฆะหรือให้บุคคลเป็นผู้ไร้ความสามารถอย่างชัดแจ้งเท่านั้นเป็นกฎหมายว่าด้วยโมฆะกรรมหรือว่าด้วยบุคคลไร้ความสามารถ

มาตรา 11 กฎหมายที่เป็นของพระศาสนจักรโดยเฉพาะใช้บังคับผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปในพระศาสนจักรคาทอลิกหรือผู้ที่พระศาสนจักรรับเข้ามา และเป็นผู้ที่สามารถใช้เหตุผลได้อย่างเพียงพอ และเป็นผู้มีอายุครบ 7 ปี บริบูรณ์ เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายระบุไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

มาตรา 12 วรรค 1 ทุกคนที่อยู่ภายใต้กฎหมายสากล (Universal laws) ต้องปฏิบัติตามกฎหมายสากลเหล่านั้น ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่อยู่จริงๆ ในเขตแดนบางแห่งได้รับการยกเว้นจากกฎหมายสากลที่ไม่มีผลบังคับใช้ในเขตแดนนั้น

วรรค 3 กฎหมายที่ตราไว้เฉพาะถิ่น ใช้บังคับผู้ที่อยู่ภายใต้กฎหมายนั้น และผู้ซึ่งมีภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนา (quasi-domicile) ในถิ่นนั้น และยังอาศัยอยู่ในถิ่นนั้นจริงๆ โดยคงไว้ซึ่ง มาตรา 13

มาตรา 13 วรรค 1 ต้องไม่สันนิษฐานว่ากฎหมายเฉพาะถิ่นเป็นกฎหมายติดตัวบุคคลแต่เป็นกฎหมายสำหรับพื้นที่ เว้นไว้แต่ว่าเป็นอย่างอื่นอย่างแจ้งชัด

วรรค 2 ผู้เดินทางไม่ขึ้นต่อ

1.       กฎหมายเฉพาะของถิ่นตนเองขณะที่มิได้อยู่ในถิ่นนั้นเว้นแต่ว่าการละเมิดกฎหมายนั้นก่อให้เกิดความเสียหายในถิ่นของตนเองหรือเว้นแต่ว่าเป็นกฎหมายติดตัวบุคคล

2.       กฎหมายของถิ่นที่ตนปรากฎตัวอยู่เว้นแต่เป็นกฎหมายที่ตราเพื่อความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสาธารณะหรือที่กำหนดระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับนิติกรรม หรือที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในพื้นที่นั้น

วรรค 3 พวกเร่ร่อนต้องขึ้นกับกฎหมายทั้งสากล และเฉพาะถิ่นที่มีผลบังคับในถิ่นที่ผู้นั้นปรากฎตัวอยู่

มาตรา 14 แม้เป็นกฎหมายเกี่ยวกับโมฆะกรรมหรือบุคคลผู้ไร้ความสามารถกฎหมายไม่บังคับหากมีความสงสัยเกี่ยวกับตัวบทกฎหมายกับข้อเท็จจริงผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถยกเว้นได้โดยมีเงื่อนไขว่าหากมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องที่มีการสงวนไว้ก็เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจให้การยกเว้น เคยให้การยกเว้น

มาตรา 15 วรรค 1 ความไม่รู้ หรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการเป็นโมฆะ (Invalidating laws) หรือว่าด้วยการไร้ความสามารถ (Incapacitating laws) ไม่เป็นอุปสรรคต่อผลของกฎหมายนั้นเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

วรรค 2 ห้ามสันนิษฐานว่ามีความไม่รู้หรือความเข้าใจผิดเกี่ยวกับกฎหมาย เกี่ยวกับการลงโทษ เกี่ยวกับพฤติกรรมของตนเอง หรือเกี่ยวกับพฤติกรรมที่เป็นที่รู้จักกัน โดยทั่วไปของผู้อื่นพฤติกรรมของผู้อื่นที่ยังไม่เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไปให้สันนิษฐานได้จนกว่าจะมีการพิสูจน์ได้ผลตรงกันข้าม

มาตรา 16 วรรค 1 ผู้ที่มีอำนาจตีความกฎหมายคือผู้ตรากฎหมาย และผู้ที่ได้รับมอบอำนาจตีความจากผู้ตรากฎหมายนั้นเอง

วรรค 2 การตีความอย่างเป็นทางการที่กระทำในรูปแบบของกฎหมายมีผลบังคับใช้เช่นเดียวกับตัวบทกฎหมายเอง และต้องมีการประกาศใช้หากเป็นเพียงการชี้แจงความหมายของคำที่ชัดแจ้งในตัวเองอยู่แล้วเท่านั้นก็ให้มีผลย้อนหลังด้วย แต่หากเป็นการตีความแคบลงหรือให้กว้างขึ้นหรือเป็นการขจัดความสงสัยก็ไม่มีผลย้อนหลัง

วรรค 3 อย่างไรก็ตาม การตีความในรูปแบบคำตัดสินของขบวนการยุติธรรม (judicial decision) หรือในรูปแบบการบริหารในกรณีเฉพาะ (administrative act) ไม่มีผลบังคับเช่นกฎหมายและผูกมัดเฉพาะบุคคลและมีผลเฉพาะเรื่องที่มีการตีความเท่านั้น

มาตรา 17 ต้องเข้าใจกฎหมายพระศาสนจักรตามความหมายเฉพาะของคำโดยพิจารณาจากตัวบท และบริบทของกฎหมายนั้นหากความหมายยังเป็นที่สงสัย และคลุมเครืออยู่ให้เทียบดูจากกฎหมายอื่นที่มีข้อความในลักษณะเดียวกัน ถ้าหาเทียบได้พร้อมทั้งพิจารณาจุดประสงค์และที่มาของกฎหมายรวมทั้งจากเจตนารมณ์ของผู้ตรากฎหมายด้วย

มาตรา 18 กฎหมายที่กำหนดการลงโทษหรือจำกัดเสรีภาพในการใช้สิทธิ์หรือบรรจุข้อยกเว้นจากกฎหมาย ให้ตีความอย่างเคร่งครัด (strict interpretation)

มาตรา 19 เว้นไว้แต่ว่าเป็นคดีอาญา หากไม่มีข้อกำหนดชัดแจ้งของกฎหมายสากลหรือกฎหมายเฉพาะถิ่น หรือประเพณีในกรณีเฉพาะบางกรณีให้ตัดสินคดีนั้นๆ ตามแนวกฎหมายที่ตราไว้สำหรับเรื่องที่คล้ายคลึงกัน ตามหลักทั่วๆ ไปของกฎหมาย โดยยึดหลักธรรมของพระศาสนจักร (Canonical Equity) หลักนิติศาสตร์(jurisprudence) และหลักปฏิบัติขององค์กรปกครองส่วนกลางของพระศาสนจักร (Roman Curia) รวมทั้งความคิดเห็นส่วนใหญ่ และสม่ำเสมอของผู้คงแก่เรียนทั้งหลาย

มาตรา 20 กฎหมายที่ออกมาภายหลัง เพิกถอนกฎหมายที่ออกมาก่อนทั้งหมดหรือลิดรอนบางส่วน ถ้ามีการระบุไว้อย่างชัดแจ้งเช่นนั้น หรือถ้าขัดกับกฎหมายที่ออกมาก่อนโดยตรงหรือถ้าเป็นการเรียบเรียงใหม่เกี่ยวกับเนื้อหาของกฎหมายที่ออกมาก่อนทั้งหมดแต่กฎหมายสากล ไม่ลิดรอนกฎหมายเฉพาะถิ่นหรือกฎหมายพิเศษเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายนั้นได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

มาตรา 21 ในกรณีสงสัย ห้ามสันนิษฐานว่ากฎหมายที่มีอยู่ก่อนถูกยกเลิกแต่ให้นำกฎหมายที่ออกมาภายหลังเข้าหากฎหมายที่มีอยู่ก่อนและผสมผสานให้กลมกลืนกันเท่าที่เป็นไปได้

มาตรา 22 กฎหมายบ้านเมือง (Civil law) ส่วนที่พระศาสนจักรให้ยึดถือนั้น ให้นำมาปฏิบัติในกฎหมายพระศาสนจักรพร้อมกับผลอันเดียวกันตราบเท่าที่ไม่ขัดกับกฎพระเจ้า (Divine law) และเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายพระศาสนจักรได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

 

ลักษณะ 2 ประเพณี (Custom)

มาตรา 23 เฉพาะประเพณีที่กลุ่มคริสตชนนำมาใช้ และได้รับการรับรองจากผู้ตรากฎหมายแล้วเท่านั้น มีผลบังคับเป็นกฎหมายตามมาตราต่อไปนี้

มาตรา 24 วรรค 1 ไม่มีประเพณีใดที่ขัดแย้งต่อกฎพระเจ้า จะมีผลบังคับเป็นกฎหมายได้

ววรค 2 ไม่มีประเพณีใดที่ขัดแย้งหรือที่อยู่นอกกฎหมายพระศาสนจักร (praeter ius) จะมีผลบังคับเป็นกฎหมายดื้เว้นแต่เป็นประเพณีที่ชอบด้วยเหตุผล อย่างไรก็ตามประเพณีที่ถูกกฎหมายประณามอย่างชัดแจ้ง ไม่เป็นประเพณีที่ชอบด้วยเหตุผล

มาตรา 25 ไม่มีประเพณีใดมีผลบังคับเป็นกฎหมาย เว้นแต่ว่าเป็นประเพณีที่ยึดถือกันมาโดยมีเจตนาว่าจะนำเข้ามาเป็นกฎหมายโดยกลุ่มชนที่อย่างน้อยมีความสามารถที่จะรับกฎหมายได้

มาตรา 26 เว้นไว้แต่ว่าประเพณีที่ขัดแย้งกับกฎหมายพระศาสนจักรที่มีผลใช้บังคับอยู่ หรือที่อยู่นอกกฎหมายพระศาสนจักร (praeter ius) จะมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายได้ก็ต่อเมื่อมีการถือปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง โดยถูกต้องตามกฎหมายมาเป็นเวลา 30 ปีเต็มแล้วเท่านั้น เป็นประเพณีที่ได้รับการรับรองเป็นพิเศษจากผู้มีอำนาจตรากฎหมาย เฉพาะประเพณีที่ปฎิบัติสืบสืบกันมานานนับร้อยปี หรือนานมากจนจำระยะเวลาได้เท่านั้น สามารถอยู่เหนือมาตราซึ่งระบุข้อความที่ห้ามถือเป็นประเพณีต่อไปในอนาคต

มาตรา 27 ประเพณีเป็นตัวตีความกฎหมายที่ดีที่สุด

มาตรา 27 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดมาตรา 5 ประเพณีไม่ว่าจะขัดแย้งหรืออยู่นอกกฎหมาย ถูกยกเลิกโดยประเพณีหรือข้อกฎหมายที่ขัดแย้ง แต่ว่าหากกฎหมายไม่ระบุอย่างชัดแจ้งถึงประเพณีเหล่านั้น กฎหมายไม่ยกเลิกประเพณีที่ปฏิบัติกันมานานนับร้อยปีหรือจนจำไม่ได้ ทั้งกฎหมายสากลก็ไมยกเลิกประเพณีเฉพาะถิ่นเช่นกัน

 

ลักษณะ 3 กฤษฎีกาทั่วไป และคำแนะนำต่างๆ

มาตรา 29 อาศัยกฤษฎีกาทั่วไป (General Decree) ซึ่งผู้มีอำนาจตรากฎหมายออกกฎเกณฑ์ทั่วไปเพื่อใช้กับกลุ่มชนที่มีความสามารถรับกฎหมายได้ กฤษฎีกาเหล่านั้นเป็นกฎหมายอย่างแท้จริง และอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของมาตราต่างๆ ที่เกี่ยวกับกฎหมาย

มาตรา 30 ผู้ที่มีอำนาจบริหารเพียงอย่างเดียวไม่สามารถออกกฤษฎีกาทั่วไปตามมาตรา 29 ได้ เว้นไว้แต่ว่าในกรณีเฉพาะได้รับอำนาจนั้นอย่างชัดแจ้งจากผู้มีอำนาจตรากฎหมายตามข้อกำหนดของกฎหมาย โดยต้องได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขต่างๆ ที่กำหนดไว้ในการมอบอำนาจนั้นก่อน

มาตรา 31. วรรค 1 กฤษฎีกาทั่วไปทางด้านบริหารกำหนดอย่างชัดเจนขึ้นถึงวิธีในการนำกฎหมายมาใช้หรือเร่งรัดให้ปฏิบัติตามกฎหมาย ผู้มีอำนาจบริหารสามารถออกกฤษฎีกาเช่นว่านี้ได้ภายในขอบเขตของอำนาจแห่งตน

วรรค 2 เกี่ยวกับการประกาศใช้ และช่วงระยะเวลาก่อนที่จะมีผลบังคับ ของกฤษฎีกาตามวรรค 1 นั้นให้ปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดมาตรา 8

มาตรา 32 กฤษฎีกาทั่วไปทางด้านบริหารบังคับผู้ซึ่งต้องถือกฎหมายกฤษฎีกาเหล่านั้นกำหนดวิธีการนำกฎหมายมาใช้หรือเร่งรัดให้ปฏิบัติตามกฎหมาย

มาตรา 33 วรรค 1 กฤษฎีกาทั่วไปด้านบริหาร แม้เมื่อพิมพ์ไว้ในหนังสือรวบรวม (Directories) หรือในเอกสารชื่ออื่นก็ไม่ลิดรอนกฎหมาย และข้อกำหนดใดๆ ของกฤษฎีกาเหล่านั้นขัดแย้งต่อกฎหมายก็ไม่มีผลใช้บังคับ

วรรค 2 กฤษฎีกาที่ว่านี้หยุดมีผลบังคับเมื่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจเพิกถอนอย่างชัดแจ้งหรือโดยปริยาย และเมื่อกฎหมายที่กฤษฎีกาออกเพื่อไปปฏิบัติสิ้นสุดลงแต่กฤษฎีกามิได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการหมดอำนาจของผู้ออกกฤษฎีกาเว้นไว้แต่ว่ามีการระบุตรงกันข้ามอย่างชัดแจ้ง

มาตรา 34 วรรค 1 คำแนะนำต่างๆ กล่าวคือที่อธิบายข้อกำหนดของกฎหมาย และขยายความพร้อมกับกำหนดวิธีการในการนำกฎหมายไปใช้ มีไว้เพื่อประโยชน์สำหรับผู้มีหน้าที่เอาใจใส่ให้นำกฎหมายไปปฏิบัติ และบังคับเขาในการใช้กฎหมายนั้นผู้มีอำนาจทางด้านบริหารสามารถออกคำแนะนำอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ภายในขอบเขตอำนาจแห่งตน

วรรค 2 ระเบียบ (Regulation) ต่างๆ ที่มีอยู่ในข้อแนะนำไม่ลิดรอนกฎหมาย และถ้ามีระเบียบข้อใดที่ไม่สามารถปรับเข้ากับกฎเกณฑ์ต่างๆ ของกฎหมายได้ ถือว่าไม่มีผลบังคับ

วรรค 3 คำแนะนำต่างๆหยุดมีผลบังคับไม่เพียงแต่เมื่อผู้มีอำนาจออกคำแนะนำเหล่านั้นหรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า ได้เพิกถอนอย่างชัดเจนหรือโดยปริยายก็ตาม แต่ยังหยุดมีผลบังคับ หากตัวบทกฎหมายที่คำแนะนำออกมาเพื่ออธิบาย และวิธีการปฏิบัตินั้นสิ้นสุดลง

 

ลักษณะ 4 บทบัญญัติเฉพาะส่วน

หมวด 1 กฎเกณฑ์ทั่วไป

มาตรา 35 ผู้มีอำนาจในด้านบริหารสามารถออกบทบัญญัติเฉพาะส่วนการบริหารภายในขอบเขตอำนาจของตน ซึ่งอาจเป็นรูปของกฤษฎีกาหรือคำสั่ง (precept) หรือหนังสือตอบ (rescript) ก็ได้ โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดมาตรา 76 วรรค 1

มาตรา 36 วรรค 1 ต้องเข้าใจบทบัญญัติการบริหารตามความหมายเฉพาะของคำและวิธีการพูดที่ใช้กันทั่วไป บทบัญญัติที่เกี่ยวกับคดีความการภาคทัณฑ์หรือการลงโทษ การจำกัดสิทธิของบุคคล การละเมิดสิทธิที่ได้มาของผู้อื่นหรือขัดกับกฎหมายที่ตราไว้เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลในกรณีสงสัยให้ตีความบทบัญญัติที่กล่าวมานี้อย่างเคร่งครัดส่วนบทบัญญัติการบริหารอื่นๆ ให้ตีความอย่างกว้างๆ

วรรค 2 ต้องไม่นำบทบัญญัติการบริหารไปใช้กับกรณีอื่นๆ นอกเหนือจากที่ได้ระบุไว้จริง

มาตรา 37 บทบัญญัติการบริหารซึ่งเกี่ยวกับเรื่องภายนอก (external forum) ให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร ในทำนองเดียวกันถ้าบทบัญญัติการบริหารออกมาในรูปแบบที่ต้องมีผู้นำไปปฏิบัติการปฏิบัตินั้นต้องบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 38 บทบัญญัติการบริหาร แม้เป็นเรื่องหนังสือตอบที่ให้โดย (rescript) ความคิดของผู้ออกเอง (MOTU PROPRIO) ไม่มีผลในส่วนที่ไปละเมิดสิทธิที่ได้มาของผู้อื่นหรือไปขัดต่อกฎหมายหรือขัดต่อประเพณีที่ได้รับการรับรองแล้วเว้นไว้แต่ว่าผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจจะเพิ่มข้อความที่ลิดรอนเข้าไปอย่างชัดแจ้ง

มาตรา 39 เงื่อนไขที่ผูกไว้กับบทบัญญัติการบริหารถือว่ามีผลทางนิติกรรมก็ต่อเมื่อมีข้อความต่อไปนี้ ถ้าเว้นไว้แต่ว่า โดยมีเงื่อนไขว่า ระบุไว้

มาตรา 40 ผู้ปฏิบัติการตามบทบัญญัติการบริหารไปปฏิบัติกระทำหน้าที่ก่อนได้รับหนังสือ และการตรวจสอบความถูกต้อง และความครบถ้วน ให้ถือการกระทำนั้นเป็นโมฆะเว้นไว้แต่ว่า ผู้มีอำนาจผู้ซึ่งออกหนังสือได้แจ้งให้ทราบล่วงหน้าแล้วถึงหนังสือนั้น

มาตรา 41 ผู้ปฏิบัติการตามบทบัญญัติการบริหารซึ่งได้รับมอบหน้าที่ให้ปฏิบัติการเท่านั้นไม่สามารถปฏิเสธที่จะปฏิบัติการได้ เว้นไว้แต่ว่าเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าบทบัญญัตินั้นเป็นโมฆะ หรือไม่สามารถปฏิบัติตามได้เพราะมีสาเหตุอื่นที่สำคัญหรือยังมิได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ติดกับบทบัญญัติการบริหารนั้น อย่างไรก็ตาม หาก ปรากฏว่า การปฏิบัติตามบทบัญญัติการบริหารไม่ถูกกาละเทศะหรือสถานที่ให้ผู้ปฏิบัติการระงับการปฏิบัติไว้ก่อน เมื่อเกิดกรณีต่างๆ เหล่านี้ให้ผู้ปฏิบัติการแจ้งต่อผู้ใหญ่ผู้ซึ่งออกบทบัญญัตินั้นทันที

มาตรา 42 ผู้ปฏิบัติการตามบทบัญญัติการบริหารต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ได้รับมอบหมายหากว่ามิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่จำเป็นดังที่กำหนดไว้ในหนังสือมอบอำนาจ และมิได้รักษาพิธีการตามขั้นตอนอันจะขาดเสียมิได้การปฏิบัตินั้นก็เป็นโมฆะ

มาตรา 43 ผู้ปฏิบัติการตามบทบัญญัติการบริหารสามารถใช้วิจารณญาณที่รอบคอบของตนให้ผู้อื่นปฏิบัติหน้าที่แทนได้ เว้นไว้แต่ว่า มีการห้ามตั้งผู้แทนหรือผู้ปฏิบัติการได้รับการเลือกเพราะคุณสมบัติส่วนตัวหรือบุคคลผู้ปฏิบัติการแทนได้รับการกำหนดตัวไว้ก่อนแล้ว อย่างไรก็ตามในกรณีเหล่านี้ผู้ปฏิบัติการอาจมอบอำนาจให้ผู้อื่นเตรียมการแทนได้

มาตรา 44 ผู้สืบตำแหน่งต่อจากผู้ปฏิบัติการสามารถปฏิบัติการตามบทบัญญัติการบริหารด้วย เว้นไว้แต่ว่าผู้ปฏิบัติการได้รับเลือก เพราะคุณสมบัติส่วนตัว

มาตรา 45 หากผู้ปฏิบัติการปฏิบัติการตามบทบัญญัติการบริหารผิดพลาดในเรื่องใดๆ ก็ตาม ก็สามารถดำเนินการนั้นใหม่ได้

มาตรา 46 บทบัญญัติการบริหารมิได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการหมดวาระของผู้ที่ออกบทบัญญัตินั้น เว้นไว้แต่ว่า กฎหมายได้ระบุไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

มาตรา 47 การเพิกถอนบทบัญญัติการบริหาร โดยวิธีการออกบทบัญญัติการบริหารใหม่โดยผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจมีผลบังคับจากขณะเมื่อมีการแจ้งบทบัญญัติใหม่อย่างถูกต้องต่อผู้ได้รับมอบอำนาจ

 

หมวด 2 กฤษฎีกา และคำสั่งปัจเจก

มาตรา 48 กฤษฎีกาปัจเจก คือบทบัญญัติการบริหารที่ออกโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจบริหาร ซึ่งในกฤษฎีกานั้นผู้ใหญ่ได้ให้มีคำชี้ขาดหรือข้อกำหนดสำหรับเฉพาะกรณีตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย คำชี้ขาดหรือข้อกำหนดนั้นโดยธรรมชาติของมันแล้ว มิได้หมายความว่ามีการร้องขอจากผู้หนึ่งผู้ใดมาก่อน

มาตรา 49 คำสั่งปัจเจกเป็นกฤษฎีกาซึ่งกำหนดโดยตรง และถูกต้องตามกฎหมายให้บุคคลผู้หนึ่งหรือหลายคนโดยเจาะจงให้กระทำหรือละเว้นบางอย่างเป็นต้น เพื่อเร่งรัดให้ปฏิบัติตามกฎหมาย

มาตรา 50 ก่อนออกกฤษฎีกาปัจเจก ผู้ใหญ่ควรเสาะหาข้อมูล และหลักฐานที่จำเป็น และให้รับฟังผู้ที่อาจเสียสิทธิ์เท่าที่ทำได้ด้วย

มาตรา 51 กฤษฎีกาต้องออกเป็นลายลักษณ์อักษร ในกรณีของกฤษฎีกาที่เป็นคำชี้ขาด ต้องให้เหตุผลของการออกกฤษฎีกานั้น อย่างน้อยแบบสรุปความ

มาตรา 52 กฤษฎีกาปัจเจกมีผลบังคับเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้อง และให้ใช้กับบุคคลที่กฤษฎีกานั้นออกให้เท่านั้นกฤษฎีกานี้บังคับบุคคลเหล่านี้ทุกแห่งหน เว้นแต่เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นอย่างอื่น

มาตรา 53 หากกฤษฎีกาขัดแย้งกันกฤษฎีกาพิเศษจะอยู่เหนือกฤษฎีกาทั่วไปในเรื่องที่กล่าวถึงโดยเฉพาะ ถ้าหากเป็นกฤษฎีกาพิเศษเท่ากันหรือทั่วไปเท่ากันกฤษฎีกาที่ออกมาภายหลังแก้ไขกฤษฎีกาที่ออกมาก่อนในส่วนที่ขัดแย้งกัน

มาตรา 54 วรรค 1 กฤษฎีกาปัจเจกที่มอบให้แก่ผู้ปฏิบัติการนำไปปฏิบัติมีผลทันทีเมื่อมีการปฏิบัติการ มิฉะนั้นก็ให้มีผลตั้งแต่ผู้ใหญ่ผู้ออกกฤษฎีกานั้นแจ้งให้แก่บุคคลนั้นทราบ

วรรค 2 กฤษฎีกาปัจเจกมีผลบังคับก็ต่อเมื่อมีการแจ้งในรูปแบบของเอกสารที่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 55 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 37 และมาตรา 51 เมื่อมีเหตุผลที่สำคัญยิ่งยวดเป็นอุปสรรคต่อการมอบกฤษฎีกาที่เป็นลายลักษณ์อักษร ให้ถือว่ามีการแจ้งกฤษฎีกาแก่ผู้รับแล้ว หากมีการอ่านกฤษฎีกานั้นแก่ผู้รับต่อหน้าเสมียนศาลหรือพยาน 2 คน และให้ทุกคน ณ ที่นั้นเซ็นชื่อรับรองข้อบันทึกว่าได้มีการอ่านกฤษฎีกานั้นแล้ว

มาตรา 56 ให้ถือว่ามีการแจ้งกฤษฎีกาแก่ผู้รับแล้วหากมีการออกหมายเรียกอย่างถูกต้องให้มารับหรือมาฟังกฤษฎีกาแม้ว่าผู้นั้นจะมิได้มาปรากฏตัวเพื่อรับหมายหรือปฏิเสธการเซ็นชื่อรับกฤษฎีกาโดยมิได้มีเหตุอันควร

มาตรา 57 วรรค 1 ทุกครั้งที่ต้องออกกฤษฎีกาตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายหรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ยื่นคำร้องหรืออุธรณ์ให้ได้มาซึ่งกฤษฎีกาอย่างถูกต้องตามกฎหมายผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจควรออกให้ภายใน 3 เดือน นับแต่ได้รับคำร้องหรืออุธรณ์นั้นเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายได้กำหนดระยะเวลาไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 เมื่อกำหนดระยะเวลาล่วงเลยไปแล้ว หากยังไม่มีการออกกฤษฎีกา ให้สันนิษฐานว่า เป็นการตอบปฏิเสธไม่ให้ยื่นอุธรณ์ต่อไป

วรรค 3 คำตอบที่สันนิษฐานว่าเป็นการปฏิเสธมิได้ทำให้ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจพ้นจากพันธะในการออกกฤษฎีกานั้นและยังต้องชดใช้ค่าเสียหายที่อาจเกิดขึ้นตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 128

มาตรา 58 วรรค 1 กฤษฎีกาปัจเจกสิ้นสุดการมีผลบังคับโดยการเพิกถอนอย่างถูกต้องจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ โดยการสิ้นสุดลงของกฎหมายที่กฤษฎีกาออกมาเพื่อให้มีการปฏิบัติการ

วรรค 2 คำสั่งปัจเจก ที่มิได้ออกเป็นหนังสืออย่างถูกต้องตามกฎหมาย สิ้นสุดลงพร้อมกับการหมดอำนาจของคำสั่งนั้น

 

 

หมวด 3 หนังสือตอบ

มาตรา 59 วรรค 1 หนังสือตอบเป็นบัญญัติการบริหารที่ออกเป็นลายลักษณ์อักษรโดยผู้ใหญ่ผู้ปฏิบัติที่มีอำนาจซึ่งหนังสือตอบนี้โดยธรรมชาติแล้วเป็นการให้สิทธิพิเศษการยกเว้นหรือความดีความชอบอื่น ๆ ตามคำขอของผู้ใดผู้หนึ่ง

วรรค 2 ข้อกำหนดที่บัญญัติสำหรับหนังสือตอบใช้ได้เช่นกันสำหรับการให้ด้วยวาจาเรื่องการให้อนุญาตหรือการให้ความดีความชอบ เว้นไว้แต่ว่าเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าเป็นอย่างอื่น

มาตรา 60 ทุกคนที่มิได้ถูกห้ามขออย่างแจ้งชัด สามารถขอหนังสือตอบใดๆ ก็ได้

มาตรา 61 เว้นไว้แต่ว่า เป็นที่ประจักษ์ชัดเป็นอย่างอื่นหนังสือตอบสามารถขอแทนกันได้ แม้โดยมิได้รับความยินยอมจากผู้นั้น และมีผลก่อนการยอมรับของผู้นั้น โดยคงไว้ซึ่งข้อความที่ที่ตรงกันข้าม

มาตรา 62 หนังสือตอบที่มิได้กำหนดให้มีผู้ปฏิบัติการ มีผลทันทีที่มีหนังสือออกไป หนังสือตอบอื่น ๆ มีผลจากขณะเมื่อปฏิบัติการ

มาตรา 63 วรรค 1 การอำพรางหรือการปิดบังความจริง (Subreption) ทำให้หนังสือตอบเป็นโมฆะหากความจริงเหล่านั้นตามกฎหมายตามรูปแบบ และตามธรรมเนียมปฏิบัติของพระศาสนจักรจะต้องแสดงเพื่อให้มีผลตามกฎหมายมิได้รับการปฏิบัติ ยกเว้นเกี่ยวกับหนังสือตอบการให้ความดีความชอบที่มาจากความคิดของผู้ออกเอง

วรรค 2 การแสดงข้อความอันเป็นเท็จ (Obreption) มีผลทำให้หนังสือตอบเป็นโมฆะหากเหตุผลในการเสนอไม่มีความเป็นจริงแม้แต่ข้อเดียว

วรรค 3 เหตุผลในการออกหนังสือตอบประเภทที่ไม่มีผู้ปฏิบัติการจะต้องเป็นจริงขณะที่ออกหนังสือตอบสำหรับหนังสือตอบประเภทอื่นต้องเป็นจริงขณะปฏิบัติการ

มาตรา 64 โดยคงไว้ซึ่งอำนาจของหน่วยงานทางศีลอภัยในเรื่องภายใน ความดีความชอบที่หน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งในองค์การปกครองส่วนกลางของพระศาสนจักร (Roman Curia) ปฏิเสธแล้ว หน่วยงานอื่น ๆหรือผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจอื่นที่ต่ำกว่าพระสันตะปาปาไม่สามารถให้ได้อย่างมีผลตามกฎหมาย เว้นแต่ว่าหน่วยงานแรกที่รับเรื่องให้ความยินยอมก่อน

มาตรา 65 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดในวรรค 2 และ 3 ห้ามผู้ใดทำการร้องขอความดีความชอบจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจอื่นในเรื่องที่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของตนได้ปฏิเสธไปแล้ว เว้นไว้แต่ว่าได้มีการกล่าวถึงการปฏิเสธก่อนแล้วแม้ว่าได้มีการกล่าวถึงการปฏิเสธแล้วก็ตามผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคนที่สองก็ไม่ควรให้ความดีความชอบหากมิได้รับทราบเหตุผลของการปฏิเสธจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคนแรกเสียก่อน

วรรค 2 ความดีความชอบที่ถูกปฏิเสธโดยอุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชไปแล้วอุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชอื่นที่ขึ้นต่อพระสังฆราชองค์เดียวกันไม่สามารถมอบความดีความชอบนั้นได้อย่างมีผลตามกฎหมายแม้จะได้รับเหตุผลของการปฏิเสธจากอุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชผู้ปฏิเสธมาก่อนแล้วก็ตาม

วรรค 3 ความดีความชอบที่ถูกปฏิเสธโดยอุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชไปแล้ว หลังจากนั้นได้รับความดีความชอบนั้นจากพระสังฆราชสังฆมณฑลโดยมิได้กล่าวถึงการถูกปฏิเสธมาก่อน ให้ถือเป็นโมฆะแต่ความดีความชอบที่เคยถูกปฏิเสธโดยพระสังฆราชสังฆมณฑลแล้วไม่สามารถขอรับอย่างมีผลตามกฎหมายจากอุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชหากมิได้รับความยินยอมจากพระสังฆราชผู้นั้นก่อนแม้ว่าจะมีการกล่าวถึงการถูกปฏิเสธมาก่อนก็ตาม

มาตรา 66 หนังสือตอบไม่กลายเป็นโมฆะเนื่องจากมีการผิดพลาดเรื่องชื่อผู้รับหรือผู้ออกหรือผิดพลาดเรื่องสถานที่ที่ผู้นั้นอาศัยอยู่ หรือผิดเนื้อหาของเรื่องขอแต่ว่าในการวินิจฉัยของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจนั้นไม่สงสัยเกี่ยวกับตัวบุคคลหรือเกี่ยวกับเรื่องที่พิจารณา

มาตรา 67 วรรค 1 หากมีการได้รับหนังสือตอบ 2 ฉบับขัดแย้งในเรื่องเดียวกันให้หนังสือตอบพิเศษอยู่เหนือหนังสือตอบทั่วไปในเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้นที่มีกล่าวถึงโดยเฉพาะ

วรรค 2 หากเป็นหนังสือตอบที่มีลักษณะพิเศษเท่ากัน หรือทั่วไปเท่ากันให้หนังสือตอบฉบับที่ออกก่อนอยู่เหนือฉบับที่ออกหลังเว้นไว้แต่ว่ามีการระบุไว้อย่างชัดถึงฉบับแรกในฉบับหลังหรือเว้นแต่เมื่อผู้ขอหนังสือตอบฉบับแรกมิได้นำมาใช้เพราะเจตนาหลอกลวงหรือเพราะการเพิกเฉยอย่างเห็นได้ชัด

วรรค 3 เมื่อมีการสงสัยว่าหนังสือตอบนั้นเป็นโมฆะหรือไม่ ควรมีการตรวจสอบกับผู้ออกหนังสือตอบนั้น

มาตรา 68 หนังสือตอบของสันตะสำนักที่ไม่มีการกำหนดผู้ปฏิบัติการ ต้องส่งให้แก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของบุคคลผู้ได้รับหนังสือตอบเฉพาะเมื่อมีกำหนดไว้ให้ทำเช่นนั้นในหนังสือตอบนั้นเท่านั้นหรือเมื่อหนังสือตอบนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับส่วนรวมหรือเมื่อเป็นเรื่องที่ต้องมีการพิสูจน์เงื่อนไขที่ติดมาว่าได้รับการปฏิบัติครบถ้วนแล้ว

มาตรา 69 เมื่อไม่มีการกำหนดเวลาที่แน่นอนในการส่งมอบหนังสือตอบจะส่งหนังสือตอบแก่ผู้ปฏิบัติการเมื่อใดก็ได้ขอแต่ว่าอย่าให้มีการหลอกลวงหรือคดโกง

มาตรา 70 หากในหนังสือตอบมีการมอบให้ผู้ปฏิบัติการทำหน้าที่ให้ความดีความชอบ ผู้ปฏิบัติการสามารถให้หรือปฏิเสธความดีความชอบนั้นตามวิจารณญาณที่รอบคอบ และมโนธรรมของตน

มาตรา 71 ไม่มีผู้ใดถูกผูกมัดให้ใช้หนังสือตอบที่มอบให้เพื่อผลประโยชน์ตามลำพังของตนเอง เว้นไว้แต่ว่าผู้นั้นถูกผูกมัดให้ใช้จากแหล่งอื่นโดยข้อบังคับของกฎหมาย

มาตรา 72. เมื่อหนังสือตอบที่สันตะสำนักมอบให้หมดอายุลงพระสังฆราชประจำสังฆมณฑลสามารถต่ออายุได้เพียงครั้งเดียวเมื่อมีเหตุผลสมควร แต่ต้องไม่เกิน 3 เดือน

มาตรา 73 ไม่มีหนังสือตอบใดถูกยกเลิกโดยกฎหมายที่ขัดแย้ง เว้นไว้แต่ว่ามีการระบุไว้เป็นอย่างอื่นในตัวบทกฎหมายเอง

มาตรา 74 แม้ว่าบุคคลใดจะสามารถใช้ความดีความชอบที่ได้รับมาทางวาจาเท่านั้นเป็นการภายใน (internal forum) ผู้นั้นจำต้องพิสูจน์ให้เห็นเป็นการภายนอก (external forum) เมื่อมีการขอให้พิสูจน์โดยถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา 75 หากหนังสือตอบมีเรื่องสิทธิพิเศษ หรือการยกเว้น จะต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตราต่าง ๆ ต่อไปนี้ด้วย

 

หมวด 4 สิทธิพิเศษ

มาตรา 76 วรรค 1 สิทธิพิเศษหรือเอกสิทธิ์ที่มอบให้ โดยทางบทบัญญัติพิเศษไม่ว่าแก่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล สิทธิพิเศษสามารถมอบให้โดยผู้ตรากฎหมายรวมทั้งผู้มีอำนาจปฏิบัติการด้วย ซึ่งได้รับมอบอำนาจนี้จากผู้ตรากฎหมาย

วรรค 2 สิทธิพิเศษที่มีการครอบครองนานนับร้อยปี หรือนานจนจำไม่ได้ ทำให้สันนิษฐานได้ว่าได้มีการมอบสิทธิพิเศษแล้ว

มาตรา 77 ให้ตีความสิทธิพิเศษตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 36 วรรค 1 แต่ต้องตีความให้ผู้รับสิทธิพิเศษได้รับเอกสิทธิ์บางอย่างจริง ๆ เสมอ

มาตรา 78 วรรค 1 ให้สันนิษฐานว่า สิทธิพิเศษคงอยู่ตลอดไป เว้นไว้แต่ว่ามีการพิสูจน์เป็นตรงกันข้าม

วรรค 2 สิทธิพิเศษส่วนบุคคล กล่าวคือ สิทธิพิเศษที่ติดตัวบุคคลสิ้นสุดเมื่อผู้นั้นถึงแก่กรรม

วรรค 3 สิทธิพิเศษที่เป็นทรัพย์สิ่งของ สิ้นสุดลงเมื่อสิ่งนั้นหรือสถานที่นั้นถูกทำลายลงโดยสิ้นเชิงแต่สิทธิ์พิเศษที่เป็นสถานที่ยังคงกลับคืนได้อีกหากมีการบูรณะขึ้นมาใหม่ภายใน 50 ปี

มาตรา 79 สิทธิพิเศษสิ้นสุดลงเมื่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจเพิกถอน ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 47 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดในมาตรา 46

มาตรา 80 วรรค 1 ไม่มีสิทธิพิเศษใดสิ้นสุดลงด้วยการสละสิทธิ เว้นไว้แต่ว่าผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจยอมรับการสละสิทธิ์นั้นแล้ว

วรรค 2 บุคคลธรรมดาใดๆ ก็ตาม สามารถสละสิทธิ์พิเศษที่ตนได้รับมาเพื่อประโยชน์บุคคลผู้นั้นเท่านั้น

วรรค 3 สิทธิพิเศษที่มอบให้แก่นิติบุคคลหรือที่มอบให้เพราะศักด์ศรีของสถานที่หรือของสิ่งของก็ตามปัจเจกบุคคลไม่สามารถสละสิทธิพิเศษนั้นได้ทั้งนิติบุคคลก็ไม่มีอำนาจสละสิทธิพิเศษที่ได้รับนั้นหากการสละสิทธิพิเศษนั้นเกิดผลเสียแก่พระศาสนจักรหรือแก่ผู้อื่น

มาตรา 81 เมื่อผู้ให้สิทธิพิเศษหมดอำนาจลง สิทธิพิเศษนั้นหาสิ้นสุดลงไม่เว้นไว้แต่ว่า สิทธิพิเศษนั้นให้ไว้โดยมีข้อความระบุว่าตามความพึงพอใจของเรา” (ad beneplacitum nostrum) หรือข้อความอื่นที่มีใจความคล้ายคลึงกัน

มาตรา 82 การไม่ใช้สิทธิพิเศษหรือการใช้สิทธิพิเศษในทางตรงข้าม ที่ไม่ก่อให้เกิดภาระแก่ผู้อื่น ก็ไม่ทำให้สิทธิพิเศษนั้นสิ้นสุดลง ถ้าก่อให้เกิดภาระแก่ผู้อื่น สิทธิพิเศษนั้นก็สูญไป โดยสิทธิครอบครองที่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 83 วรรค 1 สิทธิพิเศษสิ้นสุดลงเมื่อเวลาที่กำหนดผ่านพ้นไปหรือเมื่อครบจำนวนครั้งที่ได้ให้ไว้ โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดในมาตรา 142 วรรค 2

วรรค 2 สิทธิพิเศษสิ้นสุดลงเช่นกันหากในกาลต่อมาสถานการณ์เปลี่ยนไปจนสิทธิพิเศษนั้นกลับกลายเป็นผลร้ายหรือการใช้สิทธิพิเศษนั้นกลับกลายเป็นไม่ชอบด้วยกฎหมายตามการวินิจฉัยของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ

มาตรา 84 ผู้ใดก็ตามที่ใช้อำนาจที่ได้รับจากสิทธิพิเศษในทางที่ผิดก็สมที่จะเสียสิทธิพิเศษนั้นดังนั้นผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจอาจเรียกสิทธิพิเศษที่ตนเองเป็นผู้มอบคืนหากผู้รับมอบนำไปใช้ในทางที่ผิดอย่างร้ายแรงทั้งที่ได้รับการตักเตือนแล้วแต่ไร้ผล อย่างไรก็ตามหากสันตะสำนักเป็นผู้มอบสิทธิพิเศษนั้นผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจต้องแจ้งให้สันตะสำนักทราบด้วย (Apostolic See)

 

หมวด 5 การยกเว้น

มาตรา 85 การยกเว้นหรือการผ่อนผันตามกฎหมายพระศาสนจักรเท่านั้นในกรณีเฉพาะผู้มีอำนาจบริหารสามารถออกให้ยกเว้นได้ตามอำนาจที่ตนมีเช่นเดียวกันผู้ที่ได้รับมอบอำนาจอย่างแจ้งชัดหรือโดยปริยายก็สามารถกระทำได้ตามตัวบทกฎหมายหรือในฐานะผู้กระทำการแทนโดยชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 86 กฎหมายที่กำหนดองค์ประกอบหลักของสถาบันหรือนิติกรรมไม่สามารถยกเว้นให้ได้

มาตรา 87 วรรค 1 ทุกครั้งที่วินิจฉัยว่าการยกเว้นจะทำให้เกิดคุณประโยชน์ด้านจิตใจต่อบรรดาคริสตชนพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถยกเว้นกฎหมายทางวินัยทั้งที่เป็นสากล และเฉพาะถิ่นซึ่งออกโดยผู้มีอำนาจสูงสุดของพระ ศาสนจักรเพื่อใช้บังคับในเขตสังฆมณฑลของตน หรือใช้บังคับกับผู้อยู่ในปกครองของตนอย่างไรก็ตาม พระสังฆราชสังฆมณฑลไม่สามารถให้การยกเว้นกฎหมายว่าด้วยการพิจารณาความหรือกฎหมายอาญาหรือกฎหมายที่อำนาจการยกเว้นถูกสงวนไว้เป็นพิเศษสำหรับสันตะสำนักหรือผู้มีอำนาจอื่น

วรรค 2 หากการร้องเรียนไปยังสันตะสำนักเป็นการลำบาก และขณะเดียวกันจะมีอันตรายก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรงอันเกิดจากความล่าช้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถยกเว้นจากกฎหมายทางวินัยที่ระบุมาข้างต้นแม้ว่าการยกเว้นจะสงวนสิทธิ์ไว้กับสันตะสำนักก็ตามขอแต่ว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการยกเว้นที่สันตะสำนักเคยให้ซึ่งมีกรณีแวดล้อมเดียวกัน โดยยังต้องยึดถือตามบทบัญญัติในกฎหมายมาตรา 291

มาตรา 88 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจประจำท้องถิ่นสามารถยกเว้นจากกฎหมายสังฆมณฑล และกฎหมายที่ออกโดยสภาระดับชาติหรือสภาแขวงหรือโดยสภาพระสังฆราชเมื่อวินิจฉัยแล้วว่าการยกเว้นนั้นจะก่อให้เกิดผลดีต่อ คริสตชน

มาตรา 89 พระสงฆ์เจ้าอาวาสก็ดี และพระสงฆ์อื่นก็ดี หรือสังฆานุกรก็ดีหาได้สามารถให้การยกเว้นจากกฎหมายสากลหรือท้องถิ่นไม่เว้นแต่ว่าผู้นั้นได้รับมอบอำนาจอย่างชัดแจ้ง 90 วรรค 1 ห้ามออกข้อยกเว้นจากกฎหมายพระศาสนจักรโดยปราศจากเหตุผลอันสมควร และถูกต้องโดยมิได้คำนึงถึงกรณีแวดล้อมของเรื่อง และความหนักเบาของกฎหมายมิฉะนั้นการยกเว้นนั้นจะไม่ถูกต้องตามกฎหมาย และเป็นโมฆะ เว้นไว้แต่ว่าเป็นการออกโดยผู้ออกกฎหมายนั้น หรือผู้ใหญ่ของผู้ออกกฎหมายนั้นเอง

วรรค 2 เมื่อมีความสงสัยเกี่ยวกับการมีเหตุผลเพียงพอหรือไม่ การยกเว้นนั้นให้ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย และมีผลบังคับใช้

มาตรา 91 ผู้มีอำนาจออกข้อยกเว้น สามารถให้การยกเว้นได้แม้ว่าเขาจะอยู่นอกเขตปกครองของตน เขาสามารถให้การยกเว้นแก่ผู้อยู่ใต้อำนาจซึ่งอยู่นอกเขตปกครองของตนด้วย และยังสามารถให้การยกเว้นแก่ผู้เดินทางที่ขณะนั้นอยู่ในเขตการปกครองของตน รวมทั้งให้การยกเว้นแก่ตนเองด้วยเว้นแต่จะมีข้อกำหนดตรงกันข้ามกำหนดไว้อย่างชัดแจ้ง

มาตรา 92 ต้องตีความอย่างเคร่งครัด มิใช่เฉพาะการให้การยกเว้น ตามกฎหมายมาตรา36 วรรค 1 เท่านั้นแต่ต้องตีความอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับอำนาจในการให้การยกเว้นเฉพาะกรณีด้วย

มาตรา 93 ข้อยกเว้นซึ่งได้นำไปใช้อย่างต่อเนื่องกันมาสิ้นสุดลงในทำนองเดียวกับสิทธิพิเศษ และยังสิ้นสุดลงเพราะเหตุจูงใจของในการยกเว้นนั้นสิ้นสุดลงอย่างสิ้นเชิง

 

ลักษณะ 5 บทบัญญัติ และกฎระเบียบ

มาตรา 94 วรรค 1 บทบัญญัติตามความหมายของคำคือระเบียบแบบแผนที่ตราไว้สำหรับการรวมตัวของบุคคลหรือทรัพย์สินตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย ซึ่งโดยระเบียบนี้กำหนดจุดประสงค์ ธรรมนูญการปกครองและวิธีการปฏิบัติไว้

วรรค 2 บทบัญญัติอันว่าด้วยการรวมตัวของบุคคลใช้บังคับเฉพาะสมาชิกที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้นส่วนบทบัญญัติอันว่าด้วยการรวมตัวของทรัพย์สินใช้บังคับเฉพาะผู้ที่ดูแลจัดการเท่านั้น

วรรค 3 ข้อกำหนดของบทบัญญัติซึ่งออก และประกาศใช้ด้วยอำนาจนิติบัญญัติถูกควบคุมโดยข้อกำหนดแห่งมาตราต่างๆ ที่เกี่ยวกับกฎหมาย

มาตรา 95 กฎระเบียบคือกฎเกณฑ์ หรือบรรทัดฐาน ซึ่งจะต้องปฏิบัติในการชุมนุมของบุคคลไม่ว่าการชุมนุมนั้นถูกเรียกมาโดยอำนาจของพระศาสนจักรหรือการรวมตัวอย่างอิสระของคริสตชน และในการเฉลิมฉลองอื่นๆ กฎระเบียบเหล่านี้กำหนดธรรมนูญ การควบคุม และขั้นตอนของการชุมนุม

วรรค 2 กฎระเบียบเหล่านี้บังคับทุกคนที่มีส่วนร่วมในการชุมนุมหรือการเฉลิมฉลอง

 

 

ลักษณะ 6 บุคคลธรรมดา และนิติบุคคล

หมวด 1 สถานภาพของบุคคลธรรมดาตามกฎหมายพระศานจักร

มาตรา 96 โดยทางศีลล้างบาปผู้หนึ่งผู้ใดรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้า และได้รับสถาปนาให้เป็นบุคคลในพระศาสนจักร

มาตรา 97 วรรค 1 บุคคลผู้ซึ่งมีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ เป็นผู้ใหญ่ ต่ำกว่าอายุนั้นให้ถือว่าเป็นผู้เยาว์

วรรค 2 ก่อนอายุครบ 7 ขวบเต็ม ผู้เยาว์ถือว่าเป็นทารก และให้ถือว่าไร้ความสามารถ เมื่ออายุครบ 7 ขวบเต็มให้ถือว่าเป็นผู้สามารถใช้เหตุผล

มาตรา 98 วรรค 1 ผู้ใหญ่สามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างเต็มที่

วรรค 2 ผู้เยาว์ใช้สิทธิของตนได้โดยให้อยู่ในอำนาจของบิดามารดาหรือผู้ปกครองทั้งนี้มีข้อยกเว้นให้เมื่อเป็นเรื่องที่ผู้เยาว์ได้รับยกเว้นโดยกฎพระเจ้าหรือกฎหมายพระศาสนจักรให้ไม่ต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพวกเขาเกี่ยวกับเรื่องการกำหนดตัวผู้ปกครอง อำนาจของผู้ปกครองให้ถือตามกฎหมายบ้านเมืองเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายพระศาสนจักรกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นหรือเมื่อมีเหตุผลสมควรในบางกรณีพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถแต่งตั้งผู้ปกครองคนอื่นได้

มาตรา 99 ผู้ใดก็ตามที่ขาดการใช้เหตุผลเป็นนิจให้ถือเป็นผู้ไร้ความสามารถ และให้ถือเสมือนเป็นทารก

มาตรา 100 บุคคลที่เป็นผู้อยู่ประจำถิ่นคือผู้ที่อาศัยอยู่ในสถานที่ทีนมีภูมิลำเนาอยู่ ผู้พักอาศัยชั่วคราวคือผู้ที่อาศัยในสถานที่ที่ตนมีกึ่งภูมิลำเนาอยู่ผู้เดินทางคือผู้ที่อยู่นอกเขตภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาโดยที่ตนยังครอบครองภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาของตนอยู่ผู้เร่ร่อนคือผู้ที่ไม่มีทั้งภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาเลยไม่ว่าที่ใด

มาตรา 101 วรรค 1 ถิ่นกำเนิดของบุตร รวมทั้งผู้เข้าศาสนาใหม่ด้วยคือถิ่นที่บิดามารดาของบุตรมีภูมิลำเนาอยู่ในขณะที่บุตรเกิดหรือในกรณีที่บิดามารดาไม่มีภูมิลำเนาก็ใช้กึ่งภูมิลำเนาแทนกันได้หากบิดามารดามิได้มีภูมิลำเนาหรือกึ่งูมิลำเนาเดียวกันก็ให้ใช้ภูมิลำเนาขอผู้เป็นมารดาของบุตรนั้น

วรรค 2 ในกรณีที่เป็นบุตรของผู้เร่ร่อนก็ให้ถือสถานที่บุตรเกิดเป็นถิ่นของบุตรในกรณีที่บุตรเกิดมาแล้วถูกทอดทิ้งก็ให้ถือสถานที่ที่พบบุตรคนนั้นเป็นถิ่นกำเนิด

มาตรา 102 วรรค 1 ภูมิลำเนาได้มาโดยที่บุคคลอาศัยอยู่ในเขตสังฆตำบลหรืออย่างน้อยในสังฆมณฑลโดยมีเจตนาจะอยู่ถาวร ถ้าไม่มีเหตุจำต้องออกไปหรืออยู่ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 ปีเต็ม

วรรค 2 กึ่งภูมิลำเนาได้มาโดยที่บุคคลอาศัยอยู่ในเขตสังฆตำบลหรืออย่างน้อยในเขตสังฆมณฑล โดยมีเจตนาจะอยู่อย่างน้อย 3 เดือน ถ้าไม่มีเหตุจำต้องออกไปหรืออยู่ต่อเนื่องกันเป็นเวลา 3 เดือนเต็ม

วรรค 3 ภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาที่ตั้งอยู่ในเขตวัดใดเรียกว่าภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาสังฆตำบล เมื่อตั้งอยู่ในเขตสังฆมณฑลแม้ว่าจะมิได้อยู่ในเขตวัดโดยเฉพาะให้ถือว่าเป็นภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาสังฆมณฑล

มาตรา 103 สมาชิกของสถาบันนักพรต และสมาชิกคณะชีวิตธรรมทูตได้มาซึ่งภูมิลำเนาตามสถานที่ตั้งของบ้านที่เขาสังกัดอยู่ กึ่งภูมิลำเนาได้มาโดยการอาศัยอยู่ในบ้านทั้งนี้ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 102 วรรค 2

มาตรา 104 คู่สามีภรรยามีภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาร่วมกันได้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอาจมีภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาของตนได้เมื่อมีการแยกกันอยู่โดยถูกต้องตามกฎหมายหรือเมื่อมีเหตุอันควร

มาตรา 105 วรรค 1 ผู้เยาว์จำเป็นต้องถือภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาของผู้ที่ตนอยู่ใต้ปกครองเมื่อผู้เยาว์พ้นวัยทารกแล้ว สามารถมีกึ่งภูมิลำเนาของตนเองได้และผู้ใดที่เป็นอิสระตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายบ้านเมืองสามารถมีภูมิลำเนาของตนเองได้

วรรค 2 ผู้ใดก็ตาม นอกเหนือจากเหตุผลการเป็นผู้เยาว์แล้วยังมีเหตุผลอื่น ซึ่งกฎหมายกำหนดให้อยู่ภายใต้การดูแลของผู้อื่นให้ถือเอาภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาของผู้ปกครองหรือผู้พิทักษ์

มาตรา 106 ภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาสูญเสียไปโดยการออกจากที่นั่นด้วยความตั้งใจจะไม่กลับมาอีก โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดมาตรา 105

มาตรา 107 วรรค 1 แต่ละบุคคลมีพระสงฆ์เจ้าอาวาส และผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของตน ทั้งตามภูมิลำเนา และกึ่งภูมิลำเนาได้

วรรค 2 พระสงฆ์เจ้าอาวาสหรือผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของผู้เร่ร่อนคืออำนาจของท้องที่ที่ผู้เร่ร่อนอาศัยอยู่ขณะนั้น

วรรค 3 พระสงฆ์เจ้าอาวาสของผู้ซึ่งมีเพียงแต่ภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาสังฆมณฑลคือพระสงฆ์เจ้าอาวาสของสถานที่ที่ผู้นั้นอาศัยอยู่ขณะนั้น

มาตรา 108 วรรค 1 การร่วมสายโลหิตนับจากสาย และระดับชั้น

วรรค 2 ในสายตรงมีจำนวนระดับชั้นได้มากเท่ากับจำนวนรุ่นหรือจำนวนคน โดยไม่นับผู้เป็นบรรพบุรุษร่วม

วรรค 3 ในสายขนานมีจำนวนระดับชั้นได้มากเท่ากับจำนวนคนทั้งหมดในสองสายรวมกัน โดยไม่นับผู้เป็นบรรพบุรุษร่วม

มาตรา 109 วรรค 1 ความเกี่ยวดองเกิดขึ้นจากการแต่งงานที่ถูกต้องแม้ยังมิได้มีเพศสัมพันธ์กันก็ตามความเกี่ยวดองมีอยู่ระหว่างชายกับญาติทางสายโลหิตฝ่ายหญิง และระหว่างหญิงนั้นกับญาติทางสายโลหิตของฝ่ายชาย

วรรค 2 ให้นับว่าผู้ที่เป็นญาติทางสายโลหิตของฝ่ายชายมีความเกี่ยวดองกับฝ่ายหญิงในสาย และระดับชั้นเดียวกันและโดยนัยกลับกัน

มาตรา 110 เด็กที่ได้รับอุปการะเป็นบุตรบุญธรรมตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายบ้านเมืองถือว่าเป็นบุตรของบุคคลผู้รับเขาเป็นบุตรบุญธรรม

มาตรา 111 วรรค 1 เด็กที่เกิดจากบิดามารดาที่สังกัดในพระศาสนจักรลาตินให้นับเข้าอยู่ในพระศาสนจักรนั้นโดยการรับศีลล้างบาปหรือถ้าบิดาหรือมารดามิได้สังกัดในพระศาสนจักรลาติน และทั้งสองได้ตกลงเลือกให้เด็กนั้นรับศีลล้างบาปในพระศาสนจักรลาตินให้นับเด็กนั้นเข้าในพระศาสนจักรลาติน โดยทางศีลล้างบาป แต่ถ้าไม่มีการตกลงกันให้นับเด็กนั้นเข้าในพระ ศาสนจักรตามจารีตที่บิดาสังกัดอยู่

วรรค 2 ผู้ที่จะรับศีลล้างบาปซึ่งมีอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์สามารถเลือกอย่างอิสระที่จะรับศีลล้างบาปในพระศาสนจักรลาตินหรือในพระศาสนจักรอื่น ที่มีจารีตเป็นของตนเอง (Sui iuris) และในกรณีนี้บุคคลผู้นั้นสังกัดอยู่ในพระ ศาสนจักรที่ตนเลือก

มาตรา 112 วรรค 1 หลังจาการรับศีลล้างบาป บุคคลต่อไปนี้ เป็นสมาชิกในพระศาสนจักรที่มีจารีตเป็นของตนเอง

1.       ผู้ที่ได้รับอนุญาตจากสันตะสำนัก

2.       คู่บ่าวสาวผู้ซึ่งประกาศในขณะแต่งงานหรือเมื่อแต่งงานแล้วว่าจะเปลี่ยนไปอยู่ในพระศาสนจักรที่มีจารีตเป็นของตน (Sui iuris) ของอีกฝ่ายหนึ่ง แต่เมื่อการแต่งงานสิ้นสุดลงแล้วผู้นั้นก็มีอิสระสามารถกลับไปอยู่ในพระศาสนจักรลาตินได้ตามเดิม

3.       บุตรของบิดามารดาตามข้อ 1 และข้อ 2 ที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีบริบูรณ์และเช่นเดียวกันบุตรของฝ่ายคาทอลิกที่แต่งงานแบบต่างนิกายที่ได้โอนอย่างถูกต้องตามกฎหมายไปสังกัดพระศาสนจักรจารีตอื่นแต่เมื่อบุคคลผู้นั้นมีอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์อาจกลับมาสังกัดพระศาสนจักรลาตินได้

วรรค 2 ประเพณีรับศีลศักดิ์สิทธิ์ ตามจารีตของพระศาสนจักรอื่นที่มีจารีตเป็นของตนเอง (Sui iuris) ไม่ว่าจะนานเท่าใดก็ตามมิทำให้บุคคลนั้นเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรนั้น

 

หมวด 2 นิติบุคคล

มาตรา 113 วรรค 1 พระศาสนจักรคาทอลิก และสันตะสำนักมีธรรมชาติเป็นนิติบุคคลโดยกฎพระเจ้าเอง

วรรค 2 ในพระศาสนจักร นอกจากมีบุคคลธรรมดาแล้วยังมีนิติบุคคลด้วยซึ่งต้องอยู่ภายใต้กฎหมายพระศาสนจักรในเรื่องหน้าที่ และสิทธิอันสอดคล้องตามธรรมชาติของบุคคลนั้น

มาตรา 114 วรรค 1 นิติบุคคลถูกตั้งขึ้นโดยข้อกำหนดของกฎหมายหรือโดยการอนุญาตให้แบบพิเศษโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจที่ด้วยการออกกฤษฎีกานิติบุคคลเหล่านั้นเกิดจากการรวมตัวของบุคคลหรือสิ่งของโดยมีจุดมุ่งหมายที่สอดคล้องกับพันธะกิจของพระศาสนจักร และจุดประสงค์อยู่เหนือจุดประสงค์ของปัจเจกบุคคลซึ่งรวมกันเป็นนิติบุคคล

วรรค 2 จุดประสงค์ของการรวมตัวกันตามวรรค 1 ให้เข้าใจว่าเป็นจุดประสงค์เกี่ยวกับงานด้านกิจเมตตา ด้านการแพร่ธรรมหรือด้านการกุศลไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณหรือฝ่ายกายก็ตาม

วรรค 3 ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรต้องไม่อนุญาตให้ความเป็นนิติบุคคลแก่ใครเว้นแต่จะให้แก่การรวมตัวของบุคคลหรือของทรัพย์สินซึ่งสามารถทำให้บรรลุเป้าหมายที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริง และโดยที่ พิจารณาอย่างรอบคอบแล้วเห็นว่ามีปัจจัยเพียงพอที่คาดได้ว่าจะบรรลุเป้าหมาย ตามที่กำหนดไว้

มาตรา 115 วรรค 1 นิติบุคคลในพระศาสนจักรหมายถึงการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สิน

วรรค 2 การรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลไม่สามารถก่อตั้งขึ้นได้หากมิได้ประกอบด้วยบุคคลอย่างน้อย 3 คน การรวมตัวกันนี้ถือเป็นคณะบุคคลต่อเมื่อสมาชิกของคณะบุคคลกำหนดกิจกรรมของคณะโดยมีส่วนในการตัดสินใจร่วมกัน ไม่ว่าจะมีสิทธิในการตัดสินใจเท่าเทียมกันหรือไม่ก็ตามทั้งนี้ให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายและบทบัญญัติของคณะบุคคลนั้นเองมิฉะนั้นจะไม่ถือว่าเป็นคณะบุคคล

วรรค 3 การรวมตัวของทรัพย์สินหรือมูลนิธิอิสระประกอบด้วยทรัพย์สิ่งของไม่ว่าจะเป็นฝ่ายจิตหรือฝ่ายวัตถุโดยมีบุคคลธรรมดาคนหนึ่งหรือหลายคนตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย และตามบทบัญญัติของคณะบุคคลนั้น

มาตรา 116 วรรค 1 นิติบุคคลสาธารณะคือ การรวมตัวของกลุ่มบุคคลหรือทรัพย์สินซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรภายในขอบเขตที่กำหนดไว้สำหรับนิติบุคคลสาธารณะนี้ในนามของพระศาสนจักร เพื่อทำหน้าที่เฉพาะที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จไปโดยมุ่งความดีส่วนรวม ตามข้อกำหนดของกฎหมาย นิติบุคคลอื่นถือเป็นส่วนบุคคล

วรรค 2 นิติบุคคลสาธารณะมีสถานภาพเป็นบุคคลโดยกฎหมายเองหรือโดยกฤษฎีกาพิเศษที่ออกให้อย่างชัดแจ้งโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจนิติบุคคลส่วนบุคคลมีสถานภาพเป็นบุคคลเพียงแต่การออกกฤษฎีกาพิเศษเท่านั้นที่ออกให้อย่างชัดแจ้งโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ

มาตรา 117 ไม่มีการรวมตัวของบุคคลหรือสิ่งของใดๆ ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อได้รับความเป็นนิติบุคคลสามารถได้รับความเป็นนิติบุคคลได้เว้นไว้แต่ว่าผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจได้ให้การรับรองบทบัญญัติของนิติบุคคลนั้นแล้ว

มาตรา 118 บุคคลที่ได้รับการรับรู้ว่ามีอำนาจนี้โดยกฎหมายสากลหรือกฎหมายเฉพาะหรือบทบัญญัติของนิติบุคคลเท่านั้นเป็นตัวแทนนิติบุคคลสาธารณะ และสามารถดำเนินการในนามของนิติบุคคลสาธารณะนั้นได้บุคคลที่ได้รับอำนาจนี้โดยบทบัญญัติ เป็นตัวแทนนิติบุคคลส่วนบุคคล

มาตรา 119 เกี่ยวกับการกระทำที่เป็นหมู่คณะ เว้นไว้แต่ว่า กฎหมายหรือบทบัญญัติได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

1.       หากเป็นเรื่องการเลือกตั้งการดำเนินการนั้นมีผลตามกฎหมายเมื่อผู้ที่ต้องถูกเรียกเข้าประชุมส่วนใหญ่อยู่ในที่ประชุมนั้นการเลือกตั้งจะมีผลตามกฎหมายต้องได้รับการรับรองโดยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุม หลังจากการลงคะแนนผ่านไป 2 ครั้งแล้วยังไม่ได้ผล ให้เลือกระหว่างผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 2 คนถ้าหากว่าผู้ได้รับคะแนนสูงสุด (คะแนนเท่ากัน) มีเกินกว่า 2 คนให้เลือกระหว่างผู้ที่มีอาวุโสกว่า 2 คน หลังจากการลงคะแนนผ่านไป 3 ครั้งถ้าคะแนนยังคงเท่ากันให้ถือว่า ผู้มีอาวุโสกว่าได้รับเลือก

2.       หากเป็นเรื่องอื่นๆการดำเนินการมีผลตามกฎหมายเมื่อผู้ที่ต้องถูกเรียกเข้าประชุมส่วนใหญ่อยู่ในที่ประชุมนั้นการลงคะแนนเสียงจะมีผลตามกฎหมายต้องได้รับการรับรองโดยคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมประชุม หลังจากการลงคะแนนผ่านไป 2 ครั้งแล้วยังคงได้รับคะแนนเท่ากัน ผู้เป็นประธานสามารถใช้สิทธิ์ออกเสียงตัดสินได้

3.       หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกแต่ละคน ต้องได้รับการรับรอง

มาตรา 120 วรรค 1 นิติบุคคลโดยธรรมชาติของมันแล้วเป็นสิ่งถาวร กระนั้นก็ดีนิติบุคคลจะสิ้นสุดลง หากผู้มีอำนาจเป็นผู้ยกเลิกตามกฎหมายหรือหยุดดำเนินการเป็นเวลา 100 ปี ยิ่งกว่านั้น นิติบุคคลส่วนบุคคลสิ้นสุดลงหากการรวมตัวนั้นสลายลงตามกฎเกณฑ์ของบทบัญญัติหรือผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจวินิจฉัยว่า ตัวมูลนิธิเอง สิ้นสุดลงตามกฎเกณฑ์ของบทบัญญัติของมูลนิธินั้น

วรรค 2 หากแม้เหลือสมาชิกของคณะนิติบุคคลเพียงคนเดียว และการรวมตัวของกลุ่มบุคคล ยังไม่สิ้นสุดลงตามบทบัญญัติของนิติบุคคลนั้นการบริหารสิทธิทั้งหมดของกลุ่มบุคคลตกเป็นของสมาชิกผู้นั้น

มาตรา 121 หากการรวมตัวกัน ไม่ว่าของกลุ่มบุคคลหรือของทรัพย์สินซึ่งเป็นนิติบุคคลสาธารณะการรวมตัวกันดังกล่าวนั้นก่อให้เกิดการรวมตัวอีกอันหนึ่งซึ่งในตัวของมันเองมีความเป็นนิติบุคคลด้วยนิติบุคคลใหม่นี้ได้รับทรัพย์สิ่งของ และสิทธิตกทอดมาซึ่งเป็นของนิติบุคคลที่มีอยู่ก่อน และต้องรับข้อผูกมัดซึ่งนิติบุคคลเหล่านั้นรับภาระอยู่ด้วยอย่างไรก็ตามต้องเคารพต่อจุดมุ่งหมายของผู้ตั้งและผู้บริจาค และสิทธิที่ได้รับมาแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับเรื่องการแบ่งปันทรัพย์สิ่งของ และการปฏิบัติตามข้อผูกมัดต่างๆ

มาตรา 122 หากการรวมตัวกัน ซึ่งมีความเป็นนิติบุคคลสาธารณะจำเป็นต้องแบ่งออกเพื่อให้ส่วนหนึ่งไปรวมกับนิติบุคคลอีกนิติบุคคลหนึ่งหรือเมื่อส่วนที่แยกออกมาได้ถูกตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคลสาธารณะต่างหากเป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรซึ่งมีอำนาจแบ่งแยกก่อนอื่นหมดต้องรักษาจุดมุ่งหมายของผู้ตั้ง และผู้บริจาคสิทธิที่ได้รับมา และบทบัญญัติที่ได้รับการรับรองแล้วหลังจากนั้นต้องเอาใจใส่เป็นการส่วนตัวหรือโดยผ่านผู้บริหารในเรื่องต่อไปนี้

1.       ทรัพย์สิ่งของที่เป็นของส่วนรวม ซึ่งสามารถแบ่งแยกได้ทั้งทรัพย์สินหรือสิทธิตกทอดมาตลอดจนหนี้สินและข้อผูกมัดอื่นๆ ต้องถูกแบ่งระหว่างนิติบุคคลทั้งหลายที่เกี่ยวข้องในสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างเสมอภาคและยุติธรรมโดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและความต้องการของแต่ละนิติบุคคลบุคคล

2.       การใช้ประโยชน์และสิทธิ เอาผลประโยชน์ของทรัพย์สินส่วนรวม ซึ่งแบ่งแยกไม่ได้ ก็เป็นผลประโยชน์แต่ละนิติบุคคล และพันธะที่ติดตามกับผลประโยชน์นั้น ก็ตกแก่แต่ละนิติบุคคลด้วย ต้องกำหนดในลักษณะเดียวกันโดยยึดถือสัดส่วนที่เหมาะสมอย่างเสมอภาคและยุติธรรม

มาตรา 123 เมื่อนิติบุคคลสาธารณะสิ้นสภาพลงต้องแบ่งปันทรัพย์สิ่งของสิทธิตกทอดมา  และพันธะทั้งหลายตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายและตามบทบัญญัติ ถ้าไม่มีกฎหมายหรือธรรมนูญบ่งชี้ไว้สิ่งเหล่านี้ก็ตกทอดแก่นิติบุคคลที่เหนือกว่าอันดับต่อไปโดยยังต้องยึดถือตามเจตนารมณ์ของผู้ตั้ง ผู้บริจาคและตามสิทธิที่ได้รับมาแล้ว เมื่อนิติบุคคลส่วนบุคคลสิ้นสภาพลงต้องแบ่งปันทรัพย์สินและพันธะตามบทบัญญัติของนิติบุคคลนั้นเอง

 

 

ลักษณะ 7 นิติกรรม

มาตรา 124 วรรค 1 นิติกรรมจะถูกต้องตามกฎหมายก็ต่อเมื่อกระทำโดยผู้มีความสามารถทำนิติกรรมได้และนิติกรรมนั้นต้องรวมองค์ประกอบต่างๆ ที่จำเป็นในการทำนิติกรรมเช่นเดียวกันต้องรวมพิธีการ และสิ่งจำเป็นที่กฎหมายกำหนดเพื่อความถูกต้องของนิติกรรม

วรรค 2 นิติกรรมที่กระทำอย่างถูกต้องตามองค์ประกอบภายนอกให้สันนิษฐานว่ามีผลตามกฎหมาย

มาตรา 125 วรรค 1 การกระทำของบุคคลที่กระทำขึ้นเพราะถูกบังคับจากภายนอกโดยไม่อาจขัดขืนได้ให้ถือว่ายังไม่มีการกระทำ

วรรค 2 การกระทำที่กระทำขึ้น เพราะความหวาดกลัวอย่างมากซึ่งเกิดจากการข่มขู่อย่างอยุติธรรมหรือเพราะการฉ้อฉลถือว่ามีผลตามกฎหมายเว้นไว้แต่ว่า กฎหมายระบุไว้เป็นอย่างอื่น แต่การกระทำนั้นเพิกถอนได้โดยการตัดสินของผู้พิพากษาเมื่อมีการยื่นคำร้องจากผู้เสียหายหรือจากผู้สืบทอดตามกฎหมายของผู้เสียหายหรือจากผู้มีหน้าที่ (ex officio)

มาตรา 126 การกระทำที่กระทำขึ้นเพราะความเขลาหรือความหลงผิดที่เกี่ยวข้องกับองค์ประกอบสำคัญที่เป็นแก่นแท้ของการกระทำนั้น หรือที่เป็นเงื่อนไขที่ขาดเสียมิได้ (sine qua non) ถือเป็นโมฆะ มิฉะนั้น ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายระบุไว้เป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตามการกระทำที่กระทำขึ้นเพราะความเขลาหรือความหลงผิดเป็นโอกาสให้เพิกถอนได้ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 127 วรรค 1 เมื่อกฎหมายกำหนดให้การกระทำบางอย่างที่ผู้ใหญ่ต้องขอความเห็นชอบหรือคำแนะนำของคณะหรือกลุ่มบุคคลก่อนก็ต้องเรียกประชุมคณะหรือกลุ่มบุคคลตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 166 เว้นไว้แต่ว่าในกรณีที่ต้องขอคำแนะนำเท่านั้นกฎหมายเฉพาะถิ่นหรือกฎหมายพิเศษกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตามการกระทำดังกล่าวจะถูกต้องตามกฎหมายต่อเมื่อมีความเห็นชอบโดยเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้เข้าประชุมหรือขอความเห็นของผู้เข้าประชุมทั้งหมด

วรรค 2 เมื่อกฎหมายกำหนดให้ผู้ใหญ่เพื่อที่จะกระทำการบางอย่างต้องได้รับความเห็นชอบหรือคำแนะนำของบุคคลบางคนเป็นรายบุคคล ดังต่อไปนี้

2.1 ถ้าต้องรับความเห็นชอบให้ถือว่าการกระทำของผู้ใหญ่เป็นโมฆะ หากผู้ใหญ่ผู้นั้นมิได้ขอความเห็นชอบจากบุคคลเหล่านั้น หรือกระทำตรงข้ามกับความเห็นของบุคคลเหล่านั้นหรือบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

2.2 ถ้าต้องขอคำแนะนำให้ถือว่าการทำของผู้ใหญ่เป็นโมฆะหากผู้ใหญ่ไม่ฟังคำแนะนำจากบุคคลเหล่านั้นถึงแม้ว่าไม่มีข้อผูกมัดให้ถือตามคำแนะนำของเขาเหล่านั้น แม้จะมีคำแนะนำเป็นเอกฉันท์ก็ตาม กระนั้นก็ดีผู้ใหญ่ไม่ควรกระทำตรงข้ามกับคำแนะนำ เป็นต้น เมื่อมีความเห็นพ้องต้องกันเว้นไว้แต่ว่ามีเหตุผลที่เหนือกว่าตามการตัดสินของผู้ใหญ่

วรรค 3 ทุกคนที่ต้องให้ความเห็นชอบหรือคำแนะนำมีหน้าที่ต้องให้ความเห็นอย่างจริงใจและหากเป็นเรื่องสำคัญต้องรักษาความลับอย่างรอบคอบและผู้ใหญ่สามารถเรียกร้องให้ถือความลับนั้น

มาตรา 128 ผู้ใดก็ตามที่ทำนิติกรรมอันก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นโดยผิดกฎหมายหรือกระทำการอื่นใดโดยมีเจตนาร้ายหรือทำผิดต่อผู้อื่น ต้องชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้น

 

ลักษณะ 8 อำนาจการปกครอง

มาตรา 129 วรรค 1 บุคคลที่ได้รับศีลบวช สามารถใช้อำนาจการปกครอง ตามข้อกำหนดของกฎหมายเป็นอำนาจที่พระเป็นเจ้าทรงสถาปนาขึ้นในพระ ศาสนจักร และยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าอำนาจตัดสิน

วรรค 2 คริสตชนที่เป็นฆราวาส สามารถมีส่วนร่วมในการใช้อำนาจนี้ ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 130 อำนาจปกครอง ตามปกติใช้สำหรับขอบเขตภายนอกแต่บางครั้งมีการใช้เฉพาะขอบเขตภายในเท่านั้นซึ่งผลจากการกระทำปรากฎในขอบเขตภายนอกด้วย แต่กฎหมายไม่รับรู้ ยกเว้นกฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น สำหรับบางกรณี

มาตรา 131 วรรค 1 อำนาจปกติของการปกครองเป็นอำนาจที่ผูกติดกับตำแหน่งโดยตัวบทกฎหมายเองอำนาจที่ได้รับมอบหมายเป็นอำนาจที่มอบให้แก่ตัวบุคคลเองแต่มิใช่มอบให้เพราะตำแหน่ง

วรรค 2 อำนาจปกติของการปกครองอาจเป็นอำนาจเฉพาะตน หรือในฐานะผู้แทน

วรรค 3 ผู้ที่อ้างว่าเป็นผู้ได้รับมอบอำนาจมีหน้าที่พิสูจน์การได้รับมอบอำนาจนั้น

มาตรา 132 วรรค 1 อำนาจให้ปฏิบัติเป็นประจำถูกควบคุมโดยข้อกำหนดเกี่ยวกับอำนาจที่ได้รับมอบ (delegated power)

วรรค 2 อย่างไรก็ตามเว้นไว้แต่ว่าได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้งในการมอบอำนาจให้ปฏิบัติหรือเว้นไว้แต่ว่าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจได้รับเลือกเพราะคุณสมบัติส่วนตัวของตนอำนาจให้ปฏิบัติเป็นประจำที่มอบให้แก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจจะไม่สิ้นสุดลงเมื่อผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจนั้นหมดอำนาจแม้ว่าเมื่อผู้นั้นเริ่มใช้อำนาจไปแล้วก็ตามแต่อำนาจให้ปฏิบัตินั้นจะตกไปยังใครไม่ว่าที่สืบตำแหน่งปกครองแทน

มาตรา 133 วรรค 1 ผู้ได้รับมอบอำนาจทำการเกินอำนาจที่ได้รับมอบไม่ว่าเกี่ยวกับเรื่องราวหรือบุคคลใดๆ ให้ถือว่าการกระทำนั้นเป็นโมฆะ

วรรค 2 ผู้ได้รับมอบอำนาจที่ปฏิบัติในเรื่องที่ได้รับมอบหมายในวิธีการอื่นนอกเหนือจากที่กำหนดในคำสั่งไม่ถือว่าได้กระทำการเกินขอบเขตของคำสั่งเว้นไว้แต่ว่าผู้มอบอำนาจได้ระบุวิธีการปฏิบัตินั้น เพื่อให้มีผลตามกฎหมาย

มาตรา 134 วรรค 1 ตำแหน่งผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจในทางกฎหมายนั้นนอกเหนือจากพระสันตะปาปาแล้วหมายถึงบรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑล และผู้อื่นซึ่งแม้จะเป็นผู้รักษาการชั่วคราวก็ตามได้รับมอบให้ปกครองพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นหรือหมู่คณะที่มีฐานะเทียบเท่าตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 368 รวมทั้งผู้ซึ่งมีอำนาจบริหารทั่วไปตามปกติ ในพระศาสนจักรและหมู่คณะดังกล่าวซึ่งได้แก่ อุปสังฆราช (Vucars general) และผู้ช่วยพระสังฆราช (episcopal vicar) และเช่นเดียวกันสำหรับสมาชิกของคณะ ยังหมายถึงอธิการใหญ่(major superiors) ของสถาบันนักบวชที่เป็นสมณะที่ขึ้นต่อสันตะสำนัก และของคณะชีวิตธรรมทูตที่เป็นสงฆ์ที่สังกัดกับสันตะสำนัก ผู้ซึ่งอย่างน้อยที่สุดมีอำนาจบริหารปกติ

วรรค 2 ตำแหน่งผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจประจำท้องถิ่นหมายถึงผู้ที่กล่าวไว้ในวรรค 1 ยกเว้น อธิการของสถาบันนักพรตและคณะชีวิตธรรมทูต (societies of aposstolic life)

วรรค 3 อะไรก็ตามที่ระบุว่าเป็นอำนาจบริหารของพระสังฆราชสังฆมณฑลก็หมายถึงพระสังฆราชสังฆมณฑลและผู้อื่นที่มีอำนาจเทียบเท่าตามมาตรา 381 วรรค 2 เท่านั้น โดยไม่รวมถึงอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราชเว้นไว้แต่ว่าเมื่อได้รับการมอบหมายเป็นพิเศษ

มาตรา 135 วรค 1 อำนาจปกครองจำแนกเป็นอำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการ

วรรค 2 ให้ใช้อำนาจนิติบัญญัติตามวิธีการที่ได้ระบุไว้ในกฎหมาย และผู้มีอำนาจนิติบัญญัติที่มีตำแหน่งต่ำกว่าผู้มีอำนาจสูงสุดในพระศาสนจักรไม่สามารถมอบอำนาจให้ผู้อื่นอย่างมีผลตามกฎหมายเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้งกฎหมายใดที่ขัดแย้งกับกฎหมายที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าจะไม่สามารถตราให้มีผลตามกฎหมายได้โดยผู้ตรากฎหมายที่อยู่ในระดับที่ต่ำกว่า

วรรค 3 ให้ใช้อำนาจตุลาการซึ่งเป็นของผู้พิพากษาหรือคณะผู้พิพากษาตามวิธีการที่ได้ระบุไว้ในกฎหมายและเป็นอำนาจที่ไม่สามารถมอบให้ทำแทนกันได้เว้นแต่ว่าเป็นการกระทำเพื่อเป็นการเตรียมการประกาศหรือการตัดสิน

วรรค 4 เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจบริหารนั้นให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตราต่างๆ ต่อไปนี้

มาตรา 136 บุคคลใด บุคคลหนึ่งสามารถใช้อำนาจบริหารกับผู้อยู่ใต้ปกครองได้แม้ว่าผู้ใช้อำนาจนั้นจะอยู่นอกเขตปกครองของตน และแม้ว่าผู้อยู่ใต้ปกครองอยู่นอกเขตปกครองของผู้นั้นก็ตามเว้นไว้แต่ว่าเป็นเรื่องแจ้งชัดเป็นอย่างอื่นจากธรรมชาติของเรื่องหรือจากข้อกำหนดของกฎหมายผู้นั้นยังสามารถใช้อำนาจนี้กับผู้เดินทางซึ่งขณะนั้นอยู่ในเขตปกครองของตนในเรื่องที่เกี่ยวกับการให้ประโยชน์หรือการบังคับใช้ไม่ว่ากฎหมายสากลหรือกฎหมายเฉพาะถิ่นที่พวกเขาต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 13 วรรค 2 ข้อ 2

มาตรา 137 วรรค 1 อำนาจบริหารปกติสามารถมอบให้ผู้อื่นทำการแทนได้ทั้งเฉพาะกรณี และทุกกรณีเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

วรรค 2 อำนาจบริหารที่สันตะสำนักมอบให้สามารถมอบต่อให้ผู้อื่นทำการแทนได้ไม่ว่าจะเป็นเฉพาะกรณี หรือทุกกรณี เว้นไว้แต่ว่าอำนาจทำการแทนได้มาเพราะคุณสมบัติส่วนตัวหรือเว้นไว้แต่ว่ามีการสั่งห้ามไว้อย่างชัดแจ้งมิให้มอบอำนาจต่อ

หากว่าได้รับมอบให้ใช้ได้ทุกกรณีก็สามารถมอบต่อได้เป็นกรณีถ้าหากว่าได้รับมอบให้ใช้เฉพาะกรณีหรือเฉพาะกรณีที่เจาะจงก็มอบต่อไม่ได้ยกเว้นผู้มอบอำนาจระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่ามอบต่อได้

วรรค 4 อำนาจที่ได้รับช่วงมาไม่สามารถมอบช่วงต่อไปอีก เว้นไว้แต่ว่าผู้มอบอำนาจ ระบุไว้อย่างชัดแจ้งว่ามอบต่อได้

มาตรา 138. อำนาจบริหารปกติและอำนาจที่ได้รับมอบแบบใช้ได้ทุกกรณีให้ตีความอย่างกว้างๆส่วนอำนาจอื่นทั้งหลายให้ตีความอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตามให้เข้าใจว่าผู้ที่ได้รับมอบอำนาจก็ได้รับมอบสิ่งอื่นที่จำเป็นในการใช้อำนาจนั้นด้วย

มาตรา 139 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นการที่บุคคลใดบุคคลหนึ่งเข้าหาผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจแม้ว่าผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจนั้นจะมีอำนาจ

วรรค 2 กระนั้นก็ตามผู้มีอำนาจต่ำกว่าก็ไม่ควรไปเกี่ยวข้องกับกรณีที่ได้ยื่นต่อผู้มีอำนาจสูงกว่าแล้ว ยกเว้นมีเหตุผลสำคัญ และเร่งด่วนซึ่งในกรณีเช่นนี้ผู้มีอำนาจต่ำกว่าควรแจ้งให้ผู้มีอำนาจสูงกว่าทราบทันที

มาตรา 140 วรรค 1 เมื่อมีการมอบอำนาจแก่หลายบุคคลแบบเป็นกลุ่ม (in solidum) เพื่อทำกิจการเดียวกัน บุคคลแรกที่ทำกิจการนั้นก็กันผู้อื่นมิให้ทำกิจการดังกล่าวเว้นไว้แต่ว่าต่อมาภายหลังผู้นั้นมีอุปสรรคขัดขวางหรือไม่ปรารถนาจะทำกิจการนั้นต่อไป

วรรค 2 เมื่อมีการมอบอำนาจให้หลายบุคคลทำการในลักษณะเป็นคณะทุกคนต้องดำเนินการตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 119 เว้นไว้แต่ว่าได้มีการระบุไว้ในคำสั่งให้เป็นอย่างอื่น

วรรค 3 อำนาจบริหารที่มอบให้แก่หลายบุคคลให้สันนิษฐานว่าเป็นการมอบอำนาจให้แบบเป็นกลุ่ม (in solidum)

มาตรา 141 หากมีหลายบุคคลได้รับมอบอำนาจต่อเนื่องกันเป็นลำดับ ผู้ได้รับมอบอำนาจก่อน ทั้งยังไม่ถูกเรียกอำนาจคืนควรเป็นผู้ปฏิบัติ

มาตรา 142 วรรค 1 อำนาจที่ได้รับมอบสิ้นสุดลง เมื่อปฏิบัติตามคำสั่งแล้ว ; เมื่อครบกำหนดเวลา หรือเมื่อปฏิบัติครบตามจำนวนกรณีที่มอบหมายให้เมื่อจุดหมายของการมอบอำนาจหมดไป ; เมื่อผู้มอบอำนาจได้เรียกอำนาจคืน และได้แจ้งการเรียกคืนนั้นแก่ผู้รับมอบอำนาจโดยตรงรวมทั้งเมื่อผู้รับมอบอำนาจได้สละสิทธิ์และผู้มอบอำนาจได้รับรู้และยอมรับการสละสิทธิ์นั้นแล้ว

วรรค 2 อย่างไรก็ตามการปฎิบัติตามอำนาจที่ได้รับมอบซึ่งเป็นการปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องภายใน (Internal forum) เท่านั้น ถ้าหากว่า ได้ปฏิบัติโดยมิได้ตั้งใจ หลังจากครบกำหนดเวลาไปแล้วให้ถือว่ามีผลตามกฎหมาย

มาตรา 143 วรรค 1อำนาจปกติที่ติดอยู่กับตำแหน่งจบสิ้นลงพร้อมกับการพ้นจากตำแหน่ง

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่า กฎหมายระบุไว้เป็นอย่างอื่น อำนาจปกติให้พักไว้ถ้าหากว่าการไล่ออกหรือการปลดจากตำแหน่งอยู่ระหว่างการอุทรณ์อย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือเมื่อการร้องเรียน

มาตรา 144 วรรค 1 หากเป็นความหลงผิดทั่วไปร่วมกันในเรื่องข้อเท็จจริงหรือเรื่องข้อกฎหมายเช่นเดียวกันความสงสัยที่มีมูลน่าเป็นไปได้เกี่ยวกับกฎหมายและข้อเท็จจริงพระศาสนจักรชดเชยอำนาจบริหารในการปกครองทั้งเกี่ยวกับเรื่องภายนอกและภายใน

วรรค 2 กฎเกณฑ์เดียวกันนี้ให้ใช้กับการใช้อำนาจให้ปฏิบัติตามที่ระบุไว้ในมาตรา 883,966 และ 1111 วรรค 1 ด้วย

 

ลักษณะ 9 ตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักร

มาตรา 145 วรรค 1 ตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรคือหน้าที่ใดๆ ที่ตั้งขึ้นโดยกฎพระเจ้าหรือกฎหมายพระศาสนจักรในลักษณะที่มั่นคงการปฎิบัติหน้าที่นี้เพื่อจุดประสงค์ฝ่ายจิต

วรรค 2 หน้าที่ และสิทธิเฉพาะของตำแหน่งหน้าที่แต่ละอย่างในพระศาสนจักร

 

หมวด 1 การแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักร

มาตรา 146 ตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรไม่สามารถได้มาอย่างถูกต้อง โดยปราศจากการแต่งตั้งตามกฎหมายพระศาสนจักร

มาตรา 147 การแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรเกิดขึ้นโดยการมอบให้อย่างอิสระของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรหรือโดยการแต่งตั้งจากผู้มีอำนาจเดียวกัน ในกรณีที่มีการเสนอก่อนการแต่งตั้ง หรือโดยการรับรอง หรือการยอมรับจากผู้มีอำนาจเดียวกัน ในกรณีที่มีการเลือกตั้งหรือร้องขอมาก่อนทหรือในที่สุดจากการเลือกตั้งปกติและการยอมรับจากผู้ที่ได้รับเลือกในกรณีที่การเลือกตั้งไม่ต้องมีการรับรอง

มาตรา 148 ผู้ซึ่งมีอำนาจแต่งตั้ง เปลี่ยนแปลงและยกเลิกตำแหน่งหน้าที่ ก็มีอำนาจในการแต่งตั้งหน้าที่ต่างๆนั้นด้วย เว้นไว้แต่ว่ากฏหมายได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 149 วรรค 1 บุคคลที่จะได้รับการแต่งตั้งให้รับตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรต้องเป็นผู้อยู่ในสหพันธ์ของพระศาสนจักร ทั้งเป็นผู้เหมาะสม กล่าวคือต้องมีคุณสมบัติต่างๆ ที่จำเป็นในการปฏิบัติหน้าที่นั้นตามกฎหมายสากลหรือตามกฎหมายเฉพาะถิ่น หรือตามกฎหมายของการก่อตั้งนั้น

วรรค 2 การแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรแก่ผู้ที่ขาดคุณสมบัติที่ต้องมีให้ถือเป็นโมฆะเฉพาะในกรณีที่คุณสมบัตินั้นได้มีการระบุไว้อย่างชัดแจ้งในกฎหมายสากลหรือกฎหมายเฉพาะถิ่นหรือกฎหมายของการก่อตั้งว่าจำเป็นต้องมีเพื่อให้มีผลตามกฎหมายมิฉะนั้นให้ถือว่าการแต่งตั้งนั้นมีผล แต่ก็สามารถเพิกถอนได้โดยคำสั่งของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจหรือโดยคำพิพากษาของศาลด้านบริหาร

วรรค 3 การแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่โดยติดสินบน (Simoniacal provision) ถือว่าเป็นโมฆะโดยกฎหมายเอง

มาตรา 150 ตำแหน่งหน้าที่ที่ควบติดกับการดูแลวิญญาณอย่างครบถ้วนที่ต้องมีศีลบรรพชาเป็นสงฆ์ในการปฏิบัติหน้าที่นี้ไม่สามารถมอบให้อย่างถูกต้องแก่ผู้ที่ยังมิได้รับศีลบรรพชาเป็นสงฆ์

มาตรา 151 การแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ที่ควบติดกับการดูแลวิญญาณ ต้องไม่ผลัดไปโดยปราศจากเหตุผลที่หนักแน่น

มาตรา 152 ต้องไม่มอบตำแหน่งหน้าที่ที่เข้าด้วยกันไม่ได้ 2อย่างหรือมากกว่านั้นแก่ผู้ใด กล่าวคือตำแหน่งหน้าที่ที่ไม่สามารถปฏิบัติได้ในเวลาเดียวกัน โดยบุคคลเดียวกัน

มาตรา 153 วรรค 1 การมอบตำแหน่งหน้าที่ที่ยังไม่ว่างลงในทางกฎหมายเป็นโมฆะในตัวเอง ทั้งไม่กลับมาเป็นถูกต้องโดยการว่างลงในเวลาต่อมา

วรรค 2 แต่หากเป็นตำแหน่งหน้าที่ที่กฎหมายกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดของการปฏิบัติหน้าที่ไว้ ก็สามารถทำการแต่งตั้งได้ภายใน 6 เดือนก่อนการสิ้นสุดวาระลงและให้มีผลตั้งแต่วันที่ตำแหน่งนั้นว่างลง

วรรค 3 การสัญญาให้ตำแหน่งหน้าที่ ไม่ว่าจะโดยผู้ใดก็ตามมิได้มีผลในทางกฎหมาย

มาตรา 154 ตำแหน่งหน้าที่ที่ว่างลงตามกฎหมายซึ่งอาจยังมีผู้ครอบครองโดยผิดกฎหมายสามารถมอบให้ได้ ขอแต่ให้มีการประกาศอย่างถูกต้องว่าการครอบครองนั้นไม่ชอบด้วยกฎหมายและต้องมีการกล่าวถึงการประกาศนี้ในเอกสารการแต่งตั้ง

มาตรา 155 บุคคลผู้มอบตำแหน่งหน้าที่แทนผู้ที่ละเลยหน้าที่หรือมีข้อขัดขวางจะอ้างเหตุนี้ว่าตนเป็นผู้มีอำนาจเหนือผู้ที่ได้รับมอบตำแหน่งหน้าที่นั้นไม่ได้แต่สถานะทางกฎหมายของผู้ได้รับมอบอำนาจนั้นให้ถือเหมือนกับได้รับการแต่งตั้งตามกฎเกณฑ์ปกติของกฎหมาย

มาตรา 156. การแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษร

ส่วน 1 การแต่งตั้งอย่างเสรี

มาตรา 157 เว้นไว้แต่ว่า กฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้งเป็นอำนาจของพระสังฆราชสังฆมณฑลในการแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ต่างๆ ของพระศาสนจักรในเขตปกครองของตนโดยเสรี

ส่วนที่ 2 การเสนอชื่อ

มาตรา 158 วรรค 1 การเสนอชื่อผู้รับตำแหน่งในพระศาสนจักร ต้องเสนอโดยผู้มีสิทธิ์ในการเสนอชื่อ ต่อผู้มีอำนาจที่มีสิทธิ์ในการแต่งตั้งบุคคลในตำแหน่งนั้น และยิ่งกว่านั้น การเสนอชื่อต้องกระทำภายใน 3 เดือน นับจากวันที่ได้รับแจ้งว่าตำแหน่งว่างลง เว้นไว้แต่ว่ามีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

วรรค 2 หากสิทธิการเสนอชื่อผู้รับตำแหน่ง เป็นสิทธิของคณะหรือกลุ่มบุคคลใด บุคคลที่จะถูกเสนอชื่อให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรา 165-179

มาตรา 159 อย่าเสนอชื่อผู้ไม่เต็มใจรับตำแหน่ง เพราะเหตุนี้เมื่อได้สอบถามความสมัครใจของผู้ที่จะถูกเสนอชื่อแล้ว สามารถเสนอชื่อเขาได้ เว้นไว้แต่ว่าผู้นั้นได้ปฏิเสธภายใน 8 วันทำการ

มาตรา 160 วรรค 1 ผู้มีสิทธิในการเสนอชื่อผู้รับตำแหน่ง สามารถเสนอชื่อผู้รับเลือกหนึ่งคนหรือหลายคน โดยจะเสนอคราวเดียวกันหรือเสนอเป็นลำดับก็ได้

วรรค 2 ห้ามเสนอชื่อตนเอง อย่างไรก็ตาม คณะหรือกลุ่มบุคคลสามารถเสนอชื่อสมาชิกในกลุ่มของตนได้

มาตรา 161 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดเป็นอย่างอื่น ผู้ที่ได้เสนอชื่อผู้ใดผู้หนึ่งไปแล้ว ต่อมาพบว่าเป็นผู้ไม่เหมาะสม สามารถเสนอชื่อผู้อื่นได้อีกเพียงครั้งเดียว และต้องกระทำภายในหนึ่งเดือน

วรรค 2 หากผู้ได้รับการเสนอชื่อปฎิเสธหรือถึวแก่กรรมก่อนการรับตำแหน่ง ผู้มีสิทธิเสนอชื่อสามารถใช้สิทธิได้อีกภายใน 1 เดือน หลังจากที่ได้รับแจ้งถึงการปฎิเสธหรือการถึงแก่กรรมนั้น

มาตรา 162 ผู้ที่มิได้เสนอชื่อในเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 158 วรรค 1 และมาตรา 161 หรือได้เสนอชื่อผู้ที่มีคุณสมบัติไม่เหมาะสมไปแล้ว 2 ครั้ง จะหมดสิทธิในการเสนอชื่อในครั้งนั้น และผู้มีอำนาจที่มีสิทธิในการแต่งตั้งก็สามารถแต่งตั้งอย่างอิสระในตำแหน่งที่ว่างลง อย่างไรก็ตามโดยความเห็นชอบจากผู้ใหญ่ของผู้ได้รับการแต่งตั้ง

มาตรา 163 ผู้ใหญ่ที่มีอำนาจตามกฎหมายในการแต่งตั้งบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อ ต้องแต่งตั้งผู้นั้นผู้ถูกเสนอชื่ออย่างถูกต้องการกฏหมาย และเป็นผู้ที่เห็นว่าเหมาะสมและยอมับตำแหน่งหน้าที่นั้น แต่ถ้ามีการเสนอชื่อผู้เข้ารับตำแหน่งโดยถูกต้องตามกฎหมายหลายคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ผู้มีอำนาจต้องแต่งตั้งคนหนึ่งในพวกเขา

ส่วน 3 การเลือกตั้ง

มาตรา 164 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ในการเลือกตั้งตามกฎหมายพระศาสนจักร ให้ถือตามข้อกำหนดตามมาตราต่อไปนี้

มาตรา 165 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายหรือกฎระเบียบอันชอบของคณะหรือของกลุ่มกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นหากคณะหรือกลุ่มบุคคลมีสิทธิ์เลือกบุคคลเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ห้ามเลื่อนการเลือกตั้งเกินกว่า 3 เดือนนับจากเวลาที่ได้รับแจ้งถึงการว่างลงของตำแหน่งหน้าที่นั้นๆหากการเลือกตั้งมิได้มีขึ้นภายในระยะเวลาดังกล่าวแล้วไซร้ผู้ทรงอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรที่มีสิทธิ์รับรองการเลือกตั้งหรือที่มีสิทธิ์รองลงมาในการสรรหาบุคคลเข้าสืบตำแหน่งหน้าที่นั้นก็สามารถจัดหาบุคคลเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ที่ว่างนั้นได้โดยเสรี

มาตรา 166 วรรค 1ประธานของคณะหรือกลุ่มจะต้องเรียกสมาชิกทุกคนของคณะหรือของกลุ่มมาประชุมการแจ้งการประชุมที่หากต้องแจ้งเป็นรายบุคคลจะมีผลก็ต่อเมื่อมีการแจ้งไปยังสถานที่ที่เป็นภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาหรือที่อยู่ปัจจุบันของสมาชิก

วรรค 2 หากสมาชิกคนใดคนหนึ่งที่ต้องถูกเรียกไม่ได้รับเรียกให้เข้าประชุมอันเป็นเหตุให้เขาขาด การเลือกตั้งนั้นก็มีผล อย่างไรก็ตามหากผู้ถูกละเลยร้องขอโดยมีข้อพิสูจน์ว่าเขาไม่ได้รับเรียกและทำให้ขาดประชุมการเลือกตั้งนั้นแม้ได้รับการรับรองแล้วก็ให้ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจต้องประกาศยกเลิกการเลือกตั้งนั้นโดยมีเงื่อนไขว่าการร้องเรียนนั้นต้องกระทำตามกฎหมายอย่างน้อยภายใน 3 วันนับแต่ได้รับการแจ้งผลการเลือกตั้ง

วรรค 3 หากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งไม่ได้รับเรียกเข้าประชุมเกินกว่า 1 ใน 3 ของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง การเลือกตั้งนั้นถือเป็นโมฆะตามกฎหมาย เว้นไว้แต่ว่าผู้ที่ไม่ได้รับเรียกนั้นที่จริงอยู่ในที่ประชุมการเลือกตั้ง

มาตรา 167 วรรค 1 เมื่อมีการเรียกประชุมเลือกตั้งโดยถูกต้องตามกฎหมายแล้วผู้ที่เข้าประชุมในวันเลือกตั้งและในสถานที่ที่กำหนดไว้ในหมายเรียกประชุมมีสิทธิ์ในการลงคะแนน ห้ามใช้สิทธิ์ลงคะแนนเสียงทางไปรษณีย์หรือโดยตัวแทนเว้นไว้แต่ว่ากฎระเบียบกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างถูกต้อง

วรรค 2 หากผู้ออกเสียงเลือกตั้งผู้ใดผู้หนึ่งอยู่ในสถานที่ทำการเลือกตั้งแต่ไม่สามารถออกเสียงเลือกตั้งได้เพราะการเจ็บป่วยให้กรรมการเลือกตั้งรับบัตรลงคะแนนที่เป็นลายลักษณ์อักษรจากบุคคลนั้น

มาตรา 168 ถึงแม้ว่าบุคคลหนึ่งมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในนามของตนเองตามตำแหน่งหลายตำแหน่งบุคคลนั้นก็สามารถลงคะแนนเสียงได้เพียงเสียงเดียวเท่านั้น

มาตรา 169 เพื่อให้การเลือกตั้งมีผล ห้ามรับบุคคลที่มิใช่สมาชิกของคณะหรือของกลุ่มมาลงคะแนน

มาตรา 170 การเลือกตั้งที่ขาดอิสรภาพอย่างใดอย่างหนึ่งโดยแท้จริงนั้น เป็นโมฆะโดยกฎหมายเอง

มาตรา 171 วรรค 1 บุคคลต่อไปนี้ไม่มีคุณสมบัติลงคะแนนเสียง

1.       ผู้ไม่สามารถทำการเยี่ยงมนุษย์ (Human act)

2.       ผู้ไม่มีสิทธิ์ลงคะแนน

3.       ผู้ต้องโทษให้ขาดจากพระศาสนจักร ไม่ว่าโดยคำตัดสินของศาลหรือโดยกฤษฎีกาที่กำหนดโทษหรือประกาศโทษแล้ว

4.       ผู้ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไปว่าแยกตัวออกจากสหพันธ์ของพระศาสนจักร

วรรค 2 หากบุคคลใดตามที่กล่าวมาข้างต้นนี้ออกเสียงเลือกตั้งให้ถือว่าคะแนนเสียงนั้นไม่มีผล (null) แต่การเลือกตั้งนั้นยังมีผลเว้นแต่เห็นชัดแจ้งว่าเมื่อเอาคะแนนเสียงของผู้เลือกตั้งนั้นออกไปแล้วทำให้ผู้ที่ได้รับเลือกมีคะแนนเสียงน้อยกว่าที่กำหนดไว้

มาตรา 172 วรรค 1 เพื่อให้คะแนนเสียงแต่ละเสียงมีผลต้อง

1.       อิสระ; ดังนั้นคะแนนเสียงนั้นเป็นโมฆะหากว่าผู้ลงคะแนนเสียงถูกบีบบังคับไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม โดยความกลัวอย่างรุนแรงหรือโดยกลอุบายให้ลงคะแนนแก่บุคคลหนึ่งโดยเฉพาะหรือแก่บุคคลหลายคนแบบแยกกันทีละคน

2.       ลับ แน่นอน เด็ดขาด เจาะจง

วรรค 2 เงื่อนไขต่างๆ ที่ติดเข้ามา ในการลงคะแนนเสียงก่อนการเลือกตั้ง ให้ถือว่าไม่มีเงื่อนไขใดติดอยู่

มาตรา 173 วรรค 1 ก่อนการเลือกตั้งจะเริ่มขึ้น ให้กำหนดผู้นับคะแนนอย่างน้อย 2 คนจากสมาชิกของคณะหรือของกลุ่ม

วรรค 2 ผู้ตรวจนับคะแนนต้องรวบรวมบัตรลงคะแนนและต้องตรวจดูจำนวนบัตรลงคะแนนต่อหน้าประธานการเลือกตั้งว่าบัตรลงคะแนนตรงกับจำนวนของผู้ออกเสียงเลือกตั้ง อ่านบัตรลงคะแนนนั้นๆและประกาศอย่างเปิดเผยว่า แต่ละคนได้รับคะแนนเท่าใด

วรรค 3 หากจำนวนบัตรคะแนนมีมากกว่าจำนวนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งให้ถือว่าการเลือกตั้งนั้นไม่มีผล

วรรค 4 ให้ผู้ทำหน้าที่เลขานุการบันทึกการดำเนินงานทั้งหมดของการเลือกตั้งอย่างละเอียดถี่ถ้วน และอย่างน้อยต้องให้เลขานุการคนเดียวกันประธานการเลือกตั้งและผู้ตรวจนับคะแนนลงนามรับรองบันทึกแล้วให้เก็บรักษาไว้ในที่เก็บเอกสารของคณะ

มาตรา 174 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายหรือกฎระเบียบกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นการเลือกตั้งทำด้วยวิธีประนีประนอมก็ได้ขอแต่ว่าผู้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งยินยอมเป็นเอกฉันท์และเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรว่าได้โอนสิทธิการเลือกตั้งในครั้งนั้นแก่บุคคลหนึ่งหรือหลายคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ไม่ว่าจะมาจากสมาชิกเองหรือจากภายนอกก็ได้บุคคลเหล่านี้ออกเสียงเลือกตั้งในนามของทุกคนตามอำนาจปฏิบัติที่ได้รับมา

วรรค 2 ในกรณีที่คณะหรือกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่เป็นสมณะเท่านั้นบุคคลที่ได้รับสิทธิการเลือกตั้งแทนต้องเป็นผู้ได้รับศีลบรรพชา มิฉะนั้นการเลือกตั้งถือเป็นโมฆะ

วรรค 3 ผู้รับสิทธิ์เลือกตั้งแทนต้องถือข้อกำหนดแห่งกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งและเพื่อให้การเลือกตั้งมีผลพวกเขาต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขทุกประการที่ติดมากับการตกลงประนีประนอมที่ไม่ขัดต่อกฎหมาย อย่างไรก็ตามเงื่อนไขที่ขัดต่อกฎหมายให้ถือว่าไม่มีเงื่อนไขใดติดมาเลย

มาตรา 175 การตกลงประนีประนอมสิ้นสุดลง และสิทธิการลงคะแนนกลับคืนสู่ผู้ประนีประนอม

1.       คณะหรือกลุ่ม เรียกสิทธินั้นคืนก่อนเริ่มลงคะแนน

2.       มิได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งในการตกลงประนีประนอม

3.       การเลือกตั้งที่สำเร็จลงแล้ว แต่ไม่มีผล

มาตรา 176 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายหรือกฎระเบียบกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นบุคคลผู้ซึ่งได้รับคะแนนเสียงครบตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 119 ข้อ 1 ถือว่าเป็นผู้ได้รับเลือกและประธานของคณะหรือของกลุ่มต้องประกาศบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งนั้น

มาตรา 177 วรรค 1 ผลการเลือกตั้งต้องแจ้งแก่ผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งทันทีซึ่งจะต้องตอบภายในเวลา 8 วันทำการ หลังจากวันที่ได้รับแจ้งผลการเลือกตั้งแก่ประธานของคณะหรือของกลุ่มว่าจะรับหรือไม่รับผลการเลือกตั้งนั้นมิฉะนั้นให้ถือว่าการเลือกตั้งนั้นตกไป

วรรค 2 ถ้าบุคคลที่ได้รับเลือกตั้งไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งผู้นั้นจะเสียสิทธิ์อันเนื่องมาจากการเลือกตั้งนั้นทุกประการแม้ว่าจะยอมรับในภายหลังสิทธินั้นก็หาได้กลับคืนมาไม่แต่บุคคลผู้นั้นสามารถได้รับเลือกอีกส่วนคณะหรือกลุ่มจะต้องจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ภายในหนึ่งเดือนนับจากวันที่ได้รับแจ้งการปฏิเสธผลการเลือกตั้งนั้น

มาตรา 178 เมื่อบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งยอมรับการเลือกตั้งนั้นก็มีสิทธิ์ในตำแหน่งที่ได้รับเลือกอย่างสมบูรณ์ทันที หากผลการเลือกตั้งนั้นไม่ต้องการการรับรองมิฉะนั้นผู้ได้รับเลือกตั้งได้รับแต่สิทธิ์ที่จะรับตำแหน่งเท่านั้น

มาตรา 179 วรรค 1 หากผลการเลือกตั้งนั้นเรียกร้องการรับรองผู้ที่ได้รับเลือกตั้งต้องขอด้วยตนเองหรือโดยบุคคลอื่นให้ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจรับรองผลการเลือกตั้งภายในเวลา 8 วันทำการนับจากวันที่ยอมรับผลการเลือกตั้งมิฉะนั้นผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งจะถูกเพิกถอนสิทธิ์ทุกอย่างเว้นแต่พิสูจน์ได้ว่ามีอุปสรรคที่สมเหตุสมผลขัดขวางมิให้ขอการรับรองผลการเลือกตั้งนั้น

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจไม่สามารถปฏิเสธการรับรองถ้าปรากฎว่าผู้ได้รับการเลือกตั้งมีคุณสมบัติที่เหมาะสมตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 149 วรรค 1 และการเลือกตั้งก็ได้กระทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

วรรค 3 การรับรองนั้น ต้องกระทำเป็นลายลักษณ์อักษร

วรรค 4 ก่อนได้รับแจ้งการรับรองห้ามผู้ได้รับเลือกเกี่ยวข้องกับการบริหารงานในตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ่ายจิต หรือเรื่องฝ่ายโลกก็ตามและกิจการใดใดที่บังเอิญได้กระทำลงไปให้ถือว่าไม่มีผล

วรรค 5 เมื่อได้รับแจ้งการรับรองแล้ว ผู้ได้รับเลือกตั้งก็รับตำแหน่งหน้าที่โดยสมบูรณ์ เว้นแต่กฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

ส่วนที่ 4 การร้องขอ

มาตรา 180 วรรค 1 หากมีข้อขัดขวางตามกฎหมายพระศาสนจักรซึ่งสามารถยกเว้นให้ได้และเคยยกเว้นให้ขัดขวางการเลือกบุคคลซึ่งผู้ลงคะแนนเสียงเชื่อว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมและชอบมากกว่าคนอื่นผู้ลงคะแนนเสียงสามารถลงคะแนนเสียงร้องขอบุคคลนั้นต่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจได้เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ผู้รับสิทธิ์เลือกตั้งแทนแบบประนีประนอม ไม่สามารถทำการร้องขอได้เว้นแต่มีระบุอย่างชัดแจ้งในเอกสารการตกลงประนีประนอม

มาตรา 181 วรรค 1การร้องขอจะมีผลต้องมีคะแนนเสียงอย่างน้อย 2 ใน 3

วรรค 2 การลงคะแนนเสียงสำหรับการร้องขอ ต้องแสดงออกมาเป็นถ้อยคำข้าพเจ้าร้องขอหรือที่มีความหมายคล้ายคลึง สูตรถ้อยคำข้าพเจ้าเลือกหรือข้าพเจ้าร้องขอหรือถ้อยคำที่มีความหมายคล้ายคลึงกันใช้ได้ในการเลือกตั้งถ้าไม่มีข้อขัดขวางมิฉะนั้นสูตรนี้ก็ใช้ได้สำหรับการร้องขอ

มาตรา 182 วรรค 1 ภายใน 8 วันทำการประธานการเลือกตั้งต้องส่งการร้องขอไปยังผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจที่มีหน้าที่รับรองการเลือกตั้งและมีอำนาจให้การยกเว้นจากข้อขัดขวางหรือว่าถ้าผู้นั้นไม่มีอำนาจนี้ ก็ให้ขอต่อผู้มีอำนาจสูงกว่าหากไม่จำเป็นต้องมีการรับรองการร้องขอจะต้องส่งไปยังผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจเพื่อขอการยกเว้น

วรรค 2 หากการร้องขอมิได้ส่งไปภายในเวลาที่กำหนดให้ถือว่าการร้องขอนั้นไม่มีผลโดยอัตโนมัติและคณะหรือกลุ่มจะถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือการร้องขอสำหรับครั้งนี้เว้นแต่พิสูจน์ได้ว่าประธานถูกขัดขวางมิให้ส่งการร้องขอโดยมีอุปสรรคที่สมเหตุสมผลหรือไม่ส่งภายในเวลากำหนดเนื่องด้วยกลอุบาย หรือการละเลย

วรรค 3 ผู้ที่ได้รับการร้องขอ หาได้มาซึ่งสิทธิใดใดจากการร้องขอนั้นไม่ ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจไม่จำต้องยอมรับการร้องขอดังกล่าว

วรรค 4 เมื่อส่งการร้องขอไปยังผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจแล้วผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งไม่สามารถเรียกคืนมาซึ่งการร้องขอนั้นได้เว้นไว้แต่ว่าผู้ใหญ่ผู้นั้นยินยอม

มาตรา 183 วรรค 1 หากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจไม่ยอมรับการร้องขอ สิทธิการเลือกตั้งกลับสู่คณะหรือกลุ่ม

วรรค 2 แต่หากการร้องขอได้รับการยอมรับก็ต้องแจ้งให้ผู้ได้รับการร้องขอทราบ ซึ่งต้องตอบรับตามกฎเกณฑ์มาตรา 177 วรรค 1

วรรค 3 บุคคลซึ่งยอมรับการร้องขอที่ได้รับการอนุมัติแล้วได้รับตำแหน่งหน้าที่โดยสมบูรณ์ทันที

 

หมวด 2 การพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักร

มาตรา 184 วรรค 1 ตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรจะสิ้นสุดลงโดยการครบวาระตามกำหนดโดยการครบอายุตามกฎหมายกำหนด โดยการลาออก โดยการโยกย้ายโดยการปลดและโดยการไล่ออก (เพิกถอนสิทธิ์)

วรรค 2 ตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรไม่สูญสิ้นไปอันเนื่องมาจากการสิ้นสุดวาระไม่ว่าวิธีใดใดของผู้ทรงอำนาจที่เป็นผู้มอบตำแหน่งให้เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 3 ทันทีที่การสูญเสียตำแหน่งมีผล ต้องแจ้งให้ทุกคนที่มีสิทธิ์ใดๆ ในการจัดสรรตำแหน่งนั้นทราบโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นได้

มาตรา 185 ผู้ที่พ้นจากตำแหน่งหน้าที่อันเนื่องมาจากอายุหรือโดยการลาออกที่มีการยอมรับแล้ว อาจได้รับมอบตำแหน่ง กิติคุณ (emeritus)

มาตรา 186 การพ้นจากตำแหน่งหน้าที่โดยครบวาระที่กำหนด หรือครบอายุจะมีผลเฉพาะเมื่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจได้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรเท่านั้น

 

ส่วน 1 การลาออก

มาตรา 187 บุคคลใดก็ตามที่มีสติสัมปชัญญะสามารถลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ทางพระศาสนจักรได้ เมื่อมีเหตุผลอันสมควร

มาตรา 188 การลาออกเพราะความกลัวอย่างรุนแรงซึ่งเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นเพราะความอยุติธรรม หรือเพราะกลอุบายหรือเพราะเข้าใจผิดในข้อสำคัญ หรือเพราะติดสินบนให้ถือเป็นโมฆะตามกฎหมายเอง

มาตรา 189 วรรค 1 เพื่อให้การลาออกมีผลไม่ว่าจะเป็นการลาออกที่ต้องการยอมรับหรือไม่ก็ตามต้องยื่นใบลาออกต่อผู้มีอำนาจที่รับผิดชอบในการแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่นั้นและต้องยื่นใบลานั้นเป็นลายลักษณ์อักษร หรือด้วยวาจาต่อหน้าพยานสองคน

วรรค 2 ผู้มีอำนาจต้องไม่รับการลาออกที่มิได้มีเหตุผลอันควรและสมเหตุสมผล

วรรค 3 การลาออกที่ต้องมีการยอมรับจะไม่มีผลใดๆหากมิได้มีการยอมรับภายใน 3 เดือนส่วนการลาออกที่ไม่ต้องการการยอมรับจะมีผลเมื่อผู้ลาออกแจ้งให้ทราบตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

วรรค 4 ผู้ลาออกสามารถขอถอนการลาออกได้ตราบที่การลาออกนั้นยังไม่เป็นผลเมื่อการลาออกเป็นผลแล้วก็ไม่สามารถถอนการขอลาออกได้แต่บุคคลที่ลาออกนั้นสามารถรับตำแหน่งหน้าที่ได้ในตำแหน่งอื่น

ส่วน 2 การโยกย้าย

มาตรา 190 วรรค 1การโยกย้ายสามารถกระทำได้เฉพาะโดยบุคคลผู้ซึ่งมีสิทธิจัดแต่งตั้งทั้งตำแหน่งหน้าที่ที่สูญเสียไปและตำแหน่งหน้าที่ที่จะมอบให้

วรรค 2 หากการโยกย้ายซึ่งทำให้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ไม่เต็มใจต้องมีสาเหตุที่หนักแน่นยิ่งกว่านั้นต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้โดยคงไว้เสมอซึ่งสิทธิในการชี้แจงเหตุผลคัดค้านการโยกย้ายนั้น

วรรค 3 เพื่อให้การโยกย้ายเกิดผลจะต้องมีการแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 191 วรรค 1 ในการโยกย้ายตำแหน่งหน้าที่เดิมว่างลงเมื่อมีการเข้าครองตำแหน่งใหม่อย่างเป็นทางการเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายหรือผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ผู้ได้รับการโยกย้าย ยังคงรับค่าตอบแทนตามตำแหน่งหน้าที่เดิม จนกว่าจะเข้ารับตำแหน่งหน้าที่ใหม่อย่างเป็นทางการ

ส่วน 3 การปลดออก

มาตรา 192 ใครก็ตาม ถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่โดยคำสั่งที่ออกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจโดยคงไว้ซึ่งสิทธิที่อาจได้มาตามหนังสือสัญญาหรือโดยกฎหมายเองตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 194

มาตรา 193 วรรค 1 ผู้ที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่โดยไม่จำกัดระยะเวลาไม่สามารถถูกปลดจากตำแหน่งหน้าที่ได้ยกเว้นมีเหตุผลอันหนักและต้องดำเนินตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด

วรรค 2 ให้ถือหลักเกณฑ์เดียวกันในกรณีที่จะปลดบุคคลที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่อันมีเวลากำหนดก่อนครบวาระโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 624 วรรค 3

วรรค 3 ผู้ที่ได้รับตำแหน่งหน้าที่เพราะดุลยพินิจของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจตามข้อกำหนดของกฎหมาย บุคคลนั้นสามารถถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ได้ด้วยเหตุอันชอบตามการวินิจฉัยของผู้มีอำนาจคนเดียวกัน

วรรค 4 คำสั่งปลดออก มีผลต่อเมื่อมีการแจ้งให้ทราบเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 194 วรรค 1 ให้ถือว่าบุคคลต่อไปนี้ถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักรโดยกฎหมายเอง

1.       ผู้ที่สูญเสียสถานภาพสมณะ

2.       ผู้ที่ละทิ้งความเชื่อคาทอลิกหรือแยกตัวออกจากสหพันธ์ของพระศาสนจักรอย่างเปิดเผย

3.       สมณะที่ฝืนแต่งงาน แม้เพียงตามกฎหมายบ้านเมืองก็ตาม

วรรค 2 การปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ ที่กล่าวถึงใน 2 และ 3จะบังคับได้ก็ต่อเมื่อปรากฎชัดแจ้งจากการประกาศของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจเท่านั้น

มาตรา 195 หากบุคคลที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่อันเป็นแหล่งที่มาของค่าครองชีพโดยที่มิได้เป็นการปลดออกด้วยตัวบทกฎหมายเองแต่เป็นการปลดออกตามคำสั่งของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจผู้มีอำนาจนั้นจะต้องจัดให้มีค่าครองชีพสำหรับระยะเวลาอันควรเว้นแต่จะมีการจัดการไว้เป็นอย่างอื่น

ส่วน 4 การไล่ออก

มาตรา 196 วรรค 1 การไล่ออกจากตำแหน่งหน้าที่ อันเป็นการลงโทษเพราะความผิด กระทำได้ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเท่านั้น

วรรค 2 การไล่ออก มีผลตามข้อกำหนดแห่งมาตราอันว่าด้วย กฎหมายอาญา

 

ลักษณะ 10 สิทธิครอบครอง

มาตรา 197 พระศาสนจักรยอมรับสิทธิครอบครองเป็นวิธีได้มาหรือเสียไปซึ่งสิทธิของบุคคลหรือเป็นวิธีให้หลุดพ้นจากพันธะต่างๆ ดังที่กำหนดไว้ในกฎหมายบ้านเมืองของแต่ละชาติโดยคงไว้ซึ่งข้อยกเว้นต่างๆ ที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราต่างๆของประมวลกฎหมายนี้

มาตรา 198 สิทธิครอบครองใดๆ จะไม่เป็นผล ถ้าไม่ตั้งบนฐานของความสุจริตใจไม่เพียงแต่เวลาเริ่มต้นครอบครอง แต่ตลอดระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อจะได้สิทธิครอบครองนั้น โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1362

มาตรา 199 สิ่งต่อไปนี้ไม่อยู่ในข่ายของสิทธิครองครอง

1.       สิทธิ และพันธะที่มาจากกฎของพระเจ้า ทั้งที่เป็นกฎธรรมชาติหรือที่บัญญัติขึ้น

2.       สิทธิที่สามารถได้มาโดยทางอภิสิทธิ์จากสันตะสำนักเท่านั้น

3.       สิทธิ และพันธะ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อชีวิตฝ่ายจิตของคริสตชน

4.       เขตแดนที่แน่ชัด และไม่เป็นที่สงสัยของดินแดนของพระศาสนจักร

5.       เงินทำบุญมิสซา และภาระถวายมิสซา

6.       การแต่งตั้งตำแหน่งหน้าที่ในพระศาสนจักร ซึ่งเรียกร้อง การใช้อำนาจศีลบรรพชาในการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

7.       สิทธิเยี่ยมเยียน และพันธะต้องนบนอบชนิดที่คริสตชนไม่สามารถได้รับการเยี่ยมเยียนจากผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรคนใดเลย และไม่ต้องขึ้นต่ออำนาจใดเลย

 

ลักษณะ 11 การคำนวณเวลา

มาตรา 200 หากกฎหมายมิได้กำหนดไว้อย่างชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น ให้คำนวณเวลาตามกฎเกณฑ์ของมาตราต่อไปนี้

มาตรา 201 วรรค 1 เวลาต่อเนื่อง” (Tempus Continuum) นั้นให้เข้าใจไม่มีการขาดตอนใดๆ

วรรค 2 เวลาทำการ” (Tempus Avitale) นั้นให้เข้าใจว่าเป็นเวลาที่บุคคลหนึ่งต้องใช้สิทธิหรือรักษาสิทธิของตนแต่ไม่นับเวลาสำหรับผู้ไม่รู้สิทธิของตน หรือไม่สามารถกระทำการได้

มาตรา 202 วรรค 1 ในทางกฎหมาย วันหมายถึงระยะเวลาที่ต่อเนื่องกัน 24 ชั่วโมงและให้เริ่มนับตั้งแต่เที่ยงคืนเว้นแต่มีการระบุไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง หนึ่งสัปดาห์คือระยะเวลา 7 วัน หนึ่งเดือนคือระยะเวลา 30 วัน และหนึ่งปีคือระยะเวลา 365 วันเว้นไว้แต่ว่ามีระบุให้ใช้เดือนและปีตามที่ ปรากฎอยู่ในปฏิทิน

วรรค 2 หากเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่องกัน เดือนและปีให้หมายถึงเดือน และปีตามปฏิทินเสมอไป

มาตรา 203 วรรค 1 วันแรกไม่นับเข้าในระยะเวลาเว้นไว้แต่ว่าการเริ่มต้นนับตรงกับการเริ่มต้นของวันหรือเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่ามีข้อกำหนดเป็นตรงข้ามวันสุดท้ายให้นับรวมเข้ากับระยะเวลา ถ้าเวลาทั้งหมดประกอบด้วยหนึ่งเดือนหรือหลายเดือนหนึ่งปีหรือหลายปี หนึ่งสัปดาห์ หรือหลายสัปดาห์เวลานั้นสิ้นสุดลง เมื่อสิ้นสุดวันสุดท้ายของตัวเลขเดียวกันถ้าเวลานับเป็นหนึ่งเดือนหรือมากกว่า หนึ่งปีหรือมากกว่าหนึ่งสัปดาห์หรือมากกว่า หรือถ้าเดือนนั้นไม่มีวันที่เป็นตัวเลขเดียวกันระยะเวลาจะสิ้นสุดเมื่อจบวันสุดท้ายของเดือนนั้น

บรรพ 2 ประชากรของพระเจ้า

ภาค 1 คริสตชน

มาตรา 204 วรรค 1 คริสตชนโดยเหตุที่ถูกผนึกเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ทางศีลล้างบาปรวมกันเป็นประชากรของพระเป็นเจ้า เนื่องจากพวกเขามีส่วนร่วมในหน้าที่สงฆ์หน้าที่ประกาศก หน้าที่กษัตริย์ของพระคริสต์ ตามรูปแบบของตนเองด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้รับเรียกให้ปฏิบัติพันธกิจซึ่งพระเป็นเจ้าได้มอบหมายให้พระศาสนจักรปฏิบัติในโลกตามสภาพเฉพาะของแต่ละคน

วรรค 2 พระศาสนจักรที่ก่อตั้งขึ้นและมีโครงสร้างเป็นสังคมหนึ่งในโลกนี้ดำรงอยู่ในพระศาสนจักรคาทอลิกซึ่งปกครองโดยผู้สืบตำแหน่งนักบุญเปโตร และบรรดาพระสังฆราชที่มีสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ท่าน

มาตรา 205 ผู้ที่อยู่ในสหพันธ์พระศาสนจักรคาทอลิกในโลกนี้โดยสมบูรณ์ คือ ผู้ที่ได้รับศีลล้างบาปที่ได้เชื่อมผนึกกับพระคริสต์ ในโครงสร้างที่แลเห็นได้ โดยสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อ ศีลศักดิ์สิทธิ์ และการปกครองของพระศาสนจักร

มาตรา 206 วรรค 1 คริสตชนสำรองมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรในลักษณะพิเศษกล่าวคือ โดยแรงดลใจของพระจิตเจ้าพวกเขาขอสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพระศาสนจักรด้วยความสมัครใจอย่างเปิดเผย และเพราะฉะนั้นด้วยความสมัครใจเดียวกันนี้และด้วยการดำรงชีวิตแห่งความเชื่อความไว้ใจ และความรัก พวกเขาถูกผนึกเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรซึ่งยอมรับพวกเขาให้เป็นสมาชิกของตนแล้ว

วรรค 2 พระศาสนจักรเอาใจใส่ดูแลคริสตชนสำรองเป็นพิเศษอีกทั้งเชื้อเชิญพวกเขาให้เจริญชีวิตตามพระวรสาร และนำพวกเขาเข้าร่วมพิธีศักดิ์สิทธิ์ และยังให้สิทธิพิเศษอื่นๆ ซึ่งสงวนไว้เฉพาะสำหรับคริสตชน

มาตรา 207 วรรค 1 โดยการกำหนดของพระเป็นเจ้าในพระศาสนจักรมีคริสตชนที่เป็นศาสนบริกรศักดิ์สิทธิ์ (sacred minister) ซึ่งตามนัยของกฎหมายเรียกว่าสมณะ (cleric) ส่วนคริสตชนอื่นเรียกว่าฆราวาส

วรรค 2 จากทั้งสองกลุ่ม ยังมีคริสตชนถวายตนแด่พระเป็นเจ้าในลักษณะพิเศษและรับใช้พันธกิจไถ่กู้ของพระศาสนจักร โดยการเจริญชีวิตตามคำแนะนำแห่งพระวรสารด้วยศีลบนและพันธะศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ที่พระศาสนจักรรับรู้และรับรองแม้ว่าสถานภาพของพวกเขามิได้เป็นส่วนหนึ่งในโครงสร้างฐานันดรศักดิ์ในพระศาสนจักรแต่ก็ถือว่าพวกเขาเจริญชีวิตและมีความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในพระศาสนจักรเช่นกัน

 

ลักษณะ 1 หน้าที่ และสิทธิของคริสตชนทุกคน

มาตรา 208 โดยการเกิดใหม่ในพระคริสต์ คริสตชนทุกคนเท่าเทียมกันอย่างแท้จริงในศักดิ์ศรี และหน้าที่การงานเพื่อร่วมมือกันเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ตามสภาพ และหน้าที่ของแต่ละคน

มาตรา 209 วรรค 1 คริสตชนมีพันธะหน้าที่ต้องรักษาสายสัมพันธ์กับพระศาสนจักรตลอดไป ไม่ว่าจะประกอบกิจกรรมใดๆ ตามวิถีชีวิตของตน

วรรค 2 คริสตชนต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่ยิ่งต่อพระศาสนจักรสากล และต่อพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่ตนสังกัดอยู่ตามข้อกำหนดของกฎหมาย

มาตรา 210 คริสตชนทุกคนต้องทุ่มเทพลังตามสภาพของตน เพื่อเจริญชีวิตศักดิ์สิทธิ์เพื่อส่งเสริมให้พระศาสนจักรเจริญเติบโต และมีความศักดิ์สิทธิ์อย่างต่อเนื่อง

มาตรา 211 คริสตชนทุกคนมีหน้าที่ และสิทธิในการทำงานเพื่อให้สารของพระเป็นเจ้าเรื่องความรอด แผ่ไปถึงมนุษย์ทุกคน ทุกยุคทุกสมัยทั่วพิภพ ยิ่งวันยิ่งมากขึ้น

มาตรา 212 วรรค 1 คริสตชนที่ตระหนักถึงความรับผิดชอบของตนต้องมีความนบนอบแบบคริสตชน ปฏิบัติตามสิ่งซึ่งนายชุมพาบาลผู้ศักดิ์สิทธิ์ในฐานะผู้แทนของพระคริสต์ ประกาศในฐานะอาจารย์ความเชื่อหรือกำหนดในฐานะผู้นำพระศาสนจักร

วรรค 2 คริสตชนมีสิทธิสมบูรณ์ที่จะแสดงความต้องการ โดยเฉพาะในเรื่องฝ่ายจิต และความปรารถนาของตนต่อผู้อภิบาลพระศาสนจักร

วรรค 3 ตามความรู้ ความสามารถและความโดดเด่นที่ตนมีคริสตชนมีสิทธิ์ และยิ่งกว่านั้นในบางครั้งมีหน้าที่ต้องแสดงความคิดเห็นของตนในเรื่องที่เกี่ยวกับความดีของพระศาสนจักรต่อนายชุมพาบาลผู้ศักดิ์สิทธิ์และมีสิทธิ์ที่จะบอกความเห็นของตนให้คริสตชนอื่นทราบโดยคำนึงถึงความครบถ้วนของความเชื่อ และศีลธรรม และความเคารพต่อผู้อภิบาล และโดยคำนึงถึงความดีส่วนรวมและศักดิ์ศรีของบุคคล

มาตรา 213 คริสตชนมีสิทธิ์รับความช่วยเหลือจากผู้อภิบาลศักดิ์สิทธิ์จากขุมทรัพย์ฝ่ายจิตของพระศาสนจักร โดยเฉพาะจากพระวาจาของพระเจ้าและศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ

มาตรา 214 คริสตชนมีสิทธิ์ถวายคารวกิจแด่พระเป็นเจ้าตามข้อกำหนดของจารีตของตนซึ่งได้รับการรับรองจากบรรดานายชุมพาบาลที่ถูกต้องของพระศาสนจักรและปฏิบัติตามรูปแบบเฉพาะชีวิตฝ่ายจิตของตนที่สอดคล้องกับคำสั่งสอนของพระศาสนจักร

มาตรา 215 คริสตชนมีสิทธิ์อย่างเต็มเปี่ยมในการก่อตั้งและบริหารสมาคมอย่างเสรีเพื่อจุดประสงค์ด้านการกุศลหรือเมตตาจิตหรือเพื่อส่งเสริมกระแสเรียกคริสตชนในโลก และเพื่อจัดประชุมให้บรรลุจุดประสงค์ดังกล่าวร่วมกัน

มาตรา 216 เนื่องจากคริสตชนทุกคนมีส่วนร่วมในพันธะกิจของพระศาสนจักรจึงมีสิทธิสนับสนุน หรือค้ำจุนกิจการการแพร่ธรรมด้วยการริเริ่มของตนเองตามสถานะ และสภาพของแต่ละคน อย่างไรก็ตามห้ามใช้ชื่อคาทอลิกโดยพลการในการริเริ่มใดๆ เว้นไว้แต่ว่าจะได้รับความเห็นชอบจากผู้ทรงอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรแล้ว

มาตรา 217 เนื่องจากคริสตชนได้รับเรียกโดยศีลล้างบาปให้ดำเนินชีวิตสอดคล้องกับคำสอนของพระวรสารจึงมีสิทธิ์ที่จะได้รับการศึกษาแบบคริสตชนเพื่อจะได้เรียนรู้อย่างเหมาะสมถูกต้องเพื่อบรรลุถึงวุฒิภาวะของความเป็นบุคคลและในเวลาเดียวกันเพื่อจะรู้ และเจริญชีวิตตามรหัสธรรมแห่งความรอด

มาตรา 218 ผู้ที่ทุ่มเทศึกษาวิชาศักดิ์สิทธิ์มีเสรีภาพอันชอบในการค้นคว้า และในการแสดงความคิดเห็นของตนอย่างรอบคอบในเรื่องที่ตนมีความเชี่ยวชาญทั้งนี้โดยต้องให้ความเคารพอันพึงมีต่ออำนาจการสั่งสอนของพระศาสนจักร

มาตรา 219 คริสตชนทุกคนมีสิทธิ์เลือกวิถีชีวิตของตนอย่างเสรี โดยปราศจากการบีบบังคับใดๆ

มาตรา 220 ห้ามผู้ใดทำลายชื่อเสียงที่ดีของผู้อื่น โดยมิชอบด้วยกฎหมายทั้งห้ามละเมิดสิทธิของบุคคลอื่นในอันที่จะปกป้องความเป็นส่วนตัวของเขา

มาตรา 221 วรรค 1 คริสตชนสามารถเรียกร้อง และป้องกันตามนัยของกฎหมายซึ่งสิทธิที่ตนมีในพระศาสนจักร ต่อศาลพระศาสนจักรที่มีอำนาจตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

วรรค 2 คริสตชนเมื่อถูกเรียกให้รับการตัดสินจากผู้ทรงอำนาจ มีสิทธิ์รับการพิพากษาตามข้อกำหนดของกฎหมายที่ต้องใช้ด้วยความเที่ยงธรรม

วรรค 3 คริสตชนมีสิทธิที่จะไม่ถูกลงโทษด้วยอาญาของพระศาสนจักร เว้นแต่ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 222 วรรค 1 คริสตชนมีหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในความต้องการของพระศาสนจักรเพื่อให้พระศาสนจักรมีสิ่งจำเป็นสำหรับการประกอบคารวกิจแด่พระเจ้าสำหรับงานแพร่ธรรม และงานเมตตาจิตรวมทั้งเพื่อการดำรงชีพที่เหมาะสมของศาสนบริกร

วรรค 2 คริสตชนมีหน้าที่ส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคม และโดยสำนึกถึงคำสั่งสอนของพระคริสต์มีหน้าที่ช่วยเหลือคนยากจนจากทรัพย์สินของตนด้วย

มาตรา 223 วรรค 1 ในการใช้สิทธิ์ของตนคริสตชนไม่ว่าโดยส่วนตัวหรือเมื่อรวมกันเป็นสมาคมก็ตามต้องคำนึงถึงความดีส่วนรวมของพระศาสนจักรและสิทธิของผู้อื่นรวมทั้งหน้าที่ของตนเองต่อผู้อื่นด้วย

วรรค 2 ผู้ทรงอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรมีอำนาจบริหารการใช้สิทธอันเป็นสิทธิเฉพาะของคริสตชน โดยมุ่งถึงความดีส่วนรวม

 

ลักษณะ 2 หน้าที่ และสิทธิของคริสตชนฆราวาส

มาตรา 224 นอกจากหน้าที่ และสิทธิที่คริสตชนทุกคนพึงมีตามปกติ และตามที่ได้กำหนดไว้ในมาตราอื่นๆ คริสตชนฆราวาสยังมีหน้าที่ และสิทธิต่างๆตามที่มีบัญญัติไว้ในมาตราต่างๆ ของลักษณะนี้

มาตรา 225 วรรค 1 เนื่องจากฆราวาสได้รับมอบหน้าที่จากพระเป็นเจ้าในการแพร่ธรรมเช่นเดียวกับคริสตชนทุกคนโดยทางศีลล้างบาป และศีลกำลังดังนั้นจึงมีหน้าที่ และสิทธิโดยทั่วไปในการทำงานในลักษณะส่วนบุคคลหรือในลักษณะร่วมกันเป็นสมาคม เพื่อว่าสารของพระเจ้าเรื่องความรอดสามารถเป็นที่รู้จัก และยอมรับจากทุกคนทั่วทุกมุมโลกหน้าที่นี้จะทวีความสำคัญยิ่งขึ้นในสภาวการณ์ที่ประชาชนสามารถได้ยินพระวรสาร และรู้จักพระคริสต์ได้เพียงจากฆราวาสเท่านั้น

วรรค 2 ฆราวาสแต่ละคนมีหน้าที่พิเศษตามสถานภาพของตนในการทำให้ระเบียบของกิจการฝ่ายโลก ซึมซาบและสมบูรณ์ไปด้วยจิตตารมณ์แห่งพระวรสารดังนี้พวกเขาจึงเป็นพยานถึงพระคริสต์ในลักษณะพิเศษ โดยการประกอบธุรกิจรวมทั้งโดยการปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายโลกนั้นเอง

มาตรา 226 วรรค 1 ฆราวาสที่เจริญชีวิตในสถานภาพสมรสตามกระแสเรียกของเขามีพันธะโดยหน้าที่พิเศษในการร่วมมือสร้างสรรค์ประชากรของพระเจ้าโดยทางการสมรส และชีวิตครอบครัวของตน

วรรค 2 เนื่องจากบิดามารดาเป็นผู้ให้ชีวิตแก่บุตรพวกเขาจึงมีพันธะอันหนักยิ่ง และมีสิทธิ์ในการอบรมเลี้ยงดูบุตรดังนั้นพ่อแม่คริสตชนจึงต้องเอาใส่ใจเป็นพิเศษในการให้การศึกษาแบบคริสตชนแก่บุตรตามคำสอนที่พระ-ศาสนจักรมอบให้

มาตรา 227 คริสตชนฆราวาสมีสิทธิ์ที่จะได้รับการยอมรับในเสรีภาพเกี่ยวกับกิจการฝ่ายโลกซึ่งเป็นของประชากรทุกคน อย่างไรก็ดีเมื่อเขาใช้เสรีภาพดังกล่าวต้องเอาใจใส่ให้กิจการของตนเปี่ยมไปด้วยจิตตารมณ์แห่งพระสารและให้ใส่ใจต่อคำสอนที่มาจากอำนาจสอนของพระศาสนจักรแต่พึงหลีกเลี่ยงที่จะเสนอความคิดเห็นของตนประหนึ่งว่าเป็นคำสอนของพระศาสนจักรในปัญหาที่ยังเปิดรับความคิดเห็นต่างๆอยู่

มาตรา 228 วรรค 1 ฆราวาสที่มีคุณสมบัติเหมาะสมสามารถรับตำแหน่งและหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักรจากนายชุมพาบาลผู้ศักดิ์สิทธิ์ของเขา ซึ่งตำแหน่งและหน้าที่ดังกล่าวเขาสามารถปฏิบัติได้ตามข้อกำหนดของกฎหมาย

วรรค 2 ฆราวาสที่ดีเด่นในความรู้ ความรอบคอบและความเที่ยงธรรมที่จำเป็นสามารถช่วยเหลือนายชุมพาบาลของพระศาสนจักรในฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรือที่ปรึกษา แม้ในการประชุมสภาด้วย ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 229 วรรค 1 ฆราวาสมีพันธะหน้าที่และสิทธิ์ที่จะศึกษาหาความรู้ในคำสอนคริสตศาสนาตามความสามารถและตามสภาพของตนเพื่อสามารถเจริญชีวิตให้สอดคล้องกับคำสอนนั้น และเพื่อสามารถประกาศและถ้าหากจำเป็นก็สามารถป้องกันคำสอนนั้นทั้งยังสามารถรับบทบาทในแพร่ธรรมอีกด้วย

วรรค 2 ฆราวาสยังมีสิทธิ์ศึกษาหาความรู้ระดับสูงขึ้นในวิชาศักดิ์สิทธิ์ซึ่งมีสอนในมหาวิทยาลัยหรือในคณะวิชาของพระศาสนจักรหรือในสถาบันที่สอนวิชาทางศาสนา โดยการเข้าฟังบรรยายและรับปริญญาบัตรจากสถาบันดังกล่

าววรรค 3 ในทำนองเดียวกันเมื่อได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดที่เกี่ยวกับความเหมาะสมที่จำเป็นแล้วฆราวาสก็สามารถรับอนุญาตให้สอนวิชาศักดิ์สิทธิ์จากผู้ทรงอำนาจทางพระศาสนจักรที่ถูกต้องได้

มาตรา 230 วรรค 1 ฆราวาสชายที่มีอายุและคุณสมบัติตามที่กำหนดไว้โดยกฤษฎีกาของสภาพระสังฆราช สามารถได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ผู้อ่านและผู้ช่วยพิธีกรรมอย่างถาวร ตามจารีตพิธีกรรมที่กำหนดไว้ อย่างไรก็ตามการมอบตำแหน่งหน้าที่เหล่านี้มิได้เป็นการให้สิทธิ์ที่จะรับเงินค่าครองชีพหรือค่าตอบแทนแก่พวกเขาจากพระศาสนจักร

วรรค 2 ฆราวาสสามารถรับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อ่านชั่วคราวระหว่างการประกอบพิธีกรรมได้ในทำนองเดียวกันฆราวาสทุกคนสามารถปฏิบัติหน้าที่เป็นพิธีกรหรือนักขับร้องหรือหน้าที่อื่นๆ ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายได้

วรรค 3 เมื่อพระศาสนจักรมีความจำเป็นและขาดศาสนบริกรฆราวาสแม้มิใช่เป็นผู้อ่านหรือผู้ช่วยพิธีกรรมก็สามารถปฏิบัติหน้าที่บางอย่างแทนได้ เช่นทำหน้าที่ศาสนบริการพระวาจา เป็นประธานนำการภาวนาในพิธีกรรม โปรดศีลล้างบาปและแจกศีลมหาสนิท ทั้งนี้ตามข้อกำหนดของกฎหมาย

มาตรา 231 วรรค 1 ฆราวาสผู้อุทิศตนอย่างถาวรหรือแบบครั้งคราวในการรับใช้พระศาสนจักรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นพิเศษต้องได้รับการอบรมอย่างเหมาะสมที่จำเป็นเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเขาอย่างถูกต้อง และต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างมีจิตสำนึกกระตือรือร้นและขยันขันแข็ง

วรรค 2 โดยยังต้องยึดถือ ตามกฎหมายมาตรา 230 วรรค 1 พวกเขามีสิทธิ์รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพของเขา กล่าวคือ ด้วยค่าตอบแทนนั้นเขาสามารถจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับความต้องการของตนและของครอบครัวอย่างสมศักดิ์ศรี โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายบ้านเมืองด้วย เช่นเดียวกันพวกเขามีสิทธิ์รับบำเหน็จบำนาญ การประกันสังคม และการช่วยเหลือด้านสุขภาพ

 

ลักษณะ 3 ศาสนบริกรศักดิ์สิทธิ์หรือสมณะ

หมวด 1 การฝึกอบรมสมณะ

มาตรา 232 พระศาสนจักรมีหน้าที่ และสิทธิเฉพาะของตน และของตนเพียงผู้เดียวในการฝึกอบรมผู้ที่จะได้รับมอบหน้าที่ปฏิบัติศาสนบริการศักดิ์สิทธิ์

มาตรา 233 วรรค 1 เป็นหน้าที่ของชุมชน คริสตชนทั้งมวลที่จะส่งเสริมกระแสเรียกเพื่อให้มีศาสนบริการเพียงพอกับความต้องการทั่วทั้งพระศาสนจักรครอบครัวคริสตชน บรรดาผู้ให้การอบรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสงฆ์เป็นต้นเจ้าอาวาสมีพันธะในหน้าที่นี้เป็นพิเศษเนื่องจากพระสังฆราชสังฆมณฑลมีหน้าที่สำคัญอย่างยิ่ง ต้องเอาใจใส่ส่งเสริมกระแสเรียกท่านจึงต้องสอนประชาชนที่อยู่ในความดูแลของตนให้เห็นความสำคัญของศาสนบริการและความจำเป็นต้องมีศาสนบริกรในพระ-ศาสนจักร ดังนั้นพระสังฆราชต้องส่งเสริม และสนับสนุนความพยายามในการเพิ่มกระแสเรียกโดยการจัดกิจกรรมเพื่อจุดประสงค์นี้โดยเฉพาะ

วรรค 2 ยิ่งกว่านั้น พระสงฆ์และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่ให้บุรุษผู้มีวัยวุฒิเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นแล้วที่เห็นว่าตนได้รับเรียกให้ปฏิบัติหน้าที่ศาสนบริการได้รับความช่วยเหลืออย่างรอบคอบ ทั้งด้วยวาจาและกิจการและให้ได้รับการเตรียมตัวอย่างเพียงพอ

มาตรา 234 วรรค 1 ที่ใดมีสามเณราลัยเล็กหรือสถาบันอื่นที่เหมือนกันอยู่แล้วก็ให้รักษาและสนับสนุนสถาบันต่างๆ เหล่านั้นไว้ สถาบันต่างๆ เหล่านั้นคือสถานที่ตั้งขั้นเพื่อเพาะเลี้ยงกระแสเรียกโดยให้มีการฝึกอบรมด้านศาสนาเป็นพิเศษพร้อมกับให้การศึกษาด้านมนุษยศาสตร์และศาสตร์ต่างๆ ยิ่งกว่านั้นเมื่อใดก็ตามที่พระสังฆราชสังฆมณฑลเห็นว่ามีประโยชน์ก็ควรให้มีการจัดตั้งสามเณราลัยเล็ก หรือสถาบันที่คล้ายคลึงกันขึ้น

วรรค 2 เว้นไว้แต่ในบางกรณีที่สถานการณ์แวดล้อมบ่งชี้เป็นอย่างอื่นชายหนุ่มผู้ซึ่งตั้งใจจะก้าวไปในวิถีชีวิตแห่งการเป็นพระสงฆ์จะต้องได้รับการฝึกฝนวิชามนุษยศาสตร์และศาสตร์ต่างๆ ที่หนุ่มสาวทั่วไปในท้องถิ่นที่เขาอยู่ได้รับการศึกษาเพื่อเตรียมศึกษาในขั้นสูงต่อไป

มาตรา 235 วรรค 1 ชายหนุ่มที่ตั้งใจจะเป็นพระสงฆ์จะต้องได้รับการฝึกอบรมทางชีวิตจิตอย่างเหมาะสมและได้รับการฝึกฝนหน้าที่ต่างๆ ของสงฆ์ในสามเณราลัยใหญ่ตลอดระยะเวลาการฝึกอบรมหรือถ้าพระสังฆราช สังฆมณฑลเห็นมีความ จำเป็นเพราะสภาพแวดล้อม ก็ให้มีการอบรมอย่างน้อย 4 ปี

วรรค 2 ผู้ที่ได้รับอนุญาตโดยถูกต้องให้อาศัยอยู่นอกสามเณราลัยให้พระสังฆราชสังฆมณฑลมอบพวกเขาให้อยู่ในความดูแลของพระสงฆ์ที่ศรัทธาและเหมาะสม ซึ่งต้องเอาใจใส่ให้พวกเขาได้รับการฝึกอบรมในด้านชีวิตจิตและในด้านวินัยอย่างดี

มาตรา 236 ตามข้อกำหนดของสภาพระ-สังฆราชผู้สมัครเตรียมบวชเป็นสังฆานุกรถาวรต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตและได้รับการสอนให้รู้จักปฏิบัติหน้าที่สังฆานุกรอย่างถูกต้อง ดังต่อไปนี้

1.       ชายหนุ่มต้องใช้ชีวิตอย่างน้อย 3 ปี ในบ้านพิเศษ เว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชสังฆมณฑลตัดสินเป็นอย่างอื่น เมื่อมีเหตุผลที่สำคัญยิ่ง

2.       ชายที่มีวุฒิภาวะเป็นผู้ใหญ่มากแล้ว ไม่ว่าเป็นโสดหรือแต่งงาน ต้องใช้เวลาฝึกอบรม 3 ปี ตามหลักสูตรที่สภาพระสังฆราชกำหนดไว้

มาตรา 237 วรรค 1 สังฆมณฑลทุกแห่งที่สามารถและเห็นควรจัดตั้งสามเณราลัยใหญ่ได้ก็ให้จัดตั้งขึ้นมิฉะนั้นต้องส่งสามเณรที่กำลังเตรียมตัวทำหน้าที่ศาสนบริการไปยังสามเณราลัยอื่นหรือไม่ก็ให้จัดตั้งสามเณราลัยระหว่างสังฆมณฑลขึ้น

วรรค 2 จะต้องไม่จัดตั้งสามเณราลัยระหว่างสังฆมณฑลขึ้นเว้นไว้แต่ว่าได้รับการเห็นชอบจากสันตะสำนักก่อนทั้งในการก่อตั้งและกฎระเบียบ ถ้าเกี่ยวกับเขตแดนทั้งหมด ก็ให้สภาพระสังฆราชเป็นผู้ขอความเห็นชอบมิฉะนั้นให้พระสังฆราชที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ขอ

มาตรา 238 วรรค 1 โดยตัวบทกฎหมายเอง สามเณราลัยที่ได้รับการตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมาย มีความเป็นนิติบุคคลในพระศาสนจักร

วรรค 2 อธิการสามเณราลัย เป็นผู้ทำการแทนในทุกเรื่อง เว้นไว้แต่ว่า ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในบางเรื่อง

มาตรา 239 วรรค 1 สามเณราลัยทุกแห่ง ต้องมีอธิการปกครองดูแลหากจำเป็นก็ให้มีรองอธิการและเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน ยิ่งกว่านั้นหากสามเณรรับการศึกษาอยู่ในสามเณราลัยนั้นเองก็ให้มีอาจารย์สอนในสาขาวิชาต่างๆตามหลักสูตรที่จัดไว้ให้สอดคล้องกันอย่างเหมาะสม

วรรค 2 สามเณราลัยทุกแห่ง ต้องมีวิญญาณรักษ์อย่างน้อยหนึ่งองค์อย่างไรก็ตามสามเณรทุกคนมีอิสระที่จะเข้าพบพระสงฆ์อื่นที่พระสังฆราชได้แต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่นี้

วรรค 3 ในกฎระเบียบของ สามเณราลัย ต้องกำหนดแนวทางให้คณะผู้บริหารอื่นๆ (moderators) อาจารย์ แม้แต่สามเณรเอง (มีส่วน) ในการดูแลรับผิดชอบร่วมกับอธิการโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการปฏิบัติตามระเบียบวินัย

มาตรา 240 วรรค 1 นอกเหนือจากผู้โปรดศีลอภัยบาปประจำต้องจัดให้มีผู้โปรดศีลอภัยบาปอื่นมาให้บริการที่สามเณราลัยอย่างสม่ำเสมอด้วยยิ่งกว่านั้นสามเณรมีเสรีภาพเสมอในการไปสารภาพบาปกับพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปองค์ใดก็ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในหรือนอกสามเณราลัยโดยยังต้องรักษาไว้ซึ่งระเบียบวินัยของสามเณราลัย

วรรค 2 ในการตัดสินว่า จะให้สามเณรรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์หรือให้ออกจากสามเณราลัยห้ามไม่ให้ขอความเห็นจากวิญญาณรักษ์หรือพระสงฆ์ผู้ฟังแก้บาปอย่างเด็ดขาด

มาตรา 241 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลจะรับเข้าสามเณราลัยใหญ่เฉพาะบุคคลที่ท่านพิจารณาแล้วว่าเหมาะสมที่จะอุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ศาสนบริการศักดิ์สิทธิ์ตลอดไปเท่านั้นทั้งนี้โดยที่ได้พิจารณาคุณสมบัติด้านความเป็นมนุษย์ ด้านศีลธรรมด้านจิตใจและสติปัญญารวมทั้งสุขภาพกายและจิตพร้อมทั้งเจตนาที่ถูกต้องของเขา

วรรค 2 ก่อนที่จะรับเข้าสามเณราลัยใหญ่พวกเขาต้องยื่นหลักฐานรับรองการรับศีลล้างบาป และศีลกำลังพร้อมทั้งเอกสารอื่นๆ ที่ต้องการตามข้อกำหนดของแผนการฝึกอบรมเป็นพระสงฆ์

วรรค 3 เพื่อจะรับบุคคลที่ออกจากสามเณราลัยแห่งอื่นหรือสถาบันนักบวชต้องมีหลักฐานเพิ่มเติมจากผู้ใหญ่ที่เกี่ยวข้องเป็นต้นเกี่ยวกับสาเหตุของการให้ออกหรือการลาออกของพวกเขา

มาตรา 242 วรรค 1 แต่ละประเทศต้องมีแผนการฝึกอบรมการเป็นพระสงฆ์ ซึ่งกำหนดขึ้นโดยสภาพระสังฆราช ตามแนวทางของกฎเกณฑ์ที่ออกโดยอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรซึ่งยังต้องได้รับการรับรองจากสันตะสำนักอีกด้วยเมื่อสภาพแวดล้อมเปลี่ยนแปลงต้องปรับปรุงแผนการฝึกอบรมนี้ให้ทันสมัยโดยต้องได้รับการรับรองจากสันตะสำนักเช่นกันแผนการฝึกอบรมนี้ต้องกำหนดหลักการสำคัญต่างๆ ในการให้การอบรมในสามเณราลัยและยังต้องวางกฎเกณฑ์ทั่วไปให้สอดคล้องกับความจำเป็นด้านอภิบาลของแต่ละเขตหรือแต่ละมณฑล

วรรค 2 สามเณราลัยทุกแห่งไม่ว่าจะเป็นสามเณราลัยประจำสังฆมณฑลหรือสามเณราลัยระหว่างสังฆ-มณฑลต้องถือตามระเบียบของแบบแผนที่กล่าวไว้ในวรรค 1

มาตรา 243 ยิ่งกว่านั้นสามเณราลัยแต่ละแห่งจะต้องมีกฎของตนเองที่ได้รับการรับรองจากพระสังฆราชสังฆมณฑลหรือในกรณีที่เป็นสามเณราลัยระหว่างสังฆมณฑลก็ต้องได้รับการรับรองจากพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องทุกองค์กฎดังกล่าวนั้นต้องวางระเบียบแบบแผนการอบรมการเป็นพระสงฆ์ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของแต่ละท้องถิ่นและในเรื่องเกี่ยวกับระเบียบวินัยที่มีผลกระทบต่อชีวิตประจำวันของสามเณรและต่อความมีระเบียบเรียบร้อยของทั้งสามเณราลัยนั้นต้องกำหนดให้ละเอียดถี่ถ้วนยิ่งขึ้น

มาตรา 244 การอบรมชีวิตฝ่ายจิตของสามเณรในสามเณราลัยต้องให้กลมกลืนกับการศึกษาด้านวิชาการของพวกเขาและต้องจัดการอบรมนี้ให้พวกเขามีจิตตารมณ์แห่งพระวรสารและมีความสนิทสัมพันธ์ ใกล้ชิดกับพระคริสตเจ้าพร้อมด้วยวุฒิภาวะแบบมนุษย์ที่เหมาะสมตามลักษณะเฉพาะของสามเณรแต่ละคน

มาตรา 245 วรรค 1 อาศัยการอบรมชีวิตฝ่ายจิตสามเณรจะกลายเป็นผู้เพียบพร้อมในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่การอภิบาลอย่างมีประสิทธิผล และยังต้องได้รับการฝึกให้มีจิตตารมณ์แพร่ธรรมในระหว่างการฝึกอบรม เขาต้องเรียนรู้ว่าศาสนบริการที่ต้องปฏิบัติด้วยความเชื่อที่มีชีวิตและด้วยความรักเสมอนั้นจะช่วยเพิ่มพูนความศักดิ์สิทธิ์ของเขาเองพวกเขายังต้องเรียนรู้ที่จะปลูกฝังคุณธรรมเหล่านั้นซึ่งมีคุณค่าสูงส่งในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เพื่อว่าพวกเขาจะสามารถบรรลุถึงการหล่อหลอมคุณค่าแบบมนุษย์และแบบเหนือธรรมชาติให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างเหมาะสม

วรรค 2 สามเณรต้องได้รับการฝึกอบรมเพื่อให้เป็นผู้เปี่ยมด้วยความรักต่อพระศาสนจักรของพระคริสตเจ้าพวกเขาจะได้อุทิศตนด้วยความรักถ่อมตนและเยี่ยงบุตรต่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปาผู้สืบตำแหน่งนักบุญเปโตรพวกเขาจะได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระสังฆราชของตนในฐานะผู้ร่วมงานที่ไว้วางใจได้ และทำงานเสมือนเพื่อนร่วมงานกับบรรดาพี่น้องโดยการเจริญชีวิตร่วมกันในสามเณราลัยและโดยการปลูกฝังความสัมพันธ์ฉันเพื่อน และฉันผู้ร่วมงานกับผู้อื่นเขาจะได้เตรียมพร้อมที่จะเป็นหนึ่งเดียวฉันพี่น้องกับคณะสงฆ์ในสังฆมณฑลซึ่งพวกเขาต้องร่วมมือในการรับใช้พระศาสนจักรด้วย

มาตรา 246 วรรค 1 การเฉลิมฉลองศีลมหา-สนิทต้องเป็นศูนย์กลางของชีวิตทั้งครบในสามเณราลัยเพื่อว่าทุกวันโดยมีส่วนร่วมในความรักของพระคริสตเจ้าเองสามเณรจะได้ตักตวงพลังฝ่ายจิตที่จำเป็นสำหรับงานแพร่ธรรมและชีวิตจิตของพวกเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากบ่อเกิดที่มั่งคั่งที่สุดนี้

วรรค 2 พวกเขาต้องได้รับการฝึกอบรมในการเฉลิมฉลองพิธีกรรมทำวัตรซึ่งเป็นพิธีกรรมที่ศาสนบริกรของพระเจ้าภาวนาต่อพระองค์ในนามของพระศาสนจักรแทนประชากรทั้งมวลที่พวกเขาได้รับมอบหมายให้ดูแลและยิ่งกว่านั้นแทนโลกทั้งมวล

วรรค 3 สามเณรต้องได้รับการอบรมบ่มจิตใจให้มีความศรัทธาต่อพระนางมารีอาพรหมจารีรวมทั้งการสวดสายประคำด้วยการรำพึงภาวนา และการปฏิบัติกิจศรัทธาอื่นๆ เพื่อพวกเขาจะได้มีจิตตารมณ์แห่งการภาวนาและมีพลังสำหรับกระแสเรียกของตน

วรรค 4 สามเณรต้องฝึกฝนให้เคยชินกับการรับศีลอภัยบาปบ่อยๆและควรแนะนำให้สามเณรแต่ละคนมีผู้แนะนำชีวิตฝ่ายจิตที่เขาเลือกเองอย่างอิสระ และที่เขาสามารถเปิดเผยมโนธรรมของตนได้ด้วยความไว้วางใจ

วรรค 5 สามเณรต้องเข้าเงียบทุกปี

มาตรา 247 วรรค 1 สามเณรต้องได้รับการเตรียมตัวให้รักษาสถานภาพการถือโสด โดยการอบรมที่เหมาะสมและต้องเรียนรู้ที่จะเชิดชู สถานภาพนี้เหมือนพรพิเศษจากพระเป็นเจ้า


วรรค 2 พวกเขาต้องรับทราบถึงหน้าที่และภาระต่างๆ ที่เป็นของศาสนบริกรศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรอย่างเหมาะสม โดยไม่ปิดบังความยากลำบากใดๆ ของชีวิตสงฆ์เลย

มาตรา 248 การอบรมด้านวิชาการความรู้มุ่งเพื่อให้สามเณรมีความรู้ทางศาสนาอย่างกว้างขวางและแน่นแฟ้นควบคู่ไปกับความรู้ด้านวัฒนธรรมทั่วไป ตามความต้องการของยุคสมัยและสถานที่เพื่อว่าเมื่อพวกเขามีรากฐานและหล่อเลี้ยงในความเชื่อของตนด้วยการศึกษานั้นแล้วจนว่าพวกเขาสามารถประกาศข้อคำสอนแห่งพระวรสารอย่างเหมาะสมแก่มนุษย์ในยุคสมัยของตน ในรูปแบบที่เหมาะแก่ความเข้าใจของพวกเขา

มาตรา 249 แผนการฝึกอบรมเป็นพระสงฆ์ ต้องจัดให้สามเณรมีการศึกษาอย่างดีไม่เพียงแต่ภาษาพื้นเมืองของตนเท่านั้นแต่ต้องมีความเชี่ยวชาญในภาษาลาตินอีกด้วยนอกจากนั้นพวกเขายังต้องมีความคุ้นเคยอย่างพอเพียงในภาษาต่างประเทศที่เห็นว่ามีความจำเป็นหรือมีประโยชน์สำหรับการอบรมของตนหรือเพื่อการปฏิบัติหน้าที่อภิบาล

มาตรา 250 การศึกษาปรัชญาและเทววิทยาที่มีอยู่ในสามเณราลัยนั้นสามารถศึกษาแบบต่อเนื่องหรือแบบควบคู่กัน ตามแผนการอบรมเป็นพระสงฆ์การศึกษาวิชาทั้งสองนี้ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 6 ปีเต็ม โดยแบ่งเป็น 2ปีเต็มสำหรับการศึกษาปรัชญา และ 4 ปีเต็มสำหรับการศึกษาเทววิทยา

มาตรา 251 การให้การศึกษาอบรมวิชาปรัชญาต้องมีพื้นฐานอยู่บนปรัชญาที่เป็นมรดกตกทอดกันมา ที่ใช้ได้อยู่ตลอดเวลาและต้องคำนึงถึงการค้นคว้าทางปรัชญาแห่งยุคสมัยด้วยการศึกษาอบรมนี้ต้องมุ่งให้สามเณรมีการพัฒนาทางด้านความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มีสติปัญญาเฉียบแหลมและช่วยเขาให้มีความพร้อมมากขึ้นที่จะศึกษาเทววิทยาต่อไป

มาตรา 252 วรรค 1 การให้การศึกษาอบรมวิชาเทววิทยาต้องมุ่งให้สอดคล้องกับข้อความเชื่อ และภายใต้การนำแห่งอำนาจสอนของพระศาสจักร (Magisterium) เพื่อสามเณรจะได้มีความเข้าใจคำสอนคาทอลิกทั้งครบอันมีพื้นฐานบนการไขแสดงของพระเป็นเจ้าเพื่อพวกเขาจะได้อาศัยความรู้นั้นหล่อเลี้ยงชีวิตฝ่ายจิตของตนและเพื่อสามารถประกาศและป้องกันคำสอนนั้นในการปฏิบัติหน้าที่ศาสนบริการของตนอย่างถูกต้อง

วรรค 2 สามเณรต้องได้รับการสอนพระคัมภีร์ด้วยความขยันหมั่นเพียรเป็นพิเศษ เพื่อให้พวกเขาเห็นภาพรวมของพระคัมภีร์ทั้งหมด

วรรค 3 ให้มีการสอนวิชาเทววิทยาด้านความเชื่อ ซึ่งต้องมีรากฐานบนพระวาจาของพระเป็นเจ้าที่บันทึกไว้ ร่วมกับประเพณีศักดิ์สิทธิ์เสมอในการสอนนี้ สามเณรจะได้เรียนรู้เข้าใจอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นถึงรหัสธรรมแห่งความรอด โดยมีนักบุญโทมัสเป็นปรมาจารย์พิเศษเช่นเดียวกันให้มีการสอนวิชาเทววิทยาด้านจริยธรรมและด้านอภิบาลวิชากฎหมายพระศาสนจักร พิธีกรรมประวัติศาสตร์พระศาสนจักรรวมทั้งวิชาเสริม และวิชาพิเศษอื่นๆการสอนวิชาต่างๆ เหล่านี้ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของแบบแผนการอบรมเป็นพระสงฆ์

มาตรา 254 ต้องสอนสามเณรให้สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่างๆโดยการค้นคว้าที่เหมาะสมด้วยตนเอง ตามหลักวิชาการดังนั้นให้มีการฝึกเขียนรายงานภายใต้การแนะนำของอาจารย์เพื่อให้สามเณรได้เรียนรู้ที่จะศึกษาด้วยความพยายามของตนเองภาย

มาตรา 255 แม้ว่าการอบรมทั้งหมดของสามเณรในสามเณราลัยมีจุดประสงค์เพื่อการอภิบาลก็ตามยังต้องมีการฝึกฝนการอภิบาลจริงๆเพื่อให้สามเณรเรียนรู้หลักการและมีความชำนาญที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่สอนหน้าที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์และหน้าที่ปกครองประชากรของพระเจ้าโดยคำนึงถึงความจำเป็นของสถานที่และเวลาด้วย

มาตรา 256 วรรค 1 สามเณรต้องได้รับการสอนอย่างเอาใจใส่ในเรื่องที่เกี่ยวข้องเป็นพิเศษกับหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น การสอนคำสอน การเทศน์การประกอบพิธีบูชาศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การสร้างความสัมพันธ์กับผู้คน แม้ผู้ที่ไม่ใช่คาทอลิกหรือผู้ไม่มีความเชื่อการบริหารสังฆตำบล (วัด) และการปฏิบัติหน้าที่อื่นๆ ทั้งหมด

วรรค 2 ต้องสอนให้สามเณรรู้ถึงความต้องการของพระศาสนจักรสากลเพื่อให้พวกเขามีความสนใจในเรื่องการส่งเสริมกระแสเรียกเรื่องปัญหางานธรรมทูต ปัญหาศาสนสัมพันธ์ และปัญหาเร่งด่วนอื่นๆ รวมทั้งปัญหาสังคมด้วย

มาตรา 257 วรรค 1 การอบรมสามเณรต้องเตรียมให้พวกเขามีความสนใจไม่เพียงแต่พระศาสนจักรเฉพาะที่ตนสังกัดรับใช้อยู่ แต่ยังต้องสนใจพระศาสนจักรสากลด้วย ดังนั้นพวกเขาต้องแสดงให้เห็นว่าตนพร้อมที่จะอุทิศตัวเองให้แก่พระศาสนจักรเฉพาะแห่งอื่นๆ ที่มีความต้องการที่จำเป็นอย่างยิ่งยวด

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่ให้สมณะที่ตั้งใจย้ายจากพระศาสนจักรเฉพาะของตน ไปยังพระศาสนจักรเฉพาะในเขตอื่นให้มีการเตรียมตัวอย่างเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ศาสนบริการที่นั่นกล่าวคือ ให้เขาเรียนรู้ภาษาถิ่น และให้เข้าใจกฎระเบียบ สภาพสังคมขนบธรรมเนียม และประเพณีของท้องถิ่นนั้น

มาตรา 258 เพื่อให้สามเณรสามารถเรียนรู้ศิลปะการแพร่ธรรมโดยทางปฏิบัติระหว่างการศึกษาเล่าเรียนด้วยและโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างปิดภาคเรียนต้องให้เขาเริ่มปฏิบัติงานอภิบาลด้วยวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสม ซึ่งผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเป็นผู้ตัดสินกำหนด และปรับให้เหมาะสมกับวัยของสามเณร และกับสภาพท้องถิ่นและต้องอยู่ภายใต้การดูแลของพระสงฆ์ผู้ชำนาญเสมอ

มาตรา 259 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลหรือในกรณีที่เป็นสามเณราลัยระหว่างสังฆมณฑลบรรดาพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องเป็นผู้มีอำนาจในการตัดสินเกี่ยวกับเรื่องการปกครอง และการบริหารสามเณราลัยดังกล่าวข้างต้น

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑล หรือในกรณีที่เป็นสามเณราลัยระหว่างสังฆมณฑลบรรดาพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องต้องออกเยี่ยมสามเณราลัยบ่อยๆด้วยตนเอง ต้องเฝ้าดูแลเรื่องการอบรมสามเณรและการสอนวิชาปรัชญาและเทววิทยาที่มีอยู่ในสามเณราลัยนอกจากนั้นยังต้องรับทราบเกี่ยวกับกระแสเรียกลักษณะนิสัยความศรัทธาและความก้าวหน้าของบรรดาสามเณร เฉพาะอย่างยิ่งเพื่อพิจารณาในการประกอบศีลบรรพชาให้

มาตรา 260 ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนทุกคนต้องเชื่อฟังอธิการผู้มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการบริหารแต่ละวันในสามเณราลัย ตามกฎเกณฑ์ของแบบแผนการอบรมเป็นพระสงฆ์ และของการปกครองสามเณราลัย

มาตรา 261 วรรค 1 อธิการของสามเณราลัยและบรรดาผู้ดูแล (Moderator) รวมทั้งคณาจารย์ผู้อยู่ใต้อำนาจของอธิการต้องสอดส่องดูแลตามหน้าที่ของตนให้สามเณรปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของแผนการอบรมเป็นพระสงฆ์ และตามข้อกำหนดของการปกครองสามเณราลัยอย่างเคร่ง-ครัด

วรรค 2 อธิการของสามเณราลัย และดูแลฝ่ายการศึกษาต้องเอาใจใส่ให้คณาจารย์ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างดีตามข้อกำหนดของแบบแผนการอบรมเป็นพระสงฆ์และของการปกครองสามเณราลัย

มาตรา 262 สามเณราลัยไม่อยู่ใต้การปกครองของสังฆตำบล (วัด) อธิการของสาม-เณราลัยหรือผู้แทนของเขาต้องปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสสำหรับทุกคนที่อาศัยอยู่ในสามเณราลัย ยกเว้น เกี่ยวกับเรื่องการแต่งงานและเกี่ยวกับข้อกำหนดของมาตรา 985

มาตรา 263 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่จัดหาทุนเพื่อการก่อสร้างและการทำนุบำรุงสามเณราลัยทุนสนับสนุนสามเณร ค่าตอบแทนของคณาจารย์ และความจำเป็นอื่นๆ ของสามเณราลัยถ้าเป็นสามเณราลัยระหว่างสังฆมณฑล บรรดาพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องต้องทำข้อตกลงร่วมกันในการจัดหาทุน เพื่อค่าใช้จ่ายต่างๆ เหล่านั้น

มาตรา 264 วรรค 1 นอกเหนือจากรายได้จากการเก็บเงิน ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1266 พระสังฆราชสามารถเก็บภาษีภายในสังฆมณฑล เพื่อจัดสรรสำหรับความจำเป็นต่างๆ ของสามเณราลัย

วรรค 2 นิติบุคคลฝ่ายพระศาสนจักรทั้งหลายรวมทั้งที่เป็นส่วนบุคคลที่ตั้งอยู่ในเขตสังฆมณฑลต้องเสียภาษีนี้สำหรับสามเณราลัย เว้นไว้แต่ว่าเป็นนิติบุคคลที่เลี้ยงตัวเองจากการบริจาคเท่านั้นหรือนิติบุคคลที่ประกอบด้วยนักศึกษาหรือคณาจารย์เพื่อส่งเสริมประโยชน์ส่วนรวมของพระศาสนจักรภาษีในลักษณะนี้ต้องเป็นแบบทั่วไปและให้คิดตามสัดส่วนกับรายได้ของผู้เสียภาษี และให้กำหนดตามความจำเป็นของสามเณราลัย

 

หมวด 2 การลงทะเบียนหรือการเข้าสังกัดของสมณะ

มาตรา 265 สมณะทุกคนต้องเข้าสังกัดอยู่ในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งใดแห่งหนึ่งหรือสังฆองค์กร (Personal prelature) เฉพาะบุคคลหรือสังกัดในสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วหรือคณะที่ได้รับอำนาจหน้าที่ที่จะรับเข้าสังกัดได้ทั้งนี้ไม่อนุญาตให้มีสมณะไร้สังกัดหรือเร่ร่อนเลย

มาตรา 266 วรรค 1 บุคคลใดบุคคลหนึ่งเป็นสมณะ โดยการรับศีลบวชขั้นสังฆานุกร และเข้าสังกัดในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น หรือสังฆองค์กรเฉพาะบุคคลซึ่งเขาได้รับการบวชมาเพื่อรับใช้

วรรค 2 สมาชิกที่ปฏิญาณตนตลอดชีพของสถาบันนักพรตหรือที่เข้าร่วมชีวิตในคณะชีวิตแพร่ธรรมที่เป็นสมณะอย่างเด็ดขาดแล้วได้รับเข้าสังกัดในสถาบันหรือคณะ ในฐานะสมณะโดยการรับศีลบวชขั้นสังฆานุกรเว้นแต่ในกรณีของคณะที่มีธรรมนูญกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 3 สมาชิกของสถาบันฆราวาสเข้าสังกัดในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นซึ่งเขาได้รับการบวชมาเพื่อรับใช้ โดยการรับศีลบวชเป็นสังฆานุกรเว้นไว้แต่ว่าเขาเข้าสังกัดในสถาบันนั้นเอง โดยการอนุญาตพิเศษจากสันตะสำนัก

มาตรา 267 วรรค 1 เพื่อให้สมณะที่มีสังกัดอยู่แล้วโอนสังกัดเข้าในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งอื่นอย่างถูกต้องสมณะผู้นั้นต้องได้รับหนังสือการย้ายสังกัดจากพระสังฆราชประจำสังฆมณฑลซึ่งมีลายมือชื่อของท่าน ในทำนองเดียวกันสมณะผู้นั้นจะต้องได้รับหนังสือรับสังกัดจากพระสังฆราชประจำสังฆมณฑลของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่ตนปรารถนาจะเข้าสังกัดซึ่งมีลายมือชื่อของท่านไว้ด้วย

วรรค 2 การย้ายสังกัดที่ได้รับอนุญาตดังกล่าวแล้ว จะยังไม่มีผลใดๆ จนกว่าจะได้รับการเข้าสังกัดในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งอื่นก่อน

มาตรา 268 วรรค 1 สมณะที่ได้ย้ายออกจากพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นของตนไปยังพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งอื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย หลังจาก 5 ปีผ่านไปให้ถือว่าเขาเข้าสังกัดในพระศาสนจักรที่ย้ายไปอยู่โดยตัวกฎหมายเองถ้าผู้นั้นแสดงเจตจำนงเป็นลายลักษณ์อักษรทั้งต่อพระสังฆราชสังฆมณฑลของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่ย้ายเข้าไป และต่อพระสังฆราชสังฆมณฑลของตนขอแต่ว่าทั้งสองท่านมิได้คัดค้านเป็นลายลักษณ์อักษรภายในเวลา 4 เดือนนับจากที่ได้รับหนังสือแสดงเจตจำนงนั้น

วรรค 2 สมณะที่เข้าสังกัดในสถาบันหรือคณะตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 266 วรรค 2 ให้ถือว่าพ้นจากสังกัดในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นของตนโดยการรับเข้าอยู่ในสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว หรือคณะชีวิตแพร่ธรรมอย่างถาวรและเด็ดขาด

มาตรา 269 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องไม่อนุญาตให้สมณะผู้หนึ่งผู้ใดเข้าสังกัด เว้นแต่

1. ความจำเป็นหรือประโยชน์ของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นของท่านเรียกร้องโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายเกี่ยวกับการครองชีพที่เหมาะสมของสมณะ

2. ท่านต้องแน่ใจจากเอกสารที่ถูกต้องว่าสมณะผู้นั้นได้รับการอนุญาตให้ออกจากสังกัดเดิมและนอกนั้นพระสังฆราชสังฆมณฑลที่สมณะผู้นั้นออกจากสังกัดต้องมีหนังสือรับรองที่พึงมีจากเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตความประพฤติและการศึกษาของสมณะผู้นั้นทั้งนี้ถ้าจำเป็นให้ทำเป็นความลับ

3.  สมณะผู้นั้นต้องแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรต่อพระสังฆราชสังฆมณฑลองค์เดียวกันนั้นว่าตนมีความประสงค์จะอุทิศตนรับใช้พระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งใหม่ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 270 การย้ายสังกัดสามารถอนุญาตได้เมื่อมีเหตุอันชอบเท่านั้น เช่นประโยชน์ของพระศาสนจักร หรือความดีของสมณะนั่นเอง อย่างไรก็ตาม การย้ายสังกัดนี้ปฏิเสธไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุอันหนักกระนั้นก็ดีสมณะที่คิดว่าตนไม่ได้รับความเป็นธรรมและได้พบพระสังฆราชที่รับตนแล้ว อาจทำการร้องเรียนคัดค้านคำตัดสินได้

มาตรา 271 วรรค 1 นอกเหนือจากกรณีความจำเป็นจริงๆของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นของตนพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องไม่ปฏิเสธการอนุญาตให้สมณะย้ายไปยังถิ่นอื่นที่ขาดแคลนสมณะอย่างหนัก เพื่อปฏิบัติศาสนบริการที่นั่นเมื่อท่านเห็นว่าสมณะเหล่านั้นเตรียมพร้อมแล้ว และวินิจฉัยเห็นว่าเหมาะสมจะทำหน้าที่ได้ อย่างไรก็ดีท่านยังต้องเอาใจใส่ให้สิทธิ และหน้าที่ของสมณะเหล่านั้นได้รับการกำหนดโดยมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรกับพระสังฆราชสังฆมณฑลของท้องที่ที่สมณะเหล่านั้นประสงค์จะไป

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถอนุญาตให้สมณะของตนไปปฏิบัติหน้าที่ในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งอื่นในระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งสามารถต่ออายุใหม่ได้อีกหลายครั้งแต่ให้ถือว่าสมณะดังกล่าวยังคงสังกัดพระ ศาสนจักรเฉพาะถิ่นของตน และเมื่อสมณะผู้นั้นกลับมาปฏิบัติหน้าที่ในสังฆมณฑลเดิมก็มีสิทธิทั้งหมดที่พึงมี ถ้าหากได้ปฏิบัติศาสนบริการในสังกัดของตน

วรรค 3 สมณะที่ได้ย้ายไปในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งอื่นอย่างถูกต้องทั้งที่ยังอยู่ในสังกัดเดิมของตนหากมีเหตุผลสมควรพระสังฆราชของตนสามารถเรียกกลับได้ทั้งนี้ให้รักษาไว้ซึ่งข้อตกลงที่ได้กระทำกับพระสังฆราชอีกฝ่ายหนึ่งและรักษาไว้ซึ่งความชอบธรรมอันควรจะเป็นด้วย ภายใต้เงื่อนไขเดียวกันพระสังฆราชสังฆมณฑลของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งอื่นหากมีเหตุผลสมควรก็สามารถปฏิเสธมีให้สมณะคงอยู่ในเขตของท่านต่อไป

มาตรา 272 ผู้รักษาการสังฆมณฑลไม่สามารถให้มีการย้ายสังกัดการเข้าสังกัดหรือการอนุญาตไปปฏิบัติงานในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแห่งอื่นเว้นแต่ว่า ตำแหน่งพระสังฆราชว่างลงครบ 1 ปีและได้รับการยินยอมจากคณะที่ปรึกษา

 

หมวด 3 หน้าที่ และสิทธิของสมณะ

มาตรา 273 สมณะมีพันธะหน้าที่พิเศษที่จะต้องแสดงความเคารพ และความนบนอบต่อสมเด็จพระสันตะปาปาและผู้ปกครองของตน

มาตรา 274 วรรค 1 สมณะเท่านั้นสามารถรับตำแหน่งหน้าที่ ที่จำเป็นต้องมีอำนาจศีลบรรพชาหรืออำนาจปกครองทางพระศาสนจักรในการปฏิบัติ

รรค 2 สมณะจำเป็นต้องรับและปฏิบัติหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ ซึ่งผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจมอบให้ เว้นไว้แต่ว่ามีเหตุผลจากอุปสรรคอันชอบธรรม

มาตรา 275 วรรค 1 เนื่องจากสมณะทั้งหมดทำงานด้วยจุดประสงค์เดียวกันคือการสร้างพระกายพระคริสต์สมณะจึงต้องเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพวกเขาด้วยสายสัมพันธ์แห่งความเป็นพี่น้องและการภาวนาและต้องพยายามมีความร่วมมือระหว่างกันตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะ

วรรค 2 สมณะต้องรับรู้และสนับสนุนพันธกิจซึ่งฆราวาสปฏิบัติตามบทบาทของตนในพระศาสนจักร และในโลก

มาตรา 276 วรรค 1 ในการดำเนินชีวิตนั้นสมณะมีพันธะให้บรรลุความศักดิ์สิทธิ์เป็นพิเศษเนื่องจากได้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าในอีกฐานะหนึ่งด้วยการรับศีลบรรพชาเพื่อเป็นผู้แจกจ่ายธรรมล้ำลึกของพระเป็นเจ้า ในการรับใช้ประชากรของพระองค์

วรรค 2 เพื่อสมณะจะสามารถบรรลุความครบครันนี้

1.   ก่อนอื่นหมด สมณะจะต้องปฏิบัติหน้าที่ในงานอภิบาลอย่างสัตย์ซื่อและอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

2.   สมณะจะต้องหล่อเลี้ยงชีวิตจิตของตนด้วยพระคัมภีร์และศีลมหาสนิทควบคู่กันไปดังนั้นจึงเชิญชวนพระสงฆ์อย่างแข็งขันให้ถวายบูชามิสซาเป็นประจำทุกวันและเชิญชวนสังฆานุกรอย่างแข็งขันให้มีส่วนร่วมในการถวายบูชานี้ทุกวันเช่นกัน

3.   พระสงฆ์รวมทั้งสังฆานุกรที่ปรารถนาจะบวชเป็นพระสงฆ์ด้วยมีพันธะหน้าที่ต้องทำวัตรเป็นประจำทุกวันหนังสือพิธีกรรมเฉพาะและได้รับการรับรองแล้ว ส่วนสังฆานุกรถาวรต้องทำวัตรเฉพาะในส่วนที่สภาพระสังฆราชกำหนด

4.   สมณะมีข้อผูกมัดต้องเข้าเงียบตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะ

5.   ต้องกระตุ้นเตือนสมณะให้อุทิศเวลาแก่การรำพึงภาวนาอย่างสม่ำ-เสมอการรับศีลอภัยบาปบ่อยๆการมีความศรัทธาภักดีอย่างพิเศษต่อพรหมจารีพระชนนีของพระเจ้าและการใช้วิธีการอื่นๆ ทั้งที่เป็นแบบธรรมดาและแบบเฉพาะเพื่อไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์

มาตรา 277 วรรค 1 สมณะจำต้องรักษาความบริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์และตลอดไปเพราะเห็นแก่พระอาณาจักรสวรรค์ และดังนั้นสมณะจำต้องรักษาความเป็นโสดซึ่งเป็นพระคุณพิเศษของพระเป็นเจ้า อาศัยพระคุณนี้ศาสนบริกรทั้งหลายสามารถชิดสนิทได้ง่ายขึ้นกับองค์พระคริสตเจ้าด้วยหัวใจที่ไม่แบ่งแยก และสามารถอุทิศตนอย่างเป็นอิสระมากขึ้นเพื่อรับใช้พระเจ้าและมนุษยชาติ

วรรค 2 สมณะต้องประพฤติตนด้วยความสุขุมรอบคอบอันควรมีในการสมาคมกับบุคคลซึ่งการติดต่อสัมพันธ์อาจนำมาซึ่งอันตรายแก่พันธะหน้าที่ในการรักษาความบริสุทธิ์ หรืออาจเป็นเหตุแห่งการสะดุดแก่สัตบุรุษ

วรรค 3 เป็นอำนาจหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลที่จะออกกฎระเบียบในเรื่องนี้ให้เจาะจงมากขึ้น และที่จะวินิจฉัยตัดสินในกรณีเฉพาะเกี่ยวกับการปฏิบัติตามข้อผูกมัดนี้

มาตรา 278 วรรค 1 สมณะที่ไม่เป็นนักพรตมีสิทธิสมาคมกับผู้อื่นโดยมีจุดประสงค์ เพื่อบรรลุเป้าหมายที่เหมาะสมกับสถานภาพสมณะ

วรรค 2 สมณะที่ไม่เป็นนักพรตต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เป็นต้นแก่สมาคมเหล่านั้น ที่มีกฎระเบียบที่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจรับรองและที่ฟูมฟักความศักดิ์สิทธิ์ในการปฏิบัติศาสนบริการโดยอาศัยแบบการเจริญชีวิตที่เหมาะสมทั้งได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง และโดยอาศัยความร่วมมือกันฉันพี่น้อง และซึ่งส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างสมณะด้วยกันเอง และกับพระสังฆราชของตน

วรรค 3 สมณะต้องละเว้นการจัดตั้งหรือการมีส่วนร่วมในสมาคมที่มีจุดประสงค์หรือมีกิจกรรมที่เข้ากันไม่ได้กับพันธะหน้าที่เฉพาะของสถานภาพสมณะหรือที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็งที่ผู้ทรงอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรได้มอบหมายให้

มาตรา 279 วรรค 1 สมณะแม้ได้บวชเป็นพระสงฆ์แล้วยังต้องศึกษาวิชาศักดิ์สิทธิ์ต่อ ต้องยึดมั่นในคำสอนที่มั่นคงอันมีรากฐานในพระคัมภีร์ ที่ได้รับมอบจากคนรุ่นก่อนสืบต่อกันมาและที่พระศาสนจักรยอมรับโดยทั่วไป และที่มีบรรจุเป็นต้นในเอกสารของสภาสังคายนา และของพระสันตะปาปาพวกเขายังต้องหลีกเลี่ยงคำสอนแปลกใหม่ทางโลกและวิทยาการผิดๆ

วรรค 2 ตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะพระสงฆ์ต้องเข้าฟังการบรรยายเกี่ยวกับการอภิบาลที่ต้องจัดขึ้นหลังการบวชเป็นพระสงฆ์แล้ว บางครั้ง ตามที่ได้กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะเดียวกันนี้พระสงฆ์ยังต้องเข้าร่วมฟังการบรรยายต่างๆ และเข้าร่วมประชุมหรือการอภิปรายทางเทววิทยาซึ่งจะอำนวยให้เขามีโอกาสได้รับความรู้ที่สมบูรณ์ขึ้นในวิชาศักดิ์สิทธิ์และวิธีการอภิบาล

วรรค 3 ในทำนองเดียวกัน พระสงฆ์ยังต้องแสวงหาความรู้ในวิชาการอื่นด้วยเป็นต้นในวิชาการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิชาศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมื่อความรู้นั้นจะเอื้อประโยชน์ในการปฏิบัติงานด้านอภิบาล

มาตรา 280 ขอแนะนำอย่างแข็งขัน ให้สมณะดำเนินชีวิตหมู่คณะแบบใดแบบหนึ่ง ที่ใดที่มีการปฏิบัติเช่นนี้อยู่แล้ว ให้รักษาไว้เท่าที่จะเป็นไปได้

มาตรา 281 วรรค 1 เมื่อสมณะได้อุทิศตนเพื่องานของพระศาสนจักรเขาก็สมควรได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสมกับสถานภาพของเขาโดยพิจารณาทั้งในด้านหน้าที่การงาน และสภาพของสถานที่และเวลาค่าตอบแทนนี้ควรเพียงพอสำหรับใช้จ่ายเพื่อความจำเป็นของชีวิตของตนเองและเป็นค่าตอบแทนอย่างยุติธรรมแก่บุคคลที่รับใช้เขา

วรรค 2 เช่นเดียวกันต้องเตรียมการไว้เพื่อให้เขาได้รับสวัสดิการทางสังคมพอที่จะตอบสนองความจำเป็นของเขาได้อย่างเหมาะสม เมื่อเจ็บป่วยทุพพลภาพหรือชรา

วรรค 3 สังฆานุกรที่แต่งงานซึ่งได้อุทิศตนเพื่องานของพระศาสนจักรเต็มเวลาสมควรได้รับค่าตอบแทนที่เพียงพอสำหรับตนเอง และครอบครัว อย่างไรก็ดีสังฆานุกรแต่งงานที่มีรายได้จากการประกอบอาชีพทางโลกทั้งที่กำลังทำอยู่หรือที่ได้ทำมาแล้วก็ให้ใช้รายได้นั้นสำหรับความต้องการส่วนตัว และครอบครัว

มาตรา 282 วรรค 1 สมณะจะต้องปลูกฝังการดำเนินชีวิตที่เรียบง่าย และให้เว้นจากทุกสิ่งที่มีกลิ่นอายของความฟุ้งเฟ้อ

วรรค 2 ทรัพย์สินที่สมณะได้มาจากการปฏิบัติหน้าที่ในพระศาสนจักรหลังจากการใช้จ่ายเพื่อเลี้ยงตัวเองและเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ตามฐานะของตนอย่างเหมาะสมแล้วควรใช้ทรัพย์สินที่เหลือเพื่อประโยชน์ของพระศาสนจักรและงานเมตตาจิต

มาตรา 283 วรรค 1 สมณะ แม้ว่าไม่มีหน้าที่ที่ต้องอยู่ประจำถึงกระนั้นก็ต้องไม่ออกนอกสังฆมณฑลของตนเป็นระยะเวลานานเกินควรซึ่งจะต้องกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะถิ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างน้อยชนิดที่สันนิษฐานเอาจากผู้ใหญ่ของตน

วรรค 2 อย่างไรก็ดี สมณะมีสิทธิ์มีวันหยุดที่พึงมีและเพียงพอทุกปี ซึ่งต้องกำหนดในกฎหมายสากล หรือกฎหมายเฉพาะถิ่น

มาตรา 284 สมณะต้องแต่งเครื่องแบบสมณะที่สุภาพ ตามกฎเกณฑ์ที่สภาพระสังฆราชได้กำหนด และตามประเพณีอันชอบของท้องถิ่น

มาตรา 285 วรรค 1 สมณะต้องละเว้นอย่างสิ้นเชิงจากทุกสิ่งที่ทำให้เสื่อมเกียรติแก่สถานภาพของตนตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะถิ่น

วรรค 2 สมณะจะต้องหลีกเลี่ยงสิ่งที่ผิดแปลกไปจากสถานภาพของตน แม้จะไม่ทำให้เกิดความเสื่อมเสีย

วรรค 3 ห้ามสมณะรับตำแหน่งหน้าที่สาธารณะ ซึ่งทำให้มีส่วนในการใช้อำนาจฝ่ายบ้านเมือง

วรรค 3 ห้ามสมณะรับตำแหน่งหน้าที่สาธารณะ ซึ่งทำให้มีส่วนในการใช้อำนาจฝ่ายบ้านเมือง

วรรค 4 หากไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ของตนห้ามสมณะรับเป็นผู้จัดการทรัพย์สินซึ่งเป็นของฆราวาสหรือห้ามรับตำแหน่งหน้าที่ทางโลกซึ่งจะต้องรายงานความรับผิดชอบ ห้ามเป็นผู้ค้ำประกันแม้ด้วยทรัพย์สินของตนเองโดยมิได้ปรึกษาผู้ใหญ่ของตน ในทำนองเดียวกันสมณะต้องไม่ลงนามในตั๋วสัญญาใช้เงินที่มีข้อผูกมัดการชำระเงินที่ไม่มีเหตุผลที่แน่ชัด

มาตรา 286 ห้ามสมณะประกอบธุรกิจ หรือการค้าด้วยตัวเองหรือโดยคนอื่นเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือของผู้อื่นเว้นไว้แต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากผู้ทรงอำนาจอันชอบธรรมฝ่ายพระศาสนจักร

มาตรา 287 วรรค 1 สมณะจะต้องส่งเสริม อย่างมากที่สุดเสมอซึ่งสันติ และความปรองดองกันอันตั้งอยู่บนรากฐานของความยุติธรรมที่จะต้องรักษาไว้ท่ามกลางมวลมนุษย์

วรรค 2 สมณะต้องไม่มีส่วนอย่างมีบทบาทในพรรคการเมือง และในการบริหารสหภาพแรงงาน เว้นไว้แต่ว่าเป็นการจำเป็นเพื่อป้องกันสิทธิของพระศาสนจักรหรือเพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ส่วนรวมตามวิจารณญาณของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร

มาตรา 288 สังฆานุกรถาวร ไม่จำเป็นต้องถือตามข้อกำหนดของมาตรา 284, 185 วรรค 3และ4, 286, 287 วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายเฉพาะถิ่นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 289 วรรค 1 เนื่องจากว่า การรับราชการทหารไม่ค่อยเหมาะกับสถานภาพสมณะบรรดาสมณะและผู้สมัครรับศีลบรรพชา ต้องไม่อาสาสมัครรับราชการทหารเว้นไว้แต่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ของตน

วรรค 2 สมณะควรใช้ข้อยกเว้น ซึ่งกฎหมายหรือข้อตกลงหรือขนบธรรมเนียมเปิดโอกาสให้ไม่ต้องตำแหน่งหน้าที่ราชการฝ่ายพลเรือนที่ไม่เหมาะกับสถานภาพสมณะเว้นแต่ว่าผู้ใหญ่ของตนจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่นในกรณีเฉพาะ

 

หมวด 4 การสูญเสียสถานภาพสมณะ

มาตรา 290 ศีลบรรพชาเมื่อรับอย่างถูกต้องแล้วกลับเป็นโมฆะไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามสมณะจะสูญเสียสถานภาพสมณะได้

1.       โดยการตัดสินของศาล หรือโดยกฤษฎีกาฝ่ายบริหาร ที่ประกาศว่าการบรรพชาเป็นโมฆะ

2.       โดยการลงโทษให้ปลด-ออกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

3.       โดยพระราชกำหนดของสันตะสำนักซึ่งสันตะสำนักจะอนุมัติให้แก่สังฆานุกรเฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลอันหนักและแก่พระสงฆ์เฉพาะในกรณีที่มีเหตุผลอันหนักที่สุด

มาตรา 291 นอกจากกรณีที่กล่าวถึงในมาตรา 290 ข้อ 1 การสูญเสียสถานภาพสมณะนั้นไม่รวมถึงการยกเว้นข้อบังคับการถือโสดซึ่งพระสันตะปาปาผู้เดียวเท่านั้นจะอนุมัติให้ได้

มาตรา 292 สมณะที่สูญเสียสถานภาพสมณะตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายก็สูญเสียสิทธิที่ติดมากับสถานภาพสมณะนั้นด้วย และไม่ถูกผูกมัดด้วยพันธะใดๆของสถานภาพสมณะ แต่ทั้งนี้ให้คงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 291 ห้ามใช้อำนาจศีลบรรพชา โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 976 และโดยปริยายก็สูญเสียตำแหน่งหน้าที่การงานทั้งหมดและอำนาจใดๆ ที่ได้รับมอบ

มาตรา 293 สมณะที่สูญเสียสถานภาพสมณะ ไม่สามารถเข้าสังกัดในกลุ่มสมณะได้อีก เว้นแต่โดยพระราชกำหนดของพระสันตะสำนัก

 

ลักษณะ 4 สังฆองค์กรเฉพาะบุคคล

มาตรา 294 สังฆองค์กรเฉพาะบุคคลซึ่งประกอบด้วยสงฆ์และสังฆานุกรของคณะสมณะพื้นเมืองสามารถตั้งขึ้นได้โดยสันตะสำนักหลังจากได้ปรึกษากับสภาพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องเพื่อส่งเสริมการจัดสรรพระสงฆ์อย่างเหมาะสมหรือเพื่อปฏิบัติงานอภิบาลหรืองานแพร่ธรรมเฉพาะตามความต้องการของท้องที่ต่างๆ หรือของกลุ่มทางสังคมที่แตกต่างกัน

มาตรา 295 วรรค 1 สังฆองค์กรเฉพาะบุคคลปกครองโดยกฎระเบียบซึ่งสันตะสำนักได้ตั้งขึ้น และมีสังฆนายกเป็นประมุขในฐานะเป็นผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเฉพาะซึ่งมีสิทธิจัดตั้งสามเณราลัยระดับชาติหรือระดับนานาชาติมีสิทธิที่จะรับนักศึกษาเข้าสังกัดและให้พวกเขารับศีลบรรพชาในสังกัดงานของสังฆองค์กร

วรรค 2 สังฆนายกต้องจัดการให้ผู้ที่ได้รับเข้าสังกัดดังกล่าวได้รับการอบรมฝ่ายจิต และได้รับการช่วยเหลือในการดำรงชีพอย่างมีศักดิ์ศรี

มาตรา 296 ฆราวาสสามารถอุทิศตนเพื่องานแพร่ธรรมของสังฆองค์กรเฉพาะบุคคลโดยได้มีข้อตกลงกับ   สังฆองค์กร ส่วนวิธีของการร่วมมือในรูปองค์กรรวมทั้งหน้าที่ และสิทธิอันสำคัญที่เกี่ยวข้องให้กำหนดอย่างเหมาะสมไว้ในกฎระเบียบ

มาตรา 297 เช่นเดียวกันกฎระเบียบต้องกำหนดความสัมพันธ์ระหว่างสังฆองค์กรเฉพาะบุคคลกับผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ ท้องถิ่น ซึ่งในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นของท่านสังฆองค์กรนั้นปฏิบัติงานอยู่ หรือปรารถนาปฏิบัติงานอภิบาล หรืองานแพร่ธรรมทั้งนี้โดยได้รับความเห็นชอบจากพระสังฆราชสังฆมณฑลก่อน

 

ลักษณะ 5 สมาคมคริสตชน

หมวด 1 กฎเกณฑ์ทั่วไป

มาตรา 298 วรรค 1 ในพระศาสนจักรมีสมาคมที่แตกต่างจากสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วและคณะชีวิตแพร่ธรรม ซึ่งในสมาคมเหล่านี้คริสตชนไม่ว่าจะเป็นสมณะหรือร่วมกันที่จะฟูมฟักชีวิตให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นหรือส่งเสริมคารวกิจสาธารณะ และคำสอนคริสชนหรือเพื่อปฏิบัติงานแพร่ธรรมอื่นๆ เช่น การประกาศพระวรสารที่ได้เริ่มแล้วการดำเนินกิจกรรมด้านความศรัทธาหรือกิจเมตตา และเพื่อปลุกสังคมโลกให้มีจิตตารมณ์ คริสตชน

วรรค 2 คริสตชนควรสมัครเป็นสมาชิกโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมาคมที่ได้รับการตั้งขึ้นหรือได้รับการยกย่อง หรือได้รับการแนะนำ โดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจพระศาสนจักร

มาตรา 299 วรรค 1 คริสตชนมีสิทธิเต็มที่ในการจัดตั้งสมาคมโดยการตกลงระหว่างกันเองเพื่อจุดประสงค์ดังที่มีกล่าวไว้ในมาตรา 298 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 301 วรรค 1

วรรค 2 สมาคมประเภทนี้ แม้ว่าได้รับการยกย่อง หรือได้รับการแนะนำจากผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร ก็ยังเรียกว่าเป็นสมาคมส่วนบุคคล

วรรค 3 ไม่มีสมาคมส่วนบุคคลใดของคริสตชนได้รับการรับรู้ในพระศาสนจักร เว้นไว้แต่ว่ากฎระเบียบของสมาคมนั้นได้รับการรับรองจากผู้ใหญ่มีอำนาจ

มาตรา 300 ห้ามสมาคมใดๆ ใช้ชื่อ คาทอลิกโดยมิได้รับความยินยอมจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 312

มาตรา 301 วรรค 1 เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรแต่ผู้เดียวที่จะจัดตั้งสมาคมคริสตชน ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่จะสอนคำสอนคริสตศาสนาในนามของพระศาสนจักร หรือส่งเสริมคารวกิจสาธารณะ หรือมีจุดมุ่งหมายอื่นซึ่งการดำเนินงานไปสู่จุดหมายนั้น โดยธรรมชาติสงวนไว้สำหรับผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรผู้เดียวกัน

วรรค 2 หากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรเห็นสมควรก็สามารถจัดตั้งสมาคมคริสตชน เพื่อบรรลุเป้าหมายอื่นๆ ทางจิตใจทั้งทางตรงหรือทางอ้อมซึ่งการริเริ่มส่วนบุคคลยังจัดการไว้ไม่เพียงพอเพื่อบรรลุเป้าหมายนั้น

วรรค 3 สมาคมคริสตชนที่ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรจัดตั้งขึ้นเรียกว่า สมาคมสาธารณะ

มาตรา 302 ให้เรียกสมาคมคริสตชนว่าสมาคมสมณะเมื่อสมาคมนั้นมีสมณะเป็นผู้ดำเนินการ มีการใช้อำนาจศีลบรรพชาในการบริหารและเมื่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจให้การรับรองว่าเป็นสมาคมสมณะ

มาตรา 303 สมาคมที่มีสมาชิกดำเนินชีวิตธรรมทูตและมุ่งสู่ความครบครันแบบคริสตชนขณะที่ดำเนินชีวิตในโลกและเจริญชีวิตตามจิตตารมณ์ของนักพรตภายใต้การปกครองดูแลที่เหนือกว่าของสถาบันเดียวกันเรียกว่าสมาคมชั้นสามหรือชื่ออื่นที่เหมาะสม

มาตรา 304 วรรค 1 สมาคมคริสตชนทุกสมาคมไม่ว่าจะเป็นสมาคมสาธารณะหรือสมาคมส่วนบุคคล ไม่ว่าจะใช้ชื่ออื่นใดก็ตามจะต้องมีกฎระเบียบที่กำหนดเป้าหมายของสมาคม หรือวัตถุประสงค์ทางสังคมที่ตั้งสำนักงานการปกครองดูแล และเงื่อนไขของสมาชิกภาพพร้อมกับกำหนดนโยบายไว้ด้วยโดยพิจารณาจำเป็นหรือผลประโยชน์ของกาลเวลาและสถานที่

วรรค 2 สมาคมต้องเลือกชื่อสมาคมให้เหมาะกับความนิยมของยุคสมัยและสถานที่ เป็นต้นเลือกให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของสมาคมเอง

มาตรา 305 วรรค 1 สมาคมคริสตชนทุกสมาคมต้องอยู่ในความดูแลของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร ซึ่งมีหน้าที่ดูแลให้สมาคมเหล่านั้นรักษาไว้ซึ่งความเชื่อ และศีลธรรมอย่างครบถ้วน และสอดส่องมิให้มีการปฏิบัตินอกลู่นอกทางแทรกซึมในระเบียบวินัยของพระศาสนจักรดังนั้นผู้ใหญ่จึงมีสิทธิ และหน้าที่ในการออกเยี่ยมสมาคมเหล่านี้ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย และกฎระเบียบของสมาคมสมาคมดังกล่าวยังต้องอยู่ภายใต้การปกครองของอำนาจเดียวกันตามกฎเกณฑ์ในมาตราต่างๆ ต่อไปนี้

วรรค 2 สมาคมไม่ว่าประเภทใด อยู่ภายใต้ความดูแลของสันตะสำนักสมาคมของสังฆมณฑล และสมาคมอื่นๆเท่าที่ดำเนินงานอยู่ในสังฆมณฑลนั้นก็อยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจท้องถิ่นนั้นด้วย

มาตรา 306 เพื่อให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งได้รับสิทธิและเอกสิทธิ์ พระคุณการุณย์และพระพรฝ่ายจิตอื่นๆ ทั้งหลายที่สมาคมได้รับมาจำเป็น และเพียงพอที่บุคคลนั้นได้เข้าเป็นสมาชิกอย่างถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมายและกฎระเบียบของสมาคมนั้น และทั้งยังไม่ได้ถูกให้ออกจากสมาคมนั้นโดยชอบด้วยกฎหมาย

 

มาตรา 307 วรรค 1 การรับสมาชิกต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย และกฎระเบียบของแต่ละสมาคม

วรรค 2 บุคคลเดียวกันสามารถเข้าเป็นสมาชิกในหลายสมาคมได้

วรรค 3 สมาชิกของสถาบันนักพรต สามารถเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมต่างๆ ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะของสถาบันนั้นๆ โดยได้รับความยินยอมจากผู้ใหญ่ของตน

มาตรา 308 ไม่มีผู้ใดที่ได้เข้าเป็นสมาชิกอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วจะถูกให้ออกจากสมาคมได้เว้นแต่มีเหตุอันชอบธรรมตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย และกฎระเบียบของสมาคม

มาตรา 309 สมาคมที่จัดตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วมีสิทธิตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย และกฎระเบียบของสมาคมที่จะออกกฎระเบียบเฉพาะเกี่ยวกับสมาคมเอง จัดการประชุมต่างๆ ตั้งบรรดาผู้ดำเนินการประชุม เจ้าหน้าที่ บุคลากรอื่นๆ และผู้จัดการทรัพย์สิน

มาตรา 310 สมาคมส่วนบุคคลที่ไม่ได้ตั้งเป็นนิติบุคคลไม่สามารถมีหน้าที่และสิทธิใดๆ เฉกเช่นนิติบุคคลอย่างไรก็ดีคริสตชนที่รวมตัวกันในสมาคมนั้นสามารถร่วมกันทำสัญญาผูกมัด และได้มาซึ่งสิทธิต่างๆและมีทรัพย์สินในฐานะเจ้าของ และผู้ครอบครองร่วมกันพวกเขาสามารถใช้สิทธิ และหน้าที่นั้น โดยผ่านทางผู้รับมอบอำนาจหรือตัวแทน

มาตรา 311 บรรดาสมาชิกของสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วที่เป็นประธานหรือช่วยเหลือสมาคมต่างๆ ซึ่งรวมตัวกับสถาบันด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งพึงเอาใจใส่ให้สมาคมนั้นช่วยงานแพร่ธรรมที่ดำเนินอยู่ในสังฆมณฑลเฉพาะอย่างยิ่งโดยการร่วมมือกับสมาคมอื่นๆ ซึ่งมีแนวปฏิบัติงานแพร่ธรรมร่วมกันอยู่แล้วในสังฆมณฑลภายใต้การนำของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

 

หมวด 2 สมาคมสาธารณะของคริสตชน

มาตรา 312 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจในการก่อตั้งสมาคมสาธารณะได้แก่

1.       สันตะสำนัก มีอำนาจก่อตั้งสมาคมสากล และสมาคมระหว่างชาติ

2.       สภาพระสังฆราช มีอำนาจก่อตั้งสมาคมระดับชาติในเขตปกครองของตน กล่าวคือมีจุดหมายในการก่อตั้งเพื่อทำงานทั่วประเทศ

3.       พระสังฆราชสังฆมณฑล แต่ไม่ใช่ผู้รักษาการสังฆมณฑลมีอำนาจก่อตั้งสมาคมระดับสังฆมณฑลในเขตปกครองของตน กระนั้นก็ดียกเว้นสมาคมที่สิทธิในการก่อตั้งนั้นได้สงวนไว้ให้บุคคลอื่นโดยเอกสิทธิ์ของสันตะสำนัก

วรรค 2 การก่อตั้งสมาคมหรือสาขาสมาคมในสังฆมณฑลต้องมีการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรของพระสังฆราชสังฆมณฑลแม้ว่าการก่อตั้งนี้ได้กระทำโดยสิทธิพิเศษของสันตะสำนักอย่างไรก็ดีการอนุญาตที่ได้รับจากพระสังฆราชสังฆมณฑลเพื่อตั้งบ้านสถาบันนักพรตมีผลอนุญาตให้ตั้งสมาคมที่เป็นเฉพาะของสถาบันนักพรตในบ้านเดียวกันนั้นหรือในวัดที่ติดขึ้นกับบ้านนั้น

มาตรา 313 สมาคมสาธารณะ เช่นเดียวกับสมาพันธ์ของสมาคมทางการที่ตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคลโดยกฤษฎีกาซึ่งประกอบออกมาโดยผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรที่มีอำนาจตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 312 และดังนั้นจึงรับพันธกิจซึ่งจำเป็นต้องมีเพื่อบรรลุเป้าหมายที่สมาคมเสนอให้ตนเองทำในนามของพระศาสนจักร

มาตรา 314 กฎระเบียบของสมาคมสาธารณะใดๆ รวมทั้งการทบทวนหรือการเปลี่ยนแปลงต้องได้รับการรับรองจากผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรซึ่งมีอำนาจตั้งสมาคมตามกฎเฏฑ์ของมาตรา 312 วรรค 1

มาตรา 315 สมาคมสาธารณะ โดยความคิดริเริ่มของตนเองสามารถเริ่มกิจกรรมที่สอดคล้องกับธรรมชาติของสมาคมและสามารถปรับกิจกรรมให้สอดคล้องกับกฎระเบียบของสมาคมแต่ต้องอยู่ภายใต้การนำที่เหนือกว่าของผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรดังที่กล่าวไว้ในมาตรา 312 วรรค 1

มาตรา 316 วรรค 1 ผู้ใดที่ปฏิเสธความเชื่อคาทอลิกอย่างเปิดเผยหรือละทิ้งความสัมพันธ์กับพระศาสนจักรหรือถูกโทษตัดขาดจากพระศาสนจักรโดยการลงโทษ หรือโดยการประกาศไม่สามารถรับเข้าเป็นสมาชิกในสมาคมสาธารณะได้อย่างถูกต้อง

วรรค 2 บรรดาผู้ได้เข้าเป็นสมาชิกอย่างถูกต้องตามกฎหมายซึ่งตกอยู่ในสภาพการณ์ที่กล่าวไว้ในวรรค 1 หลังจากได้รับการเตือนแล้ว ให้ตัดออกจากสมาคมโดยถือตามกฎระเบียบของสมาคม และคงไว้ซึ่งสิทธิร้องเรียนต่อผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรที่กล่าวไว้ในมาตรา 312 วรรค 1

มาตรา 317 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่ามีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในกฎระเบียบผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรที่กล่าวในมาตรา 312 วรรค 1 มีสิทธิที่จะรับรองบุคคลที่ได้รับเลือกจากสมาคมให้เป็นประธานของสมาคมสาธารณะ หรือแต่งตั้งผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อหรือเลือกตั้งแต่งตั้งบุคคลตามสิทธิของตนเองผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรผู้เดียวกันนี้ สามารถแต่งตั้งจิตตาภิบาลหรือผู้ช่วยฝ่ายศาสนจักรทั้งนี้โดยรับฟังเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสมาคมก่อนเมื่อเห็นสมควร

วรรค 2 กฎเกณฑ์ที่กล่าวถึงใน วรรค 1 นั้นใช้ได้สำหรับสมาคมที่สมาชิกของสถาบันนักพรตตั้งขึ้นนอกเขตวัดหรือนอกบ้านของตน โดยอาศัยเอกสิทธิ์สันตะสำนัก อย่างไรก็ดีในสมาคมที่สมาชิกของสถาบันนักพรตตั้งขึ้นในเขตวัดหรือบ้านของตนเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ของสถาบันที่จะแต่งตั้งหรือรับรองประธาน และจิตตาภิบาลตามกฎระเบียบของสถาบัน

วรรค 3 ในสมาคมที่ไม่ใช่สมาคมสมณะ ฆราวาสสามารถทำหน้าที่เป็นประธานอย่าให้จิตตาภิบาล หรือผู้ช่วยฝ่ายศาสนจักรรับหน้าที่นี้ เว้นไว้แต่ว่ากฎระเบียบกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 4 บุคคลผู้ซึ่งทำหน้าที่บริหารในพรรคการเมืองไม่สามารถเป็นประธานในสมาคมสาธารณะของคริสตชน ซึ่งมีจุดประสงค์โดยตรงเพื่องานแพร่ธรรม

มาตรา 318 วรรค 1 ในสถานการณ์พิเศษ เมื่อมีเหตุผลอันหนักเรียกร้องผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรที่กล่าวถึงในมาตรา 312 วรรค 1 สามารถแต่งตั้งผู้ที่ไว้วางใจให้บริหารงานของสมาคมเป็นการชั่วคราวในนามของตน

วรรค 2 บุคคลที่แต่งตั้งหรือรับรองประธานสมาคมสาธารณะสามารถปลดประธานสมาคมด้วยเหตุผลอันชอบ หลังจากได้รับฟังทั้งจากประธานและเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสมาคม ตามกฎเกณฑ์ของกฎระเบียบของสมาคมอย่างไรก็ดีบุคคลที่แต่งตั้งจิตตาภิบาลก็สามารถปลดเขาได้ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 192-195

มาตรา 319 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่าได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นสมาคมสาธารณะที่ตั้งขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายบริหารทรัพย์สินที่สมาคมครอบครองตามกฎเกณฑ์ของกฎระเบียบของสมาคมภายใต้การนำของผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรที่เหนือกว่าซึ่งกล่าวถึงในมาตรา 312 วรรค 1 ผู้ซึ่งสมาคมต้องรายงานการบริหารให้ทราบทุกปี

วรรค 2 สมาคมต้องทำรายงานอย่างสัตย์ซื่อต่อผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรผู้เดียวกันนั้นถึงการใช้จ่ายเกี่ยวกับของถวาย และทานบริจาคที่ได้รับ

มาตรา 320 วรรค 1 สมาคมที่สันตะสำนักตั้งขึ้น ยุบได้โดยพระสันตะปาปาเท่านั้น

วรรค 2 สมาคมที่สภาพระสังฆราชตั้งขึ้นยุบได้โดยสภาเดียวกันด้วยเหตุผลอันหนัก สมาคมที่พระสังฆราชสังฆมณฑลตั้งขึ้น ยุบได้โดยท่านเอง และสมาคมที่สมาชิกของสถาบันนักพรตอาศัยการอนุมัติพิเศษของสันตะสำนักตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของพระสังฆราชสังฆมณฑล ก็ยุบได้โดยท่านเองเช่นเดียวกัน

วรรค 3 ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจไม่สามารถยุบสมาคมสาธารณะได้ โดยมิได้ฟังรายงานจากประธาน และเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของสมาคมเสียก่อน

 

หมวด 3 สมาคมส่วนบุคคลของคริสตชน

มาตรา 321 คริสตชนกำหนดทิศทาง และบริหารสมาคมส่วนบุคคลตามข้อกำหนดของระเบียบข้อบังคับของสมาคม

มาตรา 322 วรรค 1 สมาคมส่วนบุคคลของคริสตชนสามารถได้มาซึ่งความเป็นนิติบุคคลโดยกฤษฎีกาทางการของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรดังที่กล่าวไว้ในมาตรา 312

วรรค 2 ไม่มีสมาคมส่วนบุคคลใดของคริสตชนสามารถได้มาซึ่งความเป็นนิติบุคคลเว้นไว้แต่ว่าระเบียบข้อบังคับของสมาคมนั้นได้รับการรับรองจากผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรดังกล่าวไว้ในมาตรา 312 วรรค 1 อย่างไรก็ดีการรับรองระเบียบข้อบังคับนั้นไม่เปลี่ยนลักษณะส่วนบุคคลของสมาคม

มาตรา 323 วรรค 1 แม้ว่าสมาคมส่วนบุคคลของคริสตชนมีความเป็นเอกเทศตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 321สมาคมเหล่านั้นยังต้องขึ้นต่อการสอดส่องดูแลของผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรตามกฏเกณฑ์ของมาตรา 305 และเช่นเดียวกันยังต้องขึ้นต่อการปกครองของผู้ใหญ่บุคคลเดียวกันนั้น

วรรค 2 เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรด้วยที่จะสอดส่องดูแล และเอาใจใส่มิให้การปฏิบัติงานเป็นไปคนละทิศละทาง และให้การปฏิบัติงานแพร่ธรรมมุ่งสู่ความดีส่วนรวมทั้งนี้โดยเคารพต่อความเป็นเอกเทศเฉพาะของสมาคมส่วนบุคคล

มาตรา 324 วรรค 1 สมาคมส่วนบุคคลของคริสตชน มีอิสระที่จะเลือกประธานและเจ้าหน้าที่ของตนตามกฎเกณฑ์ของกฎระเบียบข้อบังคับของสมาคม

วรรค 2 ถ้ามีความต้องการสมาคมส่วนบุคคลของคริสตชนก็สามารถเลือกผู้ให้คำปรึกษาฝ่ายจิตอย่างอิสระจากบรรดาพระสงฆ์ที่ปฏิบัติงานโดยชอบด้วยกฎหมายในสังฆมณฑล กระนั้นก็ดีพระสงฆ์นั้นยังต้องได้รับการรับรองจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

มาตรา 325 วรรค 1 สมาคมส่วนบุคคลของคริสตชนสามารถบริหารทรัพย์สินที่ครอบครองอยู่ได้อย่างเสรีตามข้อกำหนดของระเบียบข้อบังคับของสมาคมทั้งนี้โดยคงไว้ซึ่งสิทธิของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรที่จะสอดส่องดูแลให้ใช้ทรัพย์สินเหล่านั้นไปตามจุดประสงค์ของสมาคม

วรรค 2 สมาคมต้องขึ้นต่ออำนาจของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1301 ในเรื่องเกี่ยวกับการบริหาร และการแจกจ่ายทรัพย์สินที่ได้รับบริจาค หรือที่ได้รับมอบเพื่องานเมตตาจิต

มาตรา 326 วรรค 1 สมาคมส่วนบุคคลของคริสตชนสิ้นสภาพลงตามกฎเกณฑ์ของระเบียบข้อบังคับของสมาคม สมาคมสามารถถูกยุบได้ด้วยโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจหากกิจการของสมาคมก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงต่อคำสอนหรือระเบียบวินัยของพระศาสนจักร หรือเป็นที่สะดุดแก่คริสตชน

วรรค 2 ทรัพย์สินของสมาคมที่สิ้นสภาพลงนั้นต้องจัดการให้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ของระเบียบข้อบังคับของสมาคมทั้งนี้โดยคำนึงถึงสิทธิที่ได้มา และเจตนาของผู้ถวาย

 

หมวด 4 กฎเกณฑ์พิเศษสำหรับสมาคมฆราวาส

มาตรา 327 คริสตชนฆราวาสต้องให้ความสำคัญอย่างมากต่อสมาคมต่างๆที่ตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ฝ่ายจิต ดังที่กล่าวไว้ในมาตรา 298 และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาคมที่มุ่งทำให้ระเบียบฝ่ายโลกมีจิตตารมณ์คริสตชนและโดยวิธีนี้ก็ส่งเสริมความเชื่อ และชีวิตให้สนิทเป็นหนึ่งเดียวอย่างแนบแน่นยิ่งขึ้น

มาตรา 328 บรรดาผู้ซึ่งเป็นประธานของสมาคมฆราวาสแม้ของบรรดาสมาคมที่ตั้งขึ้นโดยเอกสิทธิ์ของสันตะสำนักด้วยต้องเอาใจใส่ให้สมาคมของตนร่วมมือกับสมาคมคริสตชนอื่นๆ เท่าที่จะทำได้ และเต็มใจช่วยเหลืองาน คริสตชนต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่อยู่ในเขตเดียวกัน

มาตรา 329 ประธานสมาคมฆราวาสต้องเอาใจใส่ เพื่อให้สมาชิกของสมาคมได้รับการอบรมเท่าที่ควร เพื่อทำงานแพร่ธรรมที่เป็นของฆราวาสโดยเฉพาะ

 

 

 

ภาค 2 ธรรมนูญแห่งฐานานุกรมของพระศาสนจักร

 

ตอน 1 อำนาจสูงสุดของพระศาสนจักร

หมวด 1 สมเด็จพระสันตะปาปา และคณะพระสังฆราช

มาตรา 330 ตามพระประสงค์ของพระเจ้า นักบุญเปโตรและอัครสาวกอื่นๆประกอบเป็นคณะเดียวฉันใด พระสันตะปาปา ผู้สืบตำแหน่งนักบุญเปโตรและบรรดาพระสังฆราชผู้สืบตำแหน่งอัครสาวก ก็ประกอบเป็นหนึ่งเดียวกันฉันนั้น

ส่วน 1 สมเด็จพระสันตะปาปา

มาตรา 331 พระสังฆราชแห่งพระศาสนจักรกรุงโรมผู้ซึ่งได้รับมอบตำแหน่งหน้าที่ที่พระเจ้าได้มอบเป็นพิเศษแก่นักบุญเปโตรผู้เป็นอันดับแรกในบรรดาอัครสาวก และต้องถ่ายทอดตำแหน่งนี้แก่ผู้สืบตำแหน่งของท่านต่อไปท่านเป็นหัวหน้าคณะพระสังฆราช เป็นผู้แทนของพระคริสตเจ้าและเป็นนายชุมพาบาลของพระศาสนจักรสากลในโลกนี้ ด้วยเหตุนี้โดยตำแหน่งหน้าที่ของท่าน ท่านจึงมีอำนาจปกติสูงสุดเต็มเปี่ยมโดยตรงและสากลในพระศาสนจักรซึ่งท่านสามารถใช้อำนาจนี้อย่างอิสระเสมอ

มาตรา 332 วรรค 1 สมเด็จพระสันตะปาปาทรงได้รับอำนาจเต็มและสูงสุดในพระศาสนจักรโดยวิธีการเลือกตั้งอันชอบด้วยกฎหมายซึ่งท่านเองยอมรับพร้อมกับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช ดังนั้นผู้ที่ได้รับเลือกที่มีฐานันดรพระสังฆราชอยู่แล้วก็จะได้รับอำนาจเป็นพระ-สันตะปาปาทันทีที่ผู้นั้นยอมรับผลการเลือกตั้งแต่ถ้าหากผู้ที่ได้รับเลือกยังมิได้มีฐานันดรพระสังฆราช ก็ให้ผู้นั้นรับอภิเษกเป็นพระสังฆราชในขณะนั้นเลย

วรรค 2 หากเกิดกรณีที่พระสันตะปาปาสละตำแหน่งของท่านเพื่อให้การสละตำแหน่งมีผล ต้องให้การสละตำแหน่งนั้นเป็นไปอย่างอิสระและต้องแสดงเจตจำนงนี้อย่างถูกต้องโดยไม่จำเป็นให้ผู้ใดยอมรับการสละตำแหน่งดังกล่าว

มาตรา 333 วรรค 1 พระสันตะปาปาอาศัยตำแหน่งหน้าที่ของท่านเองมีอำนาจไม่เพียงแต่ในพระศาสนจักรสากลเท่านั้นแต่ยังมีอำนาจปกติอันสูงสุดเหนือพระศาสนจักรท้องถิ่นทั้งหมด และเหนือกลุ่มของพระศาสนจักรเหล่านั้นด้วยและอำนาจสูงสุดของพระองค์ ทำให้อำนาจเฉพาะปกติ และโดยตรงซึ่งบรรดาพระสังฆราชมีในพระศาสนจักรท้องถิ่น ภายใต้การดูแลของตนมีความมั่นคง และปลอดภัย

วรรค 2 พระสันตะปาปาในการปฏิบัติหน้าที่เป็นผู้อภิบาลสูงสุดของพระศาสนจักรพระองค์ปฏิบัติหน้าที่เป็นหนึ่งเดียวเสมอกับบรรดาพระสังฆราชอื่นๆ และยิ่งกว่านั้นกับพระศาสนจักรสากลด้วย อย่างไรก็ตามพระองค์มีสิทธิกำหนดรูปแบบการใช้อำนาจนี้ไม่ว่าเป็นแบบส่วนตัวหรือเป็นแบบหมู่คณะ ทั้งนี้ตามความจำเป็นของพระศาสนจักร

วรรค 3 ไม่มีการอุทธรณ์หรือการร้องเรียน โต้แย้งคำตัดสินหรือกฤษฎีกาของพระสันตะปาปา

มาตรา 334 บรรดาพระสังฆราชพร้อมให้ความช่วยเหลือพระสันตะปาปาในการปฏิบัติหน้าที่ของพระองค์ โดยให้ความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ หนึ่งในรูปแบบเหล่านั้นคือสมัชชาพระสังฆราช นอกนั้น บรรดาพระคาร์ดินัล รวมทั้งบุคคลอื่นและองค์กรต่างๆ ก็มีส่วนช่วยเหลือพระองค์ตามความจำเป็นของยุคสมัยบุคคลและองค์กรเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบในนาม และอำนาจของพระองค์เพื่อประโยชน์ของพระศาสนจักรทั้งมวลตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายบัญญัติไว้

มาตรา 335 เมื่อตำแหน่งพระสันตะปาปาว่างลงหรือเมื่อพระองค์ถูกขัดขวางมิให้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสิ้นเชิงห้ามมีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ในการปกครองพระ-ศาสนจักรสากลอย่างไรก็ตามให้ปฏิบัติตามกฎหมายที่ได้ตราไว้พิเศษ สำหรับสถานการณ์เหล่านี้

ส่วน 2 คณะพระสังฆราช

มาตรา 336 คณะพระสังฆราช ซึ่งมีพระสันตะปาปาเป็นประมุขและซึ่งมีบรรดาพระสังฆราชเป็นสมาชิก โดยศีลอภิเษก และโดยสายสัมพันธ์ทางฐานันดรกับผู้เป็นประมุข และกับบรรดาสมาชิกของคณะ และซึ่งในคณะนั้นคณะอัครสาวกดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องพร้อมกับประมุขของตนและไม่เคยปราศจากประมุขเลยเป็นคณะที่มีอำนาจสูงสุด และอำนาจเต็มเหนือพระศาสนจักรสากลด้วย

มาตรา 337 วรรค 1 คณะพระสังฆราชใช้อำนาจปกครองพระศาสนจักรสากลอย่างสง่าในสังคายนาสากล

วรรค 2 คณะพระสังฆราชใช้อำนาจเดียวกันนี้โดยการปฏิบัติร่วมกันของบรรดาพระสังฆราชที่กระจายอยู่ทั่วโลกซึ่งการกระทำร่วมกันนั้น พระสันตะปาปาได้ประกาศหรือยอมรับเป็นเช่นนั้นอย่างอิสระ เพื่อว่าการกระทำนั้นมีผลเป็นการกระทำที่มีลักษณะที่เป็นคณะอย่างแท้จริง

วรรค 3 เป็นหน้าที่ของพระ-สันตะปาปาที่จะเลือกและส่งเสริมวิธีการให้คณะพระสังฆราชปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับพระศาสนจักรสากลแบบเป็นคณะ ทั้งนี้ตามความจำเป็นของพระศาสนจักร

มาตรา 338 วรรค 1 พระสันตะปาปาเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะเรียกประชุมสังคายนาสากลเป็นประธานโดยตัวพระองค์เองหรือโดยผู้อื่น ที่จะเลื่อนหยุดหรือเลิกการประชุม และรับรองกฤษฎีกาของการประชุมนั้น

วรรค 2 เป็นหน้าที่ของพระสันตะปาปาองค์เดียวกันนั้นที่จะกำหนดเรื่องที่จะพิจารณาในที่ประชุม และกำหนดระเบียบวาระที่ต้องปฏิบัติในการประชุมบรรดาปิตาจารย์ที่เข้าร่วมประชุมสามารถเพิ่มเติมปัญหาอื่นๆนอกเหนือจากที่พระสันตะปาปาเสนอไว้แต่ต้องได้รับการเห็นชอบจากพระสันตะปาปาองค์เดียวกัน

มาตรา 339 วรรค 1 พระสังฆราชทั้งหมด และเท่านั้นผู้เป็นสมาชิกของคณะพระสังฆราชมีสิทธิ์ และหน้าที่ที่จะมีส่วนในการเข้าประชุมสังคายนาสากลพร้อมกับสิทธิลงคะแนนเสียง

วรรค 2 ผู้มีอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรสามารถเชิญผู้อื่นที่มิได้เป็นพระสังฆราชเข้าร่วมประชุมสังคายนาสากลได้และกำหนดขอบเขตการมีส่วนร่วมในการประชุมของพวกเขา

มาตรา 340 หากตำแหน่งพระสันตะปาปาเกิดว่างลงระหว่างการประชุมสังคายนาการประชุมหยุดชะงักโดยตัวกฎหมายเอง จนกว่าพระสันตะปาปาองค์ใหม่มีคำสั่งให้มีการประชุมต่อหรือให้เลิกการประชุม

มาตรา 341 วรรค 1 กฤษฎีกาต่างๆ ของสังคายนาสากล ไม่มีผลบังคับเว้นไว้แต่ว่ากฤษฎีกานั้นได้รับความเห็นชอบจากพระสันตะปาปาพร้อมกับบรรดาปิตาจารย์ของสภาสังคายนา และได้รับการรับรองจากพระสันตะปาปา และมีการประกาศตามคำสั่งของพระองค์

วรรค 2 กฤษฎีกาที่ออกโดยคณะพระสังฆราชเมื่อมีการกระทำร่วมกันเป็นหมู่คณะในลักษณะอื่นที่พระสันตะปาปาเสนอหรือที่พระองค์ยอมรับอย่างอิสระเพื่อให้กฤษฎีกานั้นมีผลบังคับใช้จำเป็นต้องได้รับการรับรองและการประกาศแบบเดียวกัน

 

หมวด 2 สมัชชาพระสังฆราช

มาตรา 342 สมัชชาพระสังฆราชคือ กลุ่มบรรดาพระสังฆราชซึ่งได้รับเลือกจากดินแดนต่างๆ ทั่วโลก และมาชุมนุมพร้อมกันตามเวลาที่กำหนดเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างพระสันตะปาปากับบรรดาพระสังฆราชให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเพื่อให้ความช่วยเหลือพระสันตะปาปาด้วยการให้คำแนะนำเกี่ยวกับการปกป้องและการเพิ่มพูนความเชื่อ และศีลธรรม และเพื่อรักษาและทำให้ระเบียบวินัยของพระศาสนจักรมั่นคงและนอกจากนั้นเพื่อวิเคราะห์ปัญหาที่เกี่ยวกับกิจที่พระศาสนจักรกระทำในโลก

มาตรา 343 สมัชชาพระสังฆราชมีหน้าที่ถกปัญหาตามวาระการประชุม และเสนอความคิดเห็นแต่ไม่ต้องแก้ปัญหาหรือออกกฤษฎีกาที่เกี่ยวกับปัญหาเหล่านั้นเว้นไว้แต่ว่าในบางกรณีพระสันตะปาปาได้มอบอำนาจตัดสินแก่สมัชชา และในกรณีเช่นนี้เป็นหน้าที่ของพระองค์ที่จะรับรองคำตัดสินของสมัชชา

มาตรา 344 สมัชชาพระสังฆราช อยู่ในอำนาจโดยตรงของพระสันตะปาปาซึ่งมีหน้าที่

1.       เรียกประชุมสมัชชาทุกครั้งที่พระองค์เห็นว่าเหมาะสม และระบุสถานที่ประชุมไว้ด้วย

2.       รับรองผลการเลือกตั้งสมาชิกผู้ได้รับเลือกตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะ ทั้งกำหนดและแต่งตั้งสมาชิกอื่นๆ

3.       กำหนดหัวข้อการประชุมก่อนการประชุมสมัชชาในเวลาที่เหมาะสมตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะ

4.       กำหนดระเบียบวาระการประชุม

5.       เป็นประธานการประชุมสมัชชาด้วยพระองค์เองหรือโดยผู้อื่น

6.       ปิด ย้าย หยุด และยกเลิกการประชุมสมัชชา

มาตรา 345 สมัชชาพระสังฆราชสามารถประชุมแบบสมัชชาใหญ่กล่าวคือเป็นการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ของพระศาสนจักรสากลโดยตรงการประชุมแบบนี้เป็นได้ทั้งแบบสามัญหรือวิสามัญสมัชชาพระสังฆราชยังสามารถประชุมแบบพิเศษกล่าวคือ เป็นการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับเขตใดเขตหนึ่ง หรือหลายเขตโดยเฉพาะ

มาตรา 346 วรรค 1 สมัชชาพระสังฆราชที่มาประชุมใหญ่สามัญประกอบด้วยสมาชิกซึ่งส่วนใหญ่เป็นพระสังฆราชผู้ได้รับเลือกให้เป็นผู้แทนแต่ละกลุ่มจากสภาพระสังฆราชตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะของสมัชชาสมาชิกอีกส่วนหนึ่งเป็นผู้แทนตามข้อกำหนดของกฎหมายเดียวกันอีกส่วนหนึ่งเป็นสมาชิกที่ได้รับแต่งตั้งโดยตรงจากพระสันตะปาปานอกนั้นยังมีสมาชิกที่เป็นสมาชิกของสถาบันนักพรตสมณะด้วยซึ่งได้รับเลือกตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพิเศษฉบับเดียวกัน

วรรค 2 สมัชชาพระสังฆราชที่มาประชุมใหญ่วิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องที่ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่เป็นพระสังฆราชที่เป็นผู้แทนโดยตำแหน่งตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะของสมัชชาตามตำแหน่งหน้าที่ที่ท่านมีสมาชิกอีกส่วนหนึ่งเป็นพระสังฆราชที่ได้รับการแต่งตั้งโดยตรงจากพระสันตะปาปานอกนั้นยังมีสมาชิกที่เป็นสมาชิกของสถาบันนักพรตสมณะที่ได้รับเลือกตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายฉบับเดียวกัน

วรรค 3 สมัชชาพระสังฆราชที่มาประชุมแบบพิเศษประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับเลือกเป็นพิเศษจากเขต ซึ่งสมัชชาถูกจัดขึ้นเพื่อเขตนั้นตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะซึ่งใช้บังคับการประชุมสมัชชาแบบนี้

มาตรา 347 วรรค 1 เมื่อพระสันตะปาปาทรงปิดประชุมสมัชชาพระสังฆราช หน้าที่ที่บรรดาพระสังฆราชและสมาชิกอื่นได้รับมอบหมายก็สิ้นสุดลงด้วย

วรรค 2 หากตำแหน่งพระ สันตะปาปาว่างลงหลังจากมีการเรียกประชุมสมัชชาพระสังฆราชหรือระหว่างที่การประชุมกำลังดำเนินอยู่ให้หยุดชะงัก โดยตัวบทกฎหมายเองเช่นเดียวกันหน้าที่ที่สมาชิกได้รับมอบหมายในการประชุมนี้ก็หยุดชะงักด้วยการหยุดชะงักนี้จะคงอยู่จนกระทั่งพระสันตะปาปาองค์ใหม่จะทรงออกกฤษฎีกาให้ยกเลิกหรือให้ดำเนินการประชุมต่อ

มาตรา 348 วรรค 1 สมัชชาพระสังฆราชมีสำนักเลขาธิการใหญ่ถาวรซึ่งมีเลขาธิการที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระสันตะปาปา เป็นหัวหน้าเลขาธิการใหญ่นี้มีกองเลขาเป็นผู้ช่วย กองเลขานี้ประกอบด้วยบรรดาพระสังฆราชซึ่งบางองค์ได้รับเลือกจากสมัชชาพระสังฆราชเอง ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพิเศษส่วนองค์อื่นๆ ได้รับแต่งตั้งจากพระสันตะปาปาหน้าที่ของสมาชิกทั้งหมดนี้สิ้นสุดลงเมื่อการประชุมใหญ่ครั้งใหม่เริ่มขึ้น

วรรค 2 ยิ่งกว่านั้น พระสันตะปาปายังทรงแต่งตั้งเลขานุการพิเศษท่านหนึ่งหรือหลายท่านเพื่อให้ทำหน้าที่ในการประชุมสมัชชาพระสังฆราชแต่ละครั้งพวกท่านยังปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจนกว่าจะเสร็จสิ้นการประชุมสมัชชา

 

หมวด 3 พระคาร์ดินัลในพระศาสนจักรโรมันคาทอลิก

มาตรา 349 พระคาร์ดินัลในพระศาสนจักร โรมันคาทอลิกประกอบขึ้นเป็นคณะพิเศษที่มีหน้าที่จัดให้มีการเลือกตั้งพระสันตะปาปา ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพิเศษท่านยังมีหน้าที่ช่วยเหลือพระสันตะปาปาแบบเป็นคณะเมื่อได้รับเรียกมาประชุมเพื่อพิจารณาปัญหาที่มีความสำคัญมากหรือแบบแต่ละองค์ กล่าวคือ โดยการช่วยเหลือพระสันตะปาปา ในหน้าที่ต่างๆ ที่ท่านกระทำ เป็นต้นในการเอาใจใส่ดูแลพระศาสนจักรสากล

มาตรา 350 วรรค 1 คณะพระคาร์ดินัลแบ่งออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับพระสังฆราชซึ่งได้แก่ พระคาร์ดินัลที่ พระสันตะปาปาแต่งตั้งให้มีตำแหน่งประมุขวัดรอบกรุงโรม และทั้งอัครสังฆบิดร (patriarchs) จารีตตะวันออก ซึ่งเป็นสมาชิกคณะพระคาร์ดินัลด้วยระดับพระสงฆ์ และระดับสังฆานุกร

วรรค 2 พระสันตะปาปามอบตำแหน่งหรือหน้าที่รับใช้ในกรุงโรมแก่พระคาร์ดินัลระดับสงฆ์ และระดับสังฆานุกร ตามระดับชั้นของตน

วรรค 3 อัครสังฆบิดรจารีตตะวันออกที่เป็นสมาชิก คณะพระคาร์ดินัลมีเขตปกครองสังฆบิดรของตนเป็นชื่อตำแหน่ง

วรรค 4 พระคาร์ดินัลประมุข (Decanus) มีสังฆมณฑล Ostia เป็นชื่อตำแหน่งพร้อมกับวัดอื่นที่เขามีเป็นชื่อตำแหน่งอยู่แล้ว

วรรค 5 โดยคำนึงถึงระดับและการเลื่อนตำแหน่งก่อนเป็นอันดับแรกและโดยการเลือกในที่ประชุมพระคาร์ดินัลพร้อมกับความเห็นชอบของพระสันตะปาปาพระคาร์ดินัลจากระดับสงฆ์สามารถย้ายไปยังตำแหน่งอื่นและพระคาร์ดินัลจากระดับสังฆานุกรสามารถย้ายไปตำแหน่งสังฆานุกรอื่นและหากได้อยู่ ในตำแหน่งสังฆานุกรครบ 10 ปีเต็มก็สามารถเลื่อนไปสู่ระดับสงฆ์ด้วย

วรรค 6 พระคาร์ดินัลระดับสังฆานุกรที่เลื่อนขึ้นไปยังพระคาร์ดินัลระดับสงฆ์โดยการเลือกมีอันดับที่เหนือพระคาร์ดินัลระดับสงฆ์ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลหลังจากท่าน

มาตรา 351 วรรค 1 ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลเป็นบุรุษที่พระสันตะปาปาคัดเลือกอย่างอิสระอย่างน้อยเป็นผู้อยู่ในฐานันดรสงฆ์ และโดดเด่นเป็นพิเศษด้านคำสอนด้านศีลธรรม ด้านความศรัทธา รวมทั้งมีความสุขุมรอบคอบในการทำงานผู้ที่ยังไม่เป็นพระสังฆราชต้องได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราช

วรรค 2 พระคาร์ดินัลได้รับการแต่งตั้ง โดยกฤษฎีกาของพระสันตะปาปาซึ่งประกาศต่อหน้าคณะพระคาร์ดินัลเมื่อประกาศแล้วก็มีตำแหน่งหน้าที่และมีสิทธิ์ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

วรรค 3 ผู้ที่ได้รับเกียรติแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลซึ่งพระสันตะปาปาได้ประกาศให้รู้ แต่ยังสงวนนามไว้ในทรวง (in Pectore) ในขณะนั้นยังไม่มีหน้าที่และสิทธิใดๆ ของพระคาร์ดินัล อย่างไรก็ตามหลังจากที่พระสันตะปาปาได้ประกาศชื่อของท่านแล้ว ท่านก็มีหน้าที่และมีสิทธิ์ทั้งมวลแต่ท่านมีสิทธิในอันดับเกียรติพระคาร์ดินัลตั้งแต่วันที่ชื่อของท่านได้รับการสงวนไว้ในทรวง

มาตรา 352 วรรค 1 พระคาร์ดินัลประมุข (Decanus) เป็นประธานคณะพระคาร์ดินัลถ้าหากท่านมีข้อขัดขวางมิให้ปฏิบัติหน้าที่ได้ก็ให้พระคาร์ดินัลรองประมุขปฏิบัติหน้าที่แทนพระคาร์ดินัลประมุขหรือพระคาร์ดินัลรองประมุขไม่มีอำนาจปกครองใดเลยเหนือพระคาร์ดินัลอื่นแต่ให้ถือว่าท่านเป็นบุคคลอันดับหนึ่งในบรรดาผู้ที่เท่าเทียมกัน

วรรค 2 เมื่อตำแหน่งพระคาร์ดินัลประมุขว่างลงบรรดาพระคาร์ดินัลผู้มีชื่อตำแหน่งวัดรอบกรุงโรมและบุคคลเหล่านี้เท่านั้นเลือกคนหนึ่งจากกลุ่มพวกท่านเอง ให้ทำหน้าที่ประมุขคณะพระคาร์ดินัลในการเลือกตั้งนี้ให้พระคาร์ดินัลรองประมุขเป็นประธาน หากท่านอยู่หรือมิฉะนั้นให้ผู้เลือกตั้งที่อาวุโสที่สุดเป็นประธานบรรดาผู้เลือกตั้งต้องนำชื่อของผู้ได้รับเลือกเสนอต่อพระสันตะปาปาซึ่งเป็นผู้มีอำนาจรับรองผู้ที่ได้รับเลือก

วรรค 3 ต้องเลือกพระคาร์ดินัลรองประมุขด้วยวิธีการเดียวกันตามที่ระบุไว้ในวรรค 2โดยมีพระคาร์ดินัลประมุขเองเป็นประธานการเลือกตั้งเช่นเดียวกันพระสันตะปาปาเป็นผู้มีอำนาจรับรองการเลือกตั้งพระคาร์ดินัลรองประมุข

วรรค 4 พระคาร์ดินัลประมุขและรองประมุข ต้องหาภูมิลำเนาในกรุงโรม ถ้าหากยังไม่มี

มาตรา 353 วรรค 1 บรรดาพระคาร์ดินัลให้ความช่วยเหลือเป็นพิเศษในรูปแบบของกิจการที่เป็นหมู่คณะแก่นายชุมพาบาลสูงสุดของพระศาสนจักรในการประชุมสันตะวุฒิสภา (Consistory) ซึ่งพระ-สันตะปาปาเป็นผู้เรียกและเป็นประธานการประชุมสันตะวุฒิสภานี้แบ่งเป็นสามัญและวิสามัญ

วรรค 2 ผู้ที่รับเชิญเข้าประชุมสันตะวุฒิสภาสามัญคือพระคาร์ดินัลทุกองค์อย่างน้อยบรรดาพระคาร์ดินัลที่พำนักอยู่ในกรุงโรมเพื่อให้คำปรึกษาบางเรื่องสำคัญซึ่งอย่างไรก็ตามเกิดขึ้นได้ค่อนข้างบ่อยหรือเพื่อทำกิจการบางอย่างที่ต้องมีพิธีการอย่างสง่ายิ่ง

วรรค 3 ผู้ที่รับเชิญเข้าประชุมสันตะวุฒิสภาวิสามัญคือพระคาร์ดินัลทุกองค์การประชุมนี้จะมีขึ้นเมื่อพระศาสนจักรมีเรื่องจำเป็นพิเศษหรือเมื่อเห็นว่ามีเรื่องค่อนข้างสำคัญที่ต้องพิจารณา

วรรค 4 การประชุมสันตะวุฒิสภาสามัญที่มีพิธีการอย่างสง่าเท่านั้นที่สามารถทำอย่างเปิดเผย กล่าวคือ การประชุมสันตะวุฒิสภาที่นอกจากบรรดาพระคาร์ดินัลแล้วยังเชิญบรรดาสังฆนายก (prelates) ผู้แทนฝ่ายบ้านเมืองและผู้รับเชิญอื่นๆได้

มาตรา 354 บรรดาพระคาร์ดินัลที่เป็นหัวหน้าสมณะกระทรวงหรือสถาบันถาวรอื่นๆของสันตะสำนักและของรัฐวาติกัน เมื่อมีอายุครบ 75 ปีขอให้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งต่อพระสันตะปาปาพระองค์จะเป็นผู้ตัดสินหลังจากได้พิจารณาทุกอย่าง อย่างดีแล้ว

มาตรา 355 วรรค 1 พระคาร์ดินัลประมุข (Cardinal Dean) เป็นผู้มีอำนาจประกอบพิธีบวชเป็นสังฆราชแก่ผู้ที่ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปา ถ้าหากว่าผู้นั้นยังไม่ได้รับศีลบวชเป็นสังฆราช ถ้าหากว่าพระคาร์ดินัลประมุขมีอุปสรรคไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ รองประมุขมีสิทธิ์ปฏิบัติหน้าที่นี้ถ้าหากรองประมุขมีอุปสรรคไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่นี้ได้ก็ให้พระคาร์ดินัลระดับพระสังฆราชที่อาวุโสที่สุดมีสิทธิ์ปฏิบัติหน้าที่นี้วรรค 2 พระคาร์ดินัลสังฆานุกรหัวหน้าเป็นผู้ประกาศชื่อผู้ที่ได้รับเลือกเป็นพระสันตะปาปาองค์ใหม่ เช่นเดียวกันท่านเป็นผู้ทำหน้าที่แทนพระสันตะปาปามอบผ้าคลุมประจำตำแหน่ง (pallium) แก่พระสังฆราชอัครสังฆมณฑลหรือมอบผ้าคลุมนั้นแก่ผู้แทนของท่าน

มาตรา 356 พระคาร์ดินัลมีภาระหน้าที่ให้ความร่วมมือกับพระสันตะปาปาอย่างขยันขันแข็งเพราะเหตุนี้พระคาร์ดินัลที่ปฏิบัติหน้าที่ใดๆ ในสมณกระทรวงและมิได้เป็นพระสังฆราชประจำสังฆมณฑลต้องพำนักอยู่ในกรุงโรมพระคาร์ดินัลที่ทำหน้าที่ปกครองสังฆมณฑลในฐานะพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องไปยังกรุงโรมทุกครั้งที่ได้รับเรียกจากพระสันตะปาปา

มาตรา 357 วรรค 1 พระคาร์ดินัลซึ่งได้รับชื่อตำแหน่งประจำวัดชานกรุงโรมหรือในกรุงโรมเมื่อได้รับมอบแล้ว ต้องส่งเสริมสังฆมณฑล หรือวัดเหล่านั้นให้เจริญขึ้นโดยให้คำปรึกษาและอุปการะคุ้มครอง อย่างไรก็ตาม พระคาร์ดินัลดังกล่าวไม่มีอำนาจใดๆ ในการปกครองวัดเหล่านี้เลยอีกทั้งไม่สามารถเข้าแทรกแซงในกิจการใดๆ ที่เกี่ยวกับการบริหารทรัพย์สินระเบียบวินัยหรือการบริการต่างๆ ของวัด

วรรค 2 พระคาร์ดินัลที่อาศัยอยู่นอกกรุงโรม และนอกสังฆมณฑลของตนได้รับการยกเว้นจากอำนาจการปกครองของพระสังฆราชสังฆมณฑลที่ตนอาศัยอยู่ในเรื่องเกี่ยวกับตัวบุคคลของท่านเอง

มาตรา 358 บางครั้งพระสันตะปาปามอบหมายให้พระคาร์ดินัลองค์ใดองค์หนึ่งเป็นผู้แทนพระองค์ในพิธีฉลองที่สง่าหรือในกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม ในฐานะผู้แทนจากสีข้าง (Legato a latere) นั่นคือเสมือนเป็นพระองค์เองอีกผู้หนึ่ง (alter ego) ในทำนองเดียวกัน บางครั้งพระสันตะปาปามอบหมายให้พระคาร์ดินัลองค์ใดองค์หนึ่งไปปฏิบัติภารกิจอภิบาล ในฐานะเป็นทูตพิเศษพระคาร์ดินัลดังกล่าวมีอำนาจเฉพาะในเรื่องที่ได้รับมอบหมายจากพระสันตะปาปาเท่านั้น

 

หมวด 4 ศูนย์สำนักงานแห่งโรม

มาตรา 360 ศูนย์สำนักงานแห่งโรม พระสันตะปาปาใช้ในการบริหารงานต่างๆของพระศาสนจักรสากลตามปกติ ศูนย์นี้บริหารงานในนามและอำนาจของพระองค์เพื่อประโยชน์ และเพื่อบริการพระศาสนจักรในที่ต่างๆศูนย์นี้ประกอบด้วยสำนักเลขาธิการรัฐ หรือสำนักเลขาธิการส่วนพระองค์สภาเพื่อกิจการบ้านเมืองของพระศาสนจักร สมณกระทรวง ศาล และสถาบันอื่นๆ ซึ่งมีโครงสร้าง และอำนาจตามที่ระบุไว้ในกฎหมายเฉพาะ

มาตรา 361 ตามประมวลกฎหมายนี้ คำว่า สันตะสำนัก” (Apostolic See หรือ Holy See) มิได้หมายถึงพระสันตะปาปาเท่านั้น แต่ยังหมายถึงสำนักเลขาธิการรัฐสภาเพื่อกิจการบ้านเมืองของพระศาสนจักร และสถาบันอื่นๆของศูนย์สำนักงานแห่งโรม (Roman Curia) เว้นไว้แต่ว่าธรรมชาติของเรื่องหรือบริบทของคำมีความหมา

 

หมวด 5 ทูตของพระสันตะปาปา

มาตรา 362 พระสันตะปาปามีสิทธิโดยธรรมชาติ และไม่ขึ้นกับผู้ใดในการแต่งตั้ง และส่งทูตของพระองค์เองไปยังพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นในประเทศหรือเขตต่างๆ ทั้งไปยังรัฐ และรัฐบาลต่างๆ ด้วยเช่นเดียวกันพระองค์มีสิทธิ์ย้ายและเรียกทูตเหล่านั้นกลับโดยปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายระหว่างประเทศที่กำหนดไว้เกี่ยวกับการส่ง และเรียกทูตที่ประจำอยู่ในรัฐต่างๆ กลับ

มาตรา 363 วรรค 1 ทูตของพระสันตะปาปาได้รับมอบให้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของพระองค์ในลักษณะถาวรในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น รวมทั้งในรัฐ และรัฐบาลต่างๆ ที่พวกเขาได้รับแต่งตั้งให้ไป

วรรค 2 ผู้ที่ถูกส่งไปปฏิบัติภารกิจของพระสันตะปาปาในฐานะทูตหรือผู้สังเกตการณ์ในสมัชชาระหว่างประเทศหรือในการสัมมนา และการประชุมต่างๆ ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของสันตะสำนักด้วย

มาตรา 364 ภารกิจหลักของสมณทูตคือการพยายามสร้างความสัมพันธ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวซึ่งมีอยู่ระหว่างสันตะสำนักกับพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นให้ยิ่งวันยิ่งมั่นคง และมีประสิทธิผลมากขึ้นดังนั้นสมณทูตจึงมีหน้าที่ในเขตของตนดังนี้

1.       จัดส่งข่าวสารแก่สันตะสำนักเกี่ยวกับสภาพต่างๆ ของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น และทุกสิ่งที่เกี่ยวกับชีวิตของพระศาสนจักร และผลประโยชน์ของวิญญาณ

2.       ช่วยเหลือพระสังฆราชด้วยกิจการและคำแนะนำ โดยคงไว้ซึ่งอำนาจการบริหารงานอันชอบด้วยกฎหมายของพระสังฆราช

3.       ส่งเสริมความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสภาพระสังฆราช ด้วยการเสนอให้ความช่วยเหลือทุกวิถีทาง

4.       ส่งหรือเสนอรายชื่อผู้ที่สมควรเป็นพระสังฆราชแก่สันตะสำนัก และพร้อมทั้งชี้แจงขบวนการเฟ้นหาผู้ที่จะรับตำแหน่งตามกฎเกณฑ์ที่สันตะสำนักกำหนดไว้

5.       พยายามสนับสนุนเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความสงบสุข ความเจริญก้าวหน้า และการร่วมมือกันของประชาชน

6.       ร่วมมือกับพระสังฆราชในการส่งเสริมสัมพันธภาพอันเหมาะสมระหว่างพระศาสนจักรคาทอลิกกับคริสตจักรหรือชุมชนศาสนจักรอื่นๆ และกับศาสนาที่ไม่ใช่คริสตศาสนาด้วย

7.       ประสานงานกับพระสังฆราชในการปกป้องในเรื่องที่เกี่ยวกับพันธกิจของพระศาสนจักร และสันตะสำนัก ในความสัมพันธ์กับผู้นำต่างๆ ของรัฐ

8.       นอกนั้นให้ใช้อำนาจหน้าที่และปฏิบัติตามคำสั่งอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายจากสันตะสำนัก

มาตรา 365 วรรค 1 สมณทูต ซึ่งทำหน้าที่ทูตฝ่ายบ้านเมือง ตามกฎหมายระหว่างประเทศด้วย ยังมีหน้าที่พิเศษดังนี้

1.       ส่งเสริม และสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างสันตะสำนักกับผู้มีอำนาจของรัฐ

2.       จัดการเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพระศาสนจักรกับรัฐ และให้สนใจเป็นพิเศษในการจัดร่างสนธิสัญญาและข้อตกลงอื่นๆ รวมทั้งการปฏิบัติตามข้อตกลงเหล่านั้น

วรรค 2 ในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ตามวรรค 1 เมื่อสถานการณ์เรียกร้องให้สมณทูตไม่ละเว้นที่จะปรึกษาและขอคำแนะนำจากพระสังฆราชที่ปกครองอยู่ และแจ้งให้ทราบถึงความคืบหน้าของเรื่องต่างๆ เหล่านั้นด้วย

มาตรา 366 โดยพิจารณาถึงลักษณะพิเศษของบทบาทสมณทูต

1.       สถานสมณทูตได้รับการยกเว้นจากอำนาจปกครองของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น (ordinary) เว้นแต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการประกอบพิธีแต่งงาน

2.       สมณทูตสามารถประกอบพิธีกรรมทางศาสนาในวัดทุกแห่งภายในเขตรับผิดชอบของตนแม้แต่งเต็มยศพระสังฆราชด้วย (Pontifical) แต่ควรแจ้งให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นรู้ก่อนเท่าที่ทำได้

มาตรา 367 หน้าที่ของสมณทูตมิได้สิ้นสุด เมื่อสันตะสำนักว่างลงเว้นไว้แต่ว่าในหนังสือแต่งตั้งของพระสันตะปาปาได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น อย่างไรก็ตามหน้าที่ของสมณทูตจะสิ้นสุดลงเมื่อได้ทำงานครบกำหนดแล้วเมื่อได้รับแจ้งให้กลับหรือเมื่อการลาออกของท่านได้รับการยอมรับจากพระสันตะปาปาแล้ว

 

ตอน 2 พระศาสนจักรเฉพาะถิ่น และการรวมกลุ่ม

ลักษณะ 1 พระศาสนจักรเฉพาะถิ่นและอำนาจที่บัญญัติให้

หมวด 1 พระศาสนจักรเฉพาะถิ่น

มาตา 368 พระศาสนจักรเฉพาะถิ่นซึ่งในและจากพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นนั้นประกอบขึ้นเป็นพระศาสนจักรคาทอลิกเดียวและเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น ก่อนอื่นประกอบด้วยสังฆมณฑล เว้นไว้แต่ว่าปรากฏชัดเป็นอย่างอื่น ที่เหมือนสังฆมณฑล ยังมีเขตสังฆองค์กร เขตอารามเขตปกครองโดยผู้แทนสันตะสำนักเขตปกครองโดยหัวหน้าจากสันตะสำนัก และเขตดูแลของสันตะสำนักซึ่งได้ตั้งขึ้นอย่างถาวร

มาตรา 369 สังฆมณฑล คือส่วนหนึ่งของประชากรของพระเป็นเจ้าที่มอบให้พระสังฆราชดูแลอภิบาลโดยมีพระสงฆ์เป็นผู้ร่วมงานเพื่อว่าประชากรของพระเจ้าโดยการยึดติดกับนายชุมพาบาลของตน และรวมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยท่านในพระจิตอาศัยพระวรสาร และศีลมหาสนิทประกอบขึ้นเป็นพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นพระศาสนจักรหนึ่งเดียว ศักดิ์สิทธิ์สากล และสืบจากอัครสาวกอยู่ใน และดำเนินการในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นนี้จริงๆ

มาตรา 370 เขตสังฆองค์กรหรือเขตอารามคือส่วนหนึ่งของประชากรของพระเป็นเจ้าซึ่งตั้งอยู่ภายในขอบเขตของพื้นที่หนึ่งและโดยเหตุที่มีกรณีแวดล้อมพิเศษ การดูแลเอาใจใส่มอบให้แก่สังฆนายก (prelate) หรือแก่อธิการอาราม (abbot) ซึ่งปกครองในฐานะเป็นนายชุมพาบาลเฉพาะของพื้นที่นั้นเฉกเช่นพระสังฆราชสังฆมณฑล

มาตรา 371. วรรค 1 เขตปกครองโดยผู้แทนสันตะสำนัก (apostolic vicariate) หรือเขตปกครองโดยหัวหน้าจากสันตะสำนักเป็นส่วนหนึ่งของประชากรของพระเป็นเจ้าซึ่งโดยเหตุที่มีกรณีแวดล้อมพิเศษและยังตั้งเป็นสังฆมณฑลไม่ได้ จึงมอบให้ผู้แทนสันตะสำนักหรือหัวหน้าจากสันตะสำนักเป็นผู้อภิบาลดูแล และปกครองในนามของพระสันตะปาปา

วรรค 2 เขตดูแลของสันตะสำนัก (apostolic administration) เป็นส่วนหนึ่งของประชากรของพระเป็นเจ้าซึ่งเพราะเหตุผลเฉพาะและสำคัญมากจริงๆพระสันตะปาปามิได้ตั้งให้เป็นสังฆมณฑล และมอบให้ผู้ดูแลของสันตะสำนักเป็นผู้อภิบาลดูแล ปกครอง ในนามของพระองค์

มาตรา 372 วรรค 1 ให้ถือเป็นกฎไว้ว่าส่วนหนึ่งของประชากรของพระเป็นเจ้าที่ประกอบขึ้นเป็นสังฆมณฑลหรือพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นอื่นใดก็ตาม ให้จำกัดอยู่ในเขตพื้นที่ที่แน่ชัดเพื่อให้พื้นที่นั้นครอบคลุมสัตบุรุษที่อาศัยในเขตนั้น

วรรค 2 อย่างไรก็ตามพื้นที่ใดซึ่งตามการตัดสินของผู้ทรงอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรหลังจากได้ฟังความเห็นของสภาพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องแล้ว เห็นว่าเป็นประโยชน์มากกว่าพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่มีความแตกต่างกันเพราะจารีตของสัตบุรุษหรือด้วยเหตุผลอื่นที่คล้ายคลึงกัน สามารถตั้งอยู่ในเขตเดียวกันได้

มาตรา 373 ผู้ทรงอำนาจสูงสุดแต่ผู้เดียวเท่านั้นมีอำนาจจัดตั้งพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นเมื่อได้ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นก็เป็นนิติบุคคลโดยตัวบทกฎหมายเอง

มาตรา 374 วรรค 1 สังฆมณฑลหรือพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นใดไม่ว่า ให้แบ่งเป็นส่วนๆ อย่างชัดเจนหรือที่เรียกว่า เขตปกครองวัด

วรรค 2 เพื่อส่งเสริมงานอภิบาลโดยการจัดกิจกรรมร่วมกันเขตปกครองวัดหลายเขตที่อยู่ใกล้กันสามารถรวมกันเป็นกลุ่มเฉพาะเช่นแขวงสังฆมณฑล

 

หมวด 2 พระสังฆราช

ส่วน 1 พระสังฆราชโดยทั่วไป

มาตรา 375 วรรค 1 พระสังฆราชโดยการสถาปนาของพระเจ้าเป็นผู้สืบตำแหน่งของอัครสาวกโดยอาศัยพระจิตเจ้าที่ท่านได้รับท่านได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายชุมพาบาลในพระศาสนจักรเพื่อเป็นผู้สอนข้อความเชื่อ เป็นสงฆ์ประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ และเป็นศาสนบริกรทำหน้าที่ปกครอง

วรรค 2 บรรดาพระสังฆราชโดยการอภิเษกเป็นพระสังฆราชเองได้รับหน้าที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับรับหน้าที่สอน และหน้าที่ปกครองอย่างไรก็ตามโดยธรรมชาติของการเป็นพระสังฆราชเองท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวทางฐานานุกรมกับประมุขและสมาชิกของคณะพระสังฆราช

มาตรา 376 พระสังฆราชที่ได้รับมอบหมายให้ปกครองสังฆมณฑลเรียกว่าพระสังฆราชสังฆมณฑล ส่วนพระสังฆราชอื่นๆ เรียกว่า พระสังฆราชกิรติศักดิ์ (titular)

มาตรา 377 วรรค 1 สันตะปาปาแต่งตั้งพระสังฆราชอย่างอิสระ หรือรับรองผู้ที่ได้รับเลือกอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

วรรค 2 อย่างน้อยทุกๆ 3 ปี พระสังฆราชของเขตปกครองฝ่ายพระศาสนจักรหรือที่ใดที่สภาพการณ์เรียกร้องให้พระสังฆราชของสภาพระสังฆราชโดยความเห็นชอบร่วมกันและแบบลับรวบรวมรายชื่อพระสงฆ์และทั้งของสมาชิกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วที่มีความเหมาะสมที่จะเป็นพระสังฆราช และส่งรายชื่อนั้นไปยังสันตะสำนักพระสังฆราชแต่ละองค์ยังคงไว้ซึ่งสิทธิในการแจ้งชื่อพระสงฆ์ที่ตนเองเห็นว่าสมควรและเหมาะสมสำหรับหน้าที่พระสังฆราชไปยังสันตะสำนักเป็นการส่วนตัว

วรรค 3 เว้นไว้แต่ว่า มีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อใดก็ตามที่ต้องมีการแต่งตั้งพระสังฆราชสังฆมณฑลหรือพระสังฆราชรองในเรื่องที่เกี่ยวกับไตรนามที่ต้องส่งให้กับสันตะสำนักเป็นความรับผิดชอบของสมณทูตที่จะสอบถามข้อเสนอของพระสังฆราชสังฆมณฑลนคร และพระสังฆราชสังฆมณฑลรองของเขตที่สังฆมณฑลที่ต้องมีพระสังฆราชองค์ใหม่สังกัดอยู่หรือร่วมสังกัด รวมทั้งข้อเสนอของประธานสภาพระสังฆราชโดยให้สอบถามเป็นรายบุคคลและให้แจ้งข้อเสนอเหล่านั้นแก่สันตะสำนักพร้อมกับความเห็นของตนยิ่งกว่านั้นให้สมณทูต รับฟังความเห็นจากคณะที่ปรึกษาพระสังฆราชบางคน และจากคณะสงฆ์ประจำอาสนวิหารแต่ถ้าเห็นว่าเหมาะสมก็ให้สอบถามความเห็นของพระสงฆ์บางองค์จากคณะสงฆ์สังฆมณฑล และนักบวชสมณะพร้อมทั้งความเห็นของฆราวาสที่มีความเฉลียวฉลาดโดดเด่น โดยถามเป็นส่วนตัวและอย่างลับ

วรรค 4 เว้นไว้แต่ว่า มีการจัดการในลักษณะอื่นที่ถูกต้องตามกฎหมายแล้วพระสังฆราชสังฆมณฑลที่พิจารณาเห็นว่าควรมีพระสังฆราชผู้ช่วยในสังฆมณฑลของตนก็ให้พระสังฆราชผู้นั้นเสนอรายชื่อพระสงฆ์ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนั้นกว่าหมดอย่างน้อย 3 ชื่อไปยังสันตะสำนัก

วรรค 5 ตั้งแต่นี้ไป สิทธิ์และอภิสิทธิ์ในการเลือกตั้ง แต่งตั้ง เสนอหรือกำหนดชื่อพระสังฆราช ไม่ให้แก่ผู้ทรงอำนาจฝ่ายบ้านเมือง

มาตรา 378 วรรค 1 บุคคลที่เหมาะสมที่จะรับเลือกเป็นพระสังฆราช ต้องมีคุณสมบัติดังนี้

1.       ต้องโดดเด่นในด้านความเชื่อที่มั่นคง จริยธรรมอันดีงาม ความศรัทธาความร้อนรนต่อวิญญาณ ความเฉลียวฉลาด ความสุขุมรอบคอบ และคุณธรรมมนุษย์พร้อมทั้งมีความสามารถด้านอื่นๆ ที่ทำให้ผู้นั้นเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าว

2.       มีชื่อเสียงดี

3.       มีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปี

4.       บวชเป็นพระสงฆ์มาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี

5.       สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกหรืออย่างน้อยปริญญาโททางด้านพระคัมภีร์เทวศาสตร์หรือกฎหมายพระศาสนจักรจากสถาบันการศึกษาชั้นสูงที่ได้รับการรับรองจากสันตะสำนักหรืออย่างน้อยเป็นผู้เชี่ยวชาญจริงๆ ในวิชาเหล่านี้

วรรค 2 สันตะสำนักเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดผู้ที่เหมาะสมจะได้รับตำแหน่ง

มาตรา 379 เว้นไว้แต่ว่า มีอุปสรรคอันชอบด้วยกฎหมายผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นพระสังฆราชต้องรับการอภิเษกเป็นสังฆราชภายใน 3 เดือน นับจากการรับหนังสือแต่งตั้งจากพระสันตะปาปา และอันที่จริงให้กระทำก่อนเข้ารับตำแหน่งด้วย

มาตรา 380 ก่อนเข้าครอบครองตำแหน่งอย่างถูกต้องตามกฎหมายพระศาสนจักรผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจะต้องประกาศยืนยันความเชื่อ และสาบานตนว่าจะซื่อสัตย์ต่อสันตะสำนัก ตามแบบที่ได้รับการรับรองจากสันตะสำนัก

 

ส่วน 2 พระสังฆราชสังฆมณฑล

มาตรา 381 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑล ในสังฆมณฑลที่ท่านได้รับมอบมีอำนาจปกติเฉพาะและโดยตรงทั้งหมดซึ่งจำเป็นเพื่อปฏิบัติหน้าที่อภิบาลของท่านยกเว้นบางเรื่องซึ่งกฎหมายหรือกฤษฎีกาของพระสันตะปาปาสงวนไว้สำหรับอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรหรือสำหรับอำนาจอื่นบางอำนาจในพระศาสนจักร

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่าจะปรากฎ เป็นอย่างอื่นจากธรรมชาติของเรื่องนั้นๆหรือจากข้อกำหนดของกฎหมายบุคคลที่เป็นหัวหน้ากลุ่มคริสตชนที่กล่าวไว้ในมาตรา 368 ถือว่าเทียบเท่าพระสังฆราชสังฆมณฑลตามกฎหมาย

มาตรา 382 วรรค 1 บุคคลที่ได้รับแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ที่ท่านได้รับมอบก่อนที่ท่านจะได้ทำการครอบครองสังฆมณฑลอย่างถูกต้องตามกฎหมายพระศาสนจักรอย่างไรก็ตามท่านสามารถปฏิบัติหน้าที่ซึ่งมีอยู่ก่อนแล้วในสังฆมณฑลในเวลาที่ท่านได้รับเลือกเป็นพระสังฆราชโดยยังคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 409  วรรค 2

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่า มีอุปสรรคอันชอบด้วยกฎหมายผู้ที่ได้รับตำแหน่งพระสังฆราชสังฆมณฑลถ้าหากยังไม่ได้อภิเษกเป็นพระสังฆราชต้องทำการครอบครองสังฆมณฑลอย่างถูกต้องตามกฎหมายพระศาสนจักรภายใน 4 เดือนนับแต่วันที่ได้หนังสือแต่งตั้งจากสันตะสำนักถ้าท่านได้รับอภิเษกแล้วต้องทำการครอบครองสังฆมณฑลภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแต่งตั้งดังกล่าว

วรรค 3 พระสังฆราชทำการครอบครองสังฆมณฑลอย่างถูกต้องตามกฎหมายพระศาสนจักรพร้อมกับแสดงหนังสือแต่งตั้งจากสันตะสำนักแก่คณะที่ปรึกษาด้วยตนเองหรือโดยทางผู้แทน ภายในเขตสังฆมณฑลเอง โดยมีเลขาธิการสังฆมณฑลอยู่ด้วยซึ่งเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ในหนังสือบันทึก (acta) หรือถ้าเป็นสังฆมณฑลที่ตั้งขึ้นใหม่พระสังฆราชทำการครอบครองพร้อมกับเมื่อท่านจัดให้มีการประกาศหนังสือแต่งตั้งต่อหน้าคณะสงฆ์ และประชาชนที่ชุมนุมอยู่ในอาสนวิหารโดยมีพระสงฆ์อาวุโสกว่าหมดที่อยู่ที่นั่นเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์ในหนังสือบันทึก

วรรค 4 ควรอย่างยิ่งที่จะทำการครอบครองสังฆมณฑลตามกฎหมายพระศาสนจักร ระหว่างพิธีกรรมในอาสน-วิหารต่อหน้าคณะสงฆ์และประชาชน

มาตรา 383 วรรค 1 ในการปฏิบัติหน้าที่อภิบาลพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่คริสตชนทุกคนที่อยู่ภายใต้การดูแลของท่านโดยไม่คำนึงถึงอายุ สภาพชีวิตหรือสัญชาติ ทั้งผู้ที่อาศัยอยู่ และผู้ที่มาอาศัยอยู่ชั่วคราวในเขตพื้นที่ของท่านท่านต้องเอาใจใส่ด้วยจิตตารมณ์อัครสาวกไปยังผู้ที่ไม่สามารถรับการอภิบาลด้วยวิธีธรรมดา เพราะสภาพชีวิตของเขา รวมทั้งผู้ที่ไม่ปฏิบัติศาสนาด้วย

วรรค 2 ถ้าหากมีสัตบุรุษจารีตอื่นในสังฆมณฑลของตนเองท่านต้องจัดให้ความช่วยเหลือแก่ความต้องการฝ่ายจิตของพวกเขาโดยอาศัยพระสงฆ์หรือเขตปกครองวัดของจารีตนั้นหรือโดยอาศัยผู้ช่วยพระสังฆราช (episcopal vicar)

วรรค 3 ให้ท่านปฏิบัติต่อพี่น้องที่ไม่มีความสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับพระศาสนจักรคาทอลิกด้วยไมตรีจิตและด้วยความรักพร้อมทั้งส่งเสริมศาสนสัมพันธ์ตามที่พระศาสนจักรเข้าใจ

วรรค 4 พระสังฆราชต้องถือว่าท่านได้รับมอบหมายในพระเจ้าผู้ที่ยังมิได้รับศีลล้างบาป เพื่อความรักของพระคริสต์ซึ่งท่านต้องเป็นพยานถึงพระองค์ต่อหน้าทุกคนจะได้ฉายแสงแก่เขา

มาตรา 384 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่พระสงฆ์เป็นพิเศษต้องฟังพวกเขาในฐานะผู้ช่วยงานและผู้ให้คำปรึกษาต้องป้องกันสิทธิของเขา และเอาใจใส่ให้เขาทำหน้าที่ที่เหมาะสมกับฐานะของตนอย่างถูกต้องพร้อมกับให้มีเครื่องมือ และการอบรมซึ่งพวกเขามีความต้องการเพื่อส่งเสริมชีวิตฝ่ายจิต และด้านสติปัญญาเช่นเดียวกันท่านต้องเอาใจใส่ให้พวกเขามีสิ่งจำเป็นต่อการยังชีพอย่างสมศักดิ์ศรี และสวัสดิการสังคมตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 385 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องส่งเสริมให้มีกระแสเรียกสำหรับศาสนบริการด้านต่างๆและกระแสเรียกสำหรับชีวิตที่ถวายแล้วให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้โดยเอาใจใส่เป็นพิเศษให้มีกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์และผู้แพร่ธรรม

มาตรา 386 วรรค 1พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเสนอและอธิบายให้สัตบุรุษรู้ข้อความเชื่อที่ต้องเชื่อและต้องนำไปปฏิบัติทางจริยธรรม โดยการเทศน์สอนด้วยตนเองบ่อยๆ ท่านยังต้องเอาใจใส่ให้มีการปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายพระศาสนจักรอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับศาสนบริการด้านพระวาจาโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเอาใจใส่สิ่งที่เกี่ยวกับการแสดงธรรมและการอบรมด้านคำสอน เพื่อว่าทุกคนจะได้รับการสอนคำสอนคริสตชนอย่างครบถ้วน

วรรค 2 ท่านต้องป้องกันบูรณภาพ และเอกภาพของข้อความเชื่อที่ต้องเชื่ออย่างแข็งขันด้วยวิธีการที่ท่านเห็นว่าเหมาะสมกว่าหมด ถึงกระนั้นก็ดีโดยยอมรับเสรีภาพอันชอบธรรมในการค้นหาความจริงต่อไป

มาตรา 387 เนื่องจากพระสังฆราชสังฆมณฑลระลึกอยู่เสมอว่าท่านเองต้องเป็นแบบอย่างด้านความศักดิ์สิทธิ์ ความเมตตากรุณา ความสุภาพถ่อมตนและการดำรงชีวิตที่เรียบง่ายท่านจึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะส่งเสริมคริสตชนให้มีความศักดิ์สิทธิ์ตามกระแสเรียกของตน ; เนื่องจากท่านเป็นผู้แจกจ่ายรหัสธรรมของพระเป็นเจ้าอันดับแรกท่านต้องพยายามอย่างสม่ำเสมอให้คริสตชนที่ท่านรับมอบให้ดูแลเจริญเติบโตในพระหรรษทานโดยอาศัยการประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ และพยายามให้คริสตชนเข้าใจและดำเนินชีวิตในรหัสธรรมปัสกาด้วย

มาตรา 388 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลหลังจากทำการครอบครองสังฆมณฑลแล้วต้องถวายมิสซาทุกวันอาทิตย์และวันฉลองบังคับเพื่อบรรดาคริสตชนในเขตปกครองของตน

วรรค 2 พระสังฆราชเองต้องถวายมิสซาด้วยตนเองและถวายเพื่อบรรดาคริสตชนในวันที่กล่าวถึงในวรรค 1 แต่ถ้ามีอุปสรรคขัดขวางอันชอบด้วยเหตุผล ไม่สามารถถวายมิสซาให้ได้ ก็จัดให้พระสงฆ์อื่นถวายมิสซาในวันเหล่านี้แทนหรือท่านถวายมิสซาเองในวันอื่น

วรรค 3 พระสังฆราชถวายมิสซาเดียวเท่านั้นก็เพียงพอเพื่อบรรดาคริสตชนทั้งหมดที่อยู่ภายใต้การดูแลของท่านทั้งในสังฆมณฑลของท่านเองและในสังฆมณฑลอื่นที่ท่านได้รับมอบหมายให้ดูแลแม้เพียงในฐานะเป็นผู้บริหารเท่านั้น

วรรค 4 พระสังฆราชที่ไม่สามารถปฏิบัติตามข้อบังคับดังที่กล่าวไว้ในวรรค1-3 ต้องถวายมิสซาชดเชยเพื่อบรรดาคริสตชน ตามจำนวนที่ขาดไปให้เร็วเท่าที่สามารถ

มาตรา 389 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเป็นประธานในพิธีเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทบ่อยๆในอาสนวิหารหรือในวัดอื่นในสังฆมณฑลของท่านโดยเฉพาะอย่างยิ่งในวันฉลองบังคับ และในวันสมโภชอื่นๆ

มาตรา 390 พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถประกอบพิธีกรรมด้วยอาภรณ์เต็มยศได้ทั่วสังฆมณฑลของตน แต่ไม่สามารถทำเช่นเดียวกันนี้นอกสังฆมณฑลของตน โดยมิได้รับการยินยอมอย่างชัดแจ้งหรืออย่างน้อยโดยสันนิษฐานอย่างมีเหตุผลจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

มาตรา 391 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องปกครองพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่ได้รับมอบหมายโดยใช้อำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหารและอำนาจตุลาการ ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

วรรค 2 พระสังฆราชใช้อำนาจนิติบัญญัติด้วยตัวเองท่านใช้อำนาจบริหารทั้งโดยตนเองหรือโดยผ่านอุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราช ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายใช้อำนาจตุลาการทั้งโดยตนเองหรือโดยผู้ช่วยฝ่ายอรรถคดี (judical vicar) และผู้พิพากษาตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 392 วรรค 1 โดยที่พระสังฆราชต้องปกป้องกันความเป็นหนึ่งเดียวในพระศาสนจักรสากลท่านจึงมีหน้าที่ต้องส่งเสริมระเบียบวินัยทั่วไปของพระศาสนจักรทั้งมวล และดังนี้จึงมีหน้าที่ต้องกระตุ้นให้รักษากฎหมายพระศาสนจักรทั้งมวล

วรรค 2 พระสังฆราชต้องเฝ้าระวังมิให้การปฏิบัตินอกลู่นอกทางแทรกซึมเข้าในกฎระเบียบพระศาสนจักรโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวกับการบริการด้านพระวาจา, การประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งคล้ายศีลการถวายบูชาแด่พระเป็นเจ้า และความศรัทธาต่อบรรดานักบุญ และการบริหารทรัพย์สินด้วย

มาตรา 393 พระสังฆราชสังฆมณฑลเป็นตัวแทนของสังฆมณฑลของตนในการทำนิติกรรมทั้งหมด

มาตรา 394 วรรค 1 พระสังฆราชต้องส่งเสริมงานแพร่ธรรมในรูปแบบต่างๆในสังฆมณฑลของตน และเอาใจใส่ให้งานแพร่ธรรมภายในสังฆมณฑลทั้งหมดหรือในแต่ละเขตดำเนินไปโดยมีการประสานกันภายใต้การนำของท่านพร้อมทั้งคำนึงถึงคุณลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันด้วย

วรรค 2 พระสังฆราชต้องกระตุ้นให้บรรดาคริสตชนทำงานแพร่ธรรมตามความเหมาะสมแก่สภาพและความสามารถของแต่ละคน เนื่องจากเป็นหน้าที่ที่พวกเขาต้องทำท่านยังต้องแนะนำให้พวกเขามีส่วนร่วมและช่วยเหลืองานแพร่ธรรมด้านต่างๆ ด้วยตามความต้องการของสถานที่ และกาลเวลา

มาตรา 395 วรรค 1 ถึงแม้ว่า พระสังฆฆราชสังฆมณฑลมีพระสังฆราชรอง (coadjutor) หรือพระสังฆราชผู้ช่วยก็ตาม โดยกฎหมายท่านต้องมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตสังฆมณฑลของท่าน


วรรค 2 พระสังฆราชไม่อยู่ในสังฆมณฑลของตนได้ ถ้ามีเหตุจำเป็น แต่ต้องไม่เกิน 1 เดือน จะต่อเนื่องหรือไม่ก็ตามช่วงเวลาดังกล่าวไม่รวมระยะเวลาที่ไปเฝ้าถวายรายงานที่กรุงโรม (ad limina) หรือเวลาที่ต้องไปและอยู่ประชุมสังคายนา สมัชชาพระสังฆราชหรือสภาพระสังฆราชหรือเวลาที่ท่านต้องไปปฏิบัติหน้าที่อื่นที่ได้รับมอบอย่างถูกต้องตามกฎหมาย โดยมีเงื่อนไขว่าได้มีการจัดการมิให้สังฆมณฑลได้รับความเสียหายจากการไม่อยู่ของท่าน

วรรค 3 พระสังฆราชต้องไม่จากสังฆมณฑลในวันสมโภชพระคริสตสมภพระหว่างสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ วันปัสกา วันสมโภชพระจิต หรือในวันฉลองพระคริสตวรกายเว้นแต่จะมีเหตุผลสำคัญ และเร่งด่วนเท่านั้น

วรรค 4 ถ้าพระสังฆราชไม่อยู่ในสังฆมณฑล โดยมิชอบด้วยกฎหมายเกิน 6 เดือนพระอัครสังฆราชแห่งสังฆมณฑลนครต้องรายงานต่อสันตะสำนักแต่ถ้าเป็นพระอัครสังฆราชแห่งสังฆมณฑลนครที่ไม่อยู่โดยมิชอบด้วยกฎหมายก็ให้พระสังฆราชในเขตปกครองรองที่อาวุโสกว่าเป็นผู้รายงาน

มาตรา 396 วรรค 1 พระสังฆราชมีหน้าที่ต้องเยี่ยมสังฆมณฑลของตนทุกปีไม่ว่าจะเป็นทั้งสังฆมณฑลหรือบางส่วน อย่างที่ว่า อย่างน้อยทุกๆ 5 ปีท่านต้องเยี่ยมให้ครบทั้งสังฆมณฑล ท่านอาจจะเยี่ยมเยียนด้วยตนเองหรือหากท่านถูกกีดกัน มิให้ออกเยี่ยมด้วยตนเองโดยชอบด้วยกฎหมายก็อาจมอบให้พระสังฆราชรอง หรือพระสังฆราชผู้ช่วยหรืออุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราช หรือพระสงฆ์อื่นทำแทนได้

วรรค 2 พระสังฆราชมีสิทธิเลือกสมณะที่ท่านปรารถนาให้ไปเป็นเพื่อนหรือเป็นผู้ช่วยในการเยี่ยมเยียน สิทธิพิเศษหรือประเพณีใดๆ ที่ขัดแย้งให้ยกเลิก

มาตรา 397 วรรค 1 บุคคล สถาบันคาทอลิก สิ่งของและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ ภายในเขตสังฆมณฑลอยู่ภายใต้อำนาจการเยี่ยมตามปกติของพระสังฆราช

วรรค 2 พระสังฆราชสามารถเยี่ยมเยียนสมาชิกของสถาบันนักพรตสิทธิสันตะสำนัก และบ้านนักพรตเหล่านั้นในกรณีที่กฎหมายระบุไว้อย่างแจ้งชัดเท่านั้น

มาตรา 398 พระสังฆราชต้องพยายามทำหน้าที่ในการเยี่ยมเยียนเชิงอภิบาลด้วยความขยันขันแข็งอันพึงมีและต้องระวังมิให้ผู้ใดถูกบังคับหรือต้องแบกภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น

มาตรา 399 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเสนอรายงานต่อพระสันตะปาปาทุกๆ 5 ปีเกี่ยวกับสถานะของสังฆมณฑลที่ได้รับมอบหมายตามแบบฟอร์ม และตามเวลาที่สันตะสำนักกำหนด

วรรค 2 ถ้าปีที่กำหนดไว้สำหรับการเสนอรายงานนี้ ตกภายใน 2 ปีแรกของการปกครองสังฆมณฑล ไม่ว่าจะครบหรือไม่ครบ 2 ปีก็ตามพระสังฆราชสามารถละเว้นการเขียน และเสนอการรายงานในครั้งนั้นได้

มาตรา 400 วรรค 1 ระหว่างปีซึ่งพระสังฆราชต้องเสนอรายงานต่อพระสันตะปาปาและเว้นไว้แต่ว่าสันตะสำนักได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเดินทางไปกรุงโรมเพื่อคารวะหลุมศพของอัครสาวกเปโตรและเปาโล และต้องเข้าเฝ้าพระสันตะปาปา

วรรค 2 พระสังฆราชต้องปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวด้วยตนเอง เว้นไว้แต่ว่าถูกขัดขวางมิให้ปฏิบัติเช่นนั้นโดยชอบด้วยกฎหมายในกรณีที่ท่านถูกขัดขวางเช่นนั้นท่านต้องทำหน้าที่นี้โดยพระสังฆราชรองถ้ามีโดยพระสังฆราชผู้ช่วยหรือโดยพระสงฆ์ที่เหมาะสมองค์หนึ่งจากคณะสงฆ์ของท่านซึ่งพำนักอยู่ในสังฆมณฑลของท่าน

วรรค 3 ผู้แทนสันตะสำนัก (Apostolic vicar) สามารถทำหน้าที่นี้โดยตัวแทนได้ แม้บุคคลนั้นจะพำนักอยู่ในกรุงโรมสังฆรักษ์ (Apostolic prefect) ไม่ถูกผูกมัดให้ทำหน้าที่นี้

มาตรา 401 วรรค 1 ขอให้พระสังฆราชสังฆ-มณฑล ผู้มีอายุครบ 75 ปียื่นใบลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ต่อพระสันตะปาปาพระองค์จะพิจารณาจัดการอย่างใดอย่างหนึ่งหลังจากได้ตรวจสอบกรณีแวดล้อมต่างๆ ทั้งหมดแล้ว

วรรค 2 ขอร้องอย่างจริงจังให้พระสังฆราชสังฆมณฑลยื่นใบลาออกจากตำแหน่งเมื่อท่านหย่อนสมรรถภาพในการปฏิบัติหน้าที่ เนื่องจากสุขภาพไม่ดีหรือสาเหตุสำคัญอื่นๆ

มาตรา 402 วรรค 1 พระสังฆราชผู้ซึ่งได้รับการอนุมัติให้ลาออกจากตำแหน่งหน้าที่แล้วยังรักษาไว้ซึ่งตำแหน่งพระสังฆราชกิรติคุณ (emeritus) ของสังฆมณฑลของท่าน และสามารถรักษาที่พำนักในสังฆมณฑลไว้ ถ้าท่านปรารถนาเช่นนั้นเว้นไว้แต่ว่าสันตะสำนักได้จัดการไว้เป็นอย่างอื่นในบางกรณีอันเนื่องมาจากกรณีแวดล้อมพิเศษ

วรรค 2 สภาพระสังฆราชต้องดูแลให้พระสังฆราชที่ลาออกได้รับการช่วยเหลือที่เหมาะ และสมศักดิ์ศรีโดยคำนึงว่าหน้าที่แรกเป็นของสังฆมณฑล ซึ่งท่านได้เคยรับใช้

 

ส่วน 3 พระสังฆราชรอง และพระสังฆราชผู้ช่วย

มาตรา 403 วรรค 1 เมื่อความต้องการด้านอภิบาลของสังฆมณฑลเรียกร้องให้มีให้แต่งตั้งพระสังฆราชผู้ช่วย องค์หนึ่ง หรือหลายองค์ตามคำขอร้องของพระสังฆราชสังฆมณฑลพระสังฆราชผู้ช่วยไม่ได้รับสิทธิ์สืบตำแหน่ง

วรรค 2 พระสังฆราชผู้ช่วยที่พร้อมกับมีอำนาจพิเศษสามารถได้รับการแต่งตั้งมาช่วยพระสังฆราชสังฆมณฑล ในกรณีแวดล้อมที่มีความสำคัญค่อนข้างมากหรือแม้เพราะเห็นแก่คุณสมบัติพิเศษ ส่วนตัวของท่านเอง

วรรค 3 โดยหน้าที่แล้วหากสันตะสำนักเห็นว่าเหมาะกว่าก็สามารถแต่งตั้งพระสังฆราชรองพร้อมกับมีอำนาจพิเศษด้วย พระสังฆราชรองมีสิทธิ์สืบตำแหน่ง

มาตรา 404 วรรค 1 พระสังฆราชรองเข้ารับตำแหน่งหน้าที่เมื่อท่านเองหรือโดยตัวแทนยื่นหนังสือแต่งตั้งจากสันตะสำนักต่อพระสังฆราชสังฆมณฑล และคณะที่ปรึกษาต่อหน้าเลขาธิการสำนักสังฆมณฑล ซึ่งเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์อย่างเป็นทางการ

วรรค 2 พระสังฆราชผู้ช่วยเข้ารับตำแหน่งหน้าที่เมื่อท่านยื่นหนังสือแต่งตั้งจากสันตะสำนักต่อพระสังฆราชสังฆมณฑลต่อหน้าเลขาธิการสำนักงานสังฆมณฑลซึ่งเป็นผู้บันทึกเหตุการณ์อย่างเป็นทางการ

วรรค 3 อย่างไรก็ตาม ถ้าพระสังฆราชสังฆมณฑลถูกขัดขวางโดยสิ้นเชิงเป็นการเพียงพอที่พระสังฆราชรองและพระสังฆราชผู้ช่วยจะยื่นหนังสือแต่งตั้งจากสันตะสำนักต่อคณะที่ปรึกษาต่อหน้าเลขาธิการสำนักงานสังฆมณฑล

มาตรา 405 วรรค 1 พระสังฆราชรองและพระสังฆราชผู้ช่วยมีหน้าที่ และสิทธิซึ่งบัญญัติไว้ในข้อกำหนดของมาตราต่อไปรวมทั้งที่กำหนดไว้ในหนังสือแต่งตั้งด้วย

วรรค 2 พระสังฆราชรอง และพระ-สังฆราชผู้ช่วยดังที่กล่าวไว้ในมาตรา 403วรรค 2ช่วยพระสังฆราชสังฆมณฑลในการปกครองทั้งหมดของสังฆมณฑลและทำหน้าที่แทนเมื่อท่านไม่อยู่หรือถูกขัดขวาง

มาตรา 406 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องแต่งตั้งพระสังฆราชรอง และเช่นเดียวกันพระสังฆราชผู้ช่วยที่กล่าวไว้ในมาตรา 403 วรรค 2 เป็นอุปสังฆราชยิ่งไปกว่านั้นพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องมอบหมายงานซึ่งตามกฎหมายต้องมีคำสั่งพิเศษให้แก่พระสังฆราชดังกล่าวก่อนผู้อื่น

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่ามีระบุไว้เป็นอย่างอื่นในหนังสือแต่งตั้งจากสันตะสำนักและโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของวรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลควรแต่งตั้งผู้ช่วยองค์หนึ่งหรือหลายองค์เป็นอุปสังฆราชหรืออย่างน้อยเป็นผู้ช่วยพระสังฆราชโดยขึ้นกับท่านเพียงผู้เดียวหรือขึ้นกับพระสังฆราชรองหรือพระสังฆราชผู้ช่วยที่กล่าวไว้ในมาตรา 403 วรรค2

มาตรา 407 วรรค 1 เพื่อส่งเสริมผลประโยชน์ทั้งในปัจจุบัน และอนาคตของสังฆมณฑลเท่าที่สามารถทำได้ พระสังฆราชสังฆมณฑลพระสังฆราชรองและพระสังฆราชผู้ช่วยตามที่มีกล่าวไว้ในมาตรา 403 วรรค 2 ต้องปรึกษาซึ่งกันและกันในเรื่องที่มีความสำคัญมาก

วรรค 2 ในการพิจารณาเรื่องที่มีความสำคัญมากโดยเฉพาะเรื่องที่มีลักษณะเป็นการอภิบาลพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องปรึกษากับพระสังฆราชผู้ช่วยก่อนผู้อื่น

วรรค 3 พระสังฆราชรองและพระสังฆราชผู้ช่วยต้องพยายามและตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ให้สอดคล้องกับพระ-สังฆราชสังฆมณฑลเพราะพวกท่านถูกเรียกให้มามีส่วนร่วมในงานของพระสังฆราช

มาตรา 408 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่า พระสังฆราชรองและพระสังฆราชผู้ช่วยมีอุปสรรคขัดขวางอันชอบ พวกท่านต้องประกอบพิธีกรรมอย่างสง่าและหน้าที่อื่นๆ ซึ่งพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องปฏิบัติ เมื่อไรก็ตามเมื่อพระสังฆราชขอร้องพวกท่านให้กระทำแทน

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องไม่มอบสิทธิและหน้าที่ซึ่งพระสังฆราชรอง และพระสังฆราชผู้ช่วยสามารถปฏิบัติได้แก่ผู้อื่นเป็นประจำ

มาตรา 409 วรรค 1 เมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลงพระสังฆราชรองขึ้นเป็นพระสังฆราชสังฆมณฑลทันทีซึ่งท่านได้รับการแต่งตั้งมาแล้วขอแต่ว่าท่านได้ทำการครอบครองตำแหน่งอย่างถูกต้องตามกฎหมายเสียก่อน

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่า มีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นโดยผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลงพระสังฆราชผู้ช่วยยังคงไว้เพียงแต่อำนาจและหน้าที่ทั้งหมดที่ท่านมีในฐานะเป็นอุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชในขณะที่ตำแหน่งพระสังฆราชยังไม่ว่างลง จนกว่าพระสังฆราชองค์ใหม่ขึ้นครองตำแหน่ง อย่างไรก็ตามถ้าท่านมิได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการสังฆมณฑลท่านก็สามารถใช้อำนาจเดียวกันนี้ที่กฎหมายมอบให้ภายใต้อำนาจของผู้บริหารสังฆมณฑล ผู้ซึ่งทำหน้าที่ปกครองสังฆ-มณฑล

มาตรา 410 พระสังฆราชรองและพระสังฆราชผู้ช่วยต้องพำนักอยู่ในสังฆมณฑลเช่นเดียวกับ พระสังฆราชสังฆมณฑล และต้องไม่ออกนอกสังฆมณฑลเว้นแต่ช่วงเวลาสั้นๆเว้นไว้แต่ว่าพวกท่านต้องไปปฏิบัติหน้าที่อื่นนอกสังฆมณฑลหรืออยู่ระหว่างพักร้อน ซึ่งต้องไม่เกินหนึ่งเดือน

มาตรา 411 ข้อกำหนดของมาตรา 401 และ 402 วรรค 2 ในเรื่องการลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ใช้กับพระสังฆราชรองและพระสังฆราชผู้ช่วยด้วย

 

หมวด 3 ตำแหน่งพระสังฆราชที่ถูกขัดขวาง และว่างลง

ส่วน 1 ตำแหน่งพระสังฆราชที่ถูกขัดขวาง

มาตรา 412 ให้เข้าใจว่าตำแหน่งพระสังฆราช ถูกขัดขวางถ้าหากเพราะการถูกกักขัง ถูกขับไล่ (Banishment) ถูกเนรเทศ (exile) หรือเพราะไร้ความสามารถ (incapacity) พระสังฆราชสังฆมณฑลถูกขัดขวางโดยสิ้นเชิงมิให้ปฏิบัติหน้าที่อภิบาลในสังฆมณฑลและไม่สามารถติดต่อกับคริสตชนในสังฆมณฑลของตน แม้โดยทางจดหมาย

มาตรา 413 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่าสันตะสำนักจัดการเป็นอย่างอื่นเมื่อตำแหน่งพระสังฆราชถูกขัดขวางการปกครองสังฆมณฑลเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชรองถ้ามีถ้าไม่มีหรือถ้าท่านถูกขัดขวางก็เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชผู้ช่วยหรืออุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราช หรือพระสงฆ์องค์อื่นตามลำดับบุคคลที่กำหนดไว้ในบัญชีรายชื่อที่จัดโดยพระสังฆราชสังฆมณฑลทันทีที่ขึ้นปกครองสังฆมณฑลบัญชีนี้ต้องจัดส่งให้สังฆมณฑลนคร และต้องจัดทำขึ้นใหม่อย่างน้อยทุก 3 ปีเลขาธิการต้องจัดเก็บบัญชีรายชื่อนี้เป็นความลับ

วรรค 2 หากไม่มีพระสังฆราชรองหรือหากท่านถูกขัดขวางและบัญชีรายชื่อที่กล่าวไว้ในวรรค 1 ก็ไม่มีด้วยคณะที่ปรึกษาพระสังฆราชต้องเลือกพระสงฆ์องค์หนึ่งขึ้นปกครองสังฆมณฑล

วรรค 3 ผู้ใดก็ตามที่ขึ้นปกครองสังฆมณฑลตามกฎเกณฑ์ของวรรค 1 หรือ 2 ต้องแจ้งให้สันตะสำนักทราบทันทีถึงตำแหน่งพระสังฆราชที่ถูกขัดขวางและการรับตำแหน่งหน้าที่ของท่าน

มาตรา 414 ผู้ใดก็ตามที่รับเรียกให้ปฏิบัติหน้าที่อภิบาลสังฆมณฑลชั่วคราวเพียงในขณะที่ดำรงตำแหน่งพระสังฆราชถูกขัดขวางตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 413 ในการปฏิบัติหน้าที่อภิบาลสังฆมณฑลต้องปฏิบัติตามข้อบังคับ และมีอำนาจที่ผู้รักษาการสังฆมณฑลมีตามกฎหมาย

มาตรา 415 หากพระสังฆราชสังฆมณฑลถูกห้ามมิให้ปฏิบัติหน้าที่โดยต้องโทษทางพระศาสนจักรสังฆมณฑลนครต้องเข้าแจ้งต่อสันตะสำนักเพื่อจัดการทันทีถ้าไม่มีสังฆมณฑลนครหรือถ้าท่านเองเป็นผู้ต้องโทษก็ให้พระสังฆราชสังฆมณฑลรองที่ได้รับแต่งตั้งก่อนเป็นผู้เข้าแจ้ง

 

 

ส่วน 2 ตำแหน่งพระสังฆราชที่ว่างลง

มาตรา 416 ตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง เมื่อพระสังฆราชสังฆมณฑลถึงแก่มรณภาพเมื่อพระสันตะปาปายอมรับการลาออกและ เมื่อมีการโยกย้ายหรือเมื่อพระสังฆราชได้รับแจ้งการถูกถอดถอน

มาตรา 417 ให้ถือว่าทุกสิ่งที่อุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชได้กระทำไปมีผลสมบูรณ์จนกว่าพวกท่านได้รับแจ้งอย่างแน่นอน ถึงการมรณภาพของพระสังฆราชสังฆมณฑลเช่นเดียวกัน ให้ถือว่าทุกสิ่งที่พระสังฆราชสังฆมณฑล หรืออุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชได้กระทำมีผลสมบูรณ์จนกว่าจะได้รับแจ้งอย่างแน่นอนถึงการจัดการของสันตะสำนักดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น

มาตรา 418 วรรค 1 เมื่อพระสังฆราชได้รับแจ้งอย่างแน่นอนถึงการโยกย้ายท่านต้องไปยังสังฆมณฑลใหม่ภายในสองเดือนและขึ้นครองตำแหน่งตามกฎหมายพระศาสนจักร และนับจากวันที่ท่านขึ้นครองตำแหน่งในสังฆมณฑลใหม่ให้ถือว่าตำแหน่งพระสังฆราชในสังฆมณฑลเดิมว่างลง

วรรค 2 นับจากวันที่ได้รับการแจ้งที่แน่นอนของการโยกย้ายจนถึงวันที่ขึ้นครองตำแหน่งในสังฆมณฑลใหม่พระสังฆราชที่ถูกโยกย้ายในสังฆมณฑลเดิม

1.       ได้รับอำนาจเป็นผู้รักษาการสังฆมณฑล และต้องปฏิบัติหน้าที่เหล่านั้นอำนาจทั้งหมดของ   อุปสังฆราช และผู้ช่วยพระสังฆราชสิ้นสุดลง โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 409 วรรค 2

2.       ยังคงรับเงินตอบแทนทั้งครบต่อไปตามตำแหน่งหน้าที่นี้

มาตรา 419 เมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง จนกว่ามีการตั้งผู้รักษาการสังฆมณฑลการปกครองสังฆมณฑลตกเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชผู้ช่วยหรือหากมีหลายองค์ก็ตกเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชผู้ช่วยที่ได้รับการแต่งตั้งก่อนหรือหากไม่มีพระสังฆราชผู้ช่วยก็ตกเป็นหน้าที่ของคณะที่ปรึกษาพระสังฆราชเว้นไว้แต่ว่าสันตะสำนักได้จัดการเป็นอย่างอื่นผู้ใดก็ตามที่ขึ้นปกครองสังฆมณฑลตามรูปแบบนี้ต้องเรียกประชุมคณะที่ปรึกษาโดยปราศจากการรีรอซึ่งมีอำนาจแต่งตั้งผู้รักษาการสังฆมณฑล

มาตรา 420 เว้นไว้แต่ว่า สันตะสำนักได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นเมื่อตำแหน่งในเขตปกครองโดยผู้ปกครองในนามสันตะสำนักหรือโดยสังฆรักษ์ว่างลงให้รองผู้ปกครองในนามสันตะสำนักหรือรองสังฆรักษ์รับหน้าที่ปกครองซึ่งผู้ปกครองในนามสันตะสำนักหรือสังฆรักษ์ได้เลือกเพื่อมีผลเช่นนี้เท่านั้น ทันทีที่ท่านได้ขึ้นครองตำแหน่ง

มาตรา 421 วรรค 1 ภายใน 8 วัน เมื่อได้รับทราบถึงตำแหน่งพระสังฆราชว่างลงผู้รักษาการสังฆมณฑล กล่าวคือ ผู้ปกครองสังฆมณฑลในระหว่างนั้นต้องได้รับเลือกจากคณะที่ปรึกษาพระสังฆราช โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 502 วรรค 3

วรรค 2 ด้วยเหตุผลใดก็ตาม หากภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ยังไม่สามารถเลือกผู้รักษาการสังฆมณฑลอย่างถูกต้องตามกฎหมายการเลือกตำแหน่งดังกล่าว ตกเป็นหน้าที่ของสังฆมณฑลนคร และถ้าหากตำแหน่งพระสังฆราชที่ว่างลงเป็นสังฆมณฑลนครเองหรือสังฆมณฑลนครว่างลงพร้อมกับสังฆมณฑลรองการเลือกตกเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลรองที่ได้รับแต่งตั้งก่อน

มาตรา 422 ให้พระสังฆราชผู้ช่วยหรือถ้าไม่มีก็ให้คณะที่ปรึกษาพระสังฆราชเป็นผู้แจ้งให้สันตะสำนักทราบทันทีถึงการมรณภาพของพระสังฆราชผู้รักษาการสังฆมณฑลที่ได้รับเลือกตั้งต้องปฏิบัติเช่นเดียวกันเกี่ยวกับการรับเลือกของตน

มาตรา 423 วรรค 1 ต้องเลือกทั้งบุคคลผู้หนึ่งเป็นผู้รักษาการสังฆมณฑล และยกเลิกประเพณีทุกอย่างที่ขัดต่อการเลือกตั้งนี้มิฉะนั้นให้ถือว่าการเลือกตั้งนี้เป็นโมฆะ

วรรค 2 ผู้รักษาการสังฆมณฑลต้องไม่เป็นผู้บริหารการเงินในเวลาเดียวกันเพราะเหตุนี้หากผู้บริหารการเงินของสังฆมณฑลได้รับเลือกเป็นผู้บริหารสังฆมณฑล คณะกรรมการการเงินต้องเลือกผู้บริหารการเงินคนอื่นแทนชั่วคราว

มาตรา 424 ต้องเลือกผู้รักษาการสังฆมณฑล ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 165178

มาตรา 425 วรรค 1 เพื่อให้ผู้ที่ได้รับการเลือกทำหน้าที่เป็นผู้รักษาการสังฆมณฑลมีผลผู้นั้นต้องเป็นพระสงฆ์ที่มีอายุอย่างน้อย 35 ปีบริบูรณ์ และต้องไม่เป็นบุคคลที่ได้รับการเลือกหรือแต่งตั้งหรือรับการเสนอชื่อให้รับตำแหน่งพระสังฆราชที่ว่างลงก่อนแล้ว

วรรค 2 ต้องเลือกพระสงฆ์ที่เด่นด้านคำสอนและสุขุมรอบคอบเป็นผู้รักษาการสังฆมณฑล

วรรค 3 หากเงื่อนไขที่กล่าวแล้วในวรรค 1 ถูกละเลย สังฆมณฑลนครหรือถ้าเป็นสังฆมณฑลนครเองที่ว่างลงพระสังฆราชสังฆมณฑลรองที่ได้รับการแต่งตั้งก่อนต้องแต่งตั้งผู้รักษาการสังฆมณฑลแทนหลังจากได้ตรวจสอบความจริงของเรื่องราวแล้วการกระทำของผู้ที่ได้รับเลือกที่ขัดต่อข้อกำหนดของวรรค 1 เป็นโมฆะโดยกฎหมาย

มาตรา 426 ผู้ใดก็ตามที่ปกครองสังฆมณฑล ขณะที่ตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง และก่อนการแต่งตั้งผู้รักษาการสังฆมณฑล มีอำนาจที่กฎหมายให้แก่อุปสังฆราช

มาตรา 427 วรรค 1 ผู้รักษาการสังฆมณฑลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ และมีอำนาจเช่นพระสังฆราชสังฆมณฑลไม่รวมสิ่งซึ่งยกเว้นโดยธรรมชาติของเรื่องหรือโดยกฎหมายเอง

วรรค 2 เมื่อผู้รักษาการสังฆมณฑลยอมรับการเลือกตั้ง ก็ได้รับอำนาจโดยไม่จำเป็นต้องมีการรับรองอีก แต่ให้คงไว้ซึ่งข้อบังคับของมาตรา 833 ข้อ 4

มาตรา 428 วรรค 1 เมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง ต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ

วรรค 2 ห้ามมิให้ผู้ที่ปกครองสังฆมณฑลเป็นการชั่วคราว กระทำการใดๆซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายแก่สังฆมณฑล หรือต่อสิทธิต่างๆ ของพระสังฆราชโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ห้ามมิให้ตนเองหรือบุคคลอื่น เคลื่อนย้าย ทำลายเปลี่ยนแปลงเอกสารใดๆ ของสำนักพระสังฆราช ไม่ว่าด้วยตนเองหรือโดยผู้อื่น

มาตรา 429 ผู้รักษาการสังฆมณฑลต้องพำนักอยู่ในสังฆมณฑล และถวายมิสซาให้สัตบุรุษตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 388

มาตรา 430 วรรค 1 ความรับผิดชอบของผู้รักษาการสังฆมณฑลสิ้นสุดลง เมื่อพระสังฆราชองค์ใหม่เข้าครอบครองสังฆมณฑล

วรรค 2 การถอดถอนผู้รักษาการสังฆมณฑล สงวนไว้แก่สันตะสำนัก การลาออกใดๆ ต้องใช้แบบฟอร์มที่ถูกต้องตามกฎหมาย ยื่นต่อคณะที่ปรึกษาที่มีอำนาจเลือกตั้งแต่ไม่ต้องรับการยินยอมจากคณะดังกล่าวถ้าผู้รักษาการสังฆมณฑลถูกถอดถอนหรือลาออก หรือเสีย ชีวิตก็ให้เลือกผู้รักษาการสังฆมณฑลตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 421

 

ลักษณะ 2 กลุ่มต่างๆ ของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น

หมวด 1 แขวง และเขตต่างๆ ฝ่ายพระศาสนจักร

มาตรา 431 วรรค 1 พระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่อยู่ใกล้กันต้องรวมกันเป็นแขวงฝ่ายพระศาสนจักรมีขอบเขตที่แน่นอนเพื่อกิจการด้านการอภิบาลร่วมกันของสังฆมณฑลที่อยู่ใกล้กันเพื่อจะได้รับการสนับสนุนตามสภาพของบุคคลและสถานที่ และเพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างพระสังฆราชสังฆมณฑลด้วยกันเองให้ดียิ่งขึ้น

วรรค 2 ให้ถือเป็นกฎว่า ไม่มีสังฆมณฑลที่แยกเป็นเอกเทศอีกต่อไป ดังนั้นสังฆมณฑลแต่ละแห่งและพระ-ศาสนจักรเฉพาะถิ่นอื่นๆ ซึ่งมีอยู่ในพื้นที่ของแขวงฝ่ายพระศาสนจักรต้องขึ้นต่อแขวงพระศาสนจักรนี้

วรรค 3 ผู้ใหญ่สูงสุดของพระศาสนจักรแต่ผู้เดียว มีอำนาจตั้ง ยุบหรือเปลี่ยนแปลงแขวงฝ่ายพระศาสนจักรหลังจากที่ได้ฟังความคิดเห็นของพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องแล้ว

มาตรา 432 วรรค 1 ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย สภาแขวง และสังฆมณฑลนคร มีอำนาจภายในแขวงฝ่ายพระศาสนจักร

วรรค 2 แขวงฝ่ายพระศาสนจักรเป็นนิติบุคคลโดยตัวบทกฎหมายเอง

มาตรา 433 วรรค 1 หากเห็นว่าเป็นประโยชน์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่พระศาสนจักรท้องถิ่นมีจำนวนมากกว่าแขวงฝ่ายพระศาสนจักรที่อยู่ใกล้กันสามารถรวมกันเป็นเขตฝ่ายพระศาสนจักรโดยสันตะสำนักตามการเสนอของสภาพระสังฆราช

วรรค 2 เขตฝ่ายพระศาสนจักร สามารถตั้งเป็นนิติบุคคลได้

มาตรา 434 กลุ่มของบรรดาพระสังฆราชของเขตฝ่ายพระศาสนจักรต้องส่งเสริมการร่วมมือ และกิจการอภิบาลร่วมกันในเขตอย่างไรก็ตามอำนาจซึ่งให้แก่สภาพระสังฆราชตามมาตราต่างๆ ในประมวลกฎหมายไม่ใช่เป็นของกลุ่มเช่นนี้ เว้นไว้แต่ว่าบางกลุ่มได้รับอำนาจเป็นพิเศษจากสันตะสำนัก

 

หมวด 2 สังฆมณฑลนคร

มาตรา 435 ผู้ปกครองสังฆมณฑลนคร เป็นหัวหน้าของแขวงฝ่ายพระศาสนจักรท่านเป็นพระอัครสังฆราชของสังฆมณฑล ที่ท่านเป็นประมุขอยู่ตำแหน่งหน้าที่นี้เกี่ยวเนื่องกับตำแหน่งพระสังฆราชซึ่งพระสันตะปาปาได้กำหนดหรือได้รับรองแล้ว

มาตรา 436 วรรค 1 ภายในบรรดาสังฆมณฑลรอง สังฆมณฑลนครมีอำนาจ

1.       เฝ้าระวังให้มีการรักษาความเชื่อและวินัยฝ่ายพระศาสนจักรอย่างเคร่งครัดและถ้าหากมีการละเมิดใดๆ ต้องรายงานให้พระสันตะปาปาทราบ

2.       เยี่ยมเยียนตามกฎหมายฯ ถ้าพระสังฆราชแห่งสังฆมณฑลรองละเลยหน้าที่หลังจากเหตุผลของการกระทำดังกล่าวได้รับการรับรองจากสันตะสำนักก่อนแล้ว

3.       ตั้งผู้รักษาการสังฆมณฑลตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 421 วรรค 2 และ 425 วรรค 3

วรรค 2 ที่ซึ่งสภาพแวดล้อมเรียกร้อง สันตะสำนักสามารถมอบหมายแก่สังฆมณฑลนคร ซึ่งหน้าที่พิเศษและอำนาจที่จะต้องกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะ

วรรค 3 สังฆมณฑลนครไม่มีอำนาจปกครองภายในสังฆมณฑลรอง อย่างไรก็ตามท่านสามารถประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ตามวัดต่างๆ เสมือนว่าท่านเป็นพระสังฆราชของสังฆมณฑลของท่านเองแต่ท่านต้องแจ้งให้พระสังฆราชสังฆมณฑลนั้นทราบ หากเป็นพิธีในอาสนวิหาร

มาตรา 437 วรรค 1 ภายในสามเดือน หลังจากที่ได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชหรือจากเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย หากท่านได้รับการอภิเษกเป็นพระสังฆราชแล้วพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครโดยตนเอง หรือโดยผ่านทางตัวแทนมีหน้าที่ต้องขอผ้าคลุมไหล่ (pallium) จากพระสันตะปาปาผ้าคลุมไหล่นี้หมายถึงอำนาจซึ่งพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครได้รับตามกฎหมายภายในแขวงของตน โดยมีสายสัมพันธ์กับพระศาสนจักรโรมัน

วรรค 2 ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพิธีกรรมพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครสามารถใช้ผ้าคลุมไหล่ (pallium) ในวัดใดก็ได้ภายในแขวงฝ่ายศาสนจักรซึ่งท่านเป็นหัวหน้า แต่ไม่ใช่นอกเขตแม้พระสังฆราชสังฆมณฑลยินยอมก็ตาม

วรรค 3 พระอัครสังฆราชสังฆ-มณฑลนครต้องขอผ้าคลุมไหล่ใหม่ (pallium) หากย้ายไปรับตำแหน่งใน     สังฆมณฑลนครอื่น

มาตรา 438 ตำแหน่งพระอัครสังฆบิดร (patriarch) หรือพระราชาคณะ (primate) เป็นอภิสิทธิ์แห่งเกียรติยศ ไม่มีอำนาจปกครองในพระศาสนจักรลาตินเว้นไว้แต่ว่าในบางกรณีเป็นที่แจ้งชัดเป็นอย่างอื่นเพราะอภิสิทธิ์จากสันตะสำนักหรือเพราะประเพณีที่ได้รับการรับรองแล้ว

 

 

หมวด 3 สภาเฉพาะ

มาตรา 439 วรรค 1 การประชุมใหญ่ (plenary council) คือการประชุมที่จัดขึ้นสำหรับพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นทั้งหมดที่ขึ้นต่อสภาพระสังฆราชเดียวกันต้องจัดขึ้นบ่อยเท่าที่เห็นว่าจำเป็นหรือมีประโยชน์ต่อสภาพระสังฆราชโดยได้รับการรับรองจากสันตะสำนัก

วรรค 2 กฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในวรรค 1 ยังใช้ได้กับการประชุมของสภาแขวงในแขวงฝ่ายพระศาสนจักรที่มีอาณาเขตเท่ากับอาณาเขตของประเทศ

มาตรา 440 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 439 วรรค 2 การประชุมสภาแขวงสำหรับพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นต่างๆ ในแขวง ศาสนจักรเดียวกันต้องจัดประชุมบ่อยเท่าที่บรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑลส่วนใหญ่ในแขวงวินิจฉัยว่าเห็นสมควร

วรรค 2 เมื่อตำแหน่งพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครว่างลง ต้องไม่เรียกประชุมสภาแขวง

มาตรา 441 บทบาทของสภาพระสังฆราชได้แก่

1.       เรียกประชุมใหญ่

2.       เลือกสถานที่ประชุมสภาภาย-ในเขตของสภาพระสังฆราช

3.       เลือกประธานการประชุมใหญ่จากบรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑล แต่ผู้ที่ได้รับเลือกต้องได้รับการรับรองจากสันตะสำนัก

4.       กำหนดวาระ และเรื่องที่จะประชุม กำหนดวันเปิดและระยะเวลาการประชุม เลื่อน ยืดเวลา และเลิกการประชุมใหญ่

มาตรา 442 วรรค 1 โดยความยินยอมของบรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑลรองส่วนใหญ่ บทบาทของพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครได้แก่

1.       เรียกประชุมแขวง

2.       เลือกสถานที่ประชุมแขวงภายในอาณาเขตแขวง

3.       กำหนดวาระและเรื่องที่จะประชุม กำหนดวันเปิดและระยะเวลาการประชุม เลื่อน ยืดเวลาและเลิกการประชุมแขวง

วรรค 2 บทบาทของพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครคือเป็นประธานของการประชุมแขวงถ้าท่านถูกขัดขวางมิให้ปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมายบทบาทนี้ก็ตกแก่พระสังฆราชสังฆมณฑลรองที่ได้รับเลือกจากพระสังฆราชสังฆมณฑลรองอื่นๆ

มาตรา 443 วรรค 1 ต้องเรียกบุคคลต่อไปนี้ เข้าประชุมในการประชุมเฉพาะและมีสิทธิในการลงคะแนนเสียงตัดสินในการประชุม

1.       บรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑล

2.       บรรดาพระสังฆราชรอง และบรรดาพระสังฆราชผู้ช่วย

3.       บรรดาพระสังฆราชกิรติศักดิ์อื่น ซึ่งทำหน้าที่พิเศษที่ได้รับมอบหมายจากสันตะสำนักหรือสภาพระสังฆราชในเขตนั้น

วรรค 2 บรรดาพระสังฆราชกิรติศักดิ์อื่น ซึ่งอยู่ในเขตแม้เป็นพระสังฆราชกิตติคุณก็สามารถได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมเฉพาะและมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตัดสิน

วรรค 3 ต้องเรียกบุคคลต่อไปนี้ เข้าประชุมในการประชุมเฉพาะ แต่พวกท่านมีเพียงคะแนนเสียงให้คำปรึกษาเท่านั้น

1.       บรรดาอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราชของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น ทั้งหมดในอาณาเขต

2.       บรรดาอัครธิการของสถาบันนักพรต และคณะชีวิตธรรมทูตต่างรับเลือกโดยบรรดาอัครธิการทั้งหมดของสถาบันนักพรตและคณะชีวิตธรรมทูตเองซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ในอาณาเขต ส่วนจำนวนชายและหญิงสภาพระสังฆราชหรือบรรดาพระสังฆราชของแขวงเป็นผู้กำหนด

3.       บรรดาอธิการบดีของมหาวิทยาลัยฝ่ายพระศาสนจักรและมหาวิทยาลัยคาทอลิกพร้อมทั้งคณบดีคณะเทววิทยาและคณะกฎหมายพระศาสนจักรซึ่งตั้งอยู่ภายในอาณาเขต

4.       บรรดาอธิการบางคนของสามเณราลัยใหญ่ได้รับเลือกจากบรรดาอธิการของสามเณราลัย ซึ่งตั้งอยู่ในอาณาเขตส่วนจำนวนนั้นต้องกำหนดตามข้อ 2 ข้างบน

วรรค 4 บรรดาพระสงฆ์และบรรดาคริสตชนสามารถได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมในการประชุมเฉพาะด้วยพวกเขามีคะแนนเสียงเพียงให้คำปรึกษาเท่านั้นส่วนจำนวนนั้นต้องไม่เกินกึ่งหนึ่งของสมาชิกที่กล่าวไว้ในวรรค 1-3

วรรค 5 ต้องเชิญคณะสงฆ์ประจำอาสนวิหาร, สภาสงฆ์และสภาอภิบาลของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแต่ละแห่ง เข้าประชุมแขวงด้วยโดยให้แต่ละองค์กรส่งตัวแทนองค์กรละ 2 ท่านซึ่งควรได้รับเลือกจากหมู่คณะของแต่ละองค์กรพวกท่านมีคะแนนเสียงเพียงให้คำปรึกษาเท่านั้น

วรรค 6 ผู้อื่นอาจได้รับเชิญเป็นแขกในการประชุมเฉพาะได้หากสภาพระสังฆราชวินิจฉัยเห็นว่าเป็นประโยชน์ สำหรับการประชุมใหญ่หรือหากพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครร่วมกับพระสังฆราชสังฆมณฑลรองวินิจฉัยเห็นว่าเป็นประโยชน์สำหรับการประชุมแขวง

มาตรา 444 วรรค 1 ทุกคนที่ได้รับเชิญเข้าประชุมในการประชุมเฉพาะต้องเข้าประชุมเว้นไว้แต่ว่า พวกเขามีข้อขัดขวางด้วยเหตุอันชอบซึ่งต้องแจ้งให้ประธานที่ประชุมทราบ

วรรค 2 บรรดาผู้ที่ได้รับเชิญเข้าประชุมในการประชุมเฉพาะและมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตัดสิน ถ้าพวกเขามีข้อขัดขวางด้วยเหตุอันชอบก็สามารถส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมได้ อย่างไรก็ตามตัวแทนมีสิทธิ์เพียงลงคะแนนเสียงให้คำปรึกษาเท่านั้น

มาตรา 445 ที่ประชุมเฉพาะต้องเอาใจใส่ดูแลถึงความจำเป็นด้านอภิบาลของประชากรของพระเป็นเจ้าในอาณาเขตของตนเอง และที่ประชุมนี้ ยังมีอำนาจปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อำนาจนิติบัญญัติ ดังนั้นโดยคงไว้ซึ่งกฎหมายสากลของพระศาสนจักรเสมอที่ประชุมนี้สามารถออกข้อกฤษฎีกาที่เห็นว่าเหมาะสม เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อจัดกิจกรรมด้านอภิบาลร่วมกัน ชี้นำด้านศีลธรรมและรักษาส่ง-เสริมหรือป้องกันระเบียบวินัยทั่วไปของพระศาสนจักร

มาตรา 446 เมื่อสิ้นสุดการประชุมเฉพาะประธานต้องเอาใจใส่ให้ส่งเอกสารทั้งหมดของการประชุมไปยังสันตะสำนักห้ามประกาศใช้กฤษฎีกาที่ออกโดยที่ประชุมจนกว่าได้รับการรับรองจากสันตะสำนักก่อนแล้วเป็นหน้าที่ของที่ประชุมเองที่จะกำหนดวิธีการประกาศกฤษฎีกาและกำหนดเวลาของกฤษฎีกาที่ประกาศแล้วเริ่มมีผลบังคับ

 

หมวด 4 สภาพระสังฆราช

มาตรา 447 สภาพระสังฆราชซึ่งเป็นสถาบันถาวร เป็นการรวมกลุ่มของบรรดาพระสังฆราชของประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือของอาณาเขตใดอาณาเขตหนึ่งตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย บรรดาพระสังฆราชเหล่านี้รวมตัวกันปฏิบัติหน้าที่อภิบาลเพื่อคริสตชน ในอาณาเขตของตน โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมความดียิ่งขึ้น ซึ่งพระศาสนจักรมอบให้แก่มนุษยชาติโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยรูปแบบและวิธีการ การแพร่ธรรมซึ่งปรับให้เหมาะตามสภาพของกาลเวลาและสถานที่

มาตรา 448 วรรค 1 โดยกฎเกณฑ์ทั่วไปสภาพระสังฆราชประกอบด้วยผู้ที่เป็นประมุขทั้งหมดของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นของประเทศเดียวกันตามมาตรา 450

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม หากในการวินิจฉัยของสันตะสำนักเมื่อได้ปรึกษาหารือกับบรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑลที่เกี่ยวข้องก่อนสภาพแวดล้อมของบุคคลหรือสิ่งต่างๆเรียกร้องสภาพระสังฆราชอาจจะตั้งขึ้นในอาณาเขตที่ใหญ่หรือเล็กกว่าก็ได้ในลักษณะที่ว่าสภาพระสังฆราชที่ตั้งขึ้นนี้ประกอบด้วยพระสังฆราชของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตใดอาณาเขตหนึ่งเท่านั้น หรือประกอบด้วยประมุขของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่ตั้งอยู่ในประเทศที่แตกต่างกัน เป็นหน้าที่ของสันตะสำนักเดียวกัน ที่จะกำหนดกฎเกณฑ์เฉพาะสำหรับสภาแต่ละแห่งเหล่านี้

มาตรา 449 วรรค 1 เป็นอำนาจของผู้ใหญ่สูงสุดของพระศาสนจักรเท่านั้นเมื่อได้ฟังความเห็นของบรรดาพระสังฆราชที่เกี่ยวข้องแล้ว ที่จะตั้งยุบหรือเปลี่ยนแปลงสภาพระสังฆราช

วรรค 2 สภาพระสังฆราช เมื่อได้ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ก็เป็นนิติบุคคลโดยกฎหมายเอง

มาตรา 450 วรรค 1 โดยกฎหมายเอง สมาชิกของสภาพระสังฆราชได้แก่บรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑลทั้งหมดที่อยู่ในอาณาเขตและผู้ที่มีตำแหน่งเทียบเท่าตามกฎหมายรวมทั้งพระสังฆราชรอง พระสังฆราชผู้ช่วยและพระสังฆราชกิรติศักดิ์อื่นๆ ซึ่งปฏิบัติงานเฉพาะอยู่ในอาณาเขตเดียวกันโดยได้รับมอบหมายจากสันตะสำนักหรือจากสภาพระสังฆราช ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจในจารีตอื่นๆ ก็อาจได้รับเชิญอย่างไรก็ตาม พวกท่านมีเพียงคะแนนเสียงให้คำปรึกษาเท่านั้นเว้นไว้แต่ว่ากฎระเบียบของสภาพระสังฆราชกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 โดยกฎหมายพระสังฆราชกิรติศักดิ์อื่นๆ และสมณทูตของพระสันตะปาปามิได้เป็นสมาชิกของสภาพระสังฆราช

มาตรา 451 สภาพระสังฆราชแต่ละแห่งต้องจัดทำกฎระเบียบของตนเองซึ่งต้องได้รับการตรวจสอบจากสันตะสำนัก นอกเหนือจากกฎระเบียบอื่นๆต้องมีกฎระเบียบเกี่ยวกับการประชุมใหญ่ของสภาพระสังฆราชและกฎระเบียบสำหรับคณะกรรมการสภาถาวรของบรรดาพระสังฆราชและเลขาธิการของสภาพระสังฆราชและหน่วยงานและคณะกรรมการอื่นๆซึ่งในการวินิจฉัยของสภาพระสังฆราชเห็นว่าจะช่วยให้สภาพระสังฆราชบรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิผลยิ่งขึ้น

มาตรา 452 วรรค 1 ตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญสภาพระสังฆราชแต่ละแห่งต้องเลือกประธานของตนเองกำหนดบุคคลที่จะทำหน้าที่รองประธานในกรณีที่ประธานมีอุปสรรคอันชอบด้วยกฎหมาย และกำหนดเลขาธิการด้วย

วรรค 2 ประธานการประชุมสภา และหากประธานมีอุปสรรคอันชอบด้วยกฎหมายรองประธานเป็นประธานไม่เพียงแต่ในการประชุมทั่วไปของสภาพระสังฆราชเท่านั้นแต่ยังเป็นประธานของคณะกรรมการบริหารถาวรด้วย

มาตรา 453 ตามข้อกำหนดของธรรมนูญต้องมีการประชุมใหญ่ของสภาพระสังฆราชอย่างน้อยปีละครั้ง และนอกนั้นให้จัดประชุมเท่าที่กรณีพิเศษเรียกร้อง

มาตรา 454 วรรค 1 ในการประชุมใหญ่ของสภาพระสังฆราชผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตัดสินตามกฎหมายคือ บรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑลบุคคลที่มีตำแหน่งเทียบเท่าตามกฎหมาย และบรรดาพระ-สังฆราชรองด้วย

วรรค 2 บรรดาพระสังฆราชผู้ช่วย และพระสังฆราชกิรติศักดิ์อื่นๆซึ่งเป็นสมาชิกของสภาพระสังฆราชมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตัดสินหรือให้คำปรึกษาตามข้อกำหนดของธรรมนูญแห่งสภาอย่างไรก็ตามถ้าเกี่ยวกับการร่างหรือการเปลี่ยนแปลงธรรมนูญให้เป็นบุคคลที่กล่าวไว้ในวรรค 1 เท่านั้น มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตัดสิน

มาตรา 455 วรรค 1 สภาพระสังฆราชสามารถออกกฤษฎีกาทั่วไปได้เฉพาะในเรื่องที่กฎหมายสากลได้กำหนดไว้เท่านั้นหรือเมื่อสันตะสำนักมีคำสั่งพิเศษ ไม่ว่าจะมาจากอัตตาณัติ (motu proprio) หรือจากคำร้องขอของสภาฯ

วรรค 2 กฤษฎีกาทั่วไปที่กล่าวถึงในวรรค 1 สามารถออกได้อย่างถูกต้องเมื่อมีคะแนนเสียงสองในสามของสมาชิกสภาฯ ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตัดสินของที่ประชุมใหญ่ให้การรับรองกฤษฎีกาดังกล่าวยังไม่มีผลบังคับใช้ เว้นไว้แต่ว่าได้รับการประกาศอย่างถูกต้องตามกฎหมาย หลังจากสันตะสำนักได้ตรวจสอบแล้ว

วรรค 3 สภาพระสังฆราชเองต้องกำหนดรูปแบบและเวลาการประกาศใช้ เพื่อให้กฤษฎีกามีผลบังคับ

วรรค 4 ในกรณีที่ไม่มีทั้งกฎหมายสากลและคำสั่งพิเศษจากสันตะ-สำนักให้อำนาจสภาพระสังฆราชที่กล่าวถึงในวรรค 1 อำนาจของพระสังฆราชสังฆมณฑลแต่ละองค์ยังคงเดิมอยู่สภาหรือประธานสภาไม่สามารถกระทำการใดๆ อย่างถูกต้องในนามของพระสังฆราชทั้งหมด เว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชทั้งหมด และแต่ละองค์ได้ให้ความยินยอม

มาตรา 456 เมื่อการประชุมใหญ่สภาพระสังฆราชสิ้นสุดลงประธานสภาต้องส่งรายงานการประชุมและกฤษฎีกาไปยังสันตะสำนักเพื่อสันตะสำนักจะได้รับรู้และสามารถตรวจสอบกฤษฎีกา ถ้าหากมี

มาตรา 457 คณะกรรมการบริหารวารของบรรดาพระสังฆราชต้องเตรียมวาระการประชุมสำหรับการประชุมใหญ่ของสภาฯ และต้องติดตามมติของที่ประชุมใหญ่ว่าได้รับการปฏิบัติตามที่ควรต้องเป็นคณะกรรมการบริหารยังต้องติดตามเรื่องอื่นๆ ที่ได้รับมอบหมายตามกฎเกณฑ์ของกฎระเบียบด้วย

มาตรา 458 หน้าที่ของเลขาธิการสภาคือ

1.       เตรียมรายงานการประชุมและกฤษฎีกาของการประชุมใหญ่ของสภาและเรื่องต่างๆ ของคณะกรรมการบริหารถาวรของบรรดาพระสังฆราชและส่งรายงานไปยังสมาชิกทั้งหมดของสภา ยังต้องบันทึกเรื่องอื่นๆที่ได้รับมอบหมายจากประธานสภาหรือจากคณะกรรมการบริหารถาวร

2.       ส่งรายงานการประชุม และเอกสารไปยังสภาพระสังฆราชที่อยู่ใกล้เคียง ซึ่งที่ประชุมใหญ่หรือคณะกรรมการบริหารมีมติให้ส่ง

มาตรา 459 วรรค 1 ต้องส่งเสริมความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างสภาพระสังฆราชในเขตต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพระสังฆราชที่อยู่ใกล้กันเพื่อสนับสนุนและปกป้องให้เกิดความดียิ่งขึ้น

วรรค 2 เมื่อไรก็ตาม ที่การประชุมสภาได้นำเรื่องหรือโครงการที่มีลักษณะเป็นนานาชาติเข้าที่ประชุม จำเป็นต้องมีการปรึกษาสันตะสำนัก

 

ลักษณะ 3 การจัดระเบียบภายในของพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น

หมวด 1 สมัชชาสังฆมณฑล

มาตรา 460 สมัชชาสังฆมณฑลคือกลุ่มพระสงฆ์และคริสตชนที่ได้รับเลือกจากพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นเพื่อช่วยเหลือพระสังฆราชสังฆมณฑล ยังประโยชน์ของปวงชนทั่วเขตสังฆมณฑลตามกฎเกณฑ์ของมาตราต่อไปนี้

มาตรา 461 วรรค 1 ให้จัดประชุมสมัชชาสังฆมณฑลขึ้นในเขตพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นแต่ละแห่ง เมื่อพระสังฆราชสังฆมณฑลวินิจฉัยว่าสถานการณ์เรียกร้อง หลังจากได้ปรึกษากับสภาสงฆ์แล้ว

วรรค 2 หากพระสังฆราชองค์หนึ่งต้องดูแลหลายสังฆมณฑลหรือหากมีสังฆมณฑลของตนเฉพาะและยังเป็นผู้รักษาการสังฆมณฑลอื่นอีกท่านก็สามารถเรียกประชุมสมัชชาเดียวสำหรับทุกสังฆมณฑลที่ท่านดูแล

มาตรา 462 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลเท่านั้นเป็นผู้เรียกประชุมสมัชชาสังฆมณฑลอย่างไรก็ตามพระสังฆราชนั้นต้องไม่เป็นพระสังฆราชรักษาการสังฆ-มณฑล

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลเป็นประธานสมัชชาสังฆมณฑลอย่างไรก็ตามท่านสามารถมอบให้อุปสังฆราชหรือผู้ช่วยพระสังฆราชทำหน้าที่เป็นประธานของแต่ละวาระในการประชุมสมัชชาได้

มาตรา 463 วรรค 1 บุคคลต่อไปนี้ต้องได้รับเรียกให้เข้าประชุมสมัชชาสังฆมณฑล ในฐานะเป็นสมาชิกของสมัชชาและมีหน้าที่ต้องเข้าร่วมประชุมด้วย

1.       พระสังฆราชรอง และพระ-สังฆราชผู้ช่วย

2.       อุปสังฆราช, ผู้ช่วยพระ-สังฆราชและผู้ช่วยฝ่ายอรรถคดี

3.       คณะสงฆ์ประจำอาสนวิหาร

4.       สมาชิกสภาสงฆ์

5.       คริสตชนฆราวาส และสมาชิกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วคัดเลือกโดยสภาอภิบาลตามวิธีการและจำนวนที่พระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดหรือหากไม่มีสภานี้ ก็ให้เป็นไปตามที่พระ-สังฆราชสังฆมณฑลกำหนด

6.       อธิการสามเณราลัยใหญ่ของสังฆมณฑล

7.       พระสงฆ์หัวหน้าเขต

8.       พระสงฆ์อย่างน้อยหนึ่งองค์ ที่คัดเลือกจากเขตปกครองแต่ละแห่งโดยผู้มีหน้าที่ดูแลวิญญาณทั้งหมดที่นั่นและยังต้องเลือกพระสงฆ์อีกองค์หนึ่ง เพื่อทำหน้าที่แทนหากคนแรกมีอุปสรรคไม่สามารถทำหน้าที่ได้

9.       อธิการบางองค์ของสถาบันนักพรตและคณะชีวิตแพร่ธรรม ซึ่งมีบ้านอยู่ในสังฆมณฑล คัดเลือกตามวิธีการและจำนวนที่พระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนด

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลยังสามารถเรียกผู้อื่นเข้าร่วมประชุมสมัชชาสังฆมณฑลได้อีก ซึ่งอาจจะเป็นสมณะ, สมาชิกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วหรือคริสตชนฆราวาสก็ได้

วรรค 3 หากพระสังฆราชสังฆมณฑล พิจารณาเห็นว่าเหมาะสมสามารถเชิญศาสนาจารย์หรือสมาชิกบางท่านจากพระศาสนจักรหรือศาสนชุมชนอื่นซึ่งมิได้มีความสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับพระศาสนจักรคาทอลิกเป็นผู้สังเกตการณ์ได้

มาตรา 464 สมาชิกสมัชชาที่ไม่มีอุปสรรคอันชอบด้วยกฎหมายไม่สามารถส่งตัวแทนเข้าร่วมประชุมแทนตนได้แต่สมาชิกผู้นั้นต้องแจ้งพระสังฆราชสังฆมณฑลให้ทราบถึงอุปสรรคนี้

มาตรา 465 บรรดาสมาชิกสามารถอภิปรายปัญหาที่เสนอทั้งหมดได้อย่างอิสระ ในการประชุมช่วงต่างๆ ของสมัชชา

มาตรา 466 พระสังฆราชสังฆมณฑลเป็นผู้ตรากฎหมายเพียงผู้เดียวในสมัชชาสังฆมณฑลส่วนสมาชิกอื่นของสมัชชามีเพียงคะแนนเสียงให้คำปรึกษาเท่านั้นท่านเพียงผู้เดียวเป็นผู้ลงนามในแถลงการณ์ และกฤษฎีกาของสมัชชาซึ่งท่านนั้นมีอำนาจประกาศใช้

มาตรา 467 พระสังฆราชสังฆมณฑล ต้องส่งแถลงการณ์ และกฤษฎีกาต้นฉบับต่างๆ ของสมัชชาไปยัง     สังฆมณฑลนคร และสภาพระสังฆราช

มาตรา 468 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลมีอำนาจระงับหรือยุบสมัชชาสังฆมณฑลตามการวินิจฉัยอันรอบคอบของท่านเอง

วรรค 2 หากตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง หรือมีอุปสรรคขัดขวางสมัชชาสังฆมณฑลก็หยุดชะงักโดยตัวบทกฎหมายเองจนกระทั่งพระสังฆราชสังฆมณฑลที่สืบต่อจะออกกฤษฎีกาเพื่อดำเนินการต่อหรือปิดสมัชชา

 

หมวด 2 สำนักสังฆมณฑล

มาตรา 469 สำนักสังฆมณฑลประกอบด้วยองค์กรและบุคคลที่ช่วยพระสังฆราชในการปกครองสังฆมณฑลทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกำหนดแนวทางการอภิบาลการจัดการการบริหารสังฆมณฑล และการใช้อำนาจตุลาการ

มาตรา 470 พระสังฆราชสังฆมณฑล แต่งตั้งบุคคลผู้ปฏิบัติหน้าที่ต่างๆ ในสำนักสังฆมณฑล

มาตรา 471 ทุกคนที่ได้รับแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ต่างๆในสำนักต้อง

1.       สัญญาที่จะปฏิบัติหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อ ตามกฎเกณฑ์ที่กฎหมายหรือพระสังฆราชกำหนดไว้

2.       รักษาความลับไว้ในขอบเขต และตามรูปแบบที่กฎหมายหรือพระสังฆราชกำหนดไว้

มาตรา 472 เกี่ยวกับคดีและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำนาจตุลาการในสำนักต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดในบรรพ 7 ที่ว่าด้วยกระบวนการพิจารณาคดีส่วนที่เกี่ยวกับการบริหารสังฆมณฑล ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตราต่อไปนี้

มาตรา 473 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่ดูแลให้ทุกๆเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการบริหารทั่ว    สังฆมณฑลได้มีการประสานและการจัดการอย่างเหมาะสมในลักษณะที่จะเป็นประโยชน์ที่สุดต่อประชากรของพระเป็นเจ้าที่ท่านได้รับมอบหมาย

วรรค 2 เป็นความรับผิดชอบของพระสังฆราชสังฆมณฑลเองที่จะประสานงานด้านอภิบาลของบรรดาอุปสังฆราช หรือบรรดาผู้ช่วยพระสังฆราชที่ใดก็ตาม ที่ท่านเห็นเหมาะสมท่านก็สามารถแต่งตั้งผู้ประสานงานสำนักซึ่งต้องเป็นพระสงฆ์ เขามีหน้าที่ปฏิบัติงานภายใต้อำนาจของพระสังฆราชในการประสานงานที่เกี่ยวกับการบริหาร และเช่นเดียวกันเขายังต้องเอาใจใส่ให้บุคคลอื่นที่ทำหน้าที่ในสำนักให้ทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างถูกต้อง

วรรค 3 ให้ตั้งอุปสังฆราชหรือหากมีอุปสังฆราชหลายองค์ก็ตั้งองค์หนึ่งเป็นผู้ประสานงานสำนักเว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชวินิจฉัยเป็นอย่างอื่น ตามสภาพท้องถิ่น

วรรค 4 ที่ใดที่พระสังฆราชวินิจฉัยเห็นว่าจะส่งเสริมงานด้านอภิบาลได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้นท่านก็สามารถแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาอันประกอบด้วยบรรดาอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราช

มาตรา 474 เอกสารต่างๆ ของสำนัก ซึ่งโดยธรรมชาติของมันมีผลตามกฎหมายต้องมีลายมือชื่อของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจที่ออกเอกสารนั้น เช่นเดียวกันต้องมีลายมือชื่อเลขาธิการ (chancellor) หรือนิติกรณ์ (notary) ของสำนักด้วย เลขาธิการมีหน้าที่ต้องแจ้งผู้ประสานงานสำนักทราบเกี่ยวกับเอกสารเหล่านั้น

ส่วน 1 อุปสังฆราช และผู้ช่วยพระสังฆราช

มาตรา 475 วรรค 1 ในแต่ละสังฆมณฑล พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องแต่งตั้งอุปสังฆราชองค์หนึ่ง เพื่อช่วยท่านในการปกครองสังฆมณฑล อุปสังฆราชมีอำนาจปกติตามมาตราต่อไปนี้

วรรค 2 ตามกฎทั่วๆ ไป มีเพียงอุปสังฆราชองค์เดียวเท่านั้นได้รับการแต่งตั้ง เว้นไว้แต่ว่าขนาดของสังฆมณฑล จำนวนคริสตชนที่อาศัยอยู่ หรือเหตุผลด้านอภิบาลทำให้เหนควรเป็นอย่างอื่น

มาตรา 476 ทุกครั้งที่ปกครองสังฆมณฑลที่ถูกต้อง เรียกร้องพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถแต่งตั้งผู้ช่วยพระสังฆราชองค์หนึ่งหรือหลายองค์ได้ ผู้ช่วยพระสังฆราชเหล่านี้มีอำนาจปกติเหมือนกับที่กฎหมายสากลให้ไว้แก่อุปสังฆราช ตามมาตราที่ตามมา กล่าวคือมีอำนาจในเขตที่กำหนดของสังฆมณฑล หรือในกิจการเฉพาะบางอย่าง หรือในการดูแลสัตบุรุษที่มีจารีตเฉพาะ หรือในการดูแลสัตบุรุษที่มีจารีตเฉพาะหรือกลุ่มชนบางกลุ่ม

มาตรา 477 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลแต่งตั้งอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราชอย่างอิสระ และสามารถปลดพวกเขาอย่างอิสระด้วย โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 406 ผู้ช่วยพระสังฆราชที่ไม่ใช่พระสังฆราชผู้ช่วย ต้องได้รับการแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่ตามเวลาที่กำหนดไว้ในหนังสือแต่งตั้งเท่านั้น

วรรค 2 เมื่ออุปสังฆราชไม่อยู่หรือมีอุปสรรคโดยชอบด้วยกฎหมาย พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถแต่งตั้งผู้อื่น เพื่อรับหน้าที่แทน กฎเกณฑ์เดียวกันนี้ให้ใช้กับผู้ช่วยพระสังฆราชด้วย

มาตรา 478 วรรค 1 อุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราช ต้องเป็นพระสงฆ์ อายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก หรือปริญญาโทด้านกฎหมายพระศาสนจักร หรือด้านเทววิทยา หรืออย่างน้อยเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิชาเหล่านี้จริงๆ เป็นผู้ที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นคนที่สอนถูกต้อง มีความประพฤติไม่ด่างพร้อย มีความสุขุมรอบคอบ และมีประสบการณ์ในการจัดการเรื่องต่างๆ

วรรค 2 ผู้ที่มีหน้าที่เป็นอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราช ต้องมิใช่เป็นบุคคลเดียวกันกับผู้ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับโทษในศีลอภัยบาป (canon penitentiary) ทั้งต้องไม่เป็นญาติทางสายโลหิตกับพระสังฆราชจนถึงขั้นที่ 4

มาตรา 479 วรรค 1 อุปสังฆราชโดยตำแหน่งหน้าที่มีอำนาจบริหารทั่วไปสังฆมณฑล ซึ่งเป็นอำนาจของพระสังฆราชสังฆมณฑลตามกฎหมาย กล่าวคือ มีอำนาจบริหารในทุกเรื่อง ยกเว้นในเรื่องซึ่งพระสังฆราชสงวนไว้สำหรับตนเองหรือตามกฎหมายแล้ว ต้องได้รับมอบอำนาจพิเศษจากพระสังฆราช

วรรค 2 โดยตัวบทกฎหมายเอง ผู้ช่วยพระสังฆราชมีอำนาจเดียวกันกับที่กล่าวไว้ในวรรค 1 เพียงแต่ในเขตพื้นที่ที่กำหนดหรืองานเฉพาะบางอย่าง หรือกลุ่มสัตบุรุษที่มีจารีตพิธีกรรมเฉพาะหรือกลุ่มที่เขาได้รับมอบหมาย ยกเว้นในเรื่องซึ้งพระสังฆราชสังฆมณฑลสงวนไว้สำหรับตนเองหรืออุปสังฆราชหรือซึ่งตามกฎหมายแล้ว ต้องได้รับมอบอำนาจพิเศษจากพระสังฆราช

วรรค 3 ภายในขอบเขตของตน อุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราช มีอำนาจปฏิบัติปกติ ซึ่งสันตสำนักมอบให้แก่พระสังฆราช รวมทั้งมีอำนาจตปฏิบัติตามหนังสือตอบ เว้นไว้แต่ว่ากำหนดไว้เป็นอย่างอื่นชัดเจนหรือเว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชสังฆมณฑลได้รับเลือกให้ปฏิบัติงานเพราะคุณสมบัติส่วนตัว

มาตรา 480 อุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราช ต้องรายงานต่อพระสังฆราชสังฆมณฑล ในเรื่องสำคัญทั้งที่ต้องทำและได้กระทำแล้ว อุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราชต้องไม่กระทำสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความประสงค์ และความคิดของพระสังฆราชเลย

มาตรา 481 วรรค 1 อำนาจของอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราชสิ้นสุดลงเมื่อลาอก หรือเช่นเดียวกัน เมื่อได้รับแจ้งจากพระสังฆราชสังฆมณฑลถึงการปลดออก และเมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 406 และ 409

วรรค 2 เมื่อพระสังฆราชสังฆมณฑลพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ อำนาจของอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราชก็ถูกพักด้วย เว้นไว้แต่ว่าอุปสังฆราชและผู้ช่วยพระสังฆราชมีฐานันดรเป็นพระสังฆราช

ส่วน 2 เลขาธิการ นิติกรณ์ และที่เก็บเอกสาร

มาตรา 482 วรรค 1 ในทุกสำนักฯ ให้มีการแต่งตั้งเลขาธิการ (chancellor) ซึ่งมีงานหลักคือจัดทำเอกสาร และเก็บเอกสาร ไว้ในที่เก็บเอกสารของสำนักฯ เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ถ้าเห็นว่าจำเป็น เลขาธิการก็สามารถมีผู้ช่วยได้ โดยมีตำแหน่งเป็นรองเลขาธิการ

วรรค 3 เลขาธิการ และรองเลขาธิการเป็นนิติกรณ์ (notary) และเลขานุการของสำนักฯโดยอัตโนมัติ

มาตรา 483 วรรค 1 นอกจากเลขาธิการแล้ว ยังสามารถแต่งตั้งนิติกรณ์อื่นๆ ได้อีก ซึ่งการบันทึกหรือลายมือชื่อของเขา ทำให้เอกสารที่ออกไป เป็นที่เชื่อถือได้สำหรับทุกเอกสารด้านตุลาการเท่านั้น หรือเอกสารที่เกี่ยวกับบางกรณีหรือบางเรื่องเท่านั้น

วรรค 2 เลขาธิการและนิติกรณ์ต้องเป็นผู้มีชื่อเสียงไม่ด่างพร้อย และปราศจากข้อครหาใดๆ ในกรณีที่เสี่ยงต่อชื่อเสียงของพระสงฆ์ นิติกรณ์ต้องเป็นพระสงฆ์

มาตรา 484 หน้าที่ของนิติกรณ์ได้แก่

1.       บันทึกรายงานและเอกสารเกี่ยวกับกฤษฎีกา กฎระเบียบ ข้อสัญญา และเรื่องอื่นๆ ที่เรียกร้องการเกี่ยวข้องของเขา

2.       บันทึกสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยความซื่อสัตย์ และลงลายมือชื่อพร้อมกับระบุสถานที่ วัน เดือน และปีไว้ด้วย

3.       ปฏิบัติตามระเบียบการ แสดงข้อบันทึกหรือเอกสารจากแฟ้มเอกสาร แก่ผู้ร้องขออย่างถูกต้อง พร้อมรับรองว่าสำเนาตรงกับต้นฉบับ

มาตรา 485 พระสังฆราชสังฆมณฑลปลดเลขาธิการ และนิติกรณ์ออกจากตำแหน่งหน้าที่ได้อย่างอิสระ แต่ผู้รักษาการณ์สังฆมณฑลไม่สามารถทำได้ เว้นแต่ได้รับความเห็นชอบจากคณะที่ปรึกษา

มาตรา 486 วรรค 1 ต้องเก็บเอกสารทั้งหมดของสังฆมณฑล และของวัดอย่างระมัดระวังที่สุด

วรรค 2 แต่ละสำนักฯต้องจัดให้มีที่หรือห้องเก็บเอกสารสังฆมณฑลในสถานที่ปลอดภัย สำหรับเก็บเอกสารและบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวกับเรื่องฝ่ายจิตและฝ่ายวัตถุของสังฆมณฑล โดยจัดเอกสารต่างๆ เหล่านั้นให้เป็นระเบียบและเก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัย

วรรค 3 ให้จัดทำบัญชีเอกสารที่เก็บไว้ในที่เก็บเอกสารพร้อมสรุปย่อของเอกสารแต่ละฉบับ

มาตรา 487 วรรค 1 ที่เก็บเอกสารต้องใส่กุญแจ พระสังฆราขและเลขาธิการเท่านั้นที่มีกุญแจไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปในห้องนั้น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากพระสังฆราช หรือผู้ประสานงานของสำนักฯและเลขาธิการพร้อมกันทั้งสองคน

วรรค 2 เป็นสิทธิของผู้เกี่ยวข้องที่จะขอรับสำเนาคัดจากทางการหรือสำเนาถ่ายเอกสารต่างๆ ซึ่งมีลักษณะเปิดเผยได้และที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลเหล่านั้นไม่ว่าด้วยตนเอง หรือโดยตัวแทน (proxy)

มาตรา 488 ไม่อนุญาตให้เคลื่อนย้ายเอกสารต่างๆ จากห้องเก็บเอกสาร เว้นไว้แต่ในเวลาอันสั้นเท่านั้น และโดยการยินยอมจากพระสังฆราช หรือจาผู้ประสานงานและเลขาธิการของสำนักฯ พร้อมกันทั้งสองคน

มาตรา 489 วรรค 1 ให้มีห้องเก็บเอกสารลับในสำนักสังฆมณฑล หรืออย่างน้อยให้มีตู้นิรภัย หรือกล่องเก็บเอกสาร ในห้องเก็บเอกสารธรรมดา ตู้นิรภัยหรือกล่องเก็บเอกสารต้องปิดและใส่กุญแจอย่างแน่นหนา ซึ่งไม่สามารถเคลื่อนย้ายจากที่ได้ ให้เก็บเอกสารที่ต้องเก็บเป็นความลับในตู้เอกสารนี้ อย่างปลอดภัยที่สุด

วรรค 2 ทุกปีต้องทำงายเอกสารคดีอาญาในเรื่องศีลธรรม เมื่ออาชญากรเสียชีวิตแล้ว หรือเมื่อคดีพิพากษาลงโทษผ่านไป 10 ปีแล้วแต่ต้องเก็บเรื่องราวคดีในลักษณะสรุปพร้อมกับคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล

มาตรา 490 วรรค 1 พระสังฆราชเท่านั้นที่ถือกุญแจห้องเก็บเอกสารลับได้

วรรค 2 เมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง ต้องไม่เปิดห้องเอกสารลับหรือตู้นิรภัย ยกเว้นในกรณีที่จำเป็นจริงๆ โดยให้ผู้รักษาการสังฆมณฑลเปิดด้วยตนเอง

วรรค 3 ต้องไม่เคลื่อนย้ายเอกสารจากห้องเก็บเอกสารลับหรือจากตู้นิรภัย

มาตรา 491 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่ให้ข้อบันทึกและเอกสารที่อยู่ในตู้เอกสารของอาสนวิหาร วัดกลุ่มสงฆ์ วัดปกครอง และวัดอื่นๆ ในอาณาเขตของท่าน ได้รับการเก็บรักษาไว้อย่างดี ท่านต้องเอาใจใส่ทำบัญชีรายการ หรือรายชื่อเอกสารต่างๆ ขึ้นสองชุด ชุดหนึ่งเก็บไว้ที่ห้องเอกสารของวัด และอีกชุดหนึ่งเก้บไว้ที่ห้องเก็บเอกสารของสังฆมณฑล

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่ให้มีที่เก็บเอกสารประวัติศาสตร์ในสังฆมณฑล ในที่เก็บเอกสารนี้ให้เก็บเอกสารที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ อย่างเอาใจใส่และจัดไว้อย่างเป็นระบบ

วรรค 3 ในการค้นดูหรือเคลื่อนย้ายข้อบันทึก และเอกสารต่างๆ ที่กล่าวไว้ในวรรค 1 และ 2 ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่พระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดขึ้น

ส่วน 3 คณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินและเจ้าหน้าที่ทรัพย์สิน

มาตรา 492 วรรค 1 ให้พระสังฆราชตั้งคณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินขึ้นในแต่ละสังฆมณฑล โดยมีตัวท่านเองหรือผู้แทนทำหน้าที่เป็นประธาน และคณะที่ปรึกษาที่ต้องประกอบด้วยคริสตชนอย่างน้อย 1 ท่านที่เชี่ยวชาญด้านธุรกิจและด้านกฎหมายบ้านเมือง ทั้งเป็นผู้มีคุณธรรมโดดเด่น และได้รับการแต่งตั้งจากพระสังฆราช

วรรค 2 สมาชิกคณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินต้องได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในวาระ 5 ปี แต่เมื่อครบวาระแล้ว อาจได้รับการแต่งตั้งได้อีก 5 ปี

วรรค 3 ผู้ที่มีความสัมพันธ์กับพระสังฆราชทางสายโลหิตหรือทางสังคญาติจนถึงขั้น 4 ห้ามอยู่ในคณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สิน

มาตรา 493 นอกจากหน้าที่ที่กำหนดไว้ในบรรพ 5 ว่าด้วยเรื่อง “ทรัพย์สินของพระศาสนจักร” คณะที่ปรึกษาทรัพย์สิน ต้องจัดทำงบประมาณรายรับและรายจ่ายทุกปี ตามนโยบายพระสังฆราชสังฆมณฑล พร้อมกับคาดการณ์ล่วงหน้าถึงการใช้จ่าย สำหรับบริหารสังฆมณฑลทั้งหมดในปีถัดไปด้วย นอกนั้น เมื่อสิ้นปี ต้องตรวจสอบรายงานรายรับรายจ่ายอีกด้วย

มาตรา 494 วรรค 1 ในแต่ละสังฆมณฑล หลังจากฟังคณะที่ปรึกษา และคณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินแล้ว พระสังฆราชต้องแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์สิน ซึ่งมความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจการเงิน และเป็นผู้โดดเด่นทีเดียวด้านความซื่อสัตย์

วรรค 2 ผู้จัดการทรัพย์สินต้องได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในวาระ 5 ปี แต่เมื่ออยู่ครบวาระ 5 ปีแล้ว อาจได้รับการแต่งตั้งได้อีก 5 ปี ระหว่างที่อยู่ในวาระผู้จัดการทรัพย์สินต้องไม่ถูกถอดถอน เว้นแต่มีเหตุผลสำคัญ โดยให้พระสังฆราชเป็นผู้วินิจฉัย หลังจากได้รับฟังคณะที่ปรึกษาและคณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินแล้ว

วรรค 3 เป็นหน้าที่ของผู้จัดการทรัพย์สินที่จะบริหารทรัพย์สินของสังฆมณฑล ภายใต้อำนาจของพระสังฆราชตามงบประมาณที่คณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สินกำหนดไว้ ผู้จัดการทรัพสินต้องจัดให้รายรับสังฆมณฑลมีพอสำหรับรายจ่ายซึ่งได้รับอนุมัติโดยถูกต้องจากพระสังฆราชหรือจากผู้อื่นที่ได้รับมอบหมายจากพระสังฆราช

วรรค 4 เมื่อถึงสิ้นปี ผู้จัดการทรัพย์สินต้องรายงานรายรับ รายจ่ายแก่คณะที่ปรึกษาด้านทรัพย์สิน

 

 

หมวด 3 สภาสงฆ์ และคณะที่ปรึกษา

มาตรา 495 วรรค 1 ในแต่ละสังฆมณฑลต้องจัดตั้งสภาสงฆ์ซึ่งได้แก่กลุ่มสงฆ์ที่เป็นตัวแทนของคณะสงฆ์ทำหน้าที่เป็นเสมือนวุฒิสภาของพระสังฆราชสภานี้ช่วยพระสังฆราชในการปกครองสังฆมณฑล ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเพื่อประโยชน์ด้านอภิบาลต่อประชากรของพระเป็นเจ้าที่มอบหมายให้อยู่ในความดูแลของพระสังฆราชจะได้รับการส่งเสริมอย่างมีประสิทธิผลเท่าที่สามารถ

วรรค 2 ในเขตปกครองโดยผู้แทนสันตะสำนัก และในเขตสังฆรักษ์ต้องจัดตั้งสภาซึ่งประกอบด้วยพระสงฆ์แพร่ธรรมอย่างน้อย 3 องค์ความเห็นของท่านเหล่านี้ต้องได้รับฟังในเรื่องที่มีความสำคัญค่อนข้างมากแม้โดยทางจดหมาย

มาตรา 496 สภาสงฆ์ต้องมีธรรมนูญเป็นของตนเองที่ได้รับการรับรองจากพระสังฆราชสังฆมณฑลตามแนวทางของกฎเกณฑ์ที่ออกโดยสภาพระสังฆราช

มาตรา 497 เกี่ยวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาสงฆ์

1.       สมาชิกกึ่งหนึ่งมาจากการเลือกตั้งอย่างอิสระของบรรดาพระสงฆ์ ตามกฎเกณฑ์ของมาตราต่อไปนี้รวมทั้งตามธรรมนูญของสภาด้วย

2.       ตามธรรมนูญของสภา พระสงฆ์บางองค์ต้องเป็นสมาชิกโดยตำแหน่งกล่าวคือ เป็นสมาชิกของสภาเพราะตำแหน่งหน้าที่

3.       พระสังฆราชสังฆมณฑลมีอิสระในการแต่งตั้งผู้อื่นอีก

มาตรา 498 วรรค 1 บุคคลต่อไปนี้มีสิทธิ์ออกเสียงเลือกตั้งและรับเลือกตั้งในการตั้งสภาสงฆ์

1.       พระสงฆ์ที่ไม่ใช่นักพรตซึ่งสังกัดในสังฆมณฑลทุกองค์

2.       บรรดาพระสงฆ์ที่ไม่ใช่นักพรตซึ่งไม่สังกัดอยู่ในสังฆมณฑล และพระสงฆ์ที่เป็นสมาชิกของสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว หรือคณะชีวิตแพร่ธรรมซึ่งพำนักอยู่ในสังฆมณฑล และปฏิบัติหน้าที่บางอย่างเพื่อประโยชน์ของสังฆมณฑล

วรรค 2 ภายในขอบเขตของธรรมนูญ พระสงฆ์อื่นๆ ที่มีภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาในสังฆมณฑลก็สามารถได้รับสิทธิ์ในการเลือกสมาชิกสภาเช่นกัน

มาตรา 499 การเลือกตั้งสมาชิกสภาสงฆ์ ต้องกำหนดไว้ในธรรมนูญ ในลักษณะที่ว่าเท่าที่เป็นไปได้ให้มีพระสงฆ์ที่เป็นตัวแทนของคณะสงฆ์โดยคำนึงถึงความแตกต่างของหน้าที่และเขตต่างๆ ของสังฆมณฑล

มาตรา 500 วรรค 1 เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลที่จะเรียกประชุมสภาสงฆ์เป็นประธานการประชุม และกำหนดหัวข้อการประชุม หรือรับข้อเสนอต่างๆ จากสมาชิกสภา

วรรค 2 สภาสงฆ์มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงให้คำปรึกษาเท่านั้น พระสังฆราชต้องรับฟังในเรื่องที่มีความสำคัญค่อนข้างมาก แต่ท่านต้องได้รับความเห็นชอบจากสภาในกรณีที่กฎหมายกำหนดไว้อย่างชัดแจ้งเท่านั้น

วรรค 3 สภาสงฆ์ไม่สามารถกระทำการใดๆ โดยปราศจากพระสังฆราชสังฆมณฑลพระสังฆราชผู้เดียวเท่านั้นสามารถประกาศสิ่งต่างๆ ที่ได้ตัดสินตามกฎเกณฑ์ในวรรค 2

มาตรา 501 วรรค 1 สมาชิกสภาสงฆ์ต้องได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในวาระตามเวลาที่กำหนดไว้ในธรรมนูญในลักษณะที่ว่า ให้มีการเลือกตั้งใหม่ทั้งสภาหรือบางส่วนของสภาภายในระยะเวลา 5 ปี

วรรค 2 เมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง สภาสงฆ์ก็สิ้นสุดลงด้วยส่วนหน้าที่ของสภาสงฆ์ คณะที่ปรึกษาเป็นผู้ดำเนินงานแทนเมื่อพระสังฆราชขึ้นครองตำแหน่งในสังฆมณฑลแล้วต้องตั้งสภาสงฆ์ขึ้นใหม่ภายใน 1 ปี

วรรค 3 ถ้าสภาสงฆ์มิได้ปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายเพื่อประโยชน์ของสังฆมณฑล หรือใช้อำนาจในทางเสียหายอย่างร้ายแรงพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถยุบสภาสงฆ์ได้หลังจากที่ได้ปรึกษากับพระอัครสังฆราชสังฆมณฑลนครหรือหากเป็นเรื่องของสังฆ มณฑลนครเองก็ให้ปรึกษากับพระสังฆราชสังฆมณฑลรองที่มีอาวุโสกว่าโดยการแต่งตั้งแต่พระสังฆราชต้องตั้งสภาสงฆ์ขึ้นใหม่ ภายใน 1 ปี

มาตรา 502 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเลือกพระสงฆ์บางองค์อย่างอิสระจากสมาชิกสภาสงฆ์เพื่อตั้งเป็นคณะที่ปรึกษา จำนวนสมาชิกของที่ปรึกษาต้องไม่น้อยกว่า 6 คนและต้องไม่เกิน 12 คน คณะที่ปรึกษาตั้งขึ้นเพื่อให้อยู่ในวาระ 5 ปีและรับผิดชอบทำหน้าที่ที่กฎหมายได้กำหนดไว้ เมื่อครบวาระ 5 ปีคณะที่ปรึกษาปฏิบัติหน้าที่ต่อไป จนกระทั่งมีการแต่งตั้งคณะที่ปรึกษาใหม่

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆณฑลเป็นประธานของคณะที่ปรึกษาหากตำแหน่งหน้าที่พระสังฆราชมีอุปสรรคขัดขวางหรือว่างลงให้ผู้รักษาการณ์แทนพระสังฆราชเป็นประธาน ในระหว่างนั้นหรือถ้ายังไม่มีการแต่งตั้งผู้รักษาการแทนก็ให้พระสงฆ์ในคณะที่ปรึกษาที่มีอายุบวชสูงสุดเป็นประธาน

วรรค 3 สภาพระสังฆราชสามารถกำหนดให้มอบหน้าที่ของคณะที่ปรึกษาแก่คณะสงฆ์ประจำอาสนวิหาร (cathedral chapter)

วรรค 4 ในเขตปกครองโดยผู้แทนสันตะสำนัก (apostolic vicariates) และเขตสังฆรักษ์ (apostolic prefectures) ให้หน้าที่ของคณะที่ปรึกษาเป็นหน้าที่ของคณะที่ปรึกษามิสซัง (mission council) ตามที่กล่าวไว้ในมาตรา 495 วรรค 2เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

 

หมวด 4 คณะสมณะภาวนา

มาตรา 503 คณะสมณะภาวนา ไม่ว่าจะเป็นคณะอาสนวิหารหรือของคณะกลุ่มสงฆ์เป็นคณะสงฆ์ที่มีหน้าที่รับผิดชอบประกอบพิธีกรรมอย่างสง่ายิ่งในอาสนวิหารหรือในวัดกลุ่มสงฆ์ ยิ่งกว่านั้นคณะสงฆ์ประจำอาสนวิหารต้องกำหนดโครงสร้างของคณะและจำนวนสมาชิก กำหนดว่าคณะต้องทำอะไร และสมาชิกแต่ละคนต้องทำอะไรในการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์และในการให้ศาสนบริการ กำหนดตารางเวลาการประชุม ซึ่งในการประชุมนี้คณะสมณะปรึกษาหารือเกี่ยวกับกิจการที่ต้องดูแลและโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายสากล ต้องกำหนดเงื่อนไขที่จำเป็นเพื่อให้การดำเนินการนั้นมีผลและชอบด้วยกฎหมาย

วรรค 2 ธรรมนูญต้องกำหนดสัญลักษณ์ของสมาชิกและค่าตอบแทนทั้งที่ประจำและในโอกาสที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยโดยต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ตราขึ้นโดยสันตะสำนัก

มาตรา 507 วรรค 1 ต้องให้สมาชิกคนหนึ่งเป็นประธานของคณะสมณะและต้องแต่งตั้งหน้าที่อื่นๆ ตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญโดยคำนึงถึงประเพณีที่ปฏิบัติกันอยู่ในท้องถิ่นนั้นด้วย

วรรค 2 สมณะที่ไม่เป็นสมาชิกของคณะสมณะก็สามารถรับมอบหน้าที่อื่นๆ ซึ่งเป็นการช่วยเหลือสมาชิกของคณะตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ

มาตรา 508 วรรค 1 สมาชิกผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านอภัยโทษทั้งของอาสนวิหารและของวัดกลุ่มสงฆ์ มีอำนาจปฏิบัติปกติโดยหน้าที่ในการให้อภัย ในขอบเขตภายในของศีลศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ที่ต้องโทษทันทีตามกฎหมาย (latae sententiae) ที่มิได้ประกาศและที่มิได้สงวนไว้แก่สันตะสำนัก อำนาจนี้ไม่สามารถมอบต่อให้แก่ผู้อื่นแต่สามารถให้อภัยแม้แก่คนต่างสังฆมณฑลที่อยู่ในสังฆมณฑลและให้อภัยแก่คนของสังฆมณฑลที่อยู่นอกสังฆมณฑล

วรรค 2 ที่ซึ่งไม่มีคณะสมณะพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องแต่งตั้งพระ-สงฆ์องค์หนึ่งเพื่อทำหน้าที่เดียวกันนี้

มาตรา 509 วรรค 1 เป็นหน้าที่พระสังฆราชสังฆมณฑลแต่ไม่ใช่หน้าที่ผู้รักษาการสังฆมณฑล หลังจากได้รับฟังจากคณะสมณะแล้วที่จะมอบสมาชิกภาพของคณะสมณะแก่แต่ละบุคคล และแก่ทุกคนเป็นรายบุคคลไม่ว่าของอาสนวิหารหรือของวัดกลุ่มสงฆ์ โดยยกเลิกอภิสิทธิ์ตรงข้ามทั้งหมดเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชองค์เดียวกันที่จะรับรองผู้ที่ได้รับเลือกเป็นประธานจากคณะสมณะ

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องมอบสมาชิกภาพของคณะสมณะแก่พระสงฆ์ที่โดดเด่นด้านคำสอน และด้านความครบครันของชีวิตและเป็นผู้ที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ศาสนบริการอย่างน่าสรรเสริญแล้วเท่านั้น

มาตรา 510 วรรค 1 วัดปกครองไม่รวมอยู่กับคณะสมณะภาวนาอีกต่อไป ส่วนวัดปกครองที่รวมอยู่กับคณะสมณะคณะใดคณะหนึ่ง ต้องแยกออกจากคณะสมณะนั้นโดยพระสังฆราชสังฆมณฑล

วรรค 2 ในวัดที่เป็นวัดปกครองและเป็นวัดของคณะสมณะภาวนา ในเวลาเดียวกันจะต้องตั้งเจ้าอาวาสองค์หนึ่งไม่ว่าจะได้รับเลือกจากสมาชิกของคณะหรือไม่ก็ตาม เจ้าอาวาสผู้นี้มีพันธะต้องทำหน้าที่ทุกอย่างและมีสิทธิและอำนาจปฏิบัติทั้งหมดซึ่งเป็นของเจ้าอาวาสโดยเฉพาะตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

วรรค 3 เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลที่จะกำหนดกฎเกณฑ์ที่แจ้งชัดซึ่งช่วยให้หน้าที่อภิบาลของเจ้าอาวาสประสานกลมกลืนกับหน้าที่ความรับผิดชอบเฉพาะของคณะสมณะอย่างเหมาะสมกฎเกณฑ์เหล่านี้ต้องป้องกันมิให้หน้าที่ของเจ้าอาวาสและหน้าที่ของคณะสมณะเป็นอุปสรรคต่อกันและกัน หากเกิดการขัดแย้งใดๆ ขึ้นพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องยุติความขัดแย้งนั้นความสนใจอันดับแรกของพระสังฆราชคือเอาใจใส่ให้สัตบุรุษได้รับการอภิบาลอย่างเหมาะสม

วรรค 4 ทานที่บริจาคให้วัด ที่เป็นวัดปกครอง และเป็นวัดของคณะสมณะในเวลาเดียวกันให้ถือว่า ทานนั้นบริจาคให้แก่วัดปกครองเว้นไว้แต่ว่าปรากฎเป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

หมวด 5 สภาอภิบาล

มาตรา 511 ในแต่ละสังฆมณฑลเมื่อเห็นว่าสถานการณ์ด้านอภิบาลเรียกร้องให้มีก็ให้จัดตั้งสภาอภิบาลขึ้นซึ่งมีหน้าที่ต้องศึกษาค้นคว้าไตร่ตรองและเสนอข้อสรุปเชิงปฏิบัติในทุกสิ่งที่เกี่ยวกับงานอภิบาลในสังฆมณฑลภายใต้อำนาจของพระสังฆราช

มาตรา 512 วรรค 1 สภาอภิบาลประกอบด้วยคริสตชนที่มีสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับพระศาสนจักรคาทอลิกอันได้แก่ สมณะ สมาชิกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วและโดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาฆราวาสพระสังฆราชสังฆมณฑลเป็นผู้กำหนดวิธีการคัดเลือกคริสตชนเหล่านี้

วรรค 2 คริสตชนที่รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาอภิบาล ต้องคัดเลือกในลักษณะที่ว่า สภาอภิบาลครอบคลุม

ประชากรของพระเป็นเจ้าทั้งมวลอย่างแท้จริง ซึ่งประกอบขึ้นเป็นสังฆมณฑลโดยคำนึงถึงเขตต่างๆ ของสังฆมณฑล สภาพทางสังคมและอาชีพรวมทั้งบทบาทซึ่งพวกเขามีในงานแพร่ธรรมไม่ว่าในฐานะปัจเจกชนหรือร่วมกับบุคคลอื่น

วรรค 3 ต้องไม่แต่งตั้งใครเป็นสมาชิกสภาอภิบาล นอกจากคริสตชนที่โดดเด่นในความเชื่อที่ปรากฏชัด ศีลธรรมอันดีและความรอบคอบ

มาตรา 513 วรรค 1 ต้องตั้งสภาอภิบาลให้อยู่ในระยะเวลาตามข้อกำหนดของกฎระเบียบที่พระสังฆราชให้ไว้

วรรค 2 เมื่อตำแหน่งพระ-สังฆราชว่างลง สภาอภิบาลก็สิ้นสุดลงด้วย

มาตรา 514 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลแต่ผู้เดียวมีสิทธิ์เรียกประชุมสภาอภิบาลตามความจำเป็นของงานแพร่ธรรม และเป็นประธานประชุมสภาอภิบาลมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงให้คำปรึกษาเท่านั้นพระสังฆราชแต่ผู้เดียวเป็นผู้ประกาศข้อตกลงในสภาอย่างเป็นทางการ

วรรค 2 ต้องเรียกประชุมสภาอภิบาลอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง

 

หมวด 6 วัดปกครอง เจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาส

มาตรา 515 วรรค 1 วัดปกครองคือชุมชนคริสตชนที่แน่นอน ซึ่งตั้งขึ้นอย่างมั่นคงภายในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่น เจ้าอาวาสองค์หนึ่งได้รับมอบให้ทำหน้าที่อภิบาลวัดปกครอง ประหนึ่งเป็นนายชุมพาบาลภายใต้อำนาจของพระสังฆราชสังฆมณฑล

วรรค 2 พระสังฆราชเพียงผู้เดียวมีอำนาจตั้ง ยุบ หรือเปลี่ยนแปลงวัดปกครอง แต่ท่านต้องไม่ตั้ง ยุบ หรือเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด โดยมิได้รับฟังความคิดเห็นจากสภาสงฆ์ก่อน

วรรค 3 วัดปกครอง เมื่อได้ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ก็เป็นนิติบุคคลโดยตัวบทกฎหมายเอง

มาตรา 516 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่า กฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น กึ่งวัดวัดปกครองก็เทียบเท่ากับวัดปกครอง กึ่งวัดปกครอง คือเป็นชุมชนคริสตชนที่แน่นอนภายในพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นซึ่งมอบหมายให้พระสงฆ์องค์หนึ่งดูแลประหนึ่งเป็นนายชุมพาบาลเฉพาะของตนเหตุเพราะกรณีแวดล้อมพิเศษจึงยังมิได้ตั้งขึ้นเป็นวัดปกครอง

วรรค 2 เมื่อชุมชนใดที่ยังไม่สามารถจัดตั้งขึ้นเป็นวัดปกครองหรือกึ่งวัดปกครองพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องจัดให้มีการอภิบาลพวกเขาในรูปแบบอื่น

มาตรา 517 วรรค 1 ที่ใดที่สภาพแวดล้อมเรียกร้องการอภิบาลของวัดปกครองแห่งหนึ่งหรือหลายแห่งรวมกันก็สามารถมอบหมายให้กลุ่มพระสงฆ์ทั้งกลุ่ม (in solidum) อย่างไรก็ตามโดยมีกฎว่าต้องให้พระสงฆ์องค์หนึ่งในกลุ่มเป็นหัวหน้า (moderator) ในการปฏิบัติงานอภิบาล กล่าวคือท่านต้องเป็นผู้นำในการทำงานร่วมกันของพวกเขาและเป็นผู้รับผิดชอบงานนั้นต่อพระสังฆราช

วรรค 2 หากเพราะความขาดแคลนพระสงฆ์ พระสังฆราชสังฆมณฑลมีความเห็นว่าต้องมอบให้สังฆานุกรหรือบุคคลอื่นที่มิใช่พระสงฆ์หรือกลุ่มบุคคลมีส่วนในงานอภิบาลวัดปกครอง ท่านก็ต้องตั้งพระสงฆ์องค์หนึ่งที่มีอำนาจปกครองและอำนาจปฏิบัติของเจ้าอาวาส เป็นผู้อำนวยการการอภิบาล

มาตรา 518 โดยกฎทั่วไปวัดปกครองต้องเป็นวัดที่มีพื้นที่ปกครองนั่นคือต้องโอบอุ้มคริสตชนทุกคนภายในเขตพื้นที่แน่นอน อย่างไรก็ตามที่ใดที่เห็นว่ามีประโยชน์ก็ให้ตั้งวัดชนิดบุคคล (personal parish) ด้วยเหตุผล ทางจารีต ภาษาและชนชาติของคริสตชนที่อยู่ในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง หรือแม้ด้วยเหตุผลอื่น

มาตรา 519 เจ้าอาวาสคือนายชุมพาบาลเฉพาะของวัดปกครองที่ท่านได้รับมอบท่านปฏิบัติงานอภิบาลในชุมชนที่ท่านได้รับมอบหมายภายใต้อำนาจของพระสังฆราชสังฆมณฑลซึ่งท่านได้รับเรียกให้มีส่วนร่วมกับพระสังฆราชในศาสนบริการของพระคริสตเจ้าท่านปฏิบัติหน้าที่เพื่อชุมชนในการสอน ทำให้ศักดิ์สิทธิ์และปกครองพร้อมกับความร่วมมือของพระสงฆ์องค์อื่นหรือของสังฆานุกรและกับความช่วยเหลือของคริสตชนฆราวาสทั้งนี้ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 520 วรรค 1 นิติบุคคล เป็นเจ้าอาวาสไม่ได้อย่างไรก็ตามพระสังฆราชสังฆมณฑล แต่ไม่ใช่ผู้รักษาการสังฆมณฑลโดยความยินยอมของอธิการผู้มีอำนาจสามารถมอบวัดปกครองให้แก่สถาบันนักพรตสมณะหรือคณะสมณะชีวิตแพร่ธรรมแม้โดยการตั้งวัดในวัดปกครองของสถาบันหรือของคณะ อย่างไรก็ตาม โดยมีกฎว่าต้องมีพระสงฆ์องค์หนึ่งเป็นเจ้าอาวาสของวัดปกครองหรือหากมอบให้กลุ่มพระสงฆ์อภิบาลร่วมกันพระสงฆ์องค์หนึ่งต้องเป็นหัวหน้ากลุ่มตามที่มีกล่าวไว้ในมาตรา 517 วรรค 1

วรรค 2 การมอบหมายวัดปกครองดังที่ระบุไว้ในวรรค 1 สามารถเป็นแบบถาวรหรือเป็นแบบมีเวลากำหนดที่กำหนดไว้ก่อนแล้วไม่ว่าในกรณีใดๆการมอบต้องตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างพระสังฆราชสังฆมณฑลและอธิการที่มีอำนาจของสถาบันหรือของคณะ การตกลงในเรื่องอื่นๆต้องทำอย่างแจ้งชัด และละเอียดถี่ถ้วน ในเรื่องเกี่ยวกับงานที่ต้องทำบุคคลที่ต้องดูแลวัดปกครอง การจัดการทรัพย์สิน

มาตรา 521 วรรค 1บุคคลที่จะรับแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสอย่างถูกต้องตามกฎหมายต้องเป็นผู้ได้รับศีลบวชเป็นพระสงฆ์

วรรค 2 เขายังต้องเป็นผู้เด่นในเรื่องคำสอนที่ถูกต้องและไม่ด่างพร้อยด้านศีลธรรม และมีใจร้อนรนในการช่วยวิญญาณและมีคุณธรรมอื่นๆยิ่งกว่านั้นเขายังต้องมีคุณสมบัติที่จำเป็นตามกฎหมายสากลและกฎหมายเฉพาะเพื่อดูแลวัดปกครองดังกล่าว

วรรค 3 เพื่อจะมอบอำนาจหน้าที่เจ้าอาวาสให้แก่ผู้ใดความเหมาะสมของผู้นั้นต้องแจ้งชัดตามวิธีการที่พระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดแม้ด้วยวิธีการสอบ

มาตรา 522 เจ้าอาวาสควรมีความมั่นคงในตำแหน่งหน้าที่ดังนั้นต้องแต่งตั้งเขาให้อยู่ในหน้าที่โดยไม่มีเวลากำหนดพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถแต่งตั้งโดยมีกำหนดเวลาได้ก็ต่อเมื่อสภาพระสังฆราชมีกฤษฎีกาอนุญาต

มาตรา 523 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 682 การจัดสรรตำแหน่งเจ้าอาวาสเป็นอำนาจของพระสังฆราชสังฆมณฑล และด้วยการแต่งตั้งอย่างเสรีด้วย เว้นไว้แต่ว่า สิทธิการเสนอชื่อหรือการเลือกผู้หนึ่งผู้ใดครอง

มาตรา 524 เมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง พระสังฆราชสังฆมณฑลหลังจากได้ชั่งสถานการณ์ทั้งหมดแล้วจะต้องแต่งตั้งบุคคลที่เห็นว่าเหมาะสมที่จะทำหน้าที่เจ้าอาวาส โดยปราศจากความลำเอียงใดๆ ทั้งสิ้นเพื่อตัดสินเกี่ยวกับความเหมาะสมให้ฟังความคิดเห็นของหัวหน้าเขตพร้อมกับการสอบถามที่เหมาะสมและหากเห็นสมควรให้ฟังความคิดเห็นของพระสงฆ์บางองค์ และคริสตชนฆราวาสด้วย

มาตรา 525 เมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลงหรือถูกขัดขวาง เป็นหน้าที่ของผู้รักษาการสังฆมณฑล หรือบุคคลอื่นที่ปกครองสังฆมณฑลชั่วคราวที่จะ

1.       แต่งตั้งหรือรับรองพระสงฆ์ผู้ซึ่งได้รับการเสนอชื่อ หรือรับเลือกอย่างถูกต้องตามกฎหมายให้ดูแลวัดปกครอง

2.       แต่งตั้งเจ้าอาวาสถ้าหากว่าตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง หรือถูกขัดขวางนานเป็นเวลา 1 ปี

มาตรา 526 วรรค 1 เจ้าอาวาสองค์หนึ่งต้องรับหน้าที่เจ้าอาวาสวัดปกครองเพียงแห่งเดียวเท่านั้นอย่างไรก็ตามเพราะความขาดแคลนพระสงฆ์หรือเพราะเหตุผลอื่นเจ้าอาวาสองค์เดียวกันก็สามารถได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ดูแลวัดปกครองหลายแห่งที่อยู่ใกล้เคียงกัน

วรรค 2 ในวัดปกครองเดียวกันมีเจ้าอาวาสได้เพียงองค์เดียวหรือหัวหน้าองค์เดียวเท่านั้น ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 517 วรรค 1 โดยประณามประเพณีตรงข้ามและเพิกถอนอภิสิทธิ์ตรงข้ามทั้งหมด

มาตรา 527 วรรค 1 บุคคลผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติหน้าที่อภิบาลวัดปกครองได้มาซึ่งหน้าที่อภิบาลและต้องปฏิบัติหน้าที่นั้นตั้งแต่ขณะที่เขาเข้าครอบครองวัดปกครอง

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นหรือพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายจากท่านนำเจ้าอาวาสเข้าครอบครองวัดปกครองโดยรักษาธรรมเนียมปฏิบัติที่กฎหมายเฉพาะหรือประเพณีที่ชอบด้วยกฎหมายยอมรับอย่างไรก็ตาม ถ้ามีเหตุผลสมควร ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจองค์เดียวกันสามารถยกเว้นจากพิธีการการแต่งตั้งนั้นได้ ในกรณีเช่นนี้ การแจ้งการยกเว้นแก่วัดปกครองเป็นการแทนพิธีการเข้าครอบครอง

วรรค 3 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องกำหนดระยะเวลาที่ต้องเข้าครอบครองวัดปกครองถ้าหากเวลากำหนดล่วงเลยไปโดยเปล่าประโยชน์ เว้นไว้แต่ว่ามีข้อขัดขวางที่สมควรผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจก็สามารถประกาศว่าตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง

มาตรา 528 วรรค 1 เจ้าอาวาสมีพันธะต้องเอาใจใส่ให้มีการประกาศพระวาจาของพระเจ้าทั้งครบแก่ผู้ที่อาศัยอยู่ในวัดปกครองนั้นเพราะเหตุนี้ท่านจึงต้องเอาใจใส่ให้คริสตชนฆราวาสได้รับการอบรมในความจริงแห่งความเชื่อ เฉพาะอย่างยิ่ง โดยการแสดงธรรมในวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับรวมทั้งโดยการให้การอบรมด้านคำสอนด้วยตัวท่านเองท่านต้องสนับสนุนกิจการที่ส่งเสริมจิตตารมณ์พระวรสารรวมทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับความยุติธรรมทางสังคมท่านต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษเกี่ยวกับการให้การศึกษาคาทอลิกแก่เด็กๆและเยาวชน ท่านต้องพยายามทุกวิถีทาง พร้อมกับความร่วมมือของคริสตชนในการนำข่าวดีแห่ง พระวรสารไปสู่ผู้ที่เลิกปฏิบัติศาสนาหรือผู้ที่ไม่แสดงออกซึ่งความเชื่อที่แท้-จริง

วรรค 2 เจ้าอาวาสต้องเอาใจใส่ให้ศีลมหาสนิทเป็นศูนย์กลางของชุมนุมสัตบุรุษวัดปกครอง ท่านต้องพยายามให้คริสตชนได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยการเฉลิมฉลองศีลศักดิ์สิทธิ์อย่างศรัทธาและโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้พวกเขาได้รับศีลมหาสนิท และศีลอภัยบาปบ่อยๆเช่นเดียวกันท่านต้องพยายามชักนำพวกเขาให้มีการภาวนาในครอบครัวและมีส่วนร่วมในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์อย่างมีจิตสำนึกและอย่างมีบทบาทเจ้าอาวาสต้องควบคุมดูแลให้พิธีกรรมดำเนินไปในวัดปกครองของตนภายใต้อำนาจของพระสังฆราชสังฆมณฑลและระวังอย่าให้มีการปฏิบัตินอกลู่นอกทางเกิดขึ้น

มาตรา 529 วรรค 1 เพื่อจะได้ปฏิบัติหน้าที่นายชุมพาบาลด้วยใจร้อนรนเจ้าอาวาสต้องพยายามรู้จักสัตบุรุษในความดูแลของตนฉะนั้นต้องเยี่ยมครอบครัว โดยมีส่วนในความห่วงใย กังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในความทุกข์โศกของสัตบุรุษและโดยให้กำลังใจพวกเขาในพระเจ้า และหากเขามีข้อบกพร่องในบางสิ่งบางอย่างก็ให้ตักเตือนแก้ไขเขาอย่างฉลาดรอบคอบ ให้ช่วยคนเจ็บป่วยเป็นต้นคนใกล้จะตายด้วยความรักเปี่ยมล้นชุบชีวิตจิตใจพวกเขาอย่างกระตือรือล้นด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์ และมอบวิญญาณพวกเขาคืนแด่พระเจ้าท่านต้องพยายามด้วยความขยันหมั่นเพียรเป็นพิเศษในการเสาะหาคนจนคนทุกข์ทรมาน คนถูกทอดทิ้งโดดเดี่ยว คนถูกเนรเทศจากบ้านเกิดเมืองนอนรวมทั้งผู้ที่ประสบความทุกข์ยากเป็นพิเศษด้วย ท่านต้องพยายามช่วยสามีภรรยาและบิดามารดาให้ปฏิบัติหน้าที่ของตน และฟูมฟักชีวิตคริสตชนให้เจริญงอกงามขึ้นในครอบครัว

วรรค 2 เจ้าอาวาสต้องรับรู้ และสนับสนุนบทบาทเฉพาะที่สมาชิกคริสตชนฆราวาสมีในพันธะกิจของ     พระศาสนจักร โดยส่งเสริมสมาคมเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนาของพวกเขาท่านต้องร่วมมือกับพระสังฆราชของตนและกับคณะสงฆ์ของสังฆมณฑลในการทำงานอย่างแข็งขัน เพื่อให้คริสตชนเอาใจใส่ในความสนิทสัมพันธ์ระดับวัดและให้พวกเขาตระหนักว่า พวกเขาเป็นสมาชิกทั้งของสังฆมณฑล และพระศาสนจักรสากล และให้มีส่วนร่วมทั้งสนับสนุนความพยายามในการส่งเสริมความสนิทสัมพันธ์นั้น

 

 

มาตรา 530 หน้าที่ต่อไปนี้เป็นหน้าที่ที่มอบให้แก่เจ้าอาวาสโดยเฉพาะ:

1.       การโปรดศีลล้างบาป

2.       การโปรดศีลกำลัง แก่ผู้อยู่ในอันตรายจะเสียชีวิตตามกฎเกณฑ์แห่ง มาตรา 883,ข้อ 3

3.       การส่งศีลเสบียงและการโปรดศีลเจิมคนไข้โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1003 วรรค 2 และ 3 และการโปรดพระคุณการุณย์บริบูรณ์ด้วย

4.       การประกอบพิธีแต่งงานและการอวยพรคู่บ่าวสาว

5.       การประกอบพิธีปลงศพ

6.       การเสกน้ำสำหรับศีลล้างบาปช่วงเทศกาลปัสกา การนำขบวนแห่นอกวัด และการอวยพรอย่างสง่านอกวัด

7.       การถวายบูชามิสซาอย่างสง่ายิ่งขึ้นในวันอาทิตย์และวันฉลองบังคับ

มาตรา 531 แม้ว่าอีกบุคคลหนึ่งได้ปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสบางอย่างแล้วบุคคลนั้นต้องให้ทานที่ได้รับจากคริสตชนในโอกาสนั้นแก่วัดเว้นไว้แต่เป็นที่แจ้งชัดว่าการกระทำเช่นนั้นขัดต่อความประสงค์ของผู้ถวายในกรณีที่เป็นของถวายที่ให้ด้วยความสมัครใจหลังจากที่ได้ฟังความคิดเห็นจากสภาสงฆ์แล้วพระสังฆราชสังฆมณฑลมีอำนาจออกกฎเกณฑ์จัดสรรแบ่งของถวายเหล่านี้และค่าตอบแทนสมณะผู้ทำหน้าที่เดียวกันนี้

มาตรา 532 เจ้าอาวาสเป็นตัวแทนวัดในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนิตินัยตามข้อกำหนดของกฎหมายท่านต้องเอาใจใส่ดูแลให้การบริหารทรัพย์สินของวัดเป็นไปตามข้อกำหนดแห่งมาตรา 12811288

มาตรา 533 วรรค 1 เจ้าอาวาสมีข้อบังคับต้องอาศัยอยู่ในบ้านพักของวัดปกครองที่อยู่ใกล้กับตัววัด อย่างไรก็ตามในกรณีเฉพาะ ถ้ามีเหตุผลสมควรผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถอนุญาตให้ท่านพักอาศัยที่อื่นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบ้านที่มีพระสงฆ์อยู่รวมกันหลายองค์ขอแต่ให้มีการจัดการให้การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอาวาสเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่ามีเหตุผลอันหนักเป็นอุปสรรคแต่ละปีอนุญาตให้เจ้าอาวาสไม่อยู่วัดเพื่อไปพักผ่อนอย่างมากที่สุดเป็นเวลา 1 เดือนติดต่อกันหรือไม่ติดต่อกัน เวลาสำหรับการพักผ่อนนี้ไม่นับวันเข้าเงียบประจำปี หากเจ้าอาวาสจะไม่อยู่ประจำวัดเกิน 1 สัปดาห์ท่านต้องแจ้งเรื่องนี้ให้ผู้ใหญ่ ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นทราบ

วรรค 3 เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องออกกฎเกณฑ์ซึ่งจัดให้มีการดูแลวัดปกครองแทนโดยพระสงฆ์ที่มีอำนาจปฏิบัติการที่จำเป็นขณะที่เจ้าอาวาสไม่อยู่

มาตรา 534 วรรค 1 หลังจากที่เจ้าอาวาสเข้าครอบครองวัดปกครองแล้วท่านต้องถวายบูชามิสซาให้ประชาชนที่ท่านได้รับมอบหมายให้ดูแลทุกวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับในสังฆมณฑลหากท่านถูกขัดขวางโดยชอบธรรมมิให้ถวายบูชามิสซาดังกล่าวท่านต้องให้พระสงฆ์อื่น ถวายแทนในวันกำหนดเหล่านี้หรือท่านเองต้องถวายในวันอื่นแทน

วรรค 2 เจ้าอาวาสผู้ซึ่งดูแลวัดปกครองหลายแห่งมีข้อบังคับให้ถวายบูชามิสซาเพียงมิสซาเดียวให้ประชาชนทั้งหมดที่ท่านได้รับมอบหมายให้ดูแลตามวันกำหนดที่ระบุไว้ในวรรค 1

วรรค 3 เจ้าอาวาสผู้ซึ่งมิได้ปฏิบัติตามข้อบังคับที่ระบุไว้ในวรรค 1 และ 2 ต้องถวายบูชามิสซาที่ขาดไปทั้งหมดให้ประชาชนเร็วเท่าที่กระทำได้

มาตรา 535 วรรค 1 ในวัดปกครองแต่ละแห่งต้องมีสมุดบันทึกของวัดชุดหนึ่งกล่าวคือทะเบียนศีลล้างบาป ทะเบียนการสมรส ทะเบียนผู้ตาย และสมุดบันทึกอื่นๆ ตามที่สภาพระสังฆราชหรือพระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดไว้เจ้าอาวาสต้องดูแลให้สมุดบันทึกเหล่านี้จดบันทึกอย่างละเอียดและเก็บรักษาไว้อย่างดี

วรรค 2 ในสมุดทะเบียนศีลล้างบาปต้องบันทึกการรับศีลกำลังของคนนั้นไว้ด้วยและต้องบันทึกสิ่งที่มีผลต่อสถานภาพทางกฎหมายพระศาสนจักรของคริสตชนโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของมาตรา 1133 การเป็นบุตรบุญธรรม การรับศีลบรรพชาการปฏิญาณตลอดชีพในสถาบันนักพรต และการเปลี่ยนจารีตหมายเหตุเหล่านี้ต้องบันทึกไว้ในเอกสารที่รับรองการรับศีลล้างบาปเสมอ

วรรค 3 ในวัดปกครองแต่ละแห่งต้องมีตราเป็นของตนเองเอกสารซึ่งออกรับรองสถานภาพทางกฎหมายพระศาสนจักรของคริสตชนตลอดจนเอกสารทุกอย่างที่มีความสำคัญทางกฎหมายต้องมีลายเซ็นของเจ้าอาวาสหรือผู้แทนของท่านและประทับตราวัดไว้เป็นสำคัญ

วรรค 4 ในวัดปกครองแต่ละแห่งต้องมีที่เก็บเอกสารสำหรับเก็บรักษาสมุดบันทึกต่างๆ ของวัดรวมกับจดหมายพระสังฆราช และเอกสารอื่นๆ ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้เพราะความจำเป็นหรือเพราะมีประโยชน์ทุกสิ่งเหล่านี้พระสังฆราชสังฆมณฑลหรือผู้แทนต้องตรวจตราระหว่างการเยี่ยมเยียน หรือเวลาอื่นที่เหมาะสมเจ้าอาวาสต้องเอาใจใส่มิให้สิ่งที่กล่าวตกอยู่ในมือของบุคคลภายนอก

วรรค 5 สมุดบันทึกเก่าของวัดปกครองต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะด้วย

มาตรา 536 วรรค 1 หลังจากที่พระสังฆราชสังฆมณฑลฟังความเห็นของสภาสงฆ์แล้วและหากเห็นว่าเหมาะสมก็ให้จัดตั้งสภาอภิบาลขึ้นในทุกวัดปกครอง อาศัยสภานี้ซึ่งมีเจ้าอาวาสเป็นประธานคริสตชนร่วมกับผู้มีส่วนในงานอภิบาลของวัดตามตำแหน่งหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในการส่งเสริมกิจกรรมด้านอภิบาล

วรรค 2 สภาอภิบาลมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงให้คำปรึกษาเท่านั้น และต้องดำเนินการตามกฎเกณฑ์ที่พระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดไว้

มาตรา 537 วัดปกครองแต่ละแห่งต้องมีคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ (finance council) ซึ่งต้องดำเนินการตามกฎหมายสากล และตามกฎเกณฑ์ที่พระสังฆราชสังฆมณฑลออกด้วย ในคณะกรรมการนี้คริสตชนได้รับเลือกตามกฎเกณฑ์เดียวกันช่วยเจ้าอาวาสในการบริหารทรัพย์สินของวัดโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของมาตรา 532

มาตรา 538 วรรค 1 เจ้าอาวาสสิ้นสุดหน้าที่โดยการถอดถอนหรือการโยกย้ายโดยพระสังฆราชสังฆมณฑลซึ่งมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายโดยการลาออกของเจ้าอาวาสซึ่งได้ลาออกด้วยเหตุผลอันชอบและเพื่อให้มีผลต้องได้รับการยอมรับจากพระสังฆราชสังฆมณฑลองค์เดียวกัน และที่สุดโดยการหมดวาระถ้าหากเจ้าอาวาสได้รับการแต่งตั้งโดยมีกำหนดเวลาแน่นอนตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะที่ระบุในมาตรา 522

วรรค 2 เจ้าอาวาสที่เป็นสมาชิกของสถาบันนักพรตหรือคณะชีวิตแพร่ธรรม ถูกถอดถอนตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 682

วรรค 3 เมื่อเจ้าอาวาสมีอายุครบ 75 ปีขอให้ท่านยื่นใบลาออกจากตำแหน่งหน้าที่ต่อพระสังฆราชสังฆมณฑลเมื่อพระสังฆราชสังฆมณฑลได้พิจารณาถึงกรณีแวดล้อมทั้งหมดเกี่ยวกับบุคคล และสถานที่แล้ว ต้องตัดสินใจว่าจะยอมรับหรือเลื่อนเวลาการลาออกพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องจัดการให้เจ้าอาวาสที่ลาออกได้รับการเลี้ยงดูและมีที่อยู่อาศัยอย่างเหมาะสม ตามกฎเกณฑ์ที่สภาพระสังฆราชกำหนดไว้

มาตรา 539 เมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลงหรือเมื่อเจ้าอาวาสถูกขัดขวางมิให้ปฏิบัติหน้าที่อภิบาลของท่านในเขตวัดปกครอง เพราะถูกจำจอง ถูกเนรเทศ ถูกขับไล่ (banishment) ไร้ความสามารถ สุขภาพไม่ดี หรือด้วยเหตุผลอย่างอื่นพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องแต่งตั้งผู้รักษาการวัดปกครองเร็วเท่าที่สามารถกล่าวคือ พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนเจ้าอาวาสตามข้อกำหนดของมาตรา 540

มาตรา 540 วรรค 1 ผู้รักษาการวัดปกครองมีหน้าที่ต้องปฏิบัติ และมีสิทธิเช่นเดียวกับเจ้าอาวาสเว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชสังฆมณฑลได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ห้ามผู้รักษาการวัดปกครองกระทำการใดใดอันก่อให้เกิดผลร้ายแก่สิทธิของเจ้าอาวาสหรือเสียหายแก่กับทรัพย์สินของวัดปกครอง

วรรค 3 หลังจากที่ผู้บริหารวัดสิ้นสุดหน้าที่แล้ว ท่านต้องรายงานให้เจ้าอาวาสทราบ

มาตรา 541 วรรค 1 เมื่อตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง หรือเมื่อเจ้าอาวาสถูกขัดขวางมิให้ปฏิบัติหน้าที่อภิบาล ผู้ช่วยเจ้าอาวาสต้องทำหน้าที่ปกครองวัดจนกว่าจะมีการแต่งตั้งผู้รักษาการวัดปกครองหากมีผู้ช่วยเจ้าอาวาสหลายองค์ ก็ให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้งก่อนขึ้นปกครองหากไม่มีผู้ช่วยเจ้าอาวาสเลยก็ให้เจ้าอาวาสที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะทำหน้าที่ปกครอง

วรรค 2 บุคคลผู้ซึ่งทำหน้าที่ปกครองวัดปกครองตามกฎเกณฑ์ของวรรค 1 ต้องรายงานให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นทราบทันทีว่าตำแหน่งเจ้าอาวาสว่างลง

มาตรา 542 พระสงฆ์ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานอภิบาลเป็นทีมในวัดปกครองวัดหนึ่งหรือหลายวัดตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 517 วรรค 1 ดังนี้

1.       ต้องประกอบด้วยคุณสมบัติที่ระบุไว้ในมาตรา 521

2.       ต้องได้รับการตั้งหรือแต่งตั้งตามข้อกำหนดของมาตรา 522 และ 524

3.       ได้รับหน้าที่อภิบาลเพียง เมื่อได้เข้าครอบครองตำแหน่งแล้วเท่านั้นหัวหน้าทีมต้องรับเข้าครอบครองวัดปกครองตามข้อกำหนดของมาตรา 527 วรรค 2สำหรับพระสงฆ์องค์อื่น (ในทีม)การยืนยันความเชื่อที่กระทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายใช้แทนการเข้าครอบครองตำแหน่ง

มาตรา 543 วรรค 1 พระสงฆ์แต่ละองค์ที่ได้รับหน้าที่ปฏิบัติงานอภิบาลเป็นทีมในวัดปกครองวัดใดวัดหนึ่งหรือกลุ่มวัดปกครองต่างกันหลายแห่งต้องปฏิบัติหน้าที่ และงานของเจ้าอาวาสซึ่งระบุไว้ในมาตรา 528, 529 และ 530 ตามแผนที่พวกเขากำหนดไว้เองพระสงฆ์เหล่านี้ทุกองค์มีอำนาจประกอบพิธีแต่งงานและมีอำนาจยกเว้นทุกอย่างที่ให้แก่เจ้าอาวาสโดยกฎหมายเอง อย่างไรก็ตามต้องปฏิบัติงานภายใต้การนำของหัวหน้าทีม

วรรค 2 พระสงฆ์ทุกองค์ในทีม

1.       ต้องปฏิบัติตามข้อบังคับของการอยู่อาศัย

2.       ต้องจัดโดยตกลงร่วมกันให้มีพระสงฆ์องค์หนึ่งในทีมถวายมิสซาให้สัตบุรุษตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 534

3.       ในเรื่องเกี่ยวกับนิตินัย หัวหน้าคณะเท่านั้นทำหน้าที่แทนวัดปกครองหรือวัดปกครองต่างๆ ที่มอบให้ทีมทำงานดูแล

มาตรา 544 เมื่อพระสงฆ์องค์หนึ่งในทีมที่ระบุไว้ในมาตรา 517 วรรค 1หรือหัวหน้าทีมหยุดปฏิบัติหน้าที่หรือเมื่อองค์หนึ่งในทีมไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อภิบาลวัดปกครองหรือบรรดาวัดปกครองที่มอบไว้ให้ทีมดูแลยังไม่ขาดผู้ดูแล อย่างไรก็ตามพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องตั้งหัวหน้าทีมองค์ใหม่พระสงฆ์ที่ได้รับแต่งตั้งก่อนในทีมให้ทำหน้าที่รักษาการหัวหน้าทีมจนกว่าพระสังฆราชสังฆ-มณฑลแต่งตั้งหัวหน้าทีมองค์ใหม่

มาตรา 545 วรรค 1 เมื่อไรก็ตามที่เห็นว่าจำเป็นหรือเหมาะสมเพื่อให้งานอภิบาลของวัดปกครองดำเนินไปด้วยดีเจ้าอาวาสสามารถมีผู้ร่วมงานเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสองค์หนึ่งหรือหลายองค์ผู้ช่วยเจ้าอาวาสคือพระสงฆ์ผู้ให้บริการในงานอภิบาลภายใต้อำนาจของเจ้าอาวาสในฐานะผู้ร่วมงานและร่วมมีส่วนในความห่วงใยกับเจ้าอาวาสโดยการปรึกษาหารือและความพยายามร่วมกัน

วรรค 2 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสสามารถรับการแต่งตั้งไม่ว่าให้รับหน้าที่ให้ปฏิบัติงานอภิบาลทั่วไป สำหรับทั้งวัดหรือบางส่วนของวัดหรือสำหรับคริสตชนบางกลุ่มหรือว่ารับหน้าที่ให้ปฏิบัติหน้าที่อภิบาลบางอย่างในวัดต่างๆ พร้อมกันไปด้วย

มาตรา 546 เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใด ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสอย่างมีผลตามกฎหมาย ผู้นั้นต้องมีศีลบวชเป็นพระสงฆ์

มาตรา 547 พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสอย่างอิสระหรือถ้าเห็นสมควรท่านจะปรึกษาพระสงฆ์เจ้าอาวาสองค์หนึ่งหรือหลายองค์ที่ผู้ช่วยเจ้าอาวาสจะไปประจำ รวมทั้งปรึกษาพระสงฆ์หัวหน้าเขตก่อนด้วยก็ได้โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 682 วรรค 1

มาตรา 548 วรรค 1 หน้าที่และสิทธิของผู้ช่วยเจ้าอาวาสนอกจากที่กำหนดไว้ในมาตราต่างๆ ของหมวดนี้ ยังกำหนดไว้ในกฎระเบียบสังฆมณฑลทั้งในจดหมายของพระสังฆราชสังฆมณฑลและในคำสั่งของเจ้าอาวาสที่กำหนดโดยเจาะจง มากกว่า

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่าจดหมายของพระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างแจ้งชัดผู้ช่วยเจ้าอาวาสโดยหน้าที่ต้องช่วยเหลือเจ้าอาวาสในการทำหน้าที่อภิบาลของวัดทั้งหมด ยกเว้นหน้าที่ในการถวายมิสซาเพื่อประชาชนและหากสถานการณ์เรียกร้องต้องทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาสตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมาย

วรรค 3 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสต้องปรึกษาหารืออย่างสม่ำเสมอกับเจ้าอาวาสเกี่ยวกับงานอภิบาลที่ได้วางแผนไว้ และที่ได้เริ่มทำแล้วเพื่อว่าเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาสหรือบรรดาผู้ช่วยเจ้าอาวาสสามารถร่วมแรงกันทำงานอภิบาลของวัดซึ่งพวกเขารับผิดชอบร่วมกัน

มาตรา 549 เมื่อเจ้าอาวาสไม่อยู่ เว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 533 วรรค 3และเว้นไว้แต่ว่า มีการแต่งตั้งผู้รักษาการวัดปกครองแล้ว ให้ยึดถือข้อกำหนดของมาตรา 541 วรรค 1 ในกรณีเช่นนี้ผู้ช่วยเจ้าอาวาสต้องปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสทั้งหมดเว้นแต่หน้าที่ถวายบูชามิสซา เพื่อประชาชน

มาตรา 550 วรรค 1 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสมีข้อบังคับต้องพำนักอยู่ภายในเขตวัดปกครอง หรือถ้าเขาได้รับแต่งตั้งให้ดูแลวัดหลายวัดพร้อมกัน ก็ต้องพำนักในเขตวัดใดวัดหนึ่ง อย่างไรก็ตามเมื่อมีเหตุผลสมควรผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถอนุญาตให้พำนักอยู่ที่อื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในบ้านที่มีพระสงฆ์หลายองค์อยู่ร่วมกันขอเพียงว่าการจัดการเช่นนี้ไม่เกิดผลเสียหายต่อการปฏิบัติหน้าที่อภิบาลแต่อย่างใด

วรรค 2 ให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นเอาใจใส่ส่งเสริมให้มีการใช้ชีวิตรวมอย่างใดอย่างหนึ่งในบ้านพักพระสงฆ์ระหว่างเจ้าอาวาสและผู้ช่วยเจ้าอาวาสในที่ซึ่งเป็นไปได้

วรรค 3 ผู้ช่วยเจ้าอาวาสมีสิทธิ์เช่นเดียวกับเจ้าอาวาสในเรื่องเกี่ยวกับเวลาของการพักผ่อน

มาตรา 551 ต้องถือตามข้อกำหนดของมาตรา 531 เกี่ยวกับของถวายซึ่งคริสตชนถวายให้ผู้ช่วยฯ ในโอกาสการปฏิบัติศาสนบริการอภิบาล

มาตรา 552 เมื่อมีเหตุผลสมควรพระสังฆราชสังฆมณฑลหรือผู้รักษาการสังฆมณฑลสามารถถอดถอนผู้ช่วยเจ้าอาวาสได้ โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 682 วรรค 2

 

หมวด 7 หัวหน้าเขต

มาตรา 553 วรรค 1 หัวหน้าเขตซึ่งเรียกได้อีกว่าหัวหน้าคณะหรืออัครสงฆ์หรือชื่อเรียกอื่นๆ อีก คือพระสงฆ์ผู้ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเขต (vicars forane)

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นพระสังฆราชสังฆมณฑลเป็นผู้แต่งตั้งหัวหน้าเขตตามที่ท่านได้ตัดสินอย่างรอบคอบหลังจากที่ได้ปรึกษากับพระสงฆ์ที่ปฏิบัติหน้าที่ในเขตปกครองที่กล่าวถึง

มาตรา 554 วรรค 1 ให้พระสังฆราชเลือกพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่งซึ่งเมื่อพิจารณาถึงสภาพแวดล้อมของสถานที่และเวลาแล้ว เห็นว่าเหมาะสมให้รับตำแหน่งหัวหน้าเขตตำแหน่งหน้าที่นี้ไม่ผูกติดกับตำแหน่งของเจ้าอาวาสวัดปกครองแห่งใดแห่งหนึ่ง

วรรค 2 ต้องตั้งหัวหน้าเขตให้มีวาระที่แน่นอนตามที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้

วรรค 3 พระสังฆราชสังฆ-มณฑลสามารถถอดถอนหัวหน้าเขตออกจากหน้าที่ได้โดยมีเหตุอันสมควรตามดุลยพินิจอันรอบคอบของท่าน

มาตรา 555 วรรค 1 นอกจากอำนาจปฏิบัติที่ได้รับโดยชอบจากกฎหมายเฉพาะ หัวหน้าเขตยังมีหน้าที่ และสิทธิดังนี้

1.       ส่งเสริมและประสานงานกิจกรรมอภิบาลร่วมกันในเขตปกครอง

2.       สอดส่องดูแลให้สมณะในเขตของตนเจริญชีวิตเหมาะสมกับสถานภาพ และปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างแข็งขัน

3.       สอดส่องดูแลให้การปฏิบัติศาสนกิจเป็นไปตามข้อกำหนดของพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ ให้วัดและเครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถันให้ดูสง่า และสะอาดหมดจดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการถวายบูชามิสซา และในการเก็บรักษาศีลมหาสนิทให้เอกสารของวัดได้รับการบันทึกอย่างถูกต้อง และเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสมให้บริหารทรัพย์สินของวัดด้วยความเอาใจใส่และในที่สุดให้บ้านพักพระสงฆ์ได้รับการบำรุงรักษาด้วยความเอาใจใส่อย่างเหมาะสม

วรรค 2 ภายในเขตปกครองที่ได้รับมอบหมายหัวหน้าเขต

1.       ต้องเอาใจใส่ดูแลให้สมณะเข้ารับฟังคำบรรยายการประชุมหรือการสัมมนาทางเทวศาสตร์ตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะและตามเวลาที่กำหนดในกฎหมายนั้น ทั้งนี้ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 279 วรรค 2

2.       ต้องเอาใจใส่ให้ความช่วยเหลือฝ่ายจิตสรรพพร้อมสำหรับพระสงฆ์ของเขตปกครองของตน และเช่นเดียวกันต้องสลวนเป็นพิเศษต่อพระสงฆ์ที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างลำบากหรือถูกบีบคั้นจากปัญหาต่างๆ

วรรค 3 หัวหน้าเขตต้องเอาใจใส่ให้เจ้าอาวาสในเขตปกครองของตนที่ท่านรู้ว่ากำลังป่วยหนักมิให้ขาดความช่วยเหลือฝ่ายจิต และวัตถุและต้องเอาใจใส่ให้พระสงฆ์ที่เสียชีวิตแล้ว ได้รับการปลงศพอย่างสมเกียรติ เช่นเดียวกันเมื่อท่านต้องดูแลมิให้หนังสือ เอกสาร เครื่องใช้ศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งอื่นๆ ที่เป็นของพระศาสนจักรสูญหายหรือเคลื่อนย้ายไปขณะที่พระสงฆ์ป่วยหรือตาย

วรรค 4 หัวหน้าเขตมีพันธะต้องเยี่ยมเยียนวัดในเขตปกครองของตน ตามกฎระเบียบที่ออกโดยพระสังฆราชสังฆมณฑล

 

 

 

 

หมวด 8 อธิการโบสถ์ และพระสงฆ์ประจำวัดน้อย

ส่วน 1 อธิการโบสถ์

มาตรา 556 ให้เข้าใจว่าอธิการโบสถ์คือพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลวัดใดวัดหนึ่งที่ไม่ใช่วัดปกครอง (parochial church) หรือวัดคณะสมณะ (capitular church) ทั้งไม่ใช่วัดที่ติดกับบ้านคณะนักพรตหรือคณะชีวิตแพร่ธรรมซึ่งพวกเขาใช้ประกอบศาสนกิจ

มาตรา 557 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลแต่งตั้งอธิการโบสถ์อย่างอิสระโดยคงไว้ซึ่งสิทธิการเลือกตั้ง หรือการเสนอชื่อหากมีผู้ที่มีสิทธิ์นี้โดยชอบธรรม ในกรณีเช่นนี้พระสังฆราชสังฆมณฑลมีสิทธิ์ที่จะรับรองหรือทำการแต่งตั้งอธิการโบสถ์

วรรค 2 แม้ว่าโบสถ์นั้นเป็นของสถาบันนักพรตที่เป็นสมณะสิทธิสันตะสำนักพระสังฆราชสังฆมณฑลมีอำนาจแต่งตั้งอธิการโบสถ์ที่ผู้ใหญ่ของคณะเสนอมา

วรรค 3 เว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชสังฆมณฑลได้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอธิการโบสถ์ที่ติดกับสามเณราลัย หรือวิทยาลัยอื่น ซึ่งปกครองโดยสมณะคืออธิการของสามเณราลัยหรือวิทยาลัยนั้น

มาตรา 558 โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 262 ไม่มีอนุญาตให้อธิการโบสถ์ปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นของวัดปกครองที่ระบุไว้ในมาตรา 530 ข้อ1 – 6 ในโบสถ์ที่ท่านได้รับมอบหมายเว้นไว้แต่ว่าเจ้าอาวาสยินยอมหรือมอบอำนาจแก่อธิการโบสถ์ให้กระทำเช่นนั้นเมื่อมีเหตุผล

มาตรา 559 อธิการโบสถ์สามารถประกอบจารีตพิธีกรรมแม้อย่างสง่าในโบสถ์ที่ได้รับมอบหมายโดยคงไว้ซึ่งกฎอันชอบธรรมของการก่อตั้ง และขอแต่ว่าตามการวินิจฉัยของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นการประกอบพิธีนั้นไม่มีผลเสียแต่ประการใดต่อศาสนบริการของวัดปกครอง

มาตรา 560 ณ ที่ซึ่งผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นเห็นว่าเหมาะสมท่านก็สามารถส่งให้อธิการโบสถ์ ประกอบพิธีบางอย่างเพื่อประชาชนในโบสถ์ของตนแม้เป็น พิธีกรรมของวัดปกครองทั้งยังสามารถสั่งให้เปิดวัดแก่กลุ่มคริสตชนบางกลุ่มเพื่อเขาจะได้ประกอบจารีตพิธีกรรมที่นั่น

มาตรา 561 ไม่อนุญาตให้ใครประกอบพิธีมิสซาบริการศีลศักดิ์สิทธิ์หรือประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์อื่นๆในโบสถ์โดยไม่ได้รับอนุญาตจากอธิการโบสถ์หรือจากผู้อื่นที่เป็นผู้ใหญ่อันชอบของคณะ การอนุญาตหรือการปฏิเสธดังกล่าวต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 562 ภายใต้อำนาจของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น และโดยการรักษาระเบียบอันชอบและสิทธิที่ได้มาอธิการโบสถ์มีพันธะต้องดูแลให้การประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ในโบสถ์เป็นไปตามกฎของจารีตพิธีกรรม และตามข้อกำหนดของกฎหมายอย่างเหมาะสมต้องทำตามภาระผูกพันอย่างซื่อสัตย์ ต้องจัดการทรัพย์สินอย่างขยันขันแข็งต้องจัดการดูแลเครื่องประดับศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งก่อสร้างศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้อยู่ในสภาพดี และสวยงาม และต้องไม่ให้มีอะไรเกิดขึ้นเลยที่ไม่เหมาะสมใดๆ กับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ และกับความน่าเคารพที่ควรจะมีต่อพระนิเวศน์ของพระเป็นเจ้า

มาตรา 563 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นเมื่อมีเหตุผลสมควรและตามวิจารณญาณอันรอบคอบของตนสามารถถอดถอนอธิการโบสถ์จากตำแหน่งหน้าที่ แม้ว่าอธิการโบสถ์จะได้รับเลือกหรือเสนอจากผู้อื่นก็ตามโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 682 วรรค 2

ส่วน 2 พระสงฆ์ประจำวัดน้อย

มาตรา 564 จิตตาภิบาลคือพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายให้ทำงานอภิบาลแบบถาวรอย่างน้อยบางส่วนกับบางหมู่คณะหรือกับคริสตชนกลุ่มพิเศษโดยต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายสากล และกฎหมายเฉพาะ

มาตรา 565 เว้นไว้แต่ว่ากฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น หรือผู้หนึ่งผู้ใดได้รับสิทธิพิเศษอันชอบธรรมผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นเป็นผู้ตั้งพระสงฆ์ประจำวัดน้อย และยังมีอำนาจแต่งตั้ง ผู้ที่ได้รับการเสนอชื่อหรือรับรองผู้ที่ได้รับเลือก

มาตรา 566 วรรค 1 พระสงฆ์ประจำวัดน้อยควรมีอำนาจปฏิบัติทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อการอภิบาลที่พึงมี นอกจากอำนาจที่ได้รับมาโดยกฎหมายเฉพาะหรือโดยการมอบเป็นพิเศษพระสงฆ์ประจำวัดน้อยโดยหน้าที่มีอำนาจฟังแก้บาปคริสตชนที่อยู่ภายใต้การดูแลของตน เทศน์พระวาจาของพระเจ้าแก่พวกเขาส่งศีลเสบียงและประกอบพิธีศีลเจิมคนไข้พร้อมทั้งประกอบพิธีศีลกำลังแก่ผู้ที่อยู่ในอันตรายที่จะตาย

วรรค 2 ยิ่งกว่านั้น จิตตาภิบาลยังมีอำนาจให้อภัยโทษชนิดต้องโทษทันที (latae sententiae) ที่ไม่สงวนไว้และที่ไม่ได้ประกาศแก่ผู้ที่อยู่ในสถานพยาบาล เรือนจำ และผู้เดินทางทางทะเลโดยต้องใช้อำนาจนี้ในสถานที่ดังกล่าวเท่านั้นโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 976

มาตรา 567 วรรค 1ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องไม่ดำเนินการแต่งตั้งพระสงฆ์ประจำวัดน้อยสำหรับบ้านของสถาบันคณะนักพรตที่ไม่ใช่สมณะโดยมิได้ปรึกษาผู้ใหญ่ของคณะที่มีสิทธิ์เสนอพระสงฆ์องค์ใดองค์หนึ่ง หลังจากได้ฟังความเห็นของหมู่คณะแล้ว

วรรค 2 พระสงฆ์ประจำวัดน้อยมีหน้าที่ประกอบหรือนำจารีตพิธีกรรม อย่างไรก็ตาม ไม่อนุญาตให้ท่านก้าวก่ายในการปกครองภายในของสถาบัน

มาตรา 568 เท่าที่กระทำได้ให้แต่งตั้งพระสงฆ์ประจำวัดน้อยสำหรับผู้ที่ไม่สามารถได้รับการดูแลปกติของเจ้าอาวาส เพราะสถานภาพของชีวิต เช่น ผู้ย้ายถิ่น ผู้ถูกเนรเทศ ผู้ลี้ภัยคนเร่ร่อน และผู้เดินเรือ เป็นต้น

มาตรา 569 พระสงฆ์ประจำวัดน้อยของกองทัพมีกฎหมายเฉพาะ

มาตรา 570 หากศูนย์กลางของคณะหรือชุมชนหนึ่งอยู่ติดกับวัดที่มิใช่วัดปกครองพระ-สงฆ์ประจำวัดน้อยต้องเป็นอธิการของโบสถ์เองเว้นไว้แต่ว่าการดูแลหมู่คณะหรือวัดเรียกร้องอย่างอื่น

มาตรา 571 ในการปฏิบัติงานอภิบาลของท่าน พระสงฆ์ประจำวัดน้อยต้องรักษา ความสัมพันธ์ใกล้ชิดอันควรกับเจ้าอาวาส

มาตรา 572 เกี่ยวกับการถอดถอนพระสงฆ์ประจำวัดน้อย ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรา 563

ภาค 3 สถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว และคณะชีวิตแพร่ธรรม

 

ตอน 1 สถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว

ลักษณะ 1 กฎเกณฑ์สำหรับสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วทุกสถาบัน

มาตรา 573 วรรค 1 ชีวิตที่ถวายแล้วโดยการปฏิญาณตนที่จะดำเนินชีวิตตามคำแนะนำแห่งพระวรสารเป็นรูปแบบของการดำเนินชีวิตที่มั่นคง ซึ่งโดยการดำเนินชีวิตแบบนี้คริสตชนผู้ซึ่งติดตามพระคริสตเจ้าอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นภายใต้การทำงานของพระจิตอุทิศตนทั้งครบแด่พระเจ้าซึ่งเป็นผู้ที่ตนรักสูงสุดเพื่อว่าเมื่อได้ถวายตนเองตามรูปแบบใหม่และพิเศษเพื่อพระเกียรติของพระองค์เพื่อการเสริมสร้างพระศาสนจักรและความรอดของโลกแล้วเขาจะได้มุ่งสู่ความครบครันแห่งความรักในการรับใช้พระอาณาจักรของพระเจ้าและเมื่อได้กลายเป็นเครื่องหมายอันโดดเด่นในพระศาสนจักรแล้วเขาก็ประกาศให้เห็นถึงพระเกียรติมงคลแห่งสวรรค์

วรรค 2 คริสตชนที่ปฏิญาณตนปฏิบัติตามคำแนะนำแห่งพระวรสารในการถือความบริสุทธิ์ ความยากจน และความนอบน้อมเชื่อฟังโดยคำปฏิญาณหรือโดยพันธะศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ตามกฎข้อบังคับเฉพาะของสถาบันคริสตชนเหล่านี้รับเอาแบบการดำเนินชีวิตดังกล่าวอย่างอิสระในสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว ซึ่งก่อตั้งขึ้นเป็นทางการโดยอำนาจที่ถูกต้องของพระศาสนจักรคริสตชนดังกล่าวโดยอาศัยคุณธรรมความรักอันเนื่องมาจากการถือตามคำแนะนำแห่งพระวรสาร ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรและรหัสธรรมของพระศาสนจักรในรูปแบบพิเศษ

มาตรา 574 วรรค 1 สถานภาพของบุคคลผู้ซึ่งปฏิญาณตนตามคำแนะนำแห่งพระวรสารในสถาบันประเภทนี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตและความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรและเพราะเหตุนี้จึงต้องได้รับการฟูมฟัก และส่งเสริมจากทุกคนในพระศาสนจักร

วรรค 2 คริสตชนบางคนได้รับเรียกอย่างพิเศษจากพระเป็นเจ้ามาสู่สถานภาพนี้ เพื่อรับพระพรพิเศษในชีวิตของพระศาสนจักร และเพื่อให้เป็นประโยชน์แก่พันธกิจที่นำความรอดของพระศาสนจักรตามจุดประสงค์และจิตตารมณ์ของสถาบัน

มาตรา 575 คำแนะนำแห่งพระวรสาร อันมีพื้นฐานอยู่ที่คำสั่งสอนและแบบฉบับของพระคริสตเจ้าพระอาจารย์เป็นพรพระเจ้าที่พระศาสนจักรได้รับมาจากพระเป็นเจ้าและรักษาไว้ให้คงอยู่เสมอไป โดยอาศัยพระหรรษทานของพระองค์

มาตรา 576 เป็นสิทธิ์ของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจในพระศาสนจักรที่จะตีความหมายคำแนะนำแห่งพระวรสาร ออกกฎหมาย ควบคุมการปฏิบัติและจากกฎหมายนั้นก่อตั้งรูปแบบการดำเนินชีวิตที่มั่นคงโดยการรับรองอย่างเป็นทางการ และเช่นเดียวกัน ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจในส่วนของตนมีหน้าที่สอดส่องดูแลให้สถาบันเหล่านั้นเจริญและรุ่งเรืองตามจิตตารมณ์ของผู้ก่อตั้งและประเพณีอันดีงาม

มาตรา 577 ในพระศาสนจักรมีสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วอยู่มากมายซึ่งมีพระพรที่แตกต่างกันตามพระหรรษทานที่พระประทานให้เหตุว่าสถาบันเหล่านี้ติดตามพระคริสตเจ้าอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นขณะที่พระองค์ทรงภาวนาก็ดีประกาศอาณาจักรพระเจ้าก็ดี ปฏิบัติงานแผ่เมตตาก็ดีร่วมชีวิตกับมวลมนุษย์โลกก็ดีซึ่งทั้งหมดนี้พระองค์ทรงกระทำตามน้ำพระทัยพระบิดาเจ้าเสมอ

มาตรา 578 ความคิด และจุดมุ่งหมายของผู้ก่อตั้งซึ่งผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจในพระศาสนจักรได้รับรอง เกี่ยวกับธรรมชาติ จุดหมายจิตตารมณ์ และลักษณะเฉพาะของสถาบันรวมทั้งประเพณีอันดีงามซึ่งทั้งหมดประมวลกันเข้าเป็นมรดกตกทอดของสถาบันนั้นเองเป็นสิ่งที่ทุกคนพึงรักษาไว้อย่างสัตย์ซื่อ

มาตรา 579 พระสังฆราชสังฆมณฑลในแต่ละเขตปกครองของตนสามารถก่อตั้งสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว ด้วยกฤษฎีกาที่เป็นทางการเพียงแต่ว่าต้องปรึกษาหารือกับสันตะสำนักก่อน

มาตรา 580 การรวมตัวกันของสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วสถาบันหนึ่งกับอีกสถาบันหนึ่งสงวนไว้ให้แก่ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของสถาบันที่รับเข้าโดยรักษาไว้ซึ่งสิทธิในการปกครองตนเองตามกฎหมายของสถาบันที่เข้ามารวม

มาตรา 581 การแบ่งสถาบันออกเป็นภาคๆ ไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอย่างไรหรือก่อตั้งภาคใหม่ๆ ขึ้น หรือรวมภาคที่ตั้งขึ้นแล้ว หรือกำหนดขอบเขตใหม่ทั้งหมดนี้เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของสถาบันตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ

มาตรา 582 การหลอมตัวและการรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันของสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วเป็นอำนาจที่สงวนไว้สำหรับสันตะสำนักเท่านั้นการรวมตัวเป็นสมาพันธ์และสหพันธ์ก็เป็นอำนาจที่สงวนไว้สำหรับสันตะสำนักด้วย

มาตรา 583 การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว อันจะกระทบถึงสิ่งต่างๆที่ได้รับอนุมัติจากสันตะสำนักแล้วจะกระทำมิได้โดยปราศจากการอนุญาตของสันตะสำนัก

มาตรา 584 การยุบสถาบันใดๆ เป็นอำนาจของสันตะสำนักเท่านั้น เช่นเดียวกันการกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับทรัพย์สินของสถาบันก็สงวนไว้สำหรับสันตะสำนักด้วย

มาตรา 585 การยุบบางส่วนของสถาบันเป็นอำนาจของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของสถาบันนั้นเอง

มาตรา 586 วรรค 1 เป็นที่รับรู้ว่าแต่ละสถาบันมีความเป็นเอกเทศโดยชอบธรรมในการดำเนินชีวิตโดยเฉพาะในด้านการปกครอง ซึ่งอาศัยความเป็นเอกเทศนี้ สถาบันต่างๆ มีระเบียบวินัยของตนในพระศาสนจักรและสามารถรักษามรดกตกทอดของตนไว้ได้อย่างครบถ้วน ดังระบุไว้ในมาตรา 578

วรรค 2 เป็นหน้าที่รับผิดชอบของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นที่จะรักษา และป้องกันความเป็นเอกเทศนี้

มาตรา 587 วรรค 1 เพื่อปกป้องกระแสเรียกเฉพาะ และเอกลักษณ์ของแต่ละสถาบันอย่างซื่อสัตย์ยิ่งขึ้น นอกจากสิ่งที่ต้องปฏิบัติที่ระบุไว้ในมาตรา 578 ประมวลกฎหมายขั้นพื้นฐานหรือธรรมนูญของสถาบันใดไม่ว่าต้องบรรจุกฎเกณฑ์ขั้นพื้นฐานเกี่ยวกับการปกครองของสถาบัน และระเบียบวินัยของสมาชิกเกี่ยวกับการรับและการอบรมสมาชิกรวมทั้งเป้าหมายเฉพาะของพันธะศักดิ์สิทธิ์ด้วย

วรรค 2 ประมวลกฎหมายชนิดนี้ รับการรับรองโดยผู้ทรงอำนาจในพระศาสนจักรและเปลี่ยนแปลงได้ก็ต่อเมื่อได้รับการยินยอมจากผู้ทรงอำนาจเดียวกันนั้น

วรรค 3 ในประมวลกฎหมายนี้สารัตถะทางด้านวิญญาณและด้านกฎหมายต้องผสมผสานกันอย่างกลมกลืนอย่างไรก็ดีต้องไม่เพิ่มกฎเกณฑ์ใดๆ โดยไม่จำเป็น

วรรค 4 กฎเกณฑ์อื่นๆ ที่ออกโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของสถาบันต้องรวบรวมไว้ในประมวลกฎหมายอื่นอย่างเหมาะสมอย่างไรก็ตามประมวลกฎหมายนี้สามารถนำมาทบทวน และประยุกต์อย่างเหมาะสมตามความจำเป็นของสถานที่และเวลา

มาตรา 588 วรรค 1 สถานภาพของชีวิตที่ถวายแล้ว โดยธรรมชาติแท้ไม่มีลักษณะเป็นสมณะหรือฆราวาส

วรรค 2 สถาบันสมณะคือสถาบันที่โดยเหตุผลของจุดหมายหรือจุดประสงค์ของผู้ตั้งคณะหรือโดยประเพณีอันชอบอยู่ภายใต้การปกครองของสมณะ ปฏิบัติหน้าที่แห่งศีลบรรพชาและได้รับการรับรู้ให้เป็นสถาบันเช่นนั้นจากผู้มีอำนาจของพระศาสนจักร

วรรค 3 สถาบันที่เรียกว่าสถาบันฆราวาสคือสถาบันที่ได้รับการรับรองให้เป็นเช่นนี้จากผู้มีอำนาจของพระศาสนจักร สถาบันดังกล่าวโดยธรรมชาติ ลักษณะและจุดประสงค์มีหน้าที่เฉพาะที่กำหนดโดยผู้ก่อตั้งหรือโดยประเพณีอันชอบโดยไม่รวมถึงการปฏิบัติหน้าที่ของศีลบรรพชา

มาตรา 589 สถาบันชีวิตที่ถวายแล้วเรียกว่าสถาบันสิทธิของสันตะสำนักถ้าได้รับการก่อตั้งโดยสันตะสำนักหรือรับรองโดยกฤษฎีกาทางการของสันตะสำนักส่วนสถาบันที่เรียกว่าสิทธิสังฆมณฑลถ้าเมื่อได้รับการก่อตั้งโดยพระสังฆราชสังฆมณฑลแล้วไม่ได้รับกฤษฎีการับรองเป็นทางการจากสันตะสำนัก

มาตรา 590 วรรค 1 สถาบันชีวิตที่ถวายแล้วในฐานะที่อุทิศตนเป็นพิเศษในการรับใช้พระเป็นเจ้าและพระศาสนจักรทั้งครบ อยู่ภายใต้อำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรเดียวกันในลักษณะพิเศษ

วรรค 2 สมาชิกแต่ละคน จำต้องนบนอบต่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปา ในฐานะที่พระองค์ที่พระองค์ทรงเป็นผู้ใหญ่สูงสุดของเขา ทั้งนี้เพราะพันธะอันศักดิ์สิทธิ์แห่งความนอบน้อมเชื่อฟังด้วย

มาตรา 591 เพื่อการจัดการที่ดีกว่าเกี่ยวกับความดีของสถาบันและความต้องการในงานแพร่ธรรม พระสันตะปาปในฐานะพระองค์เป็นประมุขของพระศาสนจักรสากล และโดยเห็นแก่ความดีส่วนรวม พระองค์สามารถยกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วออกจากอำนาจปกครองของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น และให้ขึ้นตรงต่อพระองค์เองเท่านั้น หรือต่อผู้มีอำนาจอื่นในพระศาสนจักร

มาตรา 592 วรรค 1เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกับสันตะสำนักให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นมหาธิการแต่ละท่านต้องส่งรายงานสั้นๆเกี่ยวกับสถานภาพและชีวิตความเป็นอยู่ของสถาบัน ต่อสันตะสำนักตามวิธีและในเวลาที่สันตะสำนักกำหนด

วรรค 2 อธิการของแต่ละสถาบันต้องส่งเสริมให้มีความรู้เกี่ยวกับเอกสารของพระสันตะสำนักที่เกี่ยวข้องกับสมาชิกในความดูแลของท่าน และเอาใจใส่ให้ปฏิบัติตามคำแนะนำในเอกสารเหล่านั้น

มาตรา 593 สถาบันสิทธิสันตะสำนักต้องอยู่ภายใต้อำนาจของสันตะสำนักโดยตรงและแต่ผู้เดียวในด้านการปกครองภายใน และระเบียบวินัยของสถาบัน โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 586

มาตรา 594 สถาบันสิทธิสังฆมณฑล คงอยู่ภายใต้การดูแลพิเศษของพระสังฆราชสังฆมณฑล โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 586

มาตรา 595 วรรค 1 การรับรองธรรมนูญและการเปลี่ยนแปลงโดยชอบใดๆในธรรมนูญเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชของสถานที่ ซึ่งบ้านศูนย์กลางของสถาบันตั้งอยู่ยกเว้นในเรื่องที่สันตะสำนักยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องท่านยังมีหน้าที่จัดการเกี่ยวกับเรื่องที่มีความสำคัญมากที่เกี่ยวกับสถาบันทั้งหมด และที่เกินอำนาจภายในของสถาบัน หากสถาบันกระจายไปอยู่ในหลายสังฆมณฑลท่านจัดการเช่นนั้นหลังจากได้ปรึกษาหารือกับพระสังฆราชสังฆมณฑลอื่นๆ แล้ว

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถอนุมัติการยกเว้นจากธรรมนูญในกรณีเฉพาะต่างๆ

มาตรา 596 วรรค 1 บรรดาอธิการ และสมัชชาของสถาบัน มีอำนาจเหนือสมาชิกตามที่มีกำหนดไว้ในกฎหมายสากลและธรรมนูญของสถาบันกำหนดไว้

วรรค 2 ยิ่งกว่านั้นในสถาบันนักพรตสมณะสิทธิสันตะสำนัก พวกเขามีอำนาจปกครองฝ่ายพระศาสนจักรทั้งในเรื่องขอบเขตภายนอกและภายใน

วรรค 3 ข้อกำหนดแห่งมาตรา 131 , 133 และ 137144 นำมาใช้ได้กับอำนาจที่กล่าวถึงในวรรค 1

มาตรา 597 วรรค 1 คาทอลิกคนใดก็ตามที่มีเจตนาเที่ยงตรงมีคุณสมบัติตามที่กฎหมายสากล และกฎหมายเฉพาะกำหนดไว้ และไม่มีอุปสรรคใดๆ ขัดขวาง สามารถรับเป็นสมาชิกของสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วได้

วรรค 2 ไม่มีผู้ใดสามารถถูกรับเป็นสมาชิกได้โดยไม่มีการเตรียมตัวอย่างเหมาะสมก่อน

มาตรา 598 วรรค 1แต่ละสถาบันจะต้องกำหนดวิธีปฏิบัติในการดำรงชีวิตตามคำแนะนำแห่งพระวรสารในเรื่องความบริสุทธิ์ความยากจน และความนอบน้อมเชื่อฟังไว้ในธรรมนูญของตนโดยคำนึงถึงลักษณะเฉพาะ และจุดหมายของสถาบัน

วรรค 2 สมาชิกทุกคนต้องไม่เพียงแต่ปฏิบัติตามคำแนะนำแห่งพระวรสารอย่างซื่อสัตย์และอย่างครบถ้วนเท่านั้นแต่ยังต้องเจริญชีวิตตามกฎหมายเฉพาะของสถาบันและดังนี้ต้องมุ่งสู่ความครบครันแห่งสถานภาพของตน

มาตรา 599 คำแนะนำแห่งพระวรสารให้ถือความบริสุทธิ์เพราะเห็นแก่พระอาณาจักรแห่งสวรรค์ ซึ่งเป็นเครื่องหมายของโลกหน้าและเป็นบ่อเกิดของผลที่สมบูรณ์กว่าในดวงใจที่ไม่แบ่งแยกนำมาซึ่งพันธะในการควบคุมตนเองอย่างครบครันในชีวิตโสด

มาตรา 600 คำแนะนำแห่งพระวรสารให้ถือความยากจน ตามแบบฉบับขององค์พระ-คริสต์ผู้ซึ่งแม้ทรงเป็นผู้มั่งคั่ง แต่ทรงทำองค์เป็นผู้ขัดสนเพราะเห็นแก่เรานอกจากการดำเนินชีวิตยากจนในความเป็นจริงและในจิตใจยังต้องดำเนินชีวิตแห่งการงานอย่างรู้จักประมาณตน และไม่ผูกพันกับทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก ต้องขึ้นกับผู้ใหญ่และมีขีดจำกัดในการใช้ และจัดการทรัพย์สินตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะของแต่ละสถาบัน

มาตรา 601 คำแนะนำแห่งพระวรสารให้ถือความนอบน้อมเชื่อฟังซึ่งยอมรับจิตตา-รมณ์แห่งความเชื่อและความรักในการติดตามพระคริสต์ผู้ทรงนอบน้อมจนกระทั่งความตายเรียกร้องให้ยอมมอบน้ำใจของตนแก่ผู้ใหญ่ที่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งทำหน้าที่แทนพระเป็นเจ้า เมื่อออกคำสั่งตามธรรมนูญเฉพาะของสถาบัน

มาตรา 602 ชีวิตภราดรภาพตามรูปแบบเฉพาะของแต่ละสถาบันซึ่งสมาชิกทุกคนรวมเป็นหนึ่งเดียวเสมือนเป็นครอบครัวพิเศษในองค์พระคริสตเจ้า ให้กำหนดรูปแบบที่อำนวยให้ทุกคนช่วยเหลือซึ่งกันและกันในการดำเนินชีวิตตามกระแสเรียกของตน ยิ่งกว่านั้นโดยความสนิทสัมพันธ์กันฉันพี่น้อง ซึ่งหยั่งรากและตั้งฐานบนความรักสมาชิกต้องเป็นตัวอย่างการคืนดีของสรรพสิ่งในองค์พระคริสต-เจ้า

มาตรา 603 วรรค 1 นอกจากสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วพระศาสนจักรยังยอมรับการดำเนินชีวิตแบบฤาษีหรือโดดเดี่ยวจากสังคมซึ่งคริสตชนอุทิศชีวิตของตน เพื่อสรรเสริญพระเป็นเจ้า และเพื่อความรอดของโลก โดยการดำเนินชีวิตแยกจากโลกอย่างเคร่งครัดขึ้นในความเงียบแห่งสันโดษ ทั้งในการภาวนาและการใช้โทษบาปอย่างไม่หยุดหย่อน

วรรค 2 ฤาษีได้รับการรับรู้ในกฎหมายในฐานะผู้อุทิศตนแด่พระเป็นเจ้าในชีวิตที่ถวายแล้ว หากว่าเขาประกาศตนอย่างเปิดเผยว่าจะถือตามคำแนะนำแห่งพระวรสารทั้งสามประการโดยการยืนยันด้วยปฏิญาณตนหรือด้วยพันธะศักดิ์สิทธิ์แบบอื่นในมือของพระสังฆราชสังฆ-มณฑล และปฏิบัติตามแนวทางการดำเนินชีวิตของตน ภายใต้การนำของพระสังฆราช

มาตรา 604 วรรค 1 คล้ายกับรูปแบบชีวิตที่ถวายแล้ว ดังได้กล่าวมายังมีคณะพรหมจารีผู้ผูกมัดตนเองที่จะเจริญชีวิตตามแบบแผนอันศักดิ์สิทธิ์ในการติดตามพระคริสตเจ้าอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้นพวกเขาได้รับการอภิเษกแด่พระเจ้าจากพระสังฆราชสังฆมณฑลตามจารีตพิธีกรรมที่ได้รับการรับรองพวกเขาถวายตนเป็นเจ้าสาวในรหัสธรรมแด่พระคริสต์บุตรพระเจ้าและอุทิศตนเพื่อรับใช้พระศาสนจักร

วรรค 2 เพื่อรักษาความตั้งใจอย่างซื่อสัตย์ยิ่งขึ้นและเพื่อรับใช้พระ-ศาสนจักรโดยการช่วยเหลือซึ่งกันและกันในรูปแบบที่สอดคล้องกับสถานภาพของตน พรหมจารีเหล่านี้สามารถรวมตัวกันเป็นสมาคม

มาตรา 605 การรับรองรูปแบบใหม่ของชีวิตที่ถวายแล้วเป็นสิทธิที่สงวนไว้สำหรับสันตะสำนักเท่านั้นอย่างไรก็ดีพระสังฆราชสังฆมณฑลควรพยายามพิจารณาแยกแยะพระพรใหม่ของชีวิตที่ถวายแล้ว ที่พระจิตเจ้าประทานให้แก่พระศาสนจักร และควรจะช่วยสนันมนุนพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะได้สามารถเสนอแผนการของพวกเขาให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และปกป้องแผนการเหล่านั้นด้วยกฎระเบียบที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โดยใช้กฎเกณฑ์ทั่วไป ซึ่งบรรจุไว่ในส่วนนี้ของประมวลกฎหมาย

มาตรา 606 กฎเกณฑ์ใดๆที่ตั้งไว้เกี่ยวกับสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วและมวลสมาชิกของสถาบันเหล่านั้นใช้ได้กับสมาชิกทั้งชายและหญิงเท่าเทียมกันเว้นไว้แต่ว่าจะปรากฎเป็นอย่างอื่น จากบริบทของถ้อยคำหรือจากธรรมชาติของเนื้อเรื่อง

ลักษณะ 2 สถาบันนักพรต

มาตรา 607 วรรค 1 ชีวิตนักพรตในฐานะที่เป็นการถวายบุคคลทั้งครบแสดงให้เห็นในพระศาสนจักร ถึงการสมรสอันน่าพิศวงซึ่งพระเป็นเจ้าทรงสถาปนาขึ้น ชีวิตนักพรตนี้เป็นเครื่องหมายถึงโลกหน้าดังนี้ นักพรตถวายตนเองอย่างสิ้นเชิง เพื่อเป็นบูชาถวายแด่พระเป็นเจ้าด้วยบูชานี้เอง การเป็นอยู่ทั้งครบของเขากลายเป็นคารวกิจอย่างต่อเนื่องแด่พระเป็นเจ้าในความรัก

วรรค 2 สถาบันนักพรตเป็นคณะหนึ่งที่สมาชิกประกาศการปฏิญาณตนอย่างเปิดเผยตามกฎหมายเฉพาะของสถาบัน ไม่ว่าแบบถาวรหรือแบบชั่วคราวซึ่งจะต้องรื้อฟื้นใหม่เมื่อครบกำหนด และใช้ชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง

วรรค 3 การที่นักพรตเป็นประจักษ์พยานให้แก่พระคริสตเจ้าและพระศาสนจักรอย่างเปิดเผยนั้น หมายถึงการแยกตัวออกไปจากโลกภายนอกตามลักษณะเฉพาะ และจุดมุ่งหมายของแต่ละสถาบัน

 

หมวด 1 บ้านนักพรต การตั้ง และการยุบ

มาตรา 608 หมู่คณะนักพรตต้องอาศัยอยู่ในบ้านซึ่งตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายภายใต้อำนาจของอธิการซึ่งได้รับการแต่งตั้งตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายแต่ละบ้านอย่างน้อยควรมีห้องภาวนา ซึ่งใช้ถวายบูชามิสซาและเก็บศีลมหาสนิทเพื่อเป็นศูนย์กลางของหมู่คณะอย่างแท้จริง

มาตรา 609 วรรค 1 บ้านของสถาบันนักพรตตั้งขึ้นโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจตามธรรมนูญของสถาบันพร้อมกับได้รับการยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรจากพระสังฆราชสังฆมณฑลก่อน

วรรค 2 เพื่อตั้งอารามนักพรตหญิง จำเป็นต้องได้รับการอนุมัติจากสันตะสำนักด้วย

มาตรา 610 วรรค 1 ในการตั้งบ้านนักพรตต้องคำนึงถึงประโยชน์ของพระศาสนจักรและของสถาบันรวมทั้งหลักประกันให้สมาชิกสามารถดำรงชีวิตนักพรตได้อย่างถูกต้องตามจุดมุ่งหมายและจิตตารมณ์เฉพาะของสถาบัน

วรรค 2 ต้องไม่ตั้งบ้านใดขึ้น เว้นแต่สามารถตัดสินอย่างรอบคอบได้ว่า จะมีการจัดการให้สมาชิกมีสิ่งจำเป็นอย่างเหมาะสม

มาตรา 611 คำยินยอมของพระสังฆราชสังฆมณฑลให้ตั้งบ้านนักพรต ไม่ว่าของสถาบันใด หมายรวมถึงสิทธิที่จะ

1.       ดำเนินชีวิตตามลักษณะและจุดมุ่งหมายเฉพาะของสถาบัน

2.       ปฏิบัติกิจการที่เป็นงานของสถาบันโดยเฉพาะ ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย โดยรักษาเงื่อนไขที่ติดมากับคำยินยอมนั้น

3.       สำหรับสถาบันนักพรตที่เป็นสมณะมีสิทธิ์มีวัด โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 1215วรรค 3 และมีสิทธิ์ที่จะปฏิบัติศาสนบริการโดยปฏิบัติสิ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมาย

มาตรา 612 เพื่อเปลี่ยนบ้านนักพรตให้ปฏิบัติงานแพร่ธรรมที่แตกต่างไปจากงานที่กำหนดไว้เมื่อก่อตั้งบ้านนั้นขึ้นมา จำเป็นต้องขอคำยินยอมจากพระสังฆราชสังฆมณฑลแต่ไม่จำเป็นต้องขอหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงการปกครองภายในและระเบียบวินัยเท่านั้น ทั้งนี้โดยรักษาไว้ซึ่งกฎหมายของการก่อตั้ง

มาตรา 613 วรรค 1 บ้านนักพรตของบรรดานักพรตภาวนาและของฤาษีซึ่งอยู่ใต้การปกครองและการดูแลของอธิการคณะของตนเองนั้นเป็นกลุ่มที่ปกครองตนเองอย่างอิสระเว้นไว้แต่ว่าธรรมนูญกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 อธิการของบ้านที่ปกครองตนเองอย่างอิสระเป็นอธิการชั้นผู้ใหญ่โดยกฎหมาย

มาตรา 614 อารามนักพรตหญิง ซึ่งเป็นภาคีกับสถาบันนักพรตชายนั้นยังคงรักษาวิธีการดำเนินชีวิตและการปกครองของตนไว้ตามธรรมนูญของสถาบันสิทธิ และพันธะร่วมกันให้กำหนดในลักษณะที่ว่า จากการเป็นภาคีนั้นยังผลให้เกิดคุณ-ประโยชน์ทางจิตวิญญาณ

มาตรา 615 อารามที่ปกครองตนเองอย่างอิสระ ซึ่งไม่มีอธิการชั้นผู้ใหญ่นอกเหนือไปจากอธิการของตนเองและไม่ได้ร่วมภาคีกับสถาบันนักบวชอื่นใดในลักษณะที่ว่าอธิการของสถาบันอื่นนั้นมีอำนาจอย่างแท้จริง เหนืออารามที่กล่าวนั้นตามที่มีกำหนดไว้ในธรรมนูญ ในกรณีเช่นนี้ให้อารามนั้นอยู่ในความดูแลเอาใจใส่เป็นพิเศษของพระสังฆราชสังฆมณฑลตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมาย

มาตรา 616 วรรค 1 ตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญอธิการสูงสุดสามารถยุบบ้านนักพรตที่ก่อตั้งขึ้นโดยชอบหลังจากได้ปรึกษาพระสังฆราชสังฆมณฑลแล้วกฎหมายเฉพาะของสถาบันจะต้องกำหนดการจัดการทรัพย์สินของบ้านที่ถูกยุบโดยคำนึงถึงเจตนารมณ์ของผู้ก่อตั้งหรือผู้บริจาค และสิทธิที่ได้มาโดยชอบวรรค 2การยุบบ้านนักพรตของสถาบันที่มีอยู่เพียงบ้านเดียวเป็นสิทธิของสันตะสำนักซึ่งมีสิทธิที่จะกำหนดว่าในกรณีเช่นนี้ควรจัดการอย่างไรกับทรัพย์สินของบ้าน

วรรค 3 การยุบบ้านที่ปกครองตนเองอย่างอิสระ ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 613 เป็นสิทธิของที่ประชุมใหญ่ของคณะเว้นไว้แต่ว่าธรรมนูญจะระบุไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 4 การยุบอารามนักพรตหญิงที่ปกครองตนเองอย่างอิสระเป็นสิทธิของสันตะสำนักโดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดแห่งธรรมนูญของสถาบันที่เกี่ยวกับด้วยทรัพย์สิน

 

หมวด 2 การปกครองสถาบัน

ส่วน 1 อธิการ และคณะที่ปรึกษา

มาตรา 618 ให้อธิการใช้อำนาจที่ได้รับจากพระเป็นเจ้าโดยผ่านทางศาสนบริการของพระศาสนจักร ด้วยจิตตารมณ์แห่งการรับใช้ดังนั้นด้วยความนอบน้อมต่อน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่ของตน อธิการต้องปกครองสมาชิกของตนเยี่ยงบุตรของพระเจ้า และพร้อมกับส่งเสริมให้เขานอบน้อมเชื่อฟังด้วยความเต็มใจโดยเคารพต่อความเป็นมนุษย์ของเขา ต้องรับฟังพวกเขาด้วยความเต็มใจ และสนับสนุนให้เขาร่วมมือกันทำงาน เพื่อประโยชน์ของสถาบัน และของพระศาสนจักรอย่างไรก็ตาม อธิการยังคงไว้ซึ่งอำนาจที่จะตัดสินและออกคำสั่งว่าควรจะทำอะไร

มาตรา 619 ให้อธิการอุทิศตนทำหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง และร่วมกับสมาชิกในสังกัดของตน พยายามสร้างหมู่คณะฉันพี่น้องในพระคริสตเจ้าซึ่งแสวงหา และรักพระเป็นเจ้าเหนือสิ่งอื่นใดดังนั้นอธิการจึงต้องหล่อเลี้ยงสมาชิกของตนด้วยอาหารแห่งพระวาจาของพระเป็นเจ้า และนำพวกเขาให้ร่วมการเฉลิมฉลองพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์เป็นนิจอธิการต้องเป็นแบบฉบับที่ดีงามแก่สมาชิกในการปลูกฝังคุณธรรม และในการปฏิบัติตามกฎหมาย และประเพณีของแต่ละสถาบันอธิการต้องสนองความต้องการส่วนตัวของสมาชิกอย่างเหมาะสมต้องเอาใจใส่ และเยี่ยมเยียนผู้ป่วยด้วยความห่วงใยตักเตือนว่ากล่าวสมาชิกที่วุ่นวายปลอบโยนผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอและเพียรทนต่อทุกคน

มาตรา 620 อธิการชั้นผู้ใหญ่ เป็นผู้ที่ปกครองทั้งสถาบัน หรือแขวงของสถาบันหรือบางส่วนที่เทียบเท่ากับแขวงหรือบ้านที่ปกครองตนเองอย่างอิสระรองอธิการก็มีอำนาจเช่นเดียวกัน ผู้ที่เทียบเท่ากับอธิการชั้นผู้ใหญ่ได้แก่ อัคราธิการและอธิการของอารามนักพรต อย่างไรก็ตามบุคคลเหล่านี้ไม่มีอำนาจทั้งหมดที่กฎหมายสากลให้แก่อธิการชั้นผู้ใหญ่

มาตรา 621 การรวมบ้านหลายๆ บ้านให้อยู่ภายใต้อธิการคนเดียวกันการรวมนี้ประกอบกันขึ้นเป็นส่วนหนึ่งโดยตรงของสถาบันและก่อตั้งขึ้นตามกฎหมายพระศาสนจักรโดยผู้มีอำนาจอันชอบ เรียกว่า แขวง

มาตรา 622 อธิการสูงสุดมีอำนาจปกครองเหนือทุกแขวงทุกบ้าน และสมาชิกทุกคนของสถาบัน และต้องใช้อำนาจนี้ตามกฎหมายเฉพาะอธิการอื่นๆ มีสิทธิใช้อำนาจภายในขอบเขตตามตำแหน่งหน้าที่ของตน

มาตรา 623 เพื่อจะให้สมาชิกได้รับการแต่งตั้งหรือเลือกตั้งให้รับตำแหน่งอธิการอย่างถูกต้องจำเป็นต้องกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะว่าหลังการปฏิญาณตนตลอดชีพหรืออย่างถาวรแล้วเป็นเวลานานเท่าไรจึงจะเหมาะสมในกรณีที่เกี่ยวกับอธิการชั้นผู้ใหญ่เวลาที่เหมาะสมนั้นต้องกำหนดไว้ในธรรมนูญ

มาตรา 624 วรรค 1 ให้แต่งตั้งอธิการดำรงตำแหน่งอยู่ในช่วงเวลาที่แน่นอน และเหมาะสมตามลักษณะและความจำเป็นของสถาบันเว้นไว้แต่ว่าธรรมนูญบัญญัติระบุไว้เป็นอย่างอื่นสำหรับอธิการสูงสุด และอธิการของบ้านที่ปกครองตนเอง อย่างอิสระ

วรรค 2 ให้กฎหมายเฉพาะกำหนดกฎเกณฑ์อันเหมาะสมว่าอธิการซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้อยู่ในตำแหน่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดจะต้องไม่อยู่ในตำแหน่งปกครองนานเกินไป โดยไม่มีการทิ้งช่วง

วรรค 3 กระนั้นก็ดี ขณะที่ดำรงตำแหน่งอยู่ อธิการสามารถถูกปลดจากตำแหน่งหรือถูกโยกย้ายไปรับตำแหน่งอื่นได้ด้วยเหตุผลที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะของสถาบัน

มาตรา 625 วรรค 1 ต้องแต่งตั้งอธิการสูงสุดของสถาบัน โดยวิธีการเลือกตั้งตามกฎหมายพระศาสนจักรตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมนูญ

วรรค 2 พระสังฆราชของพื้นที่ที่บ้านศูนย์กลางของคณะตั้งอยู่ทำหน้าที่เป็นประธานในการเลือกตั้งอธิการของอารามที่ปกครองตนเองอย่างอิสระดังที่ ระบุไว้ในมาตรา 615 และในการเลือกตั้งอธิการสูงสุดของสถาบันสิทธิสังฆมณฑล

วรรค 3 อธิการอื่นๆ ต้องได้รับการแต่งตั้งตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมนูญแต่ในลักษณะที่ว่า ถ้าเป็นการเลือกตั้งจำเป็นต้องได้รับการรับรองจากอธิการชั้นผู้ใหญ่ที่มีอำนาจถ้าหากว่าเป็นการแต่งตั้งโดยผู้ใหญ่ก็จำต้องมีการปรึกษาหารือกันอย่างเหมาะสมก่อน

มาตรา 626 อธิการในการมอบหมายตำแหน่งหน้าที่ และสมาชิกในการเลือกตั้งต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายสากลและกฎหมายเฉพาะต้องหลีกเลี่ยงการใช้สิทธิ์ในทางที่ผิดหรือโดยลำเอียงและเสนอชื่อหรือเลือกตั้งบุคคลซึ่งพวกเขารู้ต่อหน้าพระเจ้าว่าเป็นผู้สมควรและเหมาะสมจริงๆ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่นใดนอกจากพระเป็นเจ้าและประโยชน์ของสถาบันยิ่งกว่านั้นในการเลือกตั้งต้องหลีกเลี่ยงการหาเสียงไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมทั้งสำหรับตนเองหรือสำหรับผู้อื่น

มาตรา 627 วรรค 1 ตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมนูญอธิการต้องมีคณะที่ปรึกษาของตนเองและต้องใช้ประโยชน์จากพวกเขาในการปฏิบัติหน้าที่ของตน

วรรค 2 นอกเหนือจากกรณีที่บัญญัติไว้ในกฎหมายสากลกฎหมายเฉพาะต้องกำหนดกรณี ซึ่งตามกฎเกณฑ์แห่งมาตรา 127 ต้องขอความเห็นชอบหรือคำแนะนำ เพื่อให้การกระทำมีผลตามกฎหมาย

มาตรา 628 วรรค 1 อธิการผู้ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนี้ตามกฎหมายเฉพาะของสถาบันต้องเยี่ยมบ้านต่างๆ และสมาชิกที่อยู่ในการดูแลของตน ตามเวลาที่กำหนดในกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายเฉพาะเดียวกัน

วรรค 2 เป็นสิทธิ และหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลที่จะเยี่ยม แม้กระทั่งในเรื่องที่เกี่ยวกับระเบียบวินัยของนักพรต

1.       อารามที่ปกครองตนเองอย่างอิสระดังที่ระบุไว้ในมาตรา 615

2.       บ้านแต่ละแห่งของสถาบันสิทธิสังฆมณฑลที่อยู่ในเขตปกครองของท่าน

วรรค 3 สมาชิกต้องปฏิบัติต่อผู้ที่มาเยี่ยมเยียนด้วยความไว้วางใจและมีพันธะที่จะต้องตอบคำถามที่ชอบธรรม ตามความเป็นจริงด้วยความรัก ยิ่งกว่านั้นไม่อนุญาตให้ผู้ใดหันเหสมาชิกไปจากพันธะอันนี้ด้วยวิธีการใดๆ หรือโดยวิธีอื่นที่ขัดขวางจุดประสงค์ของการเยี่ยมเยียน

มาตรา 629 อธิการทุกท่านต้องพำนักอยู่ในบ้านที่ตนรับหน้าที่ และต้องไม่ไปจากบ้าน เว้นไว้แต่ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะ

มาตรา 630 วรรค 1 อธิการต้องยอมรับอิสรภาพอันพึงมีของสมาชิกของตนเกี่ยวกับศีลอภัยบาปและการแนะนำมโนธรรม อย่างไรก็ดี ให้คงไว้ซึ่งระเบียบวินัยของสถาบัน

วรรค 2 อธิการต้องเอาใจใส่ดูแลตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายเฉพาะให้สมาชิกได้มีผู้ฟังแก้บาปที่เหมาะสม ซึ่งพวกเขาสามารถไปสารภาพบาปได้บ่อยๆ

วรรค 3 ในอารามนักพรตหญิงในบ้านอบรม และคณะฆราวาสที่มีสมาชิกจำนวนมากให้มีผู้ฟังแก้บาประจำซึ่งได้รับการรับรองจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจประจำท้องถิ่น หลังจากได้ปรึกษาหารือกับคณะแล้วอย่างไรก็ดีสมาชิกไม่จำเป็นต้องไปแก้บาปกับผู้ฟังแก้บาปดังกล่าว

วรรค 4 อธิการต้องไม่ฟังแก้บาปของสมาชิก เว้นไว้แต่ว่าสมาชิกจะขอร้องด้วยตนเอง

วรรค 5 สมาชิกต้องเข้าหาอธิการของตนด้วยความไว้วางใจซึ่งพวกเขาสามารถเปิดใจอย่างอิสระและด้วยความเต็มใจ อย่างไรก็ดีห้ามอธิการชักจูงสมาชิกให้เปิดเผยมโนธรรมแก่ตนเอง ไม่ว่าจะโดยวิธีใดก็ตาม

ส่วน 2 สมัชชา

มาตรา 631 วรรค 1 สมัชชาใหญ่ ซึ่งมีอำนาจสูงสุดในสถาบันตามกฎเกณฑ์แห่งธรรมนูญต้องประกอบขึ้นในลักษณะที่ว่า เป็นตัวแทนของสถาบันทั้งครบและเป็นเครื่องหมายที่แท้จริงแห่งเอกภาพของสถาบันในความรักหน้าที่สำคัญของที่ประชุมใหญ่คือ คุ้มครอง มรดกตกทอดของสถาบันตามที่ระบุไว้ในมาตรา 578 ส่งเสริมการฟื้นฟูที่เหมาะสมให้สอดคล้องกับมรดกตกทอดมาเลือกตั้งอธิการสูงสุด จัดการกับเรื่องสำคัญๆ และประกาศกฎเกณฑ์ซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตาม

วรรค 2 องค์ประกอบและขอบเขตอำนาจของสมัชชาต้องกำหนดไว้ในธรรมนูญของสถาบันกฎหมายเฉพาะของสถาบันต้องกำหนดหลักเกณฑ์อื่นๆ เพิ่มขึ้นเพื่อยึดถือในการประชุมสมัชชาโดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการเลือกตั้งและกระบวนการในการจัดการกับเรื่องต่างๆ

วรรค 3 ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะของสถาบันไม่เพียงแต่แขวง และหมู่คณะท้องถิ่นต่างๆ เท่านั้นแต่สมาชิกคนใดก็ได้สามารถส่งความประสงค์ และข้อเสนอแนะไปยังสมัชชาใหญ่ได้โดยเสรี

มาตรา 632 กฎหมายเฉพาะของสถาบันต้องกำหนดอย่างชัดแจ้งว่ามีอะไรบ้างที่เป็นเรื่องของสมัชชาอื่นๆของสถาบันและเป็นเรื่องของการประชุมอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน กล่าวคือเกี่ยวกับธรรมชาติ อำนาจ องค์ประกอบ วิธีดำเนินการและเวลาของการประชุม

มาตรา 633 วรรค 1 องค์กรต่างๆ ที่มีส่วนร่วมหรือที่ให้การปรึกษาหารือต้องปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายอย่างสัตย์ซื่อตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายสากลและกฎหมายเฉพาะของสถาบันและแต่ละองค์กรต้องแสดงความเอาใจใส่และการมีส่วนร่วมของมวลสมาชิกตามวิถีของตนเพื่อความดีของทั้งสถาบันหรือของหมู่-คณะ

วรรค 2 ในการจัดและการใช้วิธีการมีส่วนร่วมและการปรึกษาหารือต้องยึดหลักการพินิจพิเคราะห์อันชาญฉลาดและวิธีดำเนินการต้องสอดคล้องกับคุณลักษณะและจุดมุ่งหมายของสถาบัน

ส่วน 3 ทรัพย์สินฝ่ายโลก และการบริหาร

มาตรา 634 วรรค 1 สถาบัน แขวง และบ้านต่างๆในฐานะที่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมีความสามารถในอันที่จะได้มาครอบครองจัดการ และจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินฝ่ายโลกได้ เว้นไว้แต่ว่าความสามารถดังกล่าว ถูกกีดกันออกไป หรือถูกจำกัดในธรรมนูญของสถาบัน

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ต้องหลีกเลี่ยงการปรากฎภายนอกใดๆ ถึงความหรูหราฟุ้งเฟ้อ การหากำไรและการสะสมทรัพย์สินเกินควร

มาตรา 635 วรรค 1 ทรัพย์สินฝ่ายโลกของสถาบันนักพรตเนื่องจากเป็นทรัพย์สินของพระศาสนจักรย่อมอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของบรรพ 5 ที่ว่าด้วยทรัพย์สินฝ่ายโลกของพระศาสนจักรเว้นไว้แต่ว่าจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างแจ้งชัด

วรรค 2 กระนั้นก็ดี แต่ละสถาบันต้องกำหนดกฎเกณฑ์อันเหมาะสมเพื่อการใช้และการบริหารทรัพย์สินเพื่อว่าความยากจนอันเหมาะสมกับสถาบันนักพรตจะได้รับการสนับสนุนปกป้องและแสดงออกมาให้ปรากฎ

มาตรา 636 วรรค 1 ในแต่ละสถาบันและเช่นเดียวกันในแต่ละแขวงซึ่งปกครองโดยอธิการใหญ่ต้องมีเจ้าหน้าที่การเงินที่ไม่เป็นบุคคลเดียวกันกับอธิการใหญ่และได้รับการแต่งตั้งขึ้นตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายเฉพาะเจ้าหน้าที่การเงินมีหน้าที่บริหารทรัพย์สินภายใต้การนำของอธิการของตนแม้ในหมู่คณะท้องถิ่นก็ให้แต่งตั้งเจ้าหน้าที่การเงินที่ไม่เป็นบุคคลเดียวกับอธิการท้องถิ่นเท่าที่สามารถ

วรรค 2 ตามเวลาและวิธีการที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะของสถาบันให้เจ้าหน้าที่การเงินและผู้บริหารคนอื่นๆจัดทำรายงานเกี่ยวกับการบริหารทรัพย์สินต่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ

มาตรา 637 อารามสิทธิปกครองตนเอง ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 615ต้องทำรายงานการบริหารทรัพย์สินต่อผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นปีละครั้งยิ่งกว่านั้นผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นมีสิทธิ์รู้รายงานการเงินของบ้านนักพรตสิทธิสังฆมณฑล

มาตรา 638 วรรค 1 เป็นเรื่องของกฎหมายเฉพาะของคณะภายในขอบข่ายของกฎหมายสากลที่จะกำหนดการกระทำที่อยู่เหนือขอบเขตและวิธีการบริหารสามัญ และกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อกระทำกิจบริหารวิสามัญอย่างมีผลตามกฎหมาย

วรรค 2 นอกจากอธิการแล้วเจ้าหน้าที่ผู้ซึ่งได้รับแต่งตั้งเพื่อจุดประสงค์นี้ตามกฎหมายเฉพาะของสถาบันสามารถใช้จ่ายและกระทำนิติกรรมอย่างมีผลตามกฎหมายในการบริหารสามัญภายในขอบเขตของหน้าที่ของตน

วรรค 3 เพื่อให้การจำหน่ายจ่ายโอนและการดำเนินธุรกิจใดๆซึ่งมีผลกระทบต่อสภาพมรดกตกทอดของนิติบุคคลในทางลบ มีผลตามกฎหมายจำเป็นต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากอธิการผู้มีอำนาจพร้อมด้วยความเห็นชอบจากคณะที่ปรึกษา ยิ่งกว่านั้นถ้าหากเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจซึ่งมีจำนวนเงินเกินกว่าที่สันตะสำนักกำหนดไว้ สำหรับภูมิภาคนั้นๆ หรือถ้าเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่ถวายแก่พระศาสนจักรโดยการบนบานหรือเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่มีค่าศิลปะหรือประวัติศาสตร์ต้องได้รับอนุญาตจากสันตะสำนักด้วย

วรรค 4 สำหรับอารามสิทธิปกครองตนอง ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 615 และสถาบันสิทธิสังฆมณฑล เป็นการจำเป็นเพิ่มขึ้นที่จะต้องได้รับความเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

มาตรา 639 วรรค 1 หากนิติบุคคลก่อหนี้และพันธะใดๆ แม้โดยได้รับอนุญาตจากอธิการ ก็ยังต้องรับผิดชอบการกระทำเหล่านั้น

วรรค 2 หากสมาชิกคนใดคนหนึ่งทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองโดยได้รับอนุญาตจากอธิการ สมาชิกผู้นั้นจะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นอย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการดำเนินธุรกิจของสถาบันตามคำสั่งของอธิการสถาบันนั้นต้องรับผิดชอบ

วรรค 3 ถ้านักพรตผู้หนึ่งทำสัญญาโดยมิได้รับอนุญาตใดๆ จากอธิการ นักพรตผู้นั้นต้องรับผิดชอบเอง หาใช่นิติบุคคลไม่

วรรค 4 อย่างไรก็ดีให้ถือเป็นกฎที่แน่นอนว่า อาจมีการดำเนินคดีได้เสมอกับผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากสัญญาที่เขากระทำนั้น

วรรค 5 อธิการนักพรตทั้งหลายต้องระมัดระวังที่จะไม่อนุญาตให้มีการก่อหนี้เว้นไว้แต่จะแน่ใจว่าจะสามารถจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้จากรายได้ปกติและตัวเงินกู้เองก็จะสามารถใช้คืนได้ โดยการผ่อนชำระหนี้ตามกฎหมายภายในเวลาที่ไม่นานเกินควร

มาตรา 640 โดยคำนึงถึงสภาพท้องถิ่นสถาบันทั้งหลายต้องพยายามที่จะแสดงออกประหนึ่งเป็นพยานร่วมกันถึงเมตตาธรรม และความยากจน และต้องบริจาคทรัพย์สินบางส่วนของสถาบันเท่าที่สามารถกระทำได้เพื่อสนองความต้องการของพระศาสนจักร และเพื่อค้ำจุนคนยากจน

 

หมวด 3 การรับผู้สมัคร และการอบรมสมาชิก

ส่วน 1 การรับเข้าสู่นวกภาพ

มาตรา 641 สิทธิรับผู้สมัครเข้าสู่นวกภาพ เป็นของอธิการชั้นผู้ใหญ่ ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะของสถาบัน

มาตรา 642 อธิการต้องระมัดระวังที่จะรับเฉพาะบุคคลซึ่งนอกจากจะมีอายุอยู่ในเกณฑ์ที่กำหนดแล้ว ยังมีสุขภาพดีมีอุปนิสัยใจคอเหมาะสม และมีคุณสมบัติเป็นผู้ใหญ่เพียงพอที่จะดำเนินชีวิตที่เป็นเฉพาะของสถาบันได้ซึ่งทั้งสุขภาพ อุปนิสัยใจคอ และความเป็นผู้ใหญ่ดังกล่าวนั้นต้องได้รับการพิสูจน์ หากจำเป็นก็อาจใช้ผู้เชี่ยวชาญได้โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 220

มาตรา 643 วรรค 1 บุคคลที่ถูกรับเข้าสู่นวกภาพอย่างเป็นโมฆะ คือ

1.       บุคคลที่อายุไม่ครบ 17 ปี บริบูรณ์

2.       คู่สมรสขณะที่พันธะการแต่งงานยังคงอยู่

3.       บุคคลที่ยังมีพันธะศักดิ์สิทธิ์กับสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วแห่งใดแห่งหนึ่งหรือยังสังกัดอยู่ในคณะชีวิตแพร่ธรรมคณะใดคณะหนึ่ง ทั้งนี้โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 684

4.       บุคคลที่เข้าอยู่ในสถาบันเพราะถูกบังคับเพราะความกลัวอย่างรุนแรงหรือเพราะการหลอกลวงหรือบุคคลที่อธิการรับเพราะท่านถูกชักนำด้วยวิธีการเดียวกัน

5.       บุคคลที่ปกปิดการสังกัดในสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว สถาบันใดสถาบันหนึ่ง หรือในคณะชีวิตแพร่ธรรมคณะใดคณะหนึ่ง

วรรค 2 กฎหมายเฉพาะของสถาบันสามารถกำหนดข้อขัดขวางอื่นๆ หรือวางเงื่อนไขอื่นๆ เพิ่มเติม แม้เพื่อให้การรับเข้ามีผลตามกฎหมาย

มาตรา 644 อธิการต้องไม่รับสมณะที่สังกัดสังฆมณฑลเข้าสู่นวกภาพโดยมิได้ปรึกษาหารือกับผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นของสมณะนั้นก่อน และต้องไม่รับบุคคลที่มีหนี้สิน ซึ่งเขาไม่สามารถชำระคืนได้

มาตรา 645 วรรค 1 ก่อนรับเข้าสู่นวกภาพ ผู้สมัครจักต้องแสดงหลักฐานการรับศีลล้างบาป การรับศีลกำลัง และสถานภาพอิสระ

วรรค 2 หากเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการรับสมณะหรือบุคคลซึ่งเคยถูกรับเข้าในสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วแห่งอื่น คณะชีวิตแพร่ธรรมหรือสามเณราลัย ยังจำเป็นต้องมีใบรับรองจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นหรืออธิการใหญ่ของสถาบัน หรือของคณะ หรืออธิการของสามเณราลัยตามลำดับด้วย

วรรค 3 กฎหมายเฉพาะของสถาบันสามารถ เรียกร้องหลักฐานอื่นๆ เกี่ยวกับความเหมาะสมที่จำเป็นของผู้สมัคร และการมีอิสระจากข้อขัดขวางต่างๆ

วรรค 4 หากเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็น อธิการสามารถขอข้อมูลอื่นๆ เกี่ยวกับตัวผู้สมัคร แม้สิ่งที่ต้องรักษาเป็นความลับก็ตาม

ส่วน 2 นวกภาพ และการฝึกอบรมนวกะ

มาตรา 646 นวกภาพ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นชีวิตในสถาบันมีเพื่อจุดประสงค์นี้คือนวกะจะได้เรียนรู้ถึงกระแสเรียกที่ตนได้รับจากพระเป็นเจ้าดียิ่งขึ้น และยิ่งกว่านั้น เรียนรู้กระแสเรียกเฉพาะของสถาบันเพื่อจะได้มีประสบการณ์เกี่ยวกับการดำเนินชีวิตในสถาบันเพื่อจะได้รับการอบรมให้มีจิตตารมณ์ของสถาบัน ทั้งในความคิดและในจิตใจและเพื่อจะได้ทดสอบความตั้งใจ และความเหมาะสมของตน

มาตรา 647 วรรค 1 การก่อตั้ง การย้าย และการยุบนวกสถานต้องกระทำโดยมีคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษรจากอธิการสูงสุดของสถาบันพร้อมด้วยความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษา

วรรค 2 เพื่อให้การฝึกอบรม นวกภาพมีผลตามกฎหมายจะต้องทำในบ้านที่กำหนดเพื่อการนี้โดยเฉพาะในกรณีพิเศษและถือเป็นกรณียกเว้น โดยการอนุญาตของอธิการสูงสุดพร้อมด้วยความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาผู้สมัครสามารถฝึกอบรมนวกภาพในบ้านแห่งอื่นของสถาบันภายใต้การนำของนักพรตที่ได้รับการรับรอง ซึ่งทำหน้าที่เป็นนวกาจารย์

วรรค 3 อธิการชั้นผู้ใหญ่สามารถอนุญาตให้นวกะกลุ่มหนึ่งใช้ชีวิตในช่วงเวลาหนึ่งที่กำหนดในบ้านแห่งอื่นของสถาบันที่อธิการคนเดียวกันนั้นเป็นผู้กำหนด

มาตรา 648 วรรค 1 เพื่อให้นวกภาพมีผลตามกฎหมายการฝึกอบรมในหมู่คณะของนวกสถานเองรวมแล้วต้องรวมได้ 12 เดือนโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 647 วรรค

วรรค 2 เพื่อให้การฝึกอบรมนวกะเป็นไปอย่างสมบูรณ์นอกเหนือจากช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในวรรค 1 แล้วธรรมนูญสามารถกำหนดช่วงเวลาหนึ่งหรือหลายช่วงในการฝึกปฏิบัติงานแพร่ธรรมนอกหมู่คณะนวกะได้

วรรค 3 ช่วงเวลาของการฝึกอบรมนวกภาพต้องไม่เกิน 2 ปี

มาตรา 649 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 647 วรรค 3 และ 648 วรรค 2 การอยู่นอกนวกสถานเป็นเวลาเกิน 3 เดือน ไม่ว่าอย่างต่อเนื่อง หรือเป็นช่วงๆก็ทำให้นวกภาพนั้นเป็นโมฆะ การอยู่นอกนวกสถานเกินกว่า 15 วันต้องมีการชดเชย

วรรค 2 โดยการอนุญาตของอธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ การปฏิญาณตนครั้งแรกสามารถทำก่อนเวลากำหนดได้ แต่จะต้องไม่เกิน 15 วัน

มาตรา 650 วรรค 1 เป้าหมายของนวกภาพเรียกร้องให้นวกะได้รับการฝึกอบรมภายใต้การนำของนวกาจารย์ตามแผนการฝึกอบรมที่กำหนดไว้โดยกฎหมายเฉพาะของสถาบัน

วรรค 2 การปกครองนวกะสงวนไว้สำหรับนวกาจารย์แต่ผู้เดียว ภายใต้อำนาจของอธิการชั้นผู้ใหญ่

มาตรา 651 วรรค 1 นวกาจารย์ต้องเป็นสมาชิกของสถาบัน เป็นบุคคลที่ได้ปฏิญาณตลอดชีพแล้ว และได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

วรรค 2 หากจำเป็น นวกาจารย์อาจมีผู้ช่วยได้ ซึ่งต้องขึ้นต่อนวกาจารย์ ในส่วนที่เกี่ยวกับการปกครองนวกสถานและแผนการฝึกอบรม

วรรค 3 ผู้ที่จะทำหน้าที่อบรมนวกะควรเป็นสมาชิกที่ได้เตรียมตัวมาอย่างดีและสามารถปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิผลและอย่างมั่นคงสม่ำเสมอโดยไม่มีงานอื่นมาเป็นอุปสรรค

มาตรา 652 วรรค 1 เป็นหน้าที่ของนวกจารย์ และบรรดาผู้ช่วยที่จะแยกแยะและทดสอบกระแสเรียกของนวกะ และฝึกอบรมเขาเป็นขั้นตอนให้ดำเนินชีวิตสู่ความครบครันอย่างถูกต้อง ตามแนวทางเฉพาะของสถาบัน

วรรค 2 ให้นวกะได้รับการสอนให้ปลูกฝังคุณธรรมมนุษย์และคุณธรรมคริสตชนให้พวกเขารับการแนะนำสู่วิถีชีวิตที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นโดยการภาวนาและการปฏิเสธตนเองให้พวกเขารับการสอนให้เพ่งภาวนารหัสธรรมแห่งการไถ่กู้และให้รู้จักอ่าน และรำพึงพระคัมภีร์ให้พวกเขาได้รับการเตรียมตัวฝึกฝนการนมัสการพระเป็นเจ้าในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ให้พวกเขาได้รับการฝึกอบรมในวิถีชีวิตที่ถวายแล้วแด่พระเป็นเจ้าและมนุษยชาติใน พระคริสตเจ้า โดยถือตามคำแนะนำแห่งพระวรสารให้พวกเขาได้รับการอบรมเกี่ยวกับลักษณะและจิตตารมณ์จุดประสงค์และระเบียบวินัย ประวัติ และชีวิตของสถาบันและให้พวกเขาซึมซาบในความรักต่อพระศาสนจักรและต่อบรรดานายชุมพาบาลศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร

วรรค 3 โดยจิตสำนึกในความรับผิดชอบของตนนวกะต้องให้ความร่วมมืออย่างแข็งขันกับนวกาจารย์ของตนเพื่อว่าตนจะได้ตอบสนองพระคุณแห่งกระแสเรียกของพระเป็นเจ้าได้อย่างสัตย์ซื่อ

วรรค 4 บรรดาสมาชิกของสถาบันต้องเอาใจใส่ให้ความร่วมมือในส่วนของตน ในการฝึกอบรมนวกะ ด้วยตัวอย่างชีวิตและการภาวนา

วรรค 5 ช่วงเวลาของนวกภาพ ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 648 วรรค 1 ต้องอุทิศให้แก่การอบรมโดยเฉพาะและดังนั้นนวกะต้องไม่หมกมุ่นอยู่กับการศึกษาหรือกับหน้าที่ซึ่งไม่เอื้อประโยชน์โดยตรงต่อการฝึกอบรมนี้

มาตรา 653 วรรค 1 นวกะสามารถลาออกจากสถาบันอย่างอิสระ ยิ่งกว่านั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของสถาบันสามารถให้นวกะออกได้

วรรค 2 เมื่อนวกภาพสิ้นสุดลงหากนวกะได้รับการพิจารณาตัดสินว่าเป็นผู้เหมาะสมก็ให้รับเขาปฏิญาณตนชั่วคราว มิฉะนั้นต้องให้นวกะออกจากสถาบันถ้ามีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเหมาะสมอธิการชั้นผู้ใหญ่สามารถยืดช่วงเวลาของการทดลอง ตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายเฉพาะแต่ต้องไม่เกิน 6 เดือน

ส่วน 3 การปฏิญาณตนของนักพรต

มาตรา 654 โดยการปฏิญาณตนของนักพรต สมาชิกปฏิญาณอย่างเปิดเผยที่จะถือตามคำแนะนำแห่งพระวรสารสามประการ ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าอาศัยศาสนบริการของพระศาสนจักร และเข้าสังกัดในสถาบันพร้อมมีสิทธิและหน้าที่ที่กำหนดไว้ในกฎหมาย

มาตรา 655 การปฏิญาณตนชั่วคราวให้กระทำเป็นระยะเวลา ดังที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะของสถาบัน ซึ่งไม่ควรต่ำกว่า 3 ปี และไม่นานเกิน 6 ปี

มาตรา 656 การปฏิญาณตนชั่วคราว จะมีผลตามกฎหมายต่อเมื่อ

1.       ผู้ที่จะปฏิญาณตนต้องมีอายุอย่างน้อย 18 ปีบริบูรณ์

2.       ได้ผ่านนวกภาพอย่างครบถ้วนตามกฎหมาย

3.       ได้มีการรับเข้าอย่างอิสระตามกฎหมายโดยอธิการผู้มีอำนาจ พร้อมด้วยการลงคะแนนเห็นชอบของคณะที่ปรึกษา

4.       การปฏิญาณตนได้แสดงออก อย่างชัดแจ้งและกระทำโดยปราศจากการบังคับ ความกลัวอย่างรุนแรงหรือกลอุบาย

5.       การปฏิญาณตนต้องมีอธิการที่ถูกต้องเป็นผู้รับด้วยตนเอง หรือโดยผู้แทน

มาตรา 657 วรรค 1 เมื่อจบช่วงเวลาของการปฏิญาณตนนักพรตซึ่งขอทำการปฏิญาณตนอย่างอิสระ และได้รับการตัดสินว่าเป็นผู้เหมาะสมต้องได้รับอนุญาตให้ต่อการปฏิญาณหรือปฏิญาณตนตลอดชีพมิฉะนั้นต้องให้นักพรตผู้นั้นออกจากสถาบัน

วรรค 2 หากเห็นว่าเป็นการเหมาะสม ระยะเวลาของการปฏิญาณตนชั่วคราวก็อาจยืดออกไป โดยอธิการผู้มีอำนาจตามกฎหมายเฉพาะของสถาบัน อย่างไรก็ตามเวลาทั้งหมดที่สมาชิกผู้นั้นอยู่ในพันธะการปฏิญาณตนชั่วคราวต้องไม่เกิน 9 ปี

วรรค 3 หากมีเหตุผลอันชอบ การปฏิญาณตนตลอดชีพ สามารถกระทำก่อนเวลากำหนดได้ แต่ต้องไม่เกิน 3 เดือน

มาตรา 658 นอกเหนือจากเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 656 ข้อ 3, 4 และ 5และเงื่อนไขอื่นๆ ซึ่งเพิ่มเติมเข้ามา โดยกฎหมายเฉพาะของสถาบันเพื่อจะให้การปฏิญาณตนตลอดชีพ มีผลตามกฎหมาย ยังต้องมีเงื่อนไขต่อไปนี้

1.       ต้องมีอายุอย่างน้อย 21 ปี บริบูรณ์

2.       ต้องได้ปฏิญาณตนชั่วคราวมาก่อนแล้วเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี ทั้งนี้ให้คงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 657 วรรค 3

ส่วน 4 การฝึกอบรมนักพรต

มาตรา 659 วรรค 1 ในแต่ละสถาบัน หลังการปฏิญาณตนครั้งแรกแล้วการฝึกอบรมสมาชิกทั้งหมดจะต้องกระทำต่อไปเพื่อว่าพวกเขาจะได้สามารถดำเนินชีวิตตามลักษณะเฉพาะของสถาบันได้เต็มเปี่ยมมากขึ้นและปฏิบัติพันธกิจของสถาบันได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

วรรค 2 ด้วยเหตุฉะนี้กฎหมายเฉพาะของสถาบันจึงต้องกำหนดแผนการฝึกอบรมและช่วงเวลาของการฝึกอบรมโดยคำนึงถึงความต้องการของพระศาสนจักรและสภาพแวดล้อมของมนุษย์และของกาลเวลาเท่าที่จุดมุ่งหมายและลักษณะเฉพาะของสถาบันเรียกร้อง

วรรค 3 การฝึกอบรมสมาชิกซึ่งเตรียมตัวรับศีลบรรพชา กำหนดโดยกฎหมายสากลและโดยแผนการศึกษาเฉพาะของสถาบัน

มาตรา 660 วรรค 1 การฝึกอบรมต้องกระทำอย่างเป็นระบบปรับให้เข้ากับความสามารถของสมาชิกในด้านชีวิตจิตและชีวิตแพร่ธรรมทั้งในด้านคำสอน และภาคปฏิบัติควบคู่กันไปและหากเห็นเหมาะสมให้มุ่งไปถึงระดับปริญญาทั้งทางพระศาสนจักรและทางบ้านเมือง

วรรค 2 ในระหว่างเวลาของการฝึกอบรม ต้องไม่มอบหน้าที่หรือกิจการงานใดๆ ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการฝึกอบรมแก่สมาชิก

มาตรา 661 ตลอดทั้งชีวิต นักพรตต้องรับการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องด้านชีวิตจิตด้านหลักคำสอนและด้านปฏิบัติส่วนอธิการต้องให้ความช่วยเหลือ และเวลาแก่พวกเขา เพื่อการฝึกอบรมนี้

 

 

หมวด 4 หน้าที่ และสิทธิของสถาบัน และของสมาชิก

มาตรา 662 หลักสุดยอดของการดำเนินชีวิตนักพรต ต้องเป็นการติดตามองค์พระคริสตเจ้าดังที่เสนอแนะในพระวรสาร และที่ระบุไว้ในธรรมนูญของแต่ละสถาบัน

มาตรา 663 วรรค 1 การเพ่งภาวนาในสิ่งที่เกี่ยวกับพระเป็นเจ้าและการเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อย่างสม่ำเสมอในการภาวนาต้องเป็นหน้าที่ประการแรก และสำคัญที่สุดของนักพรตทุกคน

วรรค 2 สมาชิกต้องร่วมถวายบูชามิสซาทุกวันเท่าที่จะทำได้ต้องรับพระกายอันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระคริสตเจ้าและนมัสการพระเจ้าองค์เดียวกัน ผู้ประทับอยู่ในศีลมหาสนิท

วรรค 3 นักพรตต้องใช้เวลาในการอ่านพระคัมภีร์ และรำพึงภาวนาต้องสวดทำวัตรอย่างศรัทธาตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะโดยคงไว้ซึ่งพันธะของสมณะในมาตรา 276 วรรค 2 ข้อ 3 และยังต้องปฏิบัติกิจศรัทธาอื่นๆ ด้วย

วรรค 4 นักพรตต้องปลูกฝังความศรัทธาด้วยคารวะกิจพิเศษต่อพระนางพรหมจารีพระมารดาพระเจ้า ผู้ซึ่งเป็นแบบอย่างและผู้คุ้มครองชีวิตที่ถวายแล้วรวมทั้งการสวดสายประคำด้วย

วรรค 5 นักพรตต้องถือช่วงเวลาเข้าเงียบประจำปีอย่างสัตย์ซื่อ

มาตรา 664. นักพรตควรเน้นการกลับใจเข้าหาพระเป็นเจ้า การพิจารณามโนธรรมแม้กระทั่งทุกวัน และการรับศีลอภัยบาปบ่อยๆ ด้วย

มาตรา 665 วรรค 1 นักพรตต้องดำเนินชีวิตรวมในบ้านนักพรตของตนและต้องไม่จากบ้านไป เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากอธิการของตนอย่างไรก็ตามหากเป็นเรื่องของการจากบ้านเป็นเวลานาน เมื่อมีเหตุผลอันสมควรอธิการชั้นผู้ใหญ่พร้อมด้วยความยินยอมของคณะที่ปรึกษาอาจอนุญาตให้สมาชิกดำเนินชีวิตอยู่นอกบ้านของสถาบันได้แต่ไม่นานเกินกว่าหนึ่งปีเว้นแต่จะมีเหตุผลในเรื่องการดูแลสุขภาพที่อ่อนแอหรือเรื่องการศึกษา หรือการปฏิบัติงานแพร่ธรรมในนามของสถาบัน

วรรค 2 สมาชิกคนใดที่จากบ้านนักพรตอย่างไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้วยเจตนาที่จะถอดถอนตนเองให้พ้นจากอำนาจของบรรดาอธิการต้องได้รับการติดตามตัวด้วยความห่วงใยจากบรรดาผู้ใหญ่และได้รับความช่วยเหลือให้กลับมาและให้มั่นคงอยู่ในกระแสเรียกของตนต่อไ

มาตรา 666 จำเป็นต้องใช้ดุลยพินิจในการใช้สื่อสารมวลชนและสิ่งใดก็ตามที่เป็นผลร้ายต่อกระแสเรียกของตนและเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์ของบุคคลที่ได้ถวายตัวแล้วก็ต้องหลีกเลี่ยง

มาตรา 667 วรรค 1 ในทุกบ้านต้องรักษาเขตพรตที่เหมาะกับคุณลักษณะและพันธกิจของสถาบันตามกำหนดของกฎหมายเฉพาะของสถาบันโดยสงวนบางส่วนของบ้านนักพรตไว้เสมอสำหรับสมาชิกเท่านั้น

วรรค 2 ในอารามที่ดำเนินชีวิตแบบเพ่งภาวนา ต้องรักษาระเบียบวินัยเกี่ยวกับเขตพรตอย่างเคร่งครัดกว่า

วรรค 3 อารามนักพรตหญิงที่มุ่งชีวิตแบบเพ่งภาวนาเท่านั้นต้องรักษาเขตพระสันตะปาปากล่าวคือตามกฎเกณฑ์ที่ให้ไว้โดยสันตะสำนักอารามนักพรตหญิงอื่นๆต้องรักษาเขตพรตที่เหมาะกับคุณลักษณะเฉพาะของตนและที่ได้กำหนดไว้ในธรรมนูญ

วรรค 4 เมื่อมีเหตุผลอันชอบพระสังฆราชสังฆมณฑลมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปในเขตพรตของอารามนักพรตหญิงที่ตั้งในสังฆมณฑลของท่าน และเมื่อมีเหตุผลสำคัญ และพร้อมด้วยความยินยอมของอธิการพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถอนุญาตบุคคลอื่นเข้าในเขตพรตนั้นได้และอนุญาตให้นักพรตหญิงออกจากเขตพรตนั้นสำหรับช่วงเวลาที่จำเป็นจริงๆ

มาตรา 668 วรรค 1 ก่อนการปฏิญาณตนครั้งแรกสมาชิกต้องยกการบริหารทรัพย์สินของตนให้ผู้ใดก็ได้ที่ตนพอใจและจัดการอย่างอิสระกับการใช้ทรัพย์สินและกับผลประโยชน์จากทรัพย์สินเหล่านั้น เว้นไว้แต่ว่าธรรมนูญจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นยิ่งกว่านั้นอย่างน้อยก่อนการปฏิญาณตนตลอดชีพ พวกเขาต้องทำพินัยกรรมซึ่งมีผลทางกฎหมายบ้านเมืองด้วย

วรรค 2 การเปลี่ยนแปลงในการจัดการกับทรัพย์สินเหล่านี้เมื่อมีเหตุผลอันชอบ และการกระทำกิจกรรมใดๆ ในเรื่องทรัพย์สินฝ่ายโลกจำเป็นต้องมีอนุญาตจากอธิการผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายเฉพาะของสถาบัน

วรรค 3 สิ่งใดก็ตามที่นักพรตได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตนเองหรือด้วยเหตุผลของสถาบัน ให้ถือว่าเป็นของสถาบัน รายได้อื่นๆของนักพรตซึ่งได้มาในรูปของเงินบำนาญ เงินช่วยเหลือหรือเงินประกันในรูปใดก็ตาม ให้ถือว่าเป็นของสถาบันด้วยเว้นไว้แต่จะได้มีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในกฎหมายเฉพาะของสถาบัน

วรรค 4 สมาชิกผู้ซึ่งจะต้องทำการสละทรัพย์สินทั้งหมดของตนอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากลักษณะพิเศษของสถาบันจะต้องทำการสละสิทธิ์ก่อนการปฏิญาณตนตลอดชีพในรูปแบบที่มีผลทางกฎหมายบ้านเมืองเท่าที่จะทำได้ด้วยและการสละสิทธิ์นั้นมีผลบังคับตั้งแต่วันปฏิญาณตนนักพรตที่ถวายตัวตลอดชีพที่ปรารถนาจะสละทรัพย์สินของตนบางส่วนหรือทั้งหมดตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะและโดยมีอนุญาตของอธิการสูงสุดต้องปฏิบัติเช่นเดียวกัน

วรรค 5 ผู้ที่ได้ปฏิญาณตนที่ได้สละสิทธิ์ในทรัพย์สินของตนทั้งหมดอย่างสิ้นเชิงตามลักษณะพิเศษของสถาบัน สูญเสียซึ่งความสามารถที่จะได้มาและที่จะครอบครองและดังนั้น ถ้านักพรตดังกล่าวทำกิจกรรมใดๆ ที่ขัดต่อสินบนความยากจนก็ถือว่ากิจกรรมนั้นเป็นโมฆะ ยิ่งกว่านั้นสิ่งใดก็ตามที่ได้มาหลังจากการสละสิทธิ์แล้วย่อมตกเป็นของสถาบันตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายเฉพาะของสถาบัน

มาตรา 669 วรรค 1 นักพรตต้องสวมเครื่องแบบของสถาบัน ตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายเฉพาะ เพื่อเป็นเครื่องหมายแห่งการถวายตัวและเป็นพยานแห่งความยากจน

วรรค 2 นักพรตสมณะของสถาบัน ซึ่งไม่มีเครื่องแบบเฉพาะของตนต้องสวมเครื่องแบบสมณะ ตามกฎเกณฑ์แห่งมาตรา 284

มาตรา 670 สถาบันควรจัดหาทุกสิ่งที่จำเป็นให้แก่สมาชิก ตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ เพื่อบรรลุจุดหมายตามกระแสเรียกของตน

มาตรา 671 นักพรตต้องไม่รับหน้าที่และตำแหน่งใดๆ นอกสถาบันของตน โดยไม่มีอนุญาตจากอธิการที่ถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา 672 นักพรตมีพันธะตามข้อกำหนดของมาตรา 277, 285, 286, 287 และ 289และยิ่งกว่านั้นสมณะนักพรตยังมีพันธะตามข้อกำหนดของมาตรา 279 วรรค 2 ด้วยในสถาบันฆราวาส สิทธิสันตะสำนัก การอนุญาตที่ระบุไว้ในมาตรา 285 วรรค 4อธิการชั้นผู้ใหญ่ของตนสามารถให้ได้

 

หมวด 5 งานแพร่ธรรมของสถาบัน

มาตรา 673 ก่อนอื่นหมดงานแพร่ธรรมของนักพรตทุกท่านอยู่ที่การเป็นพยานแห่งชีวิตที่ถวายแล้วซึ่งพวกเขามีพันธะต้องหล่อเลี้ยงด้วยการภาวนาและการใช้โทษบาป

มาตรา 674 สถาบันซึ่งมุ่งการเพ่งภาวนาโดยสิ้นเชิงมีตำแหน่งที่โด่ดเด่นในรหัสกายของพระคริสตเจ้าเสมอ เนื่องจากสถาบันดังกล่าวถวายเครื่องบูชาสดุดีพระเจ้าอย่างสูงส่ง ทำให้ประชากรของพระเจ้ารุ่งโรจน์สดใสด้วยผลอันอุดมยิ่งแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และกระตุ้นพวกเขาด้วยตัวอย่าง และเพิ่มประชากรด้วยผลของการแพร่ธรรมอันซ่อนเร้น ด้วยเหตุนี้แม้ว่าความต้องการในกิจการแพร่ธรรมจะเรียกร้องมากเพียงใดก็ตามจะเรียกสมาชิกของสถาบันดังกล่าวนี้ให้มาช่วยงานอภิบาลต่างๆ ไม่ได้

มาตรา 675 วรรค 1 ในสถาบันซึ่งอุทิศตนเพื่อทำงานแพร่ธรรมกิจการแพร่ธรรมก็เป็นลักษณะเฉพาะของสถาบันนั้นเอง ดังนั้นชีวิตทั้งชีวิตของบรรดาสมาชิกต้องอิ่มเอิบไปด้วยจิตตารมณ์แห่งการแพร่ธรรมแท้จริงกิจการแพร่ธรรมทั้งมวลต้องหล่อหลอมด้วยจิตตารมณ์ทางศาสนา

วรรค 2 กิจการแพร่ธรรมเกิดจากความชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระเป็นเจ้าเสมอ ทำให้ความสนิทสัมพันธ์มั่นคงและทวีมากขึ้น

วรรค 3 กิจการแพร่ธรรมที่ปฏิบัติในนามและโดยคำสั่งของพระศาสนจักร ต้องปฏิบัติในความสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระศาสนจักร

มาตรา 676 สถาบันฆราวาส ไม่ว่าชายหรือหญิง มีส่วนในงานอภิบาลของพระศาสนจักรโดยอาศัยกิจเมตตา ฝ่ายจิตและกาย และให้บริการนานาชนิดแก่มนุษยชาติ ด้วยเหตุนี้ สถาบันดังกล่าวจึงต้องซื่อสัตย์มั่นคงต่อพระพรแห่งกระแสเรียกของตน

มาตรา 677 วรรค 1 บรรดาอธิการและสมาชิก ต้องรักษาไว้ซึ่งพันธกิจและงานที่เป็นเฉพาะของสถาบัน อย่างสัตย์ซื่ออย่างไรก็ตามพวกเขาต้องปรับภาระหน้าที่เหล่านี้ให้สอดคล้องกับความต้องการของกาลเวลาและสถานที่อย่างรอบคอบ รวมทั้งใช้วิธีการใหม่ๆ และเหมาะสม

วรรค 2 ยิ่งกว่านั้นสถาบันที่มีสมาคมคริสตชนรวมอยู่ด้วยจะต้องเอาใจใส่ช่วยเหลือเป็นพิเศษเพื่อว่าสมาคมเหล่านี้จะได้ดื่มด่ำด้วยจิตตารมณ์ที่แท้จริงแห่งครอบครัวของตน

มาตรา 678 วรรค 1 นักพรตต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระสังฆราชซึ่งพวกเขามีหน้าที่ต้องเชื่อฟังด้วยความนอบน้อมเชื่อฟัง และด้วยความเคารพในเรื่องต่างๆ ที่เกี่ยวกับการเอาใจใส่ดูแลวิญญาณในการปฏิบัติคารวกิจสาธารณะและงานแพร่ธรรมอื่นๆ

วรรค 2 ในการปฏิบัติงานแพร่ธรรมภายนอก นักพรตจะต้องขึ้นต่ออธิการของตนเอง และจะต้องซื่อสัตย์ต่อวินัยของสถาบัน พระสังฆราชเองไม่ควรละเลยที่จะกระตุ้นเตือนนักพรตให้ระลึกถึงพันธะข้อนี้ เมื่อมีกรณีที่ต้องทำเช่นนั้น

วรรค 3 ในการวางแผนงานแพร่ธรรมของนักพรต พระสังฆราชสังฆมณฑลและบรรดาอธิการ จำเป็นต้องปรึกษาหารือซึ่งกันและกันก่อน

มาตรา 679 เมื่อมีเหตุรุนแรงเรียกร้องพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถห้ามสมาชิกคนใดคนหนึ่งของสถาบันนักพรตอยู่ในสังฆมณฑลหากว่าอธิการชั้นผู้ใหญ่ของนักพรตนั้นได้รับการเตือนแล้วแต่ยังเพิกเฉยอย่างไรก็ตาม พระสังฆราชต้องเสนอเรื่องไปยังสันตะสำนักทันที

มาตรา 680 ระหว่างสถาบันต่างๆ และระหว่างสถาบันเหล่านั้นกับคณะสงฆ์สังฆมณฑลด้วยควรมีการสนับสนุนให้มีความร่วมมืออย่างมีแบบแผนรวมทั้งมีการประสานงานการแพร่ธรรมและกิจการทั้งหมดภายใต้การนำของพระสังฆราชสังฆมณฑลโดยคงไว้ซึ่งลักษณะเฉพาะ และจุดหมายของแต่ละสถาบันรวมทั้งกฎหมายของการก่อตั้ง

มาตรา 681 วรรค 1 งานซึ่งพระสังฆราชสังฆ-มณฑลมอบหมายให้นักพรตทำนั้นอยู่ภายใต้อำนาจและการนำของพระสังฆราชองค์เดียวกันโดยคงไว้ซึ่งสิทธิของบรรดาอธิการนักพรตตามกฎเกณฑ์แห่งมาตรา 678 วรรค 2 และ 3

วรรค 2 ในกรณีดังกล่าวนี้ให้ทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรระหว่างพระสังฆราชสังฆมณฑลกับอธิการผู้มีอำนาจของสถาบัน ซึ่งข้อตกลงนี้ ในระหว่างเรื่องอื่นๆ ต้องกำหนดให้ชัดแจ้ง และละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับงานที่ต้องทำตัวสมาชิกที่จะทำงาน และปัจจัยค่าใช้จ่ายต่างๆ

มาตรา 682 วรรค 1 ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการมอบตำแหน่งหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักรในสังฆมณฑลให้แก่นักพรตคนหนึ่งพระสังฆราชสังฆมณฑลจะเป็นผู้แต่งตั้งนักพรตนั้นตามการเสนอตัวหรืออย่างน้อยโดยการเห็นชอบจากอธิการผู้มีอำนาจ

วรรค 2 นักพรตสามารถถูกถอดถอนจากตำแหน่งหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายโดยดุลยพินิจของผู้มีอำนาจ ซึ่งเป็นผู้มอบหมายให้ดำรงตำแหน่งนี้หลังจากได้แจ้งให้อธิการนักพรตทราบแล้วหรือโดยดุลยพินิจของอธิการนักพรตหลังจากได้แจ้งผู้มีอำนาจทราบ ทั้งนี้โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

มาตรา 683 วรรค 1 เมื่อออกเยี่ยมอภิบาลและในกรณีที่มีความจำเป็นด้วยพระสังฆราชสังฆมณฑล จะโดยตนเองหรือโดยผู้แทนก็ตามสามารถเยี่ยมวัดและสถานภาวนา ซึ่งสัตบุรุษไปกันเป็นประจำรวมทั้งโรงเรียนและงานศาสนาหรืองานเมตตาจิตอื่นๆ ไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรมซึ่งมอบหมายให้แก่นักพรตอย่างไรก็ตามพระสังฆราชไม่อาจเยี่ยมโรงเรียนที่เปิดเฉพาะสำหรับนักศึกษาของสถาบันเท่านั้น

วรรค 2 แต่ถ้าหากโดยบังเอิญ พระสังฆราชพบว่ามีการกระทำในทางที่ผิดและได้เตือนอธิการนักพรตโดยไร้ผลแล้วท่านเองสามารถจัดการด้วยอำนาจของท่านเอง

 

หมวด 6 การแยกสมาชิกออกจากสถาบัน

ส่วน 1 การย้ายไปสถาบันอื่น

มาตรา 684 วรรค 1 สมาชิกที่ปฏิญาณตนตลอดชีพแล้วจะย้ายตนเองจากสถาบันของตนไปยังอีกสถาบันหนึ่งไม่ได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากอธิการสูงสุดของทั้งสองสถาบันและโดยความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาของทั้งสองสถาบันด้วย

วรรค 2 เมื่อจบระยะการทดลอง ซึ่งต้องยืดนานเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี แล้วสมาชิกผู้นั้นสามารถรับอนุญาตให้ทำการปฏิญาณตนตลอดชีพในสถาบันแห่งใหม่ได้อย่างไรก็ตามถ้าสมาชิกผู้นั้นปฏิเสธที่จะปฏิญาณตนดังกล่าวหรืออธิการผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ไม่อนุญาตให้ปฏิญาณตนสมาชิกผู้นั้นจะต้องกลับไปยังสถาบันเดิมเว้นไว้แต่จะได้รับเอกสิทธิ์พิเศษให้กลับไปสู่สภาพฆราวาสได้

วรรค 3 ในการที่นักพรตคนหนึ่งจะย้ายจากอารามสิทธิปกครองตนเองไปยังอีกอารามหนึ่งของสถาบันหรือสหพันธ์หรือสมาพันธ์เดียวกันจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากอธิการชั้นผู้ใหญ่ของทั้งสองอาราม และความยินยอมจากสมัชชาของอารามที่จะรับ นักพรตนั้นความยินยอมดังกล่าวถือว่าเพียงพอ โดยคงไว้ซึ่งเงื่อนไขอื่นๆ ที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องมีการปฏิญาณตนใหม่อีก

วรรค 4 กฎหมายเฉพาะต้องกำหนดเวลา และวิธีการทดลองซึ่งสมาชิกจะต้องผ่านก่อนการปฏิญาณตนในสถาบันใหม่

วรรค 5 ในการย้ายไปสู่สถาบันฆราวาสหรือคณะชีวิตแพร่ธรรมหรือย้ายจากสถาบันดังกล่าวนี้ไปสู่สถาบันนักพรต จำเป็นต้องขออนุญาตจากสันตะสำนักและต้องปฏิบัติตามคำสั่งนั้น

มาตรา 685 วรรค 1 สิทธิ และหน้าที่ซึ่งนักพรตมีอยู่ในสถาบันเดิมจะถูกพักไว้ชั่วคราวจนกว่าจะได้ปฏิญาณตนแล้วในสถาบันใหม่โดยที่คำปฏิญาณก่อนหน้านั้นก็ยังคงอยู่อย่างไรก็ตามนับแต่เริ่มระยะทดลองเป็นต้นไปนักพรตผู้นั้นจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายเฉพาะของสถาบันใหม่

วรรค 2 โดยการปฏิญาณตนในสถาบันใหม่ สมาชิกก็เข้าสังกัดในสถาบันนั้น โดยที่คำปฏิญาณตน สิทธิและหน้าที่ที่มีอยู่เดิมนั้นสิ้นสุดลง

ส่วน 2 การออกจากสถาบัน

มาตรา 686 วรรค 1 อธิการสูงสุด ด้วยความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาเมื่อมีเหตุผลสำคัญสามารถให้เอกสิทธิ์พิเศษแก่สมาชิกที่ได้ปฏิญาณตนตลอดชีพแล้วให้ออกไปอยู่นอกอารามได้ แต่ต้องไม่เกิน 3 ปีและถ้าสมาชิกผู้นั้นเป็นสมณะก็จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นที่เขาจะไปอยู่นั้นเสียก่อนการขยายหรืออนุมัติเอกสิทธิ์พิเศษนานเกินกว่า 3 ปีสงวนไว้สำหรับสันตะสำนักหรือถ้าเป็นเรื่องของสถาบันสิทธิสังฆมณฑลก็เป็นสิทธิของพระสังฆราชสังฆมณฑล

วรรค 2 เป็นอำนาจของสันตะ-สำนักแต่ผู้เดียวที่จะอนุมัติเอกสิทธิ์พิเศษในการออกไปอยู่นอกอารามแก่นักพรตหญิง

วรรค 3 เมื่อได้รับการขอร้องจากอธิการสูงสุดพร้อมด้วยความยินยอมของคณะที่ปรึกษาสันตะสำนักสามารถบังคับสมาชิกของสถาบันสิทธิสันตะสำนักให้ออกไปอยู่นอกอารามได้หรือพระสังฆราชสังฆมณฑลก็สามารถทำเช่นเดียวกันนี้แก่สมาชิกของสถาบันสิทธิสังฆมณฑล เมื่อมีเหตุผลสำคัญ โดยรักษาไว้ซึ่งความเที่ยงธรรมและเมตตาธรรม

มาตรา 687 สมาชิกที่ออกไปอยู่นอกอาราม มีอิสระจากพันธะซึ่งไม่เหมาะกับสภาพใหม่แห่งชีวิตของตนและในเวลาเดียวกันเขายังขึ้นกับและอยู่ภายใต้การดูแลของอธิการของพวกเขาและของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจท้องถิ่นด้วย เฉพาะอย่างยิ่งหากสมาชิกผู้นั้นเป็นสมณะสมาชิกอาจสวมเครื่องแบบของสถาบันเว้นไว้แต่ว่าได้มีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นในเอกสิทธิ์พิเศษ อย่างไรก็ดีเขาไม่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงและสิทธิ์รับเลือก

มาตรา 688 วรรค 1 ผู้ใดก็ตามที่ปรารถนาจะออกไปจากสถาบันเมื่อจบช่วงเวลาของการปฏิญาณตน ก็ทำได้

วรรค 2 ระหว่างช่วงเวลาของการปฏิญาณตนชั่วคราวใครก็ตามที่ขออนุญาตออกไปจากสถาบันโดยมีเหตุผลสำคัญในสถาบันสิทธิสันตะสำนักสามารถได้รับเอกสิทธิ์พิเศษให้ออกไปจากสถาบันได้โดยอธิการสูงสุดพร้อมด้วยความยินยอมของคณะที่ปรึกษา ในสถาบันสิทธิสังฆมณฑลและในอารามที่กล่าวถึงในมาตรา 615เอกสิทธิ์พิเศษดังกล่าวจะมีผลถูกต้องตามกฎหมายต้องได้รับการรับรองจากพระสังฆราชของบ้านที่นักพรตไปประจำอยู่

มาตรา 689 วรรค 1 สมาชิก เมื่อจบช่วงเวลาของการปฏิญาณตนชั่วคราวแล้วหากมีเหตุผลอันชอบอธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจอาจไม่อนุญาตให้ทำการปฏิญาณตนต่อหลังจากได้ปรึกษาหารือกับคณะที่ปรึกษาแล้ว

วรรค 2 ความพิการทางกายหรือทางจิต แม้จะเกิดขึ้นหลังจากการปฏิญาณตนแล้วซึ่งในการตัดสินของผู้เชี่ยวชาญทำให้สมาชิกที่กล่าวถึงในวรรค 1 ไม่เหมาะที่จะดำเนินชีวิตอยู่ในสถาบันย่อมถือเป็นสาเหตุที่จะไม่อนุญาตให้บุคคลเช่นนี้ปฏิญาณตนต่อ หรือทำการปฏิญาณตนตลอดชีพเว้นแต่เขาได้รับความพิการนั้นเพราะความไม่เอาใจใส่ของสถาบันหรือเพราะกิจการงานที่ทำอยู่ในสถาบัน

วรรค 3 อย่างไรก็ตามจะให้นักพรตที่เกิดอาการวิกลจริตระหว่างช่วงเวลาของการปฏิญาณตนชั่วคราวออกจากสถาบันไม่ได้ แม้ว่าเขาไม่สามารถปฏิญาณตนต่อได้

มาตรา 690 วรรค 1 นักพรตซึ่งเมื่อจบนวกภาพหรือหลังการปฏิญาณตนแล้วได้ออกไปจากสถาบันโดยชอบด้วยกฎหมายอธิการสูงสุดพร้อมด้วยความยินยอมของคณะที่ปรึกษาสามารถรับกลับเข้ามาใหม่ได้โดยไม่มีภาระต้องเข้านวกภาพซ้ำอีก เป็นสิทธิของอธิการคนเดียวกันนั้นที่จะกำหนดช่วงเวลาแห่งการทดลองอันเหมาะสม ก่อนการปฏิญาณตนชั่วคราวและกำหนดระยะเวลาของการถือสินบนนั้นก่อนการปฏิญาณตนตลอดชีพตามกฎเกณฑ์แห่งมาตรา 655, และ 657

วรรค 2 พร้อมกับความยินยอมจากคณะที่ปรึกษาของตนอธิการของอารามสิทธิปกครองตนเอง มีอำนาจ ปฏิบัติ เช่นเดียวกัน

มาตรา 691 วรรค 1 ผู้ที่ได้ปฏิญาณตนตลอดชีพแล้วไม่พึงแสวงหาเอกสิทธิ์พิเศษในอันที่จะออกไปจากสถาบันโดยปราศจากเหตุผลสำคัญที่สุด ซึ่งได้ไตร่ตรองต่อพระพักตร์พระเป็นเจ้าแล้วให้เขาเสนอคำร้องของตนไปยังอธิการสูงสุดของสถาบันผู้ซึ่งจะต้องเสนอผ่านขึ้นไปยังผู้มีอำนาจ พร้อมกับความคิดเห็นของตนเองและของคณะที่ปรึกษา

วรรค 2 เอกสิทธิ์พิเศษประเภทนี้ในสถาบันสิทธิสันตะสำนักสงวนไว้สำหรับสันตะสำนัก ส่วนในสถาบันสิทธิสังฆมณฑลพระสังฆราชสังฆมณฑล ณ ที่ซึ่งบ้านทำงานของนักพรตผู้นั้นตั้งอยู่สามารถอนุมัติให้ได้ด้วย

มาตรา 692 เอกสิทธิ์พิเศษซึ่งอนุมัติโดยชอบด้วยกฎหมายและได้แจ้งให้สมาชิกทราบแล้วโดยกฎหมายเองยังผลให้ได้รับการยกเว้นจากสินบนและพันธะทั้งสิ้นอันเกิดมาจากการปฏิญาณตนเว้นไว้แต่ว่าเอกสิทธิ์พิเศษนั้นถูกสมาชิกผู้นั้นปฏิเสธในขณะที่แจ้งให้ทราบ

มาตรา 693 ถ้าสมาชิกเป็นสมณะจะให้เอกสิทธิ์พิเศษนั้นแก่เขาไม่ได้ก่อนที่เขาจะพบพระสังฆราชผู้จะรับเขาเข้าสังกัดในสังฆมณฑล หรืออย่างน้อยจะรับเขาเพื่อทดลองหากรับเขาไว้เพื่อทดลองเมื่อครบ 5ปีแล้วเขาก็จะสังกัดในสังฆมณฑลโดยกฎหมายเองเว้นแต่พระสังฆราชได้ปฏิเสธไม่ยอมรับเขา

ส่วน 3 การขับสมาชิกออกจากสถาบัน

มาตรา 694 วรรค 1 สมาชิกผู้ซึ่งต้องถูกขับออกจากสถาบันโดยพฤติกรรม ได้แก่

1.       บุคคลที่ได้ละทิ้งความเชื่อคาทอลิกอย่างโจ่งแจ้งเลื่องลือ

2.       บุคคลที่ได้ทำพิธีสมรส หรือได้พยายามทำการสมรสแม้เพียงตามกฎหมายบ้านเมืองเท่านั้นก็ตาม

วรรค 2 ในกรณีเหล่านี้อธิการชั้นผู้ใหญ่ร่วมกับคณะที่ปรึกษาหลังจากได้รวบรวมหลักฐานพิสูจน์แล้วต้องออกประกาศถึงพฤติกรรมนั้นโดยมิชักช้าเพื่อทำให้การขับออกเป็นไปตามกฎหมาย

มาตรา 695 วรรค 1 สมาชิกต้องถูกขับออกเพราะความผิดตามมาตรา 1397, 1398 และ1395 เว้นแต่ว่า เป็นความผิดที่ระบุในมาตรา 1395 วรรค 2 อธิการพิจารณาตัดสินว่า การขับออกยังไม่เป็นสิ่งจำเป็นทีเดียวและอาจจะใช้วิธีอื่นที่เหมาะสมเพียงพอเพื่อสมาชิกผู้นั้นจะได้ปรับปรุงแก้ไข มีการชดเชยตามความยุติธรรมและมีการแก้ไขในเรื่องที่ทำให้เป็นที่สะดุด

วรรค 2 ในกรณีเหล่านี้ อธิการชั้นผู้ใหญ่หลังจากได้รวบรวมหลักฐานพิสูจน์เกี่ยวกับข้อเท็จจริง และข้อกล่าวหาต้องแจ้งการกล่าวโทษและหลักฐานพิสูจน์ให้สมาชิกที่กำลังจะถูกขับออกโดยให้สมาชิกผู้นั้นมีโอกาสป้องกันตัวเองเอกสารทั้งหมดซึ่งลงลายมือชื่อของอธิการชั้นผู้ใหญ่และของนิติกรพร้อมด้วยคำตอบที่เขียนและลงลายมือชื่อของสมาชิกผู้นั้นต้องส่งไปยังอธิการสูงสุด

มาตรา 696 วรรค 1 สมาชิกอาจถูกขับออกเพราะสาเหตุอื่นๆ ด้วยเพียงแต่ว่าสาเหตุนั้นเป็นเรื่องหนัก ภายนอก เอาผิดได้และได้พิสูจน์แล้วทางกฎหมาย เช่น การละเลยหน้าที่ชีวิตที่ถวายแล้วเป็นนิจการละเมิดต่อพันธะอันศักดิ์สิทธิ์ซ้ำซากการไม่นบนอบอย่างดื้อดึงต่อคำสั่งอันชอบของอธิการในเรื่องหนักการเป็นที่สะดุดร้ายแรงที่เกิดขึ้นจากการประพฤติผิดของสมาชิกยึดถือหรือเผยแพร่คำสอนที่ได้ถูกประฌามโดยอำนาจสอนของพระศาสนจักรอย่างดื้อดึง การยึดติดกับอุดมการณ์ที่มีเชื้อวัตถุนิยมหรืออเทวนิยมอย่างเปิดเผยการออกจากบ้านโดยมิชอบด้วยกฎหมายดังที่ระบุไว้ในมาตรา 665 วรรค 2 เป็นเวลา 6เดือน สาเหตุอื่นๆ ที่มีความผิดหนักคล้ายๆ กันซึ่งอาจมีกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะของสถาบัน

วรรค 2 แม้สาเหตุที่หนักน้อยกว่าที่มีกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะ ก็เพียงพอที่จะขับสมาชิกซึ่งปฏิญาณตน ชั่วคราวออกจากสถาบันได้

มาตรา 697 ในกรณีที่ระบุไว้ในมาตรา 696 หากอธิการชั้นผู้ใหญ่เมื่อได้ฟังความเห็นของคณะที่ปรึกษาแล้วเห็นว่าต้องเริ่มขบวนการขับออก

1.       อธิการชั้นผู้ใหญ่ต้องรวบรวม หรือทำให้หลักฐานพิสูจน์ครบถ้วน

2.       อธิการชั้นผู้ใหญ่ต้องเตือนสมาชิกผู้นั้นเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเตือนต่อหน้าพยานสองคน พร้อมกับสำทับอย่างชัดแจ้งถึงการขับออกที่จะตามมา เว้นแต่ว่าสมาชิกผู้นั้นจะปรับปรุงตัวเองสาเหตุของการขับออกต้องระบุอย่างชัดแจ้งและต้องให้สมาชิกมีโอกาสเต็มที่ที่จะป้องกันตัวเอง แต่ถ้าการเตือนไร้ผลอธิการต้องเตือนอีกเป็นครั้งที่ 2 หลังจากเวลาได้ล่วงไปแล้วอย่างน้อย 15 วัน

3.       ถ้าการเตือนครั้งหลังนี้ ยังไร้ผลอีกและอธิการชั้นผู้ใหญ่พร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาเห็นว่ามีข้อพิสูจน์เพียงพอถึงการแก้ไขไม่ได้ และการแก้ตัวของสมาชิกไม่มีเหตุผลพอและเมื่อเวลาล่วงไปแล้ว 15 วัน หลังจากการเตือนครั้งสุดท้ายโดยไร้ผลอธิการชั้นผู้ใหญ่ต้องส่งเอกสารทั้งหมดพร้อมลายมือชื่อของอธิการชั้นผู้ใหญ่และของนิติกรณ์ไปยังอธิการสูงสุดพร้อมกับคำตอบของสมาชิกซึ่งมีลายมือชื่อของเขา

มาตรา 698 ในกรณีทั้งหมดที่ระบุไว้ในมาตรา 695 และ 696 สมาชิกยังคงไว้เสมอซึ่งสิทธิที่จะติดต่อ และส่งคำแก้ข้อกล่าวหาไปยังอธิการสูงสุดโดยตรง

มาตรา 699 วรรค 1 อธิการสูงสุดพร้อมด้วยคณะที่ปรึกษาซึ่งต้องประกอบด้วยสมาชิกอย่างน้อย 4 คน เพื่อให้มีผลบังคับตามกฎหมายต้องดำเนินการเป็นคณะในอันที่จะพิจารณาหลักฐานพิสูจน์ข้อโต้แย้งและคำแก้ข้อกล่าวหาอย่างถี่ถ้วน และหากผลการตัดสินโดยการลงคะแนนลับว่าให้ขับออกอธิการสูงสุดต้องออกคำสั่งการขับออกพร้อมกับแสดงเหตุผลอย่างชัดแจ้งทั้งในด้านนิตินัยและพฤตินัย อย่างน้อยโดยสรุปเพื่อให้มีผลตามกฎหมาย

วรรค 2 ในอารามซึ่งปกครองตนเองดังที่ระบุไว้ในมาตรา 615การตัดสินให้ขับออกเป็นสิทธิ์ของพระสังฆราชสังฆมณฑลผู้ซึ่งอธิการต้องมอบเอกสารที่คณะที่ปรึกษาได้ตรวจสอบแล้วให้

มาตรา 700 คำสั่งขับออกไม่มีผลบังคับ หากไม่ได้รับการรับรองจากสันตะสำนักผู้ซึ่งคำสั่งและเอกสารทั้งหมดต้องถูกส่งไปให้หากเป็นเรื่องของสถาบันสิทธิสังฆมณฑลการรับรองเป็นหน้าที่ของพระ-สังฆราชของสังฆมณฑล ณ ที่ซึ่งบ้านทำงานของนักพรตผู้นั้นตั้งอยู่คำสั่งนั้นเพื่อให้มีผลตามกฎหมาย ต้องแสดงให้เห็นว่านักพรตผู้ถูกขับออกมีสิทธิ์ที่จะร้องเรียนต่อผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจในเรื่องนี้ได้ภายใน 10 วัน นับจากได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบการร้องเรียนนี้มีผลยับยั้งการลงโทษ

มาตรา 701 เมื่อมีการขับออกโดยชอบด้วยกฎหมาย คำปฏิญาณสิทธิและหน้าที่อันเนื่องมาจากการปฏิญาณ สิ้นสุดลงโดยอัตโนมัติอย่างไรก็ตาม หากสมาชิกผู้นั้นเป็นสมณะเขาจะปฏิบัติหน้าที่สงฆ์ไม่ได้จนกว่าเขาจะพบพระสังฆราชผู้ซึ่งรับเขาหลังจากได้ทดสอบในระยะเวลาอันเหมาะสมในสังฆมณฑล ตามมาตรา 693 หรืออย่างน้อยก็อนุญาตเขาให้ปฏิบัติหน้าที่สงฆ์ได้

มาตรา 702 วรรค 1 ผู้ที่ได้ออกจากสถาบันนักพรตหรือถูกขับออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่สามารถเรียกร้องสิ่งใด จากสถาบันสำหรับงานที่ทำในสถาบันนั้น

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม สถาบันต้องรักษาหลักความเที่ยงธรรมและความเมตตาตามแบบพระวรสาร ต่อสมาชิกซึ่งออกไปจากสถาบัน

มาตรา 703 ในกรณีที่เป็นเรื่องสะดุดอย่างร้ายแรงภายนอกหรือเป็นเรื่องความเสียหาย อย่างรุนแรงที่คุกคามสถาบันสมาชิกสามารถถูกขับออกทันทีจากบ้านนักพรตโดยอธิการชั้นผู้ใหญ่หรือถ้ารอช้าจะเกิดอันตรายอธิการท้องถิ่นพร้อมด้วยความยินยอมของคณะที่ปรึกษาก็ขับออกได้หากเป็นการจำเป็นอธิการชั้นผู้ใหญ่ควรจัดการให้มีกระบวนการการขับออกตามกฎเกณฑ์แห่งกฎหมายหรือส่งเรื่องไปยังสันตะสำนัก

มาตรา 704 รายงานที่ต้องส่งไปยังสันตะสำนักที่กล่าวถึงในมาตรา 592 วรรค 1 ต้องกล่าวถึงสมาชิกที่ออกไปจากสถาบัน ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม

 

หมวด 7 นักพรตที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระสังฆราช

มาตรา 705 นักพรตที่ได้รับการยกฐานะให้เป็นพระสังฆราชยังคงเป็นสมาชิกของสถาบันของตนอยู่ แต่ขึ้นต่อองค์พระสันตะปาปา เพียงผู้เดียวด้วยเหตุแห่งการปฏิญาณความนบนอบ และไม่ถูกผูกมัดด้วยข้อบังคับต่างๆที่ท่านเองตัดสินโดยรอบคอบแล้วว่าไม่สามารถเข้ากับตำแหน่งของท่านได้

มาตรา 706 เกี่ยวกับนักพรตซึ่งกล่าวถึงข้างบนนั้น

1.       หากเพราะการปฏิญาณท่านได้สูญเสียกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินท่านก็มีสิทธิที่จะใช้ทรัพย์สินที่ได้รับมา รวมทั้งผลประโยชน์และการบริหารทรัพย์สินนั้น อย่างไรก็ตามพระสังฆราชสังฆมณฑลและพระสังฆราชที่ระบุไว้ในมาตรา 381 วรรค 2ได้มาซึ่งสิทธิการเป็นเจ้าของเพื่อพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นส่วนพระสังฆราชองค์อื่นๆ มีสิทธิเป็นเจ้าของเพื่อสถาบันหรือสันตะสำนักทั้งนี้ขึ้นกับว่าสถาบันนั้นสามารถมีสิทธิ์เป็นเจ้าของหรือไม่

2.       หากเพราะการปฏิญาณท่านไม่สูญเสียสิทธิการเป็นเจ้าของในทรัพย์สินท่านได้สิทธิที่จะใช้ทรัพย์สินเก็บผลประโยชน์และบริหารทรัพย์สินที่ท่านมีก่อนคืนมาท่านได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์อย่างสมบูรณ์สำหรับตนเองในทรัพย์สินที่ท่านได้รับมาในภายหลัง

3.       อย่างไรก็ดี ในทั้งสองกรณี หากท่านได้รับทรัพย์สินเหล่านั้นมามิใช่เพื่อตนเองท่านจะต้องจัดการทรัพย์สินเหล่านั้นตามจุดประสงค์ของผู้บริจาค

มาตรา 707 วรรค 1 พระสังฆราชนักพรตที่เกษียณอายุอาจเลือกที่พำนักสำหรับตนเองได้ แม้กระทั่งนอกบ้านของสถาบันของท่านเว้นไว้แต่ว่า สันตะสำนักได้จัดการไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 หากท่านปฏิบัติงานใช้ในสังฆมณฑลใดสังฆมณฑลหนึ่งการยังชีพอันเหมาะสมและสมเกียรติให้ถือตามมาตรา 402 วรรค 2 เว้นแต่สถาบันของท่านเองปรารถนาที่จะจัดเรื่องการยังชีพนั้นเองมิฉะนั้นสันตะสำนักต้องเป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้

 

หมวด 8 ชมรมอธิการชั้นผู้ใหญ่

มาตรา 708 อธิการชั้นผู้ใหญ่สามารถเข้าร่วมกันเป็นชมรม หรือสภาต่างๆได้อย่างมีประโยชน์ เพื่อว่าพวกเขาสามารถรวมพลังทำงานทั้งเพื่อให้บรรลุผลตามความมุ่งหมายของแต่ละสถาบันได้อย่างสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น โดยคงไว้ซึ่งความเป็นเอกเทศ คุณลักษณะ และจิตตารมณ์เฉพาะของตนและเพื่อทำกิจกรรมส่วนรวมร่วมกันทั้งเพื่อส่งเสริมการประสานงานและการร่วมมืออย่างเหมาะสมกับสภาพระสังฆราช และกับพระสังฆราชแต่ละองค์ด้วย

มาตรา 709 ชมรมอธิการชั้นผู้ใหญ่ต้องมีระเบียบปกครองตนเองซึ่งได้รับความเห็นชอบจากสันตะสำนักชมรมเช่นว่านี้ตั้งขึ้นได้โดยสันตะสำนักเท่านั้นรวมทั้งตั้งให้เป็นนิติบุคคลด้วย และต้องคงอยู่ภายใต้การปกครองสูงสุดของสันตะสำนัก

 

ลักษณะ 3 สถาบันนักบวชแบบฆราวาส

มาตรา 710 สถาบันนักบวชแบบฆราวาส เป็น สถาบันชีวิตที่ถวายแล้วซึ่งภายในสถาบันนั้นคริสตชนในขณะที่ดำรงชีวิตในโลกมุ่งสู่ความรักที่สมบูรณ์ และพยายามทำให้โลกศักดิ์สิทธิ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากภายใน

มาตรา 711 การถวายตนของสมาชิกของสถาบันนักบวชแบบฆราวาสไม่เปลี่ยนแปลงสถานภาพทางกฎหมายเฉพาะของสมาชิกนั้นท่ามกลางประชากรของพระเป็นเจ้าไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือสมณะทั้งนี้ให้คงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งกฎหมายซึ่งมีผลต่อสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว

มาตรา 712 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 598601ธรรมนูญของสถาบันต้องกำหนดพันธะอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งนำเอาจิตตารมณ์แห่งพระวรสารเข้ามาในสถาบัน และต้องกำหนดข้อบังคับอันเนื่องมาจากพันธะอันเดียวกันนี้ โดยคงรักษาไว้เสมอซึ่งพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตแบบทางโลกอันเป็นเอกลักษณ์ของสถาบัน

มาตรา 713 วรรค 1 สมาชิกของสถาบันเหล่านี้แสดงออกและปฏิบัติซึ่งการถวายตัวของตน ในงานแพร่ธรรมและพวกเขาประดุจเชื้อแป้งพยายามทำให้ทุกสิ่งซึมซาบด้วยจิตตารมณ์แห่งพระวรสารเพื่อเสริมสร้างพระวรกายของพระคริสตเจ้าให้เข้มแข็งและเติบโตยิ่งขึ้น

วรรค 2 สมาชิกที่เป็นฆราวาสมีส่วนในภาระหน้าที่เผยแผ่พระวรสารโดยการเป็นพยานถึงชีวิตคริสตชน และของพระศาสนจักร ในโลกและจากโลกความสัตย์ซื่อต่อการถวายตัวของตน และอาศัยความเพียรพยายามที่จะจัดสิ่งของของโลกตามแผนการณ์ของพระเจ้าและทำให้โลกมีชีวิตชีวาด้วยพลังแห่งพระวรสารพวกเขายังร่วมมือรับใช้ชุมชนพระศาสนจักร ตามรูปแบบการเจริญชีวิตแบบโลกของตน

วรรค 3 สมาชิกที่เป็นสมณะโดยอาศัยการเป็นประจักษ์พยานแห่งชีวิตที่ถวายแล้วโดยเฉพาะอย่างยิ่งในคณะสงฆ์ช่วยเหลือพี่น้องสมาชิกด้วยกันโดยอาศัยความรักพิเศษฉันอัครสาวกและทำให้โลกศักดิ์สิทธิ์โดยอาศัยศาสนบริการของตนในท่ามกลางประชากรของพระเป็นเจ้า

มาตรา 714 สมาชิกต้องเจริญชีวิตตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญของตนในสภาพปกติของโลกไม่ว่าโดยลำพังหรือในครอบครัวของตนเอง หรือในกลุ่มที่อยู่ร่วมกันฉันพี่น้อง

มาตรา 715 วรรค 1 สมาชิกที่เป็นสมณะซึ่งสังกัดสังฆมณฑลขึ้นต่อพระสังฆราชสังฆมณฑลนั้น โดยคงไว้ซึ่งสิ่งต่างๆที่เกี่ยวกับชีวิตที่ถวายแล้ว ในสถาบันเฉพาะของตน

วรรค 2 หากสมาชิกดังกล่าว ซึ่งสังกัดในสถาบันตามกฎเกณฑ์แห่งมาตรา 266วรรค 3 ได้รับแต่งตั้งให้ทำงานเฉพาะของสถาบันหรือให้ปกครองสถาบันก็ขึ้นต่อพระสังฆราชในทำนองเดียวกับนักพรต

มาตรา 716 วรรค 1 สมาชิกทุกคนต้องมีส่วนร่วมอย่างมีบทบาทในชีวิตของสถาบันตามกฎหมายเฉพาะ

วรรค 2 สมาชิกของสถาบันเดียวกันต้องรักษาความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวในระหว่างกันโดยเอาใจใส่ส่งเสริมจิตตารมณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวและความสัมพันธ์ฉันพี่น้องอันแท้จริง

มาตรา 717 วรรค 1 ธรรมนูญต้องบัญญัติรูปแบบการปกครองเฉพาะ ต้องกำหนดระยะเวลาที่อธิการปฏิบัติหน้าที่ของตน และวิธีการแต่งตั้ง

วรรค 2 ต้องไม่แต่งตั้งผู้ใดที่ยังไม่เป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์ เป็นอธิการสูงสุด

วรรค 3 ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งให้ทำหน้าที่ปกครองสถาบันต้องเอาใจใส่ให้มีการรักษาไว้ซึ่งจิตตารมณ์แห่งความเป็นหนึ่งเดียวและส่งเสริมให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างมีบทบาท

มาตรา 718 การบริหารทรัพย์สินของสถาบันซึ่งต้องแสดงออกและสนับสนุนความยากจนตามแบบพระวรสารต้องเป็นไปตามบรรทัดฐานของบรรพ 5 อันว่าด้วยทรัพย์สินฝ่ายโลกของพระศาสนจักรและตามกฎเฉพาะของสถาบัน ในทำนองเดียวกัน กฎเฉพาะต้องกำหนดพันธะโดยเฉพาะอย่างยิ่งเศรษฐกิจของสถาบันต่อสมาชิกผู้ซึ่งทำงานให้กับสถาบันนั้น

มาตรา 719 วรรค 1 เพื่อสมาชิกจะสามารถสนองตอบกระแสเรียกของเขาได้อย่างซื่อสัตย์และดำเนินกิจการแพร่ธรรมด้วยความชิดสนิทเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าสมาชิกต้องเอาใจใส่ในการภาวนาใส่ใจอ่านพระคัมภีร์ด้วยวิธีอันเหมาะสมเข้าเงียบประจำปี และทำกิจปฏิบัติอื่นๆ ด้านชีวิตจิต ตามกฎเฉพาะของสถาบัน

วรรค 2 การถวายบูชามิสซาประจำทุกวันถ้าเป็นไปได้ เป็นท่อธารและพละกำลังของชีวิตที่ถวายแล้วทั้ง-หมด

วรรค 3 สมาชิกควรรับศีลอภัยบาปอย่างอิสระ ซึ่งควรปฏิบัติบ่อยๆ

วรรค 4 สมาชิกควรได้รับการแนะนำมโนธรรมที่จำเป็นอย่างอิสระ และควรขอคำแนะนำในทำนองนี้ จากอธิการของตนด้วยถ้าต้องการ

มาตรา 720 สิทธิรับเข้าในสถาบัน ไม่ว่าเพื่อการทดลองหรือเพื่อรับพันธะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าเป็นการชั่วคราวหรือตลอดชีพหรือเด็ดขาด เป็นสิทธิ์ของอธิการชั้นผู้ใหญ่พร้อมกับคณะที่ปรึกษาของท่านตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ

มาตรา 721 วรรค 1 บุคคลต่อไปนี้ถูกรับเข้าการทดลองเบื้องต้นอย่างเป็นโมฆะคือ

1.       ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

2.       ผู้ซึ่งในปัจจุบัน ยังมีพันธะศักดิ์สิทธิ์ผูกมัดอยู่ในสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วแห่งใดแห่งหนึ่ง หรือสังกัดอยู่ในคณะชีวิตแพร่ธรรม

3.       ผู้สมรส ขณะที่การสมรสนั้นยังคงอยู่

วรรค 2 ธรรมนูญสามารถกำหนดข้อขัดขวางอื่นๆ หรือวางเงื่อนไขบางประการในการรับเข้าแม้เพื่อมีผลตามกฎหมาย

วรรค 3 ยิ่งกว่านั้น ผู้ที่จะถูกรับเข้ามาในสถาบันต้องมีวุฒิภาวะที่จำเป็น เพื่อดำเนินชีวิตเฉพาะของสถาบัน

มาตรา 722 วรรค 1 การทดลองขั้นต้นต้องจัดในลักษณะที่ว่าผู้สมัครสามารถเข้าใจกระแสเรียกพระเจ้าของตนดียิ่งขึ้น และอันที่จริงเป็นกระแสเรียกเฉพาะของสถาบันและสามารถรับการฝึกฝนในจิต-ตารมณ์ และวิถีชีวิตของสถาบัน

วรรค 2 ผู้สมัครต้องได้รับการฝึกอบรมอย่างเหมาะสมในการดำเนินชีวิตตามคำแนะนำแห่งพระวรสารและต้องได้รับการสอนให้ถ่ายทอดชีวิตดังกล่าวเป็นงานแพร่ธรรมอย่างสมบูรณ์โดยใช้รูปแบบการเผยแผ่พระวรสาร ซึ่งสนองตอบจุดประสงค์จิตตารมณ์และคุณลักษณะเฉพาะของสถาบันดียิ่งขึ้น

วรรค 3 วิธีการ และช่วงเวลาของการทดลองก่อนจะรับพันธะอันศักดิ์สิทธิ์ครั้งแรกในสถาบัน ต้องกำหนดไว้ในธรรมนูญและช่วงเวลาดังกล่าวต้องไม่น้อยกว่า 2 ปี

มาตรา 723 วรรค 1 เมื่อระยะทดลองขั้นต้นสิ้นสุดลงผู้สมัครซึ่งได้รับการพิจารณาตัดสินว่าเหมาะสมต้องรับเอาคำแนะนำแห่งพระวรสาร 3 ประการซึ่งทำให้มั่นคงด้วยพันธะอันศักดิ์สิทธิ์ หรือมิฉะนั้นต้องออกจากสถาบันไป

วรรค 2 การเข้าสังกัดครั้งแรก ซึ่งไม่น้อยกว่า 5 ปี ถือเป็นการชั่วคราวตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ

วรรค 3 เมื่อช่วงเวลาของการเข้าสังกัดผ่านไปสมาชิกผู้ซึ่งได้รับการพิจารณาตัดสินว่าเหมาะสมต้องรับเข้าเป็นสมาชิกถาวรหรือเด็ดขาด กล่าวคือโดยที่พันธะชั่วคราวต้องรื้อฟื้นใหม่อยู่เสมอ

วรรค 4 การเข้าสังกัดอย่าง เด็ดขาดเทียบเท่ากับการเข้าสังกัดถาวรในส่วนที่เกี่ยวกับผลทางกฎหมายบางประการต้องกำหนดไว้ในธรรมนูญนั้น

มาตรา 724 วรรค 1 หลังจากได้รับพันธะอันศักดิ์สิทธิ์เป็นครั้งแรกแล้ว ต้องมีการฝึก อบรมอย่างต่อเนื่องตามธรรมนูญ

วรรค 2 สมาชิกต้องได้รับการ ฝึกอบรมทั้งในเรื่องของพระเป็นเจ้าและเรื่องของมนุษย์อย่างเท่าเทียมพร้อมกันไปอธิการของสถาบันต้องเอาใจใส่อย่างจริงจังให้การฝึกอบรมด้านชีวิตจิตแก่สมาชิกอย่างต่อเนื่อง

มาตรา 725 สถาบันสามารถรับคริสตชนอื่นเข้ามาร่วมกับตนด้วยพันธะบางอย่างที่กำหนดไว้ในธรรมนูญ คริสตชนดังกล่าวมุ่งสู่ความครบครันแห่งพระวรสารตามจิตตารมณ์ของสถาบัน และมีส่วนในพันธกิจของสถาบันด้วย

มาตรา 726 วรรค 1 เมื่อเวลาของการเข้าสังกัดชั่วคราวสิ้นสุดลงสมาชิกก็สามารถออกจากสถาบันได้อย่างอิสระหรืออธิการชั้นผู้ใหญ่ของสถาบันโดยมีเหตุอันชอบอาจจะปฏิเสธการรื้อฟื้นพันธะศักดิ์สิทธิ์หลังจากได้ฟังความเห็นของคณะที่ปรึกษาแล้ว

วรรค 2 สมาชิกที่เข้าสังกัดในสถาบันชั่วคราว สามารถขอลาออกอย่างอิสระเนื่องด้วยเหตุผลอันหนักและอธิการสูงสุดพร้อมด้วยความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาก็สามารถให้เอกสิทธิ์พิเศษแก่สมาชิกผู้นั้นออกจากสถาบัน

มาตรา 727 วรรค 1 สมาชิกที่เข้าสังกัดในสถาบันแบบถาวรซึ่งประสงค์จะออกจากสถาบัน หลังจากที่ได้พิจารณาเรื่องราว อย่างจริงจังเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้าแล้วให้ขอเอกสิทธิ์พิเศษออกจากสถาบันจากสันตะสำนัก โดยผ่านทางอธิการสูงสุดหากสถาบันนั้นเป็นสถาบันสิทธิสันตะสำนักหรือมิฉะนั้นให้ขอจากพระสังฆราชสังฆมณฑล ดังที่มีกำหนดไว้ในธรรมนูญ

วรรค 2 ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมณะ ที่สังกัดในสถาบันให้ถือตามข้อกำหนดของมาตรา 693

มาตรา 728 เมื่อได้รับเอกสิทธิพิเศษให้ออกอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว พันธะสิทธิและหน้าที่ทั้งหมด อันเกิดจากการเข้าสังกัดในสถาบัน ก็สิ้นสุดลง

มาตรา 729 สมาชิกถูกให้ออกจากสถาบัน ตามกฎเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในมาตรา 694 และ695 นอกจากนี้ ธรรมนูญอาจกำหนดสาเหตุอื่นๆ ของการให้ออกได้ด้วยขอเพียงให้สาเหตุเหล่านั้นเป็นเรื่องหนักอย่างสมเหตุสมผล เป็นเรื่องภายนอก มีความผิดและได้พิสูจน์ทางกฎหมายแล้วและต้องปฎิบัติตามกระบวนการที่กำหนดในมาตรา 697-700 ให้นำเอาข้อกำหนดของมาตรา 701 มาใช้กับผู้ที่ถูกให้ออก

มาตรา 730 เพื่อให้สมาชิกคนใดคนหนึ่งของสถาบันนักบวชแบบฆราวาสย้ายไปยังสถาบันนักบวชแบบฆราวาส ในโลกแห่งอื่น ต้องถือตามข้อกำหนดแห่งมาตรา684 วรรค 1, 2 และ 4 และมาตรา 685 เพื่อจะย้ายเข้าสถาบันนักพรตหรือเข้าในคณะชีวิตแพร่ธรรมหรือย้ายจากสถาบันทั้งสองนี้ไปยังสถาบันนักบวชแบบฆราวาสในโลกต้องได้รับอนุญาตจากสันตะสำนัก และต้องปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับ

 

ตอน 2 คณะชีวิตแพร่ธรรม

มาตรา 731 วรรค 1 คณะชีวิตแพร่ธรรมเป็นคณะที่เทียบเท่ากับสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วซึ่งสมาชิกของคณะมุ่งงานแพร่ธรรมโดยเฉพาะของคณะโดยไม่มีการปฏิญาณแบบนักพรตและเจริญชีวิตร่วมแบบฉันพี่น้อง ตามรูปแบบชีวิตเฉพาะมุ่งสู่ความสมบูรณ์แห่งความรัก โดยการปฏิบัติตามธรรมนูญของคณะ

วรรค 2 ในบรรดาคณะดังกล่าว ยังมีคณะซึ่งสมาชิกยึดถือคำแนะนำแห่งพระวรสาร โดยมีพันธะบางประการที่กำหนดไว้ในธรรมนูญ

มาตา 732 สิ่งใดๆ ที่กำหนดไว้ในมาตรา 578-597 และ 606 นั้นใช้ได้กับคณะชีวิตแพร่ธรรม โดยคงไว้ซึ่งลักษณะเฉพาะของแต่ละคณะ นอกนั้นมาตรา 598602 ใช้ได้กับคณะที่กล่าวถึงในมาตรา 731 วรรค 2 ด้วย

มาตรา 733 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของคณะ เป็นผู้ตั้งบ้านและหมู่คณะท้องถิ่นโดยได้รับความเห็นชอบเป็นลายลักษณ์อักษรจากพระสังฆราชสังฆมณฑลเสียก่อนในการยุบบ้านดังกล่าวก็จำเป็นต้องปรึกษาพระสังฆราชก่อนเช่นกัน

วรรค 2 ความเห็นชอบให้ตั้งบ้าน ย่อมรวมถึงสิทธิที่จะมีสถานภาวนาเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะเป็นที่ถวายบูชามิสซาและเก็บศีลมหาสนิท

มาตรา 734 การปกครองคณะต้องกำหนดไว้ในธรรมนูญ ตามลักษณะเฉพาะของแต่ละคณะ โดยคงไว้ซึ่งมาตรา 617633

มาตรา 735 วรรค 1 การรับเข้า การทดลอง การเข้าสังกัด และการอบรมสมาชิก ต้องกำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะของแต่ละคณะ

วรรค 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับการรับเข้าในคณะ ให้ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตรา 642645

วรรค 3 ต้องกำหนดวิธีการทดลอง และการอบรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านคำสอนด้านวิชาการด้านชีวิตจิตและด้านการแพร่ธรรมที่เหมาะสมกับเป้าหมายและลักษณะเฉพาะของคณะอย่างที่ว่าสมาชิกผู้ซึ่งตระหนักถึงกระแสเรียกของพระเป็นเจ้าจะได้รับการเตรียมตัวอย่างเหมาะสมเพื่อพันธกิจและชีวิตของคณะ

มาตรา 736 วรรค 1 ในคณะที่เป็นสมณะ บรรดาสมณะเข้าสังกัดในคณะนั้นเอง เว้นไว้แต่ว่าธรรมนูญจะบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ในเรื่องอื่นๆ ซึ่งเกี่ยวกับแผนการศึกษาและการรับศีลบรรพชาให้ถือตามกฎเกณฑ์ซึ่งกำหนดไว้สำหรับสมณะสังฆมณฑลอย่างไรก็ดี ยังคงไว้ซึ่งวรรค 1

มาตรา 737 การเข้าสังกัด หมายรวมถึงหน้าที่และสิทธิสำหรับสมาชิกดังที่กำหนดไว้ในธรรมนูญ และรวมถึงความเอาใจใส่ในส่วนของคณะที่จะนำสมาชิกไปยังเป้าหมายของกระแสเรียกเฉพาะของตนตามธรรมนูญ

มาตรา 738 วรรค 1 สมาชิกทุกคนขึ้นต่ออธิการเฉพาะของตน ตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ ในเรื่องที่เกี่ยวกับชีวิตภายในและระเบียบวินัยของคณะ

วรรค 2 พวกเขายังขึ้นต่อพระสังฆราชสังฆมณฑลในเรื่องเกี่ยวกับคารวกิจสาธารณะ การอภิบาลวิญญาณและงานแพร่ธรรมอื่นๆ ด้วยโดยคงไว้ซึ่งมาตรา 679683

วรรค 3 ความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกที่เข้าสังกัดในสังฆมณฑลกับพระสังฆราชของตน มีกำหนดไว้ในธรรมนูญ หรือในข้อตกลงเฉพาะ

มาตรา 739 นอกเหนือจากหน้าที่ ซึ่งสมาชิกมีในฐานะสมาชิกตามธรรมนูญสมาชิกยังมีหน้าที่ต้องปฏิบัติทั่วไปของสมณะเว้นไว้แต่ว่าจะปรากฏชัดเป็นอย่างอื่นจากลักษณะเฉพาะของเรื่อง หรือจากบริบท

มาตรา 740 สมาชิกต้องดำเนินชีวิตในบ้านหรือในหมู่คณะที่ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายและต้องดำเนินชีวิตรวมตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะซึ่งควบคุมการไม่อยู่บ้านหรือไม่อยู่ในหมู่คณะด้วย

มาตรา 741 วรรค 1 คณะทั้งหลาย รวมทั้งส่วนต่างๆ และบ้านของคณะ เป็นนิติบุคคลเว้นไว้แต่ว่า ธรรมนูญกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น และในฐานะเป็นนิติบุคคลก็สามารถได้มา ครอบครอง จัดการ และจำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินฝ่ายโลกตามกฎเกณฑ์แห่งข้อกำหนดของบรรพ 5 อันว่าด้วยเรื่องทรัพย์สินฝ่ายโลกของพระศาสนจักร มาตรา 636, 638 และ 639 และกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะ

วรรค 2 ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายเฉพาะ สมาชิกก็สามารถ ได้มา ครอบครองบริหารและจัดการทรัพย์สินฝ่ายโลกเหล่านี้ได้แต่สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาได้มาในนามของคณะ ย่อมเป็นของคณะ

มาตรา 742 การออก และการให้ออกจากคณะ ของสมาชิกที่ยังไม่ได้เข้าสังกัดเป็นสมาชิกอย่างเด็ดขาด ให้อยู่ภายใต้ธรรมนูญของแต่ละคณะ

มาตรา 743 อธิการสูงสุดพร้อมด้วยความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาสามารถให้เอกสิทธิพิเศษออกจากคณะแก่สมาชิกที่เข้าสังกัดเด็ดขาดแล้วเว้นไว้แต่ว่า ในธรรมนูญ การให้นั้นสงวนไว้แก่สันตะ-สำนักสิทธิและหน้าที่อันเนื่องมาจากการเข้าสังกัดก็สิ้นสุดลงด้วยโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 693

มาตรา 744 วรรค 1 เช่นเดียวกันเป็นสิทธิสงวนไว้แก่อธิการสูงสุดพร้อมกับความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาที่จะให้อนุญาตแก่สมาชิกที่เข้าสังกัดอย่างเด็ดขาดแล้ว ที่จะย้ายไปยังคณะชีวิตแพร่ธรรมอื่นในระหว่างนั้นให้ระงับสิทธิและหน้าที่ที่เกี่ยวพันกับคณะเดิมไว้ก่อนและสมาชิกผู้นั้นมีสิทธิ์ที่จะกลับ ก่อนเข้าสังกัดอย่างเด็ดขาด ในคณะใหม่

วรรค 2 ในการย้ายเข้าไปสู่สถาบันชีวิตที่ถวายแล้วหรือย้ายจากสถาบันดังกล่าวไปสู่คณะชีวิตแพร่ธรรมจำเป็นต้องขออนุญาตจากสันตะสำนัก และปฏิบัติตามคำสั่งที่ได้รับมา

มาตรา 745 อธิการสูงสุดพร้อมกับความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาสามารถให้เอกสิทธิพิเศษแก่สมาชิกที่ได้เข้าสังกัดอย่างเด็ดขาดแล้ว ดำเนินชีวิตอยู่นอกคณะได้ อย่างไรก็ตามต้องไม่เกิน 3 ปี โดยให้ระงับสิทธิและหน้าที่ที่ไม่เหมาะกับสภาพใหม่ไว้อย่างไรก็ตามสมาชิกยังคงอยู่ภายใต้การดูแลของอธิการนอกนั้นถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมณะยังต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของท้องที่ที่เขาต้องอาศัยอยู่โดยอยู่ภายใต้การดูแลและการปกครองของท่านด้วย

มาตรา 746 เพื่อให้สมาชิกที่ได้เข้าสังกัดอย่างเด็ดขาดแล้วออกจากคณะ ให้นำมาตรา 694704 มาปรับใช้ตามความเหมาะสม

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรพ 3 หน้าที่การสอนของพระศาสนจักร

 

มาตรา 747 วรรค 1 พระศาสนจักรซึ่งได้รับฝากข้อความเชื่อจากพระคริสตเจ้าเพื่อให้รักษาความจริงที่พระเจ้าไขแสดงไว้ด้วยศรัทธาเพื่อพิจารณาศึกษาอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นและเพื่อประกาศ และอธิบายอย่างซื่อสัตย์ โดยมีพระจิตเจ้าช่วยเหลือมีหน้าที่ และสิทธิโดยกำเนิดที่จะประกาศข่าวดีแก่นานาชาติไม่ขึ้นต่ออำนาจใดๆ ของมนุษย์โดยใช้เครื่องมือสื่อสารทางสังคมอันเหมาะสมกับตนเองด้วย

วรรค 2 พระศาสนจักรมีหน้าที่เสมอไปและทุกหนทุกแห่งที่จะประกาศหลักศีลธรรมรวมทั้งสิ่งที่เกี่ยวกับระเบียบทางสังคมและมีหน้าที่ตัดสินทุกเรื่องที่เกี่ยวกับมนุษย์ในขอบข่ายที่เกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลมนุษย์หรือเกี่ยวกับความรอดของวิญญาณ

มาตรา 748 วรรค 1 มนุษย์ทุกคนมีพันธะต้องแสวงหาความจริงในเรื่องที่เกี่ยวกับพระเจ้าและพระศาสนจักรของพระองค์และเมื่อพบความจริงแล้วก็มีหน้าที่และสิทธิที่จะรับและปฏิบัติตามโดยกฎหมายของพระเจ้า

วรรค 2 ไม่มีใครสามารถบังคับใครให้มานับถือความเชื่อคาทอลิก โดยฝืนมโนธรรมของเขา

มาตรา 749 วรรค 1 สมเด็จพระสันตะปาปาทรงไม่ผิดพลาดในหน้าที่การสอนเมื่อพระองค์ทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นชุมพาบาลและอาจารย์สูงสุดของบรรดาคริสตชน พระองค์ทรงมีหน้าที่ทำให้พี่น้องของพระองค์มั่นคงในความเชื่อและมีหน้าที่ประกาศและชี้ขาดข้อคำสอนที่ต้องเชื่อและศีลธรรมที่ต้องปฏิบัติ

วรรค 2 คณะพระสังฆราชมีอำนาจในการสอนอย่างไม่ผิดพลาดด้วยเมื่อพระสังฆราชใช้อำนาจในการสอนในการประชุมร่วมกันในสังคายนาสากลเมื่อพวกท่านประกาศข้อความเชื่อ และศีลธรรมที่ต้องยึดถืออย่างเด็ดขาดสำหรับพระศาสนจักรสากลในฐานะอาจารย์ และตุลาการแห่งความเชื่อและศีลธรรมพวกท่านยังใช้อำนาจนี้ขณะที่กระจายอยู่ทั่วโลกด้วยโดยรักษาสายสัมพันธ์ระหว่างพวกท่านเอง และกับผู้สืบตำแหน่ง นักบุญเปโตรสอนเรื่องความเชื่อ และศีลธรรม ในฐานะผู้สอนอย่างแท้จริงรวมกับพระสันตะปาปาองค์เดียวกัน ลงความเห็นเป็นเสียงเดียวกันว่า คำสอนนั้นต้องถือเป็นเด็ดขาด

วรรค 3 ต้องเข้าใจว่าไม่มีคำสอนใดเป็นคำสอนที่ไม่ผิดพลาด เว้นแต่ว่าคำสอนนั้น กำหนดเป็นเช่นนั้นอย่างแจ้งชัด

มาตรา 750 คำสอนทุกประการซึ่งมีอยู่ในพระวาจาของพระเจ้าที่บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรก็ดีที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมาก็ดี กล่าวคือที่มีอยู่ในคลังความเชื่อซึ่งพระศาสนจักรได้รับมอบไว้และได้สอนว่าเป็นคำสอนที่พระเจ้าไขแสดงไม่ว่าด้วยอำนาจสอนที่สอนอย่างสง่าหรืออย่างปกติและสากลต้องเชื่อด้วยความเชื่อแบบเป็นพระวาจาของพระเจ้า และแบบเป็นคำสอนของพระศาสนจักรคาทอลิก ความเชื่อนี้แสดงออกโดยการยอมรับร่วมกันของคริสตชนภายใต้การนำของอำนาจสอนอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะฉะนั้นทุกคนมีพันธะต้องหลีกเลี่ยงคำสอนใดๆ ไม่ว่าที่ขัดแย้งต่อความจริงเหล่านี้

มาตรา 751 การเป็นเฮเรติกคือการปฏิเสธอย่างดื้อดึงหลังการรับศีลล้างบาปต่อความจริงบางประการที่ต้องเชื่อด้วยความเชื่อแบบเป็นพระวาจาพระเจ้าและแบบเป็นคำสอนคาทอลิกหรือเช่นเดียวกันเป็นการสงสัยอย่างดื้อดึงเกี่ยวกับเรื่องเดียวกันนั้น การเป็นอาโปสตาตา คือ การละทิ้งความเชื่อคริสตชนทั้งหมดการเป็นกิสมาติกคือการไม่ยอมขึ้นกับพระสันตะปาปาหรือไม่ยอมอยู่ร่วมในวงสัมพันธ์กับสมาชิกพระศาสนจักรที่ภักดีต่อองค์สมเด็จพระสันตะปาปา

มาตรา 752 แม้ไม่ต้องยินยอมด้วยความเชื่อ กระนั้นก็ดีต้องน้อมรับด้วยศรัทธาด้านสติปัญญาและจิตใจ ต่อคำสอนซึ่งพระสันตะปาปาก็ดีคณะพระสังฆราชก็ดี ประกาศเกี่ยวกับความเชื่อและศีลธรรมขณะที่ท่านใช้อำนาจสอนแท้จริง แม้ว่าท่านไม่ตั้งใจสอนคำสอนนั้นแบบชี้ขาดเพราะฉะนั้นคริสตชนต้องเอาใจใส่หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับคำสอนนั้น

มาตรา 753 บรรดาพระสังฆราชซึ่งอยู่ในวงสัมพันธ์กับหัวหน้าและสมาชิกของคณะพระสังฆราชไม่ว่าจะเป็นรายบุคคล หรือชุมนุมกันในสภาพระสังฆราช หรือในการประชุมเฉพาะแม้ว่าพวกท่านจะไม่มีอภิสิทธิ์สอนอย่างไม่ผิดพลาดแต่ท่านก็เป็นอาจารย์และผู้สอนที่แท้จริงด้านความเชื่อแก่สัตบุรุษ ซึ่งอยู่ในความดูแลของท่านสัตบุรุษต้องยึดมั่นในคำสอนแท้จริงของพระสังฆราชของตนเองด้วยจิตศรัทธาภักดี

มาตรา 754 คริสตชนทุกคนมีพันธะต้องถือ ธรรมนูญและคำสั่งซึ่งผู้มีอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายของพระศาสนจักรประกาศออกมาเพื่อเสนอคำสอนและประณามความคิดเห็นที่ผิด ที่ว่านี้เป็นจริงโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับธรรมนูญและคำสั่งที่ออกโดยพระสันตะปาปาหรือคณะพระสังฆราช

มาตรา 755 วรรค 1 เป็นหน้าที่ของคณะพระสังฆราชทั้งมวลและของสันตะสำนักที่จะส่งเสริมและนำขบวนการศาสนสัมพันธ์ในหมู่คาทอลิกจุดประสงค์ก็คือเพื่อฟื้นฟูความเป็นหนึ่งเดียวระหว่างคริสตชนทั้งปวงซึ่งเป็นน้ำพระทัยของพระคริสตเจ้าที่จะให้พระศาสนจักรต้องทำหน้าที่นี้

วรรค 2 เช่นเดียวกัน เป็นหน้าที่ของบรรดาพระสังฆราชและตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย เป็นหน้าที่ของสภาพระสังฆราชด้วยที่จะส่งเสริมความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้และออกกฎเกณฑ์เชิงปฏิบัติตามความจำเป็นและโอกาสของสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันโดยคำนึงถึงข้อกำหนดที่ออกโดยอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักร

 

ลักษณะ 1 ศาสนบริการพระวาจาพระเจ้า

มาตรา 756 วรรค 1 ในส่วนที่เกี่ยวกับพระ-ศาสนจักรสากล หน้าที่ประกาศพระวรสารมอบหมายให้พระสันตะปาปา และคณะพระสังฆราชเป็นพิเศษ

วรรค 2 ในส่วนที่เกี่ยวกับพระศาสนจักรเฉพาะถิ่นที่มอบหมายให้แก่พระสังฆราชแต่ละองค์ท่านปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบนี้เนื่องจากว่าท่านเป็นผู้นำศาสนบริการพระวาจาทั้งหมดในเขตปกครองของท่านบางครั้งพระสังฆราชบางองค์ทำหน้าที่ร่วมกันสำหรับพระศาสนจักรต่าง ๆ ในเวลาเดียวกันตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 757 เป็นงานเฉพาะสำหรับพระสงฆ์ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานกับพระสังฆราชที่จะประกาศพระวรสารของพระเจ้าเจ้าอาวาสและพระสงฆ์อื่นๆ ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลวิญญาณต้องทำหน้าที่นี้เป็นพิเศษในส่วนที่เกี่ยวกับประชากรที่ท่านได้รับมอบหมายให้ดูแล สังฆานุกรด้วยต้องรับใช้ประชากรของพระเจ้าในศาสนบริการพระวาจาร่วมกับพระสังฆราชและคณะสงฆ์ของท่าน

มาตรา 758 สมาชิกของสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว ในฐานะที่ได้ถวายชีวิตแด่พระเจ้าเป็นพยานถึงพระวรสารในลักษณะพิเศษพวกเขาสมควรได้รับเชิญจากพระสังฆราชให้ช่วยในการประกาศพระวรสาร

มาตรา 759 คริสตชนฆราวาสโดยเหตุที่ได้รับศีลล้างบาปและศีลกำลังก็เป็นพยานถึงข่าวดีแห่งพระวรสารทั้งด้วยวาจาและด้วยตัวอย่างแห่งชีวิตคริสตชนพวกเขายังสามารถได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับพระสังฆราชและพระสงฆ์ในการปฏิบัติศาสนบริการพระวาจาด้วย

มาตรา 760 ในศาสนบริการพระวาจา ซึ่งต้องอิงอยู่กับพระคัมภีร์ ธรรมประเพณีพิธีกรรม อำนาจสอน และชีวิตของพระศาสนจักรรหัสธรรมของพระคริสตเจ้าต้องเสนออย่างครบถ้วนและอย่างสัตย์ซื่อ

มาตรา 761 ต้องใช้วิธีต่าง ๆ ที่มีอยู่เพื่อประกาศคำสอนคริสตชนโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเทศน์และการสอนคำสอน ซึ่งมีความสำคัญในอันดับแรกเสมอแต่วิธีการอื่นต้องนำมาใช้ด้วย กล่าวคือการอธิบายคำสอนในโรงเรียนในสถาบันการศึกษาชั้นสูง ในการสัมมนาและการชุมนุมทุกชนิดรวมทั้งการเผยแผ่คำสอนโดยการประกาศสาธารณะซึ่งกระทำโดยผู้มีอำนาจอันชอบธรรม ในโอกาสที่มีเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยการพิมพ์และโดยการใช้เครื่องมือสื่อสารมวลชนอื่นๆ

 

หมวด 1 การเทศน์สอนพระวาจาพระเจ้า

มาตรา 762 เนื่องจากประชากรของพระเจ้าได้รับการจัดให้มารวมกันก่อนอื่นใดด้วยพระวาจาพระเจ้าผู้ทรงชีวิต ซึ่งเป็นการชอบที่จะฟังจากปากของพระสงฆ์ ดังนั้นศาสนบริกรต้องถือหน้าที่การเทศน์เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งเนื่องจากการประกาศ พระวรสารของพระเจ้าแก่ทุกคนเป็นหน้าที่หลักอย่างหนึ่ง

มาตรา 763 เป็นสิทธิของพระสังฆราชที่จะเทศน์สอนพระวาจาของพระเจ้าทุกแห่งหนรวมทั้งวัดและสถานภาวนาของสถาบันนักพรต สิทธิสันตะสำนักด้วยเว้นแต่พระสังฆราชท้องถิ่นจะห้ามไว้อย่างชัดแจ้งในกรณีเฉพาะ

มาตรา 764 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 765 พระสงฆ์และสังฆานุกรมีอนุญาตให้เทศน์ได้ทุกแห่งหนโดยอย่างน้อยด้วยความยินยอมที่สันนิษฐานเอาของอธิการโบสถ์เว้นแต่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจจะจำกัดอนุญาตนั้นไว้ หรือยกเลิกการอนุญาตนั้นหรือกฎหมายเฉพาะจะกำหนดว่า ต้องได้รับอนุญาตอย่างชัดแจ้งก่อน

มาตรา 765 เพื่อเทศน์ให้นักพรตในวัดหรือสถานภาวนาของพวกเขาต้องมีอนุญาตจากอธิการผู้ทรงอำนาจตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ

มาตรา 766 ฆราวาสสามารถได้รับอนุญาตให้เทศน์ในวัดหรือสถานภาวนาได้ถ้าหากจำเป็นในบางกรณี หรือหากมีประโยชน์ในกรณีเฉพาะทั้งนี้ตามข้อกำหนดของสภาพระสังฆราช และโดยคงไว้ซึ่งมาตรา 767 วรรค 1

มาตรา 767 วรรค 1 ในรูปแบบการเทศน์ต่างๆ นั้นการแสดงธรรมเป็นรูปแบบที่โดดเด่นกว่าหมด ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมเองและสงวนไว้สำหรับพระสงฆ์หรือสังฆานุกรในการแสดงธรรมนั้นให้อธิบายรหัสธรรมแห่งความเชื่อ และกฎเกณฑ์การดำเนินชีวิตคริสตชนจากบทอ่านศักดิ์สิทธิ์ตลอดรอบปีพิธีกรรม

วรรค 2 ในทุกมิสซาวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับ ซึ่งมีประชาชนมาร่วมฉลองต้องมีการแสดงธรรม และงดไม่ได้โดยไม่มีเหตุผลสำคัญ

วรรค 3 ในมิสซาวันธรรมดาโดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า และเทศกาลมหาพรตหรือโอกาสฉลองบางฉลอง หรือเมื่อมีเหตุการณ์เศร้าโศกสมควรอย่างยิ่งให้มีการแสดงธรรมหากมีประชาชนมาชุมนุมมากพอสมควร

วรรค 4 พระสงฆ์เจ้าอาวาสหรืออธิการโบสถ์มีหน้าที่ ต้องเอาใจใส่ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้อย่างศรัทธา

มาตรา 768 วรรค 1 ผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าแก่คริสตชนก่อนอื่นต้องเสนอสิ่งที่ต้องเชื่อและต้องปฏิบัติเพื่อพระสิริมงคลของพระเจ้าและเพื่อความรอดของมนุษย์

วรรค 2 ยังต้องถ่ายทอดให้สัตบุรุษรู้คำสอนซึ่งอำนาจสอนของพระศาสนจักรเสนอเกี่ยวกับศักดิ์ศรีและเสรีภาพของบุคคลมนุษย์เอกภาพและความมั่นคงรวมทั้งหน้าที่ของครอบครัวหน้าที่ที่มนุษย์อยู่ร่วมกันในสังคมมีต่อกันและการจัดการเรื่องฝ่ายโลกตามระเบียบที่พระเจ้าทรงสถาปนาไว้

มาตรา 769 คำสอนคริสตชน ต้องเสนอด้วยวิธีที่เหมาะกับสภาพของผู้ฟัง และปรับให้เข้ากับความจำเป็นของกาลเวลา

มาตรา 770 ในช่วงเวลาที่แน่นอน ตามข้อกำหนดของพระสังฆราชสังฆมณฑลเจ้าอาวาสต้องจัดให้มีการเทศน์อบรมในรูปแบบของการเข้าเงียบหรือการเทศน์ฟื้นฟูชีวิตคริสตชน หรือในรูปแบบอื่นที่เหมาะกับความจำเป็น

มาตรา 771 วรรค 1 ผู้อภิบาลวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระสังฆราชและเจ้าอาวาสยังต้องสลวนที่จะประกาศพระวาจาพระเจ้าให้แก่สัตบุรุษเหล่านั้นซึ่งไม่ได้รับประโยชน์เพียงพอ หรืออาจไม่ได้รับเลยจากการอภิบาลสามัญและปกติทั้งนี้เพราะสภาพชีวิตของเขา

วรรค 2 ผู้อภิบาลวิญญาณยังต้องจัดการให้การประกาศพระวรสารไปถึงผู้ที่ไม่มีความเชื่อซึ่งอาศัยอยู่ในเขตการปกครองของท่านเนื่องจากการอภิบาลวิญญาณต้องครอบคลุมพวกเขาเช่นเดียวกับคริสตชน

มาตรา 772 วรรค 1 ยิ่งกว่านั้นเกี่ยวกับการเทศน์ทุกคนต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่พระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดด้วย

วรรค 2 ในการพูดทางวิทยุหรือโทรทัศน์เกี่ยวกับคำสอนคริสตชน ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสภาพระสังฆราช

หมวด 2 การสอนคำสอน

มาตรา 773 เป็นหน้าที่เฉพาะ และสำคัญโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อภิบาลวิญญาณที่จะเอาใจใส่สอนคำสอนให้แก่คริสตชนเพื่อให้ความเชื่อของสัตบุรุษมีชีวิตชีวาชัดเจนและเกิดผลโดยการอบรมคำสอนและโดยประสบการณ์ของการเจริญชีวิต คริสตชน

มาตรา 774 วรรค 1 การเอาใจใส่ในการสอนคำสอนเป็นหน้าที่ของสมาชิกทุกคนในพระศาสนจักร ตามบทบาทของแต่ละคนโดยอยู่ภายใต้การดูแลของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายฝ่ายพระศาสนจักร

วรรค 2 บิดามารดามีหน้าที่มากกว่าผู้อื่นในการอบรมลูกของตนในความเชื่อและการปฏิบัติชีวิตคริสตชน ด้วยวาจาและแบบอย่าง ผู้ทำหน้าที่แทนบิดามารดา และพ่อแม่อุปถัมภ์มีหน้าที่รับผิดชอบเท่ากัน

มาตรา 775 วรรค 1 โดยถือตามคำสั่งของสันตะสำนักพระสังฆราชสังฆมณฑลมีหน้าที่ออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเรื่องคำสอนและเช่นเดียวกันจัดหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมสำหรับการสอนคำสอนไว้ให้พร้อมและถ้าเห็นว่าเหมาะก็ให้เตรียมหนังสือคำสอนด้วยรวมทั้งส่งเสริมและประสานงานกิจการคำสอนที่มีการริเริ่ม

วรรค 2 เป็นหน้าที่ของสภาพระสังฆราชถ้าเห็นว่ามีประโยชน์ที่จะจัดพิมพ์หนังสือคำสอนสำหรับเขตปกครองของตนเองโดยได้รับความเห็นชอบจากสันตะสำนักก่อน

วรรค 3 สภาพระสังฆราช สามารถตั้งสำนักงานด้านคำสอนซึ่งมีหน้าที่หลักที่จะให้ความช่วยเหลือแต่ละสังฆมณฑล ในเรื่องเกี่ยวกับคำสอน

มาตรา 776 พระสงฆ์เจ้าอาวาสโดยหน้าที่ ต้องเอาใจใส่จัดให้มีการอบรมคำสอนแก่ผู้ใหญ่ เยาวชน และเด็ก เพื่อบรรลุจุดประสงค์นี้ท่านต้องใช้บริการของสมณะที่สังกัดกับวัดปกครองสมาชิกของสถาบันชีวิตที่ถวายแล้ว และของคณะชีวิตแพร่ธรรมโดยคำนึงถึงเอกลักษณ์ของแต่ละสถาบัน รวมทั้งคริสตชนฆราวาสด้วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งครูคำสอน บุคคลทั้งหมดเหล่านี้หากไม่มีข้อขัดขวางอันชอบต้องไม่ปฏิเสธให้ความช่วยเหลือด้วยความเต็มใจเจ้าอาวาสต้องส่งเสริมและสนับสนุนบทบาทของบิดามารดาในการสอนคำสอนในครอบครัว ดังระบุในมาตรา 774 วรรค 2

มาตรา 777 โดยถือตามกฎเกณฑ์ที่พระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดไว้ให้เจ้าอาวาสเอาใจใส่เป็นพิเศษ

1.       ให้มีการสอนคำสอนที่เหมาะกับการประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์

2.       ให้เด็ก ๆ เตรียมตัวอย่างดี เพื่อรับศีลอภัยบาปและศีลมหาสนิทครั้งแรก รวมทั้งศีลกำลังด้วย โดยการอบรมคำสอนเป็นเวลานานพอสมควร

3.       ให้เด็กๆ ที่ได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกแล้ว ได้รับการอบรมคำสอนให้เกิดผลและลึกซึ้งยิ่งขึ้น

4.       ให้ผู้ที่พิการทางกายหรือทางสติปัญญา ได้รับการอบรมคำสอนเท่าที่สภาพของเขาจะอำนวย

5.       ให้ความเชื่อของหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ได้รับความเข้มแข็ง แสงสว่าง และการพัฒนาด้วยวิธีการ และการริเริ่มต่าง ๆ

มาตรา 778 อธิการของสถาบันนักพรตและของคณะชีวิตแพร่ธรรมต้องใส่ใจให้มีการอบรมคำสอนอย่างขยันขันแข็งในวัด โรงเรียนและในงานอื่น ๆ ที่พวกเขาได้รับมอบหมายไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ

มาตรา 779 ในการอบรมคำสอน ให้ใช้เครื่องมือช่วยเหลือการสอนอุปกรณ์การสอนและเครื่องมือสื่อสาร ซึ่งเห็นว่ามีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อคำนึงถึงอุปนิสัย ความสามารถ อายุ และสภาพชีวิตของเขา เพื่อสามารถเรียนคำสอนคาทอลิกได้อย่างเต็มเปี่ยม และนำไปปฏิบัติอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

มาตรา 780 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องเอาใจใส่ให้ครูคำสอนได้รับการเตรียมตัวอย่างเหมาะสม เพื่อให้พวกเขาทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง กล่าวคือจัดให้มีการอบรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้พวกเขารู้คำสอนของพระศาสนจักรอย่างเหมาะสมและเรียนรู้หลักเกณฑ์ที่เป็นเฉพาะของวิชาการสอนทั้งทางทฤษฎีและทางปฏิบัติ

 

ลักษณะ 2 กิจการธรรมทูตของพระศาสนจักร

มาตรา 781 เนื่องจากพระศาสนจักรทั้งครบโดยธรรมชาติของตนเป็นธรรมทูตและงานประกาศพระวรสารต้องถือเป็นหน้าที่พื้นฐานของประชากรของพระเจ้าคริสตชนทุกคนที่ตระหนักในความรับผิดชอบของตนนี้ต้องมีส่วนร่วมในงานแพร่ธรรม

มาตรา 782 วรรค 1 เป็นอำนาจสูงสุดของพระสันตะปาปาและคณะพระสังฆราชในการให้แนวทางและการประสานงานทั้งที่เป็นงานริเริ่มและงานที่ทำอยู่ซึ่งเกี่ยวกับงานแพร่ธรรมและการร่วมมือในงานธรรมทูต

วรรค 2 พระสังฆราชแต่ละองค์ ในฐานะเป็นผู้อุปถัมภ์พระศาสนจักรสากลและพระศาสนจักรทั้งหมด ต้องห่วงใยเป็นพิเศษต่องานธรรมทูต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการกระตุ้น ฟูมฟัก และค้ำชูการริเริ่มต่างๆ เกี่ยวกับงานธรรมทูตในพระศาสนจักรเฉพาะของตน

มาตรา 783 เนื่องจากสมาชิกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วอุทิศตนรับใช้พระศาสนจักรโดยการถวายตัวพวกเขามีพันธะต้องทำงานธรรมทูตตามเอกลักษณ์ของสถาบันด้วยรูปแบบพิเศษ

มาตรา 784 ธรรมทูตคือ ผู้ที่ถูกส่งให้ไปทำงานแพร่ธรรมโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรบุคคลเหล่านี้สามารถเลือกจากคนพื้นเมืองหรือมิใช่พื้นเมืองพวกเขาอาจจะเป็นสงฆ์สังฆมณฑลหรือสมาชิกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วหรือสมาชิกคณะชีวิตแพร่ธรรมหรือคริสตชนอื่น ๆ ที่เป็นฆราวาสก็ได้

มาตรา 785 วรรค 1 ให้ใช้ครูสอนคำสอนในการทำงานแพร่ธรรมกล่าวคือคริสตชนฆราวาสที่ได้รับการอบรมอย่างเหมาะสมและมีชีวิตคริสตชนที่ดีเด่นซึ่งอุทิศตนเพื่อสอนพระวรสารและจัดการเกี่ยวกับพิธีกรรมรวมทั้งงานด้านเมตตาจิต ภายใต้การดูแลของธรรมทูต

วรรค 2 ครูสอนคำสอนต้องรับการอบรมในโรงเรียนที่ตั้งขึ้นเพื่อการนี้โดยตรงหรือที่ใดที่ไม่มีโรงเรียนที่ตั้งขึ้นเพื่อการนี้ก็ต้องรับการอบรมภายใต้การดูแลของธรรมทูต

มาตรา 786 กิจการที่เป็นกิจการธรรมทูตโดยเฉพาะคือกิจการที่ทำให้พระศาสนจักรฝังตัวลงในท่ามกลางชนชาติและกลุ่มชนที่พระศาสนจักรยังไม่ได้ลงรากพระศาสนจักรส่งผู้ประกาศพระวรสารไปทำหน้าที่นี้จนกว่าพระศาสนจักรใหม่ได้ก่อร่างสร้างตัวอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือจนกว่าพระศาสนจักรใหม่มีพลังของตนเอง และเครื่องมือเพียงพอที่จะทำงานแพร่ธรรมด้วยตนเอง

มาตรา 787 วรรค 1 ให้บรรดาธรรมทูตทำการเสวนาด้วยความจริงใจกับผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระคริสต์ด้วยการเป็นพยานด้วยชีวิตและวาจาเพื่อเปิดทางให้เขาสามารถเข้าใจข่าวดีแห่งพระวรสารด้วยวิธีที่เหมาะสมกับภูมิปัญญา และวัฒนธรรมของพวกเขา

วรรค 2 ให้บรรดาธรรมทูตใส่ใจสอนความจริงแห่งความเชื่อแก่บรรดาผู้ที่ตนเห็นว่าพร้อมจะรับข่าวดีแห่งพระวรสารเพื่อว่าเมื่อเขาขออย่างอิสระก็สามารถรับเขาให้รับศีลล้างบาปได้

มาตรา 788 วรรค 1 เมื่อครบช่วงเวลาก่อนการเป็นคริสตชนสำรองก็ให้รับบุคคลที่แสดงเจตนาจะรับความเชื่อในพระคริสต์เข้าเป็นคริสตชนสำรองด้วยจารีตทางพิธีกรรมและบันทึกชื่อเขาลงในทะเบียนสำหรับคริสตชนสำรอง

วรรค 2 โดยการอบรมและการฝึกเป็นคริสตชนคริสตชนสำรองเข้าสู่รหัสธรรมแห่งความรอดอย่างเหมาะสมและเข้าสู่ชีวิตแห่งความเชื่อ ชีวิตพิธีกรรมชีวิตความรักแห่งประชากรพระเจ้าและการแพร่ธรรม

วรรค 3 เป็นหน้าที่รับผิดชอบของสภาพระสังฆราชที่จะออกกฎระเบียบการเป็นคริสตชนสำรองกฎระเบียบเหล่านี้ต้องกำหนดสิ่งที่คาดหวังจากคริสตชนสำรองและสิทธิพิเศษที่พวกเขาควรได้รับ

มาตรา 789 คริสตชนใหม่ จะต้องได้รับการ อบรมอย่างเหมาะสมเพื่อจะเข้าใจความจริงแห่งพระวรสารอย่างลึกซึ้งและหน้าที่อันเกิดจากศีลล้างบาปที่ต้องปฏิบัติพวกเขายังต้องเปี่ยมด้วยความรักที่จริงใจต่อพระคริสตเจ้าและต่อพระศาสนจักรของพระองค์

มาตรา 790 วรรค 1 เป็นหน้าที่รับผิดชอบของพระสังฆราชสังฆมณฑลในแดนมิสซัง

1.       ส่งเสริม ดูแลและประสานงานริเริ่มและกิจกรรมที่เกี่ยวกับงานแพร่ธรรม

2.       เอาใจใส่เพื่อให้มีการตกลงที่จำเป็นกับผู้รับผิดชอบของสถาบันที่อุทิศตนให้กับงานแพร่ธรรมและเอาใจใส่ให้ความสัมพันธ์กับพวกเขาบังเกิดผลดีแก่งานแพร่ธรรม

วรรค 2 ธรรมทูตทุกคนรวมทั้งนักพรตและบรรดาผู้ช่วยที่อาศัยอยู่ในเขตปกครองของสังฆมณฑลต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดที่ออกโดยพระสังฆราชสังฆมณฑลดังที่ระบุไว้ในวรรค 1 ข้อ 1

มาตรา 791 เพื่อส่งเสริมการร่วมมือกันในงานธรรมทูต ในแต่ละสังฆมณฑล

1.       ต้องส่งเสริมกระแสเรียก เป็นธรรมทูต

2.       ต้องแต่งตั้งพระสงฆ์องค์หนึ่งเพื่อให้งานริเริ่มสำหรับงานแพร่ธรรมได้รับการส่งเสริมอย่างมีประสิทธิผลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง หน่วยงานธรรมทูตของพระสันตะปาปา

3.       ให้จัดงานวันมิสซังเป็นประจำทุกปี

4.       ทุกปีให้มีการรวบรวมเงินบริจาคอย่างเหมาะสมเพื่องานธรรมทูตและให้ส่งเงินนั้นไปยังสันตะสำนัก792ให้สภาพระสังฆราชตั้งและสนับสนุนหน่วยงานซึ่งมีจุดหมายเพื่อช่วยผู้คนที่เข้ามาในเขตปกครองของตนจากประเทศมิสซัง เพื่อทำงานหรือศึกษาให้ได้รับการต้อนรับที่อบอุ่นฉันพี่น้องและได้รับความช่วยเหลือด้านการอภิบาลที่เหมาะสม

 

ลักษณะ 3 การศึกษาคาทอลิก

มาตรา 793 วรรค 1 บิดามารดา รวมทั้งผู้ทำหน้าที่แทนพวกเขาด้วยมีพันธะและมีสิทธิให้การศึกษาอบรมแก่บุตรหลานของตนบิดามารดาคาทอลิกยังมีหน้าที่และสิทธิที่จะเลือกวิธีและสถาบันที่จะช่วยพวกเขาสามารถจัดให้บุตรหลานของตนได้รับการศึกษาแบบคาทอลิกตามสภาพแวดล้อมของท้องถิ่นได้อย่างดียิ่งขึ้น

วรรค 2 บิดามารดายังมีสิทธิที่จะใช้ประโยชน์จากความช่วยเหลือที่รัฐต้องจัดให้ซึ่งพวกเขามีความต้องการเพื่อจัดให้บุตรหลานได้รับการศึกษาแบบคาทอลิกด้วย

มาตรา 794 วรรค 1 พระศาสนจักรมีหน้าที่และสิทธิให้การศึกษาด้วยเหตุผลพิเศษเพราะพระศาสนจักรได้รับมอบพันธกิจช่วยเหลือมนุษย์จากพระเป็นเจ้าให้สามารถบรรลุถึงความสมบูรณ์แห่งชีวิตคริสตชน

วรรค 2 ผู้อภิบาลวิญญาณมีหน้าที่จัดการทุกอย่าง เพื่อให้คริสตชนทุกคนได้รับการศึกษาแบบคาทอลิก

มาตรา 795 เนื่องจากการศึกษาที่แท้จริงต้องมุ่งให้การอบรมทั้งครบแก่บุคคลมนุษย์กล่าวคือการอบรมที่มุ่งสู่จุดหมายสุดท้ายของบุคคลและขณะเดียวกันก็มุ่งสู่ความดีส่วนรวมของสังคม ดังนั้น เด็กและเยาวชนจะต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูอย่างที่ว่าเขาสามารถพัฒนาสมรรถนะทางกาย ใจ และสติปัญญาของเขาได้อย่างกลมกลืนกันมีจิตสำนึกในความรับผิดชอบที่ดีสมบูรณ์มากขึ้นและรู้จักใช้เสรีภาพอย่างถูกต้อง รวมทั้งได้รับการอบรมให้มีส่วนในชีวิตสังคมอย่างมีบทบาท

 

หมวด 1 โรงเรียน

มาตรา 796 วรรค 1ในบรรดาเครื่องมือเพื่อให้การศึกษาคริสตชนพึงถือว่าโรงเรียนมีคุณค่าอย่างยิ่ง เหตุว่าโรงเรียนให้ความช่วยเหลือหลักแก่บิดามารดาในการทำหน้าที่ให้การศึกษาแก่บุตรหลาน

วรรค 2 บิดามารดา ต้องร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับครูโรงเรียนซึ่งตนได้ฝากฝังบุตรหลานไว้ให้อบรม ส่วนบรรดาครูในการปฏิบัติหน้าที่ของตนต้องทำงานอย่างใกล้ชิดร่วมกับบิดา มารดาและรับฟังบิดามารดาเหล่านั้นด้วยความยินดีและให้จัดตั้งสมาคมหรือการพบปะสังสรรค์กับบรรดาผู้ปกครองนักเรียนและให้ถือว่าสิ่งนี้เป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

มาตรา 797 บิดามารดา ต้องมีเสรีภาพอย่างแท้จริงในการเลือกโรงเรียน ด้วยเหตุนี้คริสตชนมีหน้าที่ต้องเอาใจใส่ให้สังคมบ้านเมืองรับรู้เสรีภาพนี้ของบิดามารดา และต้องป้องกันเสรีภาพนี้ โดยการให้ความช่วยเหลือตามหลักการกระจายความเป็นธรรม

มาตรา 798 บิดามารดาต้องฝากฝังบุตรหลานไว้กับโรงเรียนที่จัดให้มีการศึกษาแบบคาทอลิกถ้าทำเช่นนั้นไม่ได้บิดามารดามีหน้าที่ต้องเอาใจใส่ให้บุตรหลานได้รับการศึกษาแบบคาทอลิกอย่างเหมาะสมนอกโรงเรียน

มาตรา 799 คริสตชนต้องพยายาม ให้กฎหมายบ้านเมือง ซึ่งวางระบบการอบรมเยาวชนจัดให้มีการอบรมทางศาสนาและศีลธรรมแก่เยาวชนตามมโนธรรมของบิดามารดาในโรงเรียนนั้นเองด้วย

มาตรา 800 วรรค 1 พระศาสนจักร มีสิทธิจัดตั้งและดูแลโรงเรียนที่สอนไม่ว่าสาขาวิชา ประเภทและระดับใด ๆ

วรรค 2 คริสตชนต้องส่งเสริมโรงเรียนคาทอลิก โดยให้ความช่วยเหลือเพื่อก่อตั้งและบำรุงรักษาไว้ตามกำลังความสามารถ

มาตรา 801 สถาบันนักพรต ซึ่งมีพันธกิจด้านการศึกษาโดยเฉพาะ ขณะที่รักษาพันธกิจนี้ไว้อย่างซื่อสัตย์ ยังต้องอุทิศตนเพื่อการศึกษาแบบคาทอลิกในโรงเรียนของตน ซึ่งตั้งขึ้นโดยความเห็นชอบของพระสังฆราชสังฆมณฑลด้วย

มาตรา 802 วรรค 1 ถ้าไม่มีโรงเรียนซึ่งให้การศึกษาที่ซึมซับด้วยจิตตารมณ์คริสตชนพระสังฆราชสังฆมณฑลมีหน้าที่ต้องเอาใจใส่จัดให้มีโรงเรียนเช่นนั้นขึ้น

วรรค 2 ที่ใดเหมาะสม พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องจัดให้มีโรงเรียนอาชีวะ โรงเรียนเทคนิค และโรงเรียนอื่นๆ ตามความจำเป็นพิเศษต่าง ๆ

มาตรา 803 วรรค 1 โรงเรียนคาทอลิก คือ โรงเรียนที่ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรหรือนิติบุคคลสาธารณะฝ่ายพระศาสนจักรเป็นผู้บริหารหรือผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรรับรู้เป็นโรงเรียนคาทอลิกเป็นลายลักษณ์อักษร

วรรค 2 การอบรมและการศึกษาในโรงเรียนคาทอลิกต้องมีหลักคำสอนคาทอลิกเป็นพื้นฐานบรรดาครูต้องดีเด่นด้านคำสอนที่ถูกต้องและด้านชีวิตที่เปี่ยมด้วยคุณธรรม

วรรค 3 โรงเรียนใดใดไม่ว่าแม้ในความเป็นจริงเป็นโรงเรียนคาทอลิกจะใช้ชื่อโรงเรียนคาทอลิกไม่ได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร

มาตรา 804 วรรค 1 การอบรมและการศึกษาทางศาสนาคาทอลิก ซึ่งสอนในโรงเรียนใด ๆ ไม่ว่า หรือที่จัดสอนโดยทางสื่อสารมวลชนต่างๆต้องอยู่ภายใต้อำนาจของพระศาสนจักรเป็นหน้าที่รับผิดชอบของสภาพระสังฆราชที่จะออกกฎทั่วไปในเรื่องนี้และเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑล ที่จะควบคุม และดูแลในการให้การศึกษานี้

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องเอาใจใส่ให้ครูที่ได้รับหน้าที่เป็นครูสอนศาสนาในโรงเรียนแม้ในโรงเรียนที่มิใช่คาทอลิกต้องเป็นผู้ดีเด่นในด้านคำสอนที่ถูกต้อง ในด้านเป็นพยานชีวิตคริสตชนและทักษะการสอน

มาตรา 805 เป็นสิทธิของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นที่จะแต่งตั้งหรือรับรองครูสอนศาสนาสำหรับสังฆมณฑลของตน และเช่นเดียวกันท่านก็มีสิทธิ์ที่จะเอาครูออกหรือบังคับให้เอาออกถ้ามีความจำเป็นเพราะเหตุผลทางศาสนาหรือทางศีลธรรม

มาตรา 806 วรรค 1พระสังฆราชสังฆมณฑลมีสิทธิ์ที่จะสอดส่องดูแลและเยี่ยมเยียนโรงเรียนคาทอลิกซึ่งตั้งอยู่ในเขตปกครองของตน แม้ในโรงเรียนต่าง ๆ ที่ตั้งขึ้นหรือจัดการโดยสมาชิกสถาบันนักพรต เช่นเดียวกันท่านมีอำนาจที่จะออกข้อกำหนดเกี่ยวกับการควบคุมทั่วไปของโรงเรียนคาทอลิกข้อกำหนดเหล่านั้นใช้ได้กับโรงเรียนที่บริหารโดยนักพรต โดยรักษาไว้ซึ่งความเป็นเอกเทศ เกี่ยวกับการจัดการภายในของโรงเรียนของพวกเขา

วรรค 2 บรรดาผู้อำนวยการโรงเรียนคาทอลิกภายใต้การสอดส่องดูแลของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องเอาใจใส่ให้การสอนในโรงเรียนของท่านดีเด่นด้านวิชาการอย่างน้อยมีระดับเท่าเทียมกับโรงเรียนอื่น ๆ ในภูมิภาคนั้น

 

หมวด 2 มหาวิทยาลัยคาทอลิก และสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่น ๆ

มาตรา 807 พระศาสนจักรมีสิทธิจัดตั้งและบริหารมหาวิทยาลัยซึ่งช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมมนุษย์ให้สูงขึ้นส่งเสริมบุคคลมนุษย์ให้ก้าวหน้าเต็มเปี่ยมยิ่งขึ้นและช่วยให้พระศาสนจักรทำหน้าที่สอนครบถ้วนสมบูรณ์

มาตรา 808 มหาวิทยาลัยใดๆ ไม่ว่าแม้ในความเป็นจริง เป็นมหาวิทยาลัยคาทอลิกจะใช้คำนำหน้าหรือชื่อมหาวิทยาลัยคาทอลิกไม่ได้เว้นแต่จะได้รับความยินยอมจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร

มาตรา 809 หากเป็นไปได้และเหมาะสมสภาพระสังฆราชต้องเอาใจใส่จัดตั้งมหาวิทยาลัยหรืออย่างน้อยคณะวิชาโดยให้กระจายอยู่อย่างเหมาะสมตามที่ต่างๆ ในอาณาเขตของสภาฯในมหาวิทยาลัยหรือคณะวิชาเหล่านั้นให้มีการค้นคว้าและสอนวิชาต่างๆ ทั้งนี้โดยคงไว้ซึ่งความเป็นเอกเทศด้านวิชาการของสถาบันและโดยคำนึงถึงคำสอนคาทอลิก

มาตรา 810 วรรค 1 เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจตามธรรมนูญที่จะจัดให้มีการแต่งตั้งผู้สอนในมหาวิทยาลัยคาทอลิกซึ่งนอกจากมีความเหมาะสมด้านวิชาการและด้านทักษะการสอนยังต้องดีเด่นในความถูกต้องด้านคำสอนและคุณธรรมชีวิตหากผู้สอนท่านใดขาดคุณสมบัติดังกล่าวนี้ก็ให้ถอดถอนผู้นั้นออกจากตำแหน่งหน้าที่ ตามขบวนการที่กำหนดไว้ในธรรมนูญ

วรรค 2 สภาพระสังฆราชและพระสังฆราชสังฆมณฑลผู้เกี่ยวข้องมีหน้าที่และสิทธิที่จะสอดส่องดูแลให้หลักคำสอนคาทอลิกได้รับการรักษาไว้อย่างซื่อสัตย์ในมหาวิทยาลัยเหล่านี้

มาตรา 811 วรรค 1 ในมหาวิทยาลัยคาทอลิกผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรต้องเอาใจใส่ให้มีการจัดตั้งคณะเทวศาสตร์หรือสถาบันเทวศาสตร์หรืออย่างน้อยการบรรยายเทวศาสตร์เพื่อว่านักศึกษาฆราวาสสามารถเข้ารับฟังคำบรรยายได้ด้วย

วรรค 2 ในแต่ละมหาวิทยาลัยคาทอลิกให้มีการบรรยายที่ถกเป็นพิเศษเกี่ยวกับปัญหาทางเทวศาสตร์ที่มีความเชื่อมโยงกับวิชาของคณะต่างๆ ของ มหาวิทยาลัยเดียวกัน

มาตรา 812 ผู้ที่สอนวิชาเทวศาสตร์ในสถาบันการศึกษาชั้นสูงแห่งใดไม่ว่า ต้องได้รับการแต่งตั้งเป็นทางการจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร

มาตรา 813 พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องเอาใจใส่อภิบาลนักศึกษาอย่างจริงจังแม้โดยการตั้งวัดปกครอง สำหรับพวกเขา หรืออย่างน้อยโดยการแต่งตั้งพระสงฆ์เพื่อการนี้อย่างถาวรท่านยังต้องจัดให้มีศูนย์นักศึกษาคาทอลิกในมหาวิทยาลัยแม้ในมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่คาทอลิก เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่หนุ่มสาวโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝ่ายจิต

มาตรา 814 ข้อกำหนดต่าง ๆ ที่บัญญัติขึ้นสำหรับมหาวิทยาลัย นำไปใช้ได้สำหรับสถาบันการศึกษาชั้นสูงอื่น ๆ ได้ด้วยเหตุผลเดียวกัน

 

หมวด 3 มหาวิทยาลัยและคณะวิชาของพระศาสนจักร

มาตรา 815 เนื่องจากพระศาสนจักรมีหน้าที่ประกาศความจริงที่พระเจ้าไขแสดงพระศาสนจักรจึงมีสิทธิ์ของตนเองที่จะตั้งมหาวิทยาลัย หรือคณะวิชาของพระศาสนจักรเพื่อค้นคว้าวิชาศักดิ์สิทธิ์หรือวิชาที่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเพื่อสอนนักศึกษาในวิชาเดียวกันนี้อย่างเป็นวิชาการ

มาตรา 816 วรรค 1 มหาวิทยาลัยและคณะวิชาของพระศาสนจักร ตั้งขึ้นโดยการก่อตั้งหรือโดยการรับรองของสันตะสำนักเท่านั้นเป็นอำนาจของสันตะสำนักเช่นกันที่จะควบคุมเหนือมหาวิทยาลัยและคณะวิชาดังกล่าว

วรรค 2 แต่ละมหาวิทยาลัยและคณะวิชาของพระศาสนจักร ต้องมีธรรมนูญและแผนการศึกษาซึ่งได้รับการรับรองจากสันตะสำนัก

มาตรา 817 ไม่มีมหาวิทยาลัยหรือคณะวิชาใด ซึ่งไม่ได้ก่อตั้งขึ้นหรือรับรองโดยสันตะสำนัก สามารถประสาทปริญญาบัตร ที่มีผลทางกฎหมายในพระศาสนจักร

มาตรา 818 ข้อกำหนดสำหรับมหาวิทยาลัยคาทอลิกที่บัญญัติไว้ในมาตรา 810, 812 และ813 ยังนำไปใช้ได้กับมหาวิทยาลัย และคณะวิชาของพระศาสนจักรด้วย

มาตรา 819 เท่าที่ความดีของสังฆมณฑลหรือของสถาบันนักบวชหรือยิ่งกว่านั้นของพระศาสนจักรสากลเองเรียกร้องพระสังฆราชสังฆมณฑลหรือผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของสถาบันต้องส่งคนหนุ่มสาวและสมณะ และสมาชิกคณะผู้มีลักษณะเด่นในอุปนิสัย คุณธรรมและสติปัญญาไปศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือคณะวิชาของพระศาสนจักร

มาตรา 820 ให้บรรดาผู้บริหารและคณาจารย์แห่งมหาวิทยาลัยและคณะวิชาของพระศาสนจักร เอาใจใส่ให้คณะวิชาต่างๆ ของมหาวิทยาลัยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เท่าที่วัตถุประสงค์เปิดช่องให้ทำได้และพวกเขายังต้องเอาใจใส่ให้มีความร่วมมือกันระหว่างมหาวิทยาลัยหรือคณะวิชาของพวกเขาเอง และกับมหาวิทยาลัย และคณะวิชาอื่น ๆ แม้ไม่เป็นมหาวิทยาลัยหรือคณะวิชาของพระศาสนจักรพวกเขาต้องทำงานร่วมกันเพื่อความก้าวหน้าทางวิชาการยิ่งขึ้นโดยอาศัยความพยายามร่วมกัน การประชุม การร่วมกันค้นคว้าวิจัยทางวิชาการและด้วยวิธีอื่นๆ

มาตรา 821 ที่ใดทำได้ให้สภาพระสังฆราชและพระสังฆราชสังฆมณฑลจัดตั้งสถาบันชั้นสูงเพื่อสอนวิชาศาสนา กล่าวคือ สถาบันสอนเทวศาสตร์และวิชาอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมคริสต์ศาสนา

 

ลักษณะ 4 เครื่องมือสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะหนังสือ

มาตรา 822 วรรค 1 ผู้อภิบาลทั้งหลายของพระศาสนจักรเมื่อใช้สิทธิ์ที่เป็นของพระศาสนจักรในการปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบของตนต้องพยายามใช้ประโยชน์จากเครื่องมือสื่อสารมวลชน

วรรค 2 บรรดาผู้อภิบาลดังกล่าวนี้ต้องเอาใจใส่สอนสัตบุรุษว่าพวกเขามีพันธะโดยหน้าที่ต้องร่วมมือกันให้การใช้เครื่องมือสื่อสารมวลชนมีชีวิตชีวาด้วยจิตตารมณ์มนุษย์และคริสตชน

วรรค 3 คริสตชนทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้มีหน้าที่จัดการหรือมีส่วนใช้เครื่องมือเหล่านั้นแบบใดแบบหนึ่งต้องเอาใจใส่ให้ความช่วยเหลือแก่งานอภิบาลอย่างที่ว่าพระศาสนจักรสามารถใช้เครื่องมือเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างมีประสิทธิผล

มาตรา 823 วรรค 1 เพื่อรักษาไว้ซึ่งความครบครันแห่งความจริงของความเชื่อและศีลธรรมผู้อภิบาลของพระศาสนจักรมีหน้าที่และสิทธิระวังอย่าให้เกิดความเสียหายแก่ความเชื่อหรือศีลธรรมของคริสตชนด้วยข้อเขียนหรือการใช้เครื่องมือสื่อสารมวลชน เช่นเดียวกันผู้อภิบาลดังกล่าวมีหน้าที่และสิทธิเรียกร้องให้ข้อเขียนที่คริสตชนพิมพ์เกี่ยวกับความเชื่อและศีลธรรม ได้รับการวินิจฉัยจากตนเองพวกเขายังมีหน้าที่และสิทธิที่จะประณามข้อเขียนซึ่งนำความเสียหายต่อความเชื่อที่ถูกต้องหรือศีลธรรมอันดีงาม

วรรค 2 บรรดาพระสังฆราชในฐานะปัจเจกบุคคลหรือเมื่อประชุมร่วมกันในสภาเฉพาะหรือสภาพระสังฆราชมีหน้าที่และสิทธิดังระบุไว้ในวรรค 1 เกี่ยวกับคริสตชนที่มอบไว้ในความดูแลของท่านส่วนอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรมีหน้าที่และสิทธิเกี่ยวกับประชากรทั้งมวลของพระเจ้า

มาตรา 824 วรรค 1 เว้นแต่จะมีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นซึ่งผู้แต่งหนังสือต้องขออนุญาตหรือการรับรองให้พิมพ์หนังสือตามมาตราต่างๆของลักษณะนี้คือผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นของผู้แต่งหนังสือนั้นเองหรือผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของท้องที่ ที่หนังสือนี้ได้รับการพิมพ์

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่าปรากฏชัดเป็นอย่างอื่นข้อกำหนดทั้งหลายแห่งมาตราของลักษณะนี้ ที่เกี่ยวกับหนังสือต้องนำไปใช้กับข้อเขียนใด ๆ ไม่ว่าที่พิมพ์เพื่อจำหน่ายแก่สาธารณะ

มาตรา 825 วรรค 1 หนังสือพระคัมภีร์พิมพ์เผยแพร่ไม่ได้ถ้ายังมิได้รับการรับรองจากสันตะสำนักหรือจากสภาพระสังฆราชก่อนเช่นเดียวกัน คำแปลเป็นภาษาพื้นเมืองจะพิมพ์เผยแพร่ได้ต้องได้รับการรับรองจากอำนาจเดียวกันนั้นก่อนพร้อมทั้งมีคำอธิบายที่จำเป็นและเพียงพอกำกับไว้ด้วย

วรรค 2 โดยมีอนุญาตของสภาพระสังฆราชคริสตชนคาทอลิกสามารถร่วมมือกับพี่น้องคริสตชนที่แยกตัวออกไปในการเตรียมและพิมพ์เผยแพร่คำแปลพระคัมภีร์ ที่มีคำอธิบายที่เหมาะสมกำกับไว้

มาตรา 826 วรรค 1 เกี่ยวกับหนังสือพิธีกรรม ให้ถือตามข้อกำหนดของมาตรา 838

วรรค 2 เพื่อจะพิมพ์หนังสือพิธีกรรม หรือคำแปลเป็นภาษาพื้นเมืองขึ้นใหม่ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนก็ตามผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของท้องที่ที่หนังสือนั้นจะพิมพ์ขึ้นต้องยืนยันว่าหนังสือนั้นตรงกับต้นฉบับที่ได้รับการรับรอง

วรรค 3 หนังสือภาวนาเพื่อการใช้สาธารณะหรือส่วนบุคคลโดยเฉพาะของคริสตชนห้ามพิมพ์เผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

มาตรา 827 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 775 วรรค 2 หนังสือคำสอนและข้อเขียนอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการ อบรมคำสอนหรือคำแปลคำสอนนั้นต้องได้รับรองจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นก่อนที่จะพิมพ์เผยแพร่

วรรค 2 หนังสือที่อธิบายเกี่ยวกับปัญหาพระคัมภีร์ เทวศาสตร์กฎหมายพระศาสนจักร ประวัติศาสตร์พระศาสนจักร หรือข้อบังคับทางศาสนาหรือทางศีลธรรม ไม่สามารถใช้เป็นตำราสอนในโรงเรียนระดับประถม มัธยมหรือระดับสูงกว่านี้ถ้าหนังสือเหล่านี้มิได้จัดพิมพ์ขึ้นโดยการรับรองจากผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร หรือมิได้รับการรับรองเมื่อพิมพ์แล้ว

วรรค 3 ขอแนะนำให้นำหนังสือที่มีเนื้อหาซึ่งกล่าวถึง ในวรรค 2 เสนอให้ผู้ใหญ่ ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นพิจารณาแม้ว่าหนังสือเหล่านั้นไม่ใช้เป็นตำราในการสอนให้ทำเช่นเดียวกันกับข้อเขียนทั้งหลายที่มีบางสิ่งบางอย่างที่เกี่ยวพันเป็นพิเศษกับศาสนา หรือพฤติกรรมอันดีงามทางศีลธรรม

วรรค 4 หนังสือและข้อเขียนอื่นๆที่อธิบายถึงปัญหาเกี่ยวกับศาสนาหรือศีลธรรมไม่สามารถนำออกแสดงขายหรือแจกจ่ายในวัดหรือโรงสวดเว้นแต่หนังสือหรือข้อเขียนเหล่านั้นจัดพิมพ์ขึ้นโดยได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักรหรือเมื่อจัดพิมพ์แล้วได้รับการรับรองจากผู้มีอำนาจเดียวกัน

มาตรา 828 ไม่อนุญาตให้นำหนังสือประมวลคำสั่ง หรือกฎหมายต่างๆซึ่งออกโดยผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรบางท่าน มาพิมพ์ขึ้นใหม่เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่เดียวกันนั้นก่อนและต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ท่านได้กำหนดไว้

มาตรา 829 การรับรองหรืออนุญาต ให้พิมพ์งานเขียนชิ้นใดชิ้นหนึ่งใช้ได้เฉพาะต้นฉบับเท่านั้นแต่จะนำไปใช้สำหรับการพิมพ์ใหม่หรือการแปลไม่ได้

มาตรา 830 วรรค 1 สภาพระสังฆราชสามารถจัดทำบัญชีรายชื่อผู้ตรวจหนังสือซึ่งเด่นในด้านความรู้ คำสอนที่ถูกต้องและความรอบคอบซึ่งสามารถช่วยสำนักงานสังฆมณฑลต่างๆ หรือสามารถตั้งคณะผู้ตรวจหนังสือซึ่งจะให้คำปรึกษาแก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น อย่างไรก็ดีผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นแต่ละท่านยังคงไว้ซึ่งสิทธิ์ทั้งครบที่จะมอบหมายให้บุคคลที่ท่านเองรับรองทำการพิจารณตรวจหนังสือ

วรรค 2 ในการทำหน้าที่ผู้ตรวจต้องไม่เห็นแก่หน้าใครแต่ต้องพิจารณาคำสอนของพระศาสนจักรที่เกี่ยวกับความเชื่อและศีลธรรมเท่านั้นตามคำสอนของอำนาจสอนของพระ ศาสนจักร

วรรค 3 คำวินิจฉัยของผู้ตรวจหนังสือต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษรถ้าคำวินิจฉัยเห็นชอบ ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจตามดุลพินิจอันรอบคอบของตนต้องให้อนุญาตพิมพ์หนังสือนั้นโดยลงชื่อตนเอง และบอกเวลารวมทั้งสถานที่ที่ให้อนุญาตนั้น แต่อย่างไรก็ตามถ้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจไม่อนุญาตท่านต้องแจ้งเหตุผลการปฏิเสธแก่ผู้เขียนหนังสือนั้น

มาตรา 831 วรรค 1 ถ้าไม่มีเหตุอันควรและชอบด้วยเหตุผลคริสตชนต้องไม่เขียนอะไรลงในหนังสือพิมพ์ นิตยสารหรือวารสารซึ่งชอบโจมตีพระศาสนจักรคาทอลิกหรือศีลธรรมอันดีอย่างเปิดเผย ส่วนสมณะและสมาชิกสถาบันนักพรตจะเขียนได้ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจท้องถิ่นเท่านั้น

วรรค 2 เป็นหน้าที่ของสภาพระสังฆราชที่จะวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับเงื่อนไขที่จำเป็นเพื่ออนุญาตให้สมณะหรือสมาชิกคณะนักพรตมีส่วนในการถกปัญหาทางวิทยุหรือโทรทัศน์ซึ่งเกี่ยวข้องกับคำสอนคาทอลิกหรือศีลธรรม

มาตรา 832 สมาชิกของคณะสถาบะนนักพรต จะพิมพ์ข้อเขียนเกี่ยวกับปัญหาศาสนาหรือศีลธรรม ยังต้องได้รับอนุญาตจากอธิการใหญ่ของตนตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญก่อนด้วย

 

ลักษณะ 5 การปฏิญาณความเชื่อ

มาตรา 833 บุคคลต่อไปนี้จำต้องปฏิญาณความเชื่อเป็นรายบุคคล ตามสูตรที่สันตะสำนักได้รับรอง

1.       ทุกคนที่มีส่วนร่วมในการประชุมสังคายนา หรือในที่ประชุมเฉพาะในสมัชชาพระสังฆราชและในสมัชชาสังฆมณฑลโดยมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตัดสินหรือเพียงให้คำปรึกษาต้องทำการปฏิญาณต่อหน้าประธานหรือผู้แทน ส่วนประธานต้องทำการปฏิญาณต่อหน้าสภาหรือสมัชชา

2.       ผู้ที่ได้รับเลื่อนสู่สมณะศักดิ์ คาร์ดินัล ต้องทำการปฏิญาณตามธรรมนูญของคณะศักดิ์สิทธิ์ (sacred college)

3.       ทุกคนที่ได้รับเลื่อนสู่ตำแหน่งพระสังฆราชหรือผู้ที่เทียบเท่าพระสังฆราชสังฆมณฑลต้องทำการปฏิญาณตนต่อหน้าผู้แทนสันตะสำนัก

4.       ผู้รักษาการสังฆมณฑลต้องทำการปฏิญาณต่อหน้าคณะที่ปรึกษา

5.       อุปสังฆราช ผู้ช่วยพระสังฆราช และผู้ช่วยฝ่ายตุลาการ ต้องทำการปฏิญาณต่อหน้าพระสังฆราชสังฆมณฑล หรือผู้แทนของท่าน

6.       พระสงฆ์เจ้าอาวาส อธิการบ้านเณร อาจารย์เทวศาสตร์และปรัชญาในบ้านเณรต้องทำการปฏิญาณเมื่อเริ่มรับตำแหน่งหน้าที่ต่อหน้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น หรือผู้แทนของท่านผู้ได้รับเลื่อนเป็นสังฆานุกรก็ทำการปฏิญาณเช่นเดียวกัน

7.       อธิการมหาวิทยาลัยฝ่ายพระศาสนจักรหรือคาทอลิกต้องทำการปฏิญาณเมื่อรับตำแหน่งหน้าที่ต่อหน้าอธิการบดีหรือเมื่ออธิการบดีไม่อยู่ ให้ทำต่อหน้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นหรือต่อหน้าผู้แทนของท่าน บรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยใดๆก็ตามที่สอนวิชาเกี่ยวกับความเชื่อหรือศีลธรรมต้องทำการปฏิญาณเมื่อรับตำแหน่งหน้าที่ต่อหน้าอธิการถ้าอธิการเป็นพระสงฆ์หรือต่อหน้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นหรือต่อหน้าบรรดาผู้แทนของท่าน

8.       บรรดาอธิการในสถาบันนักพรตสมณะ และคณะชีวิตธรรมทูตที่เป็นสมณะ ต้องทำการปฏิญาณตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรพ 4 หน้าที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร

 

มาตรา 834 วรรค 1 พระศาสนจักรปฏิบัติหน้าที่อย่างครบถ้วนในการทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ด้วยวิธีของตนเองโดยทางพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่สงฆ์ของพระเยซูคริสต์ และในพิธีกรรมนี้ความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์แสดงออกให้เห็นโดยเครื่องหมายภายนอก และทำให้เกิดผลด้วยวิธีการเฉพาะของแต่ละเครื่องหมายและดังนี้ก็เป็นการถวายคารวกิจสาธารณะทั้งครบแด่พระเจ้าโดยพระกายทิพย์ของพระเยซูคริสต์ กล่าวคือ ศีรษะ และอวัยวะส่วนต่างๆ

วรรค 2 คารวกิจนี้ เกิดขึ้นเมื่อบุคคลผู้ได้รับมอบหมายอย่างถูกต้องปฏิบัติคารวกิจในนามของพระศาสนจักรและด้วยกิจกรรมที่ได้รับการรับรองจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของพระศาสนจักร

มาตรา 835 วรรค 1 หน้าที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์เป็นหน้าที่เอกของพระสังฆราชผู้เป็นพระสงฆ์ผู้ใหญ่ เป็นผู้แจกจ่ายสำคัญของรหัสธรรมของพระเจ้าทั้งยังเป็นผู้ควบคุม ส่งเสริมและพิทักษ์ชีวิตทางพิธีกรรมทั้งหมดในพระศาสนจักรที่ท่านได้รับมอบหมาย

วรรค 2 พระสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่นี้ด้วยเพราะได้รับการบวชให้เป็นผู้มีส่วนในสังฆภาพของพระเยซูคริสต์ และเป็นศาสนบริกรภายใต้อำนาจของพระสังฆราช เพื่อถวายคารวกิจแด่พระเจ้า และทำให้ประชากรศักดิ์สิทธิ์

วรรค 3 สังฆานุกรมีส่วนในการถวายคารวกิจแด่พระเจ้า ตามข้อกำหนดของกฎหมาย

วรรค 4 บรรดาคริสชน ก็มีส่วนเฉพาะของตนในหน้าที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์โดยร่วมพิธีกรรมอย่างมีบทบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพิธีบูชามิสซาตามส่วนและวิธีการของตน บิดามารดามีส่วนในหน้าที่นี้ด้วยวิธีการเฉพาะของตนกล่าวคือ การเจริญชีวิตสมรสตามจิตตารมณ์คริสตชน และจัดให้บุตรได้รับการอบรมแบบคริสตชน

มาตรา 836 เนื่องจากการถวายคารวกิจแบบ คริสตชนซึ่งคริสตชนปฏิบัติความเป็นสงฆ์สามัญเป็นงานที่ออกมาจาก และอิงอยู่ในความเชื่อบรรดาศาสนบริกรศักดิ์สิทธิ์ต้องเอาใจใส่กระตุ้นเตือน และอธิบายความเชื่อนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งโดยศาสนบริกรด้านพระวาจาซึ่งทำให้เกิด และหล่อเลี้ยงความเชื่อ

มาตรา 837 วรรค 1 กิจการด้านพิธีกรรม มิใช่เป็นเรื่องส่วนบุคคล หากแต่เป็นการเฉลิมฉลองของพระศาสนจักรเองในฐานะที่เป็นเครื่องหมายของความเป็นหนึ่งเดียวกัน กล่าวคือประชากรศักดิ์สิทธิ์ที่รวมกัน และจัดเป็นระเบียบภายใต้การปกครองของพระสังฆราช ด้วยเหตุนี้กิจการด้านพิธีกรรมจึงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับร่างกายทั้งหมดของพระศาสนจักรซึ่งแสดงให้เห็น และก่อให้เกิดกายนั้นแต่กิจการด้านพิธีกรรมยังผลแก่สมาชิกแต่ละคนของพระ ศาสนจักรด้วยวิธีแตกต่างกันตามฐานันดร บทบาทและการมีส่วนร่วมอย่างจริงจังของแต่ละคน

วรรค 2 เนื่องจากกิจการด้านพิธีกรรม โดยธรรมชาติของมันเองแล้วเป็นการเฉลิมฉลองของชุมชน ดังนั้น ถ้าที่ใดทำได้ให้เฉลิมฉลองโดยมีสัตบุรุษร่วม และร่วมอย่างมีบทบาท

มาตรา 838 วรรค 1 การควบคุมดูแลพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นั้นขึ้นกับอำนาจพระศาสนจักรเท่านั้นกล่าวคือ อำนาจของสันตสำนัก และของสังฆราชสังฆมณฑล ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

วรรค 2 เป็นหน้าที่ของสันตะสำนักต้องจัดระเบียบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักรสากลจัดพิมพ์หนังสือพิธีกรรมพร้อมทั้งรับรองคำแปลที่เป็นภาษาท้องถิ่น และสอดส่องให้มีการปฏิบัติตามระเบียบพิธีกรรมอย่างซื่อสัตย์ทุกแห่งหน

วรรค 3 เป็นหน้าที่ของสภาพระสังฆราช ที่จะจัดแปลและพิมพ์หนังสือพิธีกรรมเป็นภาษาท้องถิ่น โดยประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสมตามที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรมเอง โดยได้รับการรับรองจากสันตสำนักก่อน

วรรค 4 เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑล ที่จะวางกฎเกณฑ์ด้านพิธีกรรมภายในขอบเขตอำนาจของท่านในพระศาสนจักรที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลซึ่งทุกคนต้องปฏิบัติตาม

มาตรา 839 วรรค 1 พระศาสนจักรยังปฏิบัติหน้าที่ทำให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยวิธีอื่นๆอีก กล่าวคือ ด้วยการภาวนาวิงวอนพระเจ้าเพื่อให้คริสตชนเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ในความจริง ด้วยการใช้โทษบาปและกิจเมตตาปราณีทั้งหลาย ซึ่งมีส่วนช่วยอย่างมากให้อาณาจักรของพระคริสต์หยั่งรากและเข้มแข็งในวิญญาณ และนำความรอดมาสู่โลก

วรรค 2 บรรดาผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจท้องถิ่น ต้องเอาใจใส่ให้การภาวนาและกิจศรัทธา และกิจการศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ของ คริสตชนสอดคล้องอย่างสมบูรณ์กับกฎเกณฑ์ของพระศาสนจักร

 

ภาค 1 ศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ

มาตรา 840 ศีลศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาใหม่ได้รับการสถาปนาขึ้นจากพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้า และทรงมอบแก่พระศาสนจักร ในฐานะที่เป็นกิจกรรมของพระเยซูคริสต์ และของพระศาสนจักรศีลศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายเป็นเครื่องหมาย และเครื่องมือซึ่งทำให้ความเชื่อของคริสตชนปรากฎออกมา และเข้มแข็งการถวายคารวกิจแด่พระเจ้า และความศักดิ์สิทธิ์ของมนุษย์ก็เกิดขึ้น และดังนี้ ศีลศักดิ์สิทธิ์ช่วยให้ชุมชนพระศาสนจักรตั้งขึ้น เข้มแข็ง และแสดงตัวออกมา เพราะฉะนั้น ในการเฉลิมฉลองศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทั้งศาสนบริกรและบรรดาคริสตชนต้องให้ความเคารพอย่างสูงสุดและความเอาใจใส่ที่คู่ควรด้วย

มาตรา 841 เนื่องจากศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นศีลเดียวกันสำหรับพระศาสนจักรสากลและเป็นส่วนหนึ่งในคลังความเชื่อของพระเจ้าจึงเป็นอำนาจสูงสุดแต่อำนาจเดียวของพระศาสนจักรเท่านั้นที่จะรับรองหรือกำหนดว่ามีอะไรเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อความถูกต้องและเป็นอำนาจเดียวกันนี้เอง หรืออำนาจอื่นตามมาตรา 838 วรรค 3 และ 4ที่จะแยกแยะ และกำหนดว่าอะไรที่ต้องการเพื่อการเฉลิมฉลอง การบริการและการรับศีลเหล่านั้นได้โดยชอบและกำหนดขั้นตอนที่จะต้องปฏิบัติในการเฉลิมฉลอง

มาตรา 842 วรรค 1 บุคคลผู้ซึ่งไม่ได้รับศีลล้างบาป ไม่สามารถรับศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ได้อย่างมีผล

วรรค 2 ศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลมหาสนิท เสริมกันและกัน จนว่าจำเป็นต้องรับศีลเหล่านั้น เพื่อให้การเริ่มต้นเป็น คริสตชนสมบูรณ์

มาตรา 843 วรรค 1 ศาสนบริกร ไม่สามารถปฏิเสธศีลศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้มาขอรับตามโอกาสอันควรอยู่ในสภาพพร้อมและไม่ถูกห้ามรับศีลเหล่านั้นโดยกฎหมาย

วรรค 2 ตามตำแหน่งหน้าที่ของแต่ละคน ทั้งผู้อภิบาลวิญญาณและบรรดาคริสตชนต่างมีหน้าที่เอาใจใส่ เตรียมผู้มาขอรับศีลศักดิ์สิทธิ์โดยรับข่าวดีและเรียนคำสอน โดยถือตามกฎเกณฑ์ซึ่งผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจกำหนดไว้

มาตรา 844 วรรค 1 ศาสนบริกรคาทอลิกบริการศีลศักดิ์สิทธิ์ได้โดยชอบแก่คริสตชนคาทอลิกเท่านั้นเช่นเดียวกันคริสตชนคาทอลิกจะรับศีลศักดิ์สิทธิ์ได้โดยชอบจากศาสนบริกรคาทอลิกเท่านั้นโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดใน วรรค 2 3 และ4 ของมาตรานี้ และมาตรา 861 วรรค 2

วรรค 2 เมื่อมีความจำเป็น หรือผลประโยชน์จริงๆ ฝ่ายวิญญาณเรียกร้องอนุญาตให้สัตบุรุษที่ไม่สามารถเข้าหา ศาสนบริกรคาทอลิกได้เพราะเหตุทางกายหรือใจ โดยหลีกเลี่ยงอันตรายของความผิดหลงหรือลัทธิไร้ความแตกต่างแล้ว ก็รับศีลอภัยบาป ศีลมหาสนิท ศีลเจิมคนไข้ได้โดยชอบจากศาสนบริกรที่ไม่ใช่คาทอลิก ซึ่งในวัดของศาสนบริกรเหล่านี้ศีลศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวมีผล

วรรค 3 ศาสนบริกรคาทอลิก บริการศีลอภัยบาป ศีลมหาสนิทและศีลเจิมคนไข้ได้โดยชอบแก่สมาชิกของศาสนจักรตะวันออกซึ่งไม่มีความสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับพระศาสนจักรคาทอลิกถ้าพวกเขามาขอรับศีลด้วยความสมัครใจ และอยู่ในสภาพพร้อมที่เหมาะสมเช่นเดียวกัน เรื่องนี้ประยุกต์ใช้กับสมาชิกศาสนจักรอื่นๆ ซึ่งสันตะสำนักวินิจฉัยแล้วว่าอยู่ในฐานะเที่ยบเท่าศาสนจักรตะวันออกดังที่กล่าวมาในเรื่องเกี่ยวกับศีลศักดิ์สิทธิ์

วรรค 4 หากมีอันตรายใกล้ตายหรือ มีความจำเป็นอื่นๆที่รุนแรง และเร่งรัดตามคำตัดสินของพระสังฆราชสังฆมณฑล หรือของสภาพระสังฆราชศาสนบริกรคาทอลิกบริการศีลศักดิ์สิทธิ์เดียวกันนั้นได้โดยชอบแก่คริสตชนอื่นๆที่ไม่มีความสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับพระศาสนจักรคาทอลิกผู้ซึ่งไม่สามารถเข้าหาศาสนบริกรของชุมชนของตนได้ และมาขอรับด้วยตนเองเพียงแต่ให้แสดงความเชื่อคาทอลิก เกี่ยวกับศีลศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้และอยู่ในสภาพพร้อมที่เหมาะสม

วรรค 5 ในกรณีที่เกี่ยวกับ วรรค 2 3 และ4 พระสังฆราชสังฆมณฑลหรือสภาพระสังฆราช ต้องไม่ออกกฎทั่วไปไว้เว้นแต่ว่าจะได้ปรึกษากับผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของศาสนจักรหรือชุมชนที่มิใช่คาทอลิกที่เกี่ยวข้อง อย่างน้อยในระดับท้องถิ่นเสียก่อน

มาตรา 845 วรรค 1 เนื่องด้วยศีลล้างบาป ศีลกำลัง และศีลบรรพชา เป็นศีลที่ประทับตรา จึงไม่อาจรับซ้ำได้

วรรค 2 ถ้าได้สอบถามอย่างแข็งขันแล้วยังมีความสงสัยที่รอบคอบอยู่ว่าได้มีการรับศีลศักดิ์สิทธิ์ตามวรรค 1แล้วหรือยัง หรือได้รับอย่างมีผลหรือไม่ ให้โปรดศีลดังกล่าวนั้นได้ภายใต้เงื่อนไข

มาตรา 846 วรรค 1 ในการประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์ให้ถือตามหนังสือพิธีกรรมซึ่งผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจได้รับรองแล้วอย่างซื่อสัตย์ฉะนั้นใครก็ตามไม่อาจเพิ่ม ตัด หรือเปลี่ยนแปลงสิ่งใดในหนังสือนั้นโดยพลการ

วรรค 2 ศาสนบริกร ต้องประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์ตามจารีตเฉพาะของตน

มาตรา 847 วรรค 1 ในการบริการศีลศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งต้องใช้น้ำมันศักดิ์สิทธิ์ศาสนบริกรต้องใช้น้ำมันที่สกัดจากผลมะกอก หรือจากผลพืชชนิดอื่นโดยคำนึงถึงข้อกำหนดในมาตรา 999 ข้อ 2 ซึ่งเป็นน้ำมันที่ได้รับการอภิเสกหรือเสกใหม่โดยพระสังฆราชต้องไม่ใช้น้ำมันเก่า เว้นแต่ในกรณีจำเป็น

วรรค 2 เจ้าอาวาส ต้องขอน้ำมันศักดิ์สิทธิ์จากพระสังฆราชของตน และเก็บรักษาไว้อย่างเอาใจใส่ในที่ที่เหมาะสม

มาตรา 848 ในการบริการศีลศักดิ์สิทธิ์ ศาสน บริกรต้องไม่ขอของถวายใดๆนอกเหนือจากสิ่งซึ่งผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจกำหนดไว้แล้วพึงระวังเสมออย่าให้คนขัดสนขาดความช่วยเหลือด้านศีลศักดิ์สิทธิ์ด้วยเหตุแห่งความยากจน

 

ลักษณะ 1 ศีลล้างบาป

มาตรา 849 ศีลล้างบาป ประตูสู่ศีลศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ จำเป็นเพื่อความรอดไม่ว่าจะรับจริงๆ หรืออย่างน้อยรับด้วยความปรารถนา อาศัยศีลนี้มนุษย์หลุดพ้นจากบาปเกิดใหม่เป็นบุตรพระเจ้าและเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรมีความคล้ายคลึงกับพระคริสต์ด้วยตราอันมิอาจลบเลือนการประกอบศีลล้างบาปมีผลเมื่อกระทำโดยการล้างด้วยน้ำจริงๆพร้อมกับการกล่าววาจาตามสูตรที่กำหนดไว้เท่านั้น

 

หมวด 1 การประกอบศีลล้างบาป

มาตรา 850 ศีลล้างบาปต้องประกอบตามจารีตที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรมที่ได้รับการรับรองแล้วเว้นแต่ในกรณีจำเป็นรีบด่วน ต้องรักษาส่วนประกอบที่จำเป็นเพื่อทำให้ศีลศักดิ์สิทธิ์มีผลเท่านั้น

มาตรา 851 การประกอบศีลล้างบาป ต้องเตรียมการที่จำเป็นดังต่อไปนี้

1.       ผู้ใหญ่ที่ประสงค์จะรับศีลล้างบาป ต้องได้รับเข้าเป็นคริสตชนสำรองและเท่าที่จะเป็นไปได้ ต้องผ่านขั้นตอนต่างๆเข้าสู่การเริ่มทางศีลศักดิ์สิทธิ์ที่สอดคล้องกับจารีตของการเริ่มต้นที่สภาพระสังฆราชประยุกต์ใช้ และตามข้อกำหนดที่สภาได้ประกาศใช้

2.       บิดามารดาของเด็กที่จะรับศีลล้างบาปและบุคคลที่จะรับหน้าที่เป็นพ่อแม่อุปภัมภ์ต้องได้รับการอบรมที่เหมาะสมเกี่ยวกับความหมายของศีลนี้และภาระผูกพันที่ติดมา เจ้าอาวาสเอง หรือคนอื่นต้องเอาใจใส่ให้บิดามารดาได้รับการอบรม ด้วยคำแนะนำเชิงอภิบาลและยิ่งกว่านั้น ด้วยการภาวนาเป็นกลุ่ม โดยรวมหลายๆ ครอบครัวเข้าด้วยกันและถ้าเป็นไปได้ โดยการเยี่ยมครอบครัวเหล่านั้น

มาตรา 852 วรรค 1 ข้อกำหนดของมาตราต่างๆ ที่ว่าด้วยศีลล้างบาปผู้ใหญ่ นำมาใช้กับทุกคนที่พ้นวัยทารก และรู้จักใช้เหตุผลแล้ว

วรรค 2 บุคคลที่ไร้ความสามารถ ให้ถือเสมือนเป็นทารก แม้ในเรื่องเกี่ยวกับศีลล้างบาปด้วย

มาตรา 853 นอกจากกรณีความจำเป็น น้ำที่ใช้ในการโปรดศีลล้างบาป ต้องได้รับการเสกตามข้อกำหนดของหนังสือพิธีกรรม

มาตรา 854 การโปรดศีลล้างบาป ทำได้โดยการจุ่มน้ำ หรือโดยการเทน้ำ ตามข้อกำหนดของสภาพระสังฆราช

มาตรา 855 บิดามารดา พ่อแม่อุปถัมภ์ และเจ้าอาวาส ต้องเอาใจใส่มิให้ใช้ชื่อที่ผิดแผกจากความรู้สึกของคริสตชน

มาตรา 856 แม้ศีลล้างบาปจะประกอบในวันใดก็ได้ โดยปกติ แนะนำให้ประกอบในวันอาทิตย์ หรือ ถ้าเป็นไปได้ ในพิธีตื่นเฝ้าของวันปาสกา

มาตรา 857 วรรค 1 นอกจากกรณีจำเป็น สถานที่เฉพาะสำหรับศีลล้างบาป คือวัดหรือโรงสวด

วรรค 2 เว้นแต่จะมีเหตุผลชี้ชวนเป็นอย่างอื่น ให้ถือเป็นระเบียบว่าผู้ใหญ่ต้องรับศีลล้างบาปในวัดปกครองของตน และทารกในวัดปกครองของบิดามารดา

มาตรา 858 วรรค 1 วัดปกครองแต่ละแห่งต้องมีอ่างล้างบาป โดยคงไว้ซึ่งสิทธิเดียวกันนี้ที่วัดอื่นๆ ได้รับมาแล้ว

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจท้องถิ่นหลังจากได้ปรึกษากับเจ้าอาวาสท้องที่แล้ว เพื่อความสะดวกของสัตบุรุษท่านสามารถอนุญาต หรือสั่งให้สร้างอ่างล้างบาปในวัด หรือโรงสวดแห่งอื่นซึ่งอยู่ในเขตของวัดปกครอง

มาตรา 859 ถ้าผู้รับศีลล้างบาปไม่สามารถไป หรือถูกนำไปยังวัดปกครองหรือวัดอื่น หรือโรงสวด ดังที่กล่าวในมาตรา 858 วรรค 1 ได้โดยมีความไม่สะดวกยิ่งเนื่องจากระยะทางหรือกรณีแวดล้อมอื่นๆ การโปรดศีลล้างบาปควรทำ และต้องทำในวัด หรือโรงสวดอื่นที่อยู่ใกล้กว่าหรือแม้ในสถานที่อื่นที่เหมาะสม

มาตรา 860 วรรค 1 นอกจากกรณีจำเป็น ต้องไม่โปรดศีลล้างบาปในบ้านส่วนบุคคลเว้นแต่ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจท้องถิ่นจะอนุญาต เพราะเหตุผลที่มีน้ำหนัก

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่า พระสังฆราช สังฆมณฑลได้ประกาศเป็นอย่างอื่นต้องไม่โปรดศีลล้างบาปในโรงพยาบาล ยกเว้นในกรณีจำเป็นหรือมีเหตุผลด้านอภิบาลบางอย่างเร่งรัด

 

หมวด 2 ศาสนบริกรศีลล้างบาป

มาตรา 861 วรรค 1 ศาสนบริกรศีลล้างบาปตามปกติ คือพระสังฆราช พระสงฆ์ และ สังฆานุกร โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 530 ข้อ 1

วรรค 2 ถ้าศาสนบริกรปกติไม่อยู่ หรือถูกขัดขวาง ครูสอนคำสอนหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่นี้จากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจท้องถิ่นเพื่อการนี้ ยิ่งกว่านั้น ในกรณีจำเป็นผู้ใดก็ตามที่มีเจตจำนงที่ถูกต้อง ก็โปรดศีลล้างบาปได้โดยชอบผู้อภิบาลวิญญาณโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสต้องเอาใจใส่สอนคริสตชน ให้รู้จักวิธีโปรดศีลล้างบาปที่ถูกต้อง

มาตรา 862 เว้นแต่ในกรณีจำเป็นไม่อนุญาตให้ใครโปรดศีลล้างบาปในเขตปกครองของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาตที่ควรก่อน แม้โปรดให้แก่คนในการปกครองของเขาเอง

มาตรา 863 การโปรดศีลล้างบาปผู้ใหญ่ที่มีอายุอย่างน้อยครบ 14 ปีต้องเสนอไปยังพระสังฆราชสังฆมณฑล เพื่อให้ท่านโปรดศีลเองถ้าท่านวินิจฉัยเห็นควรที่จะทำเช่นนั้น

 

หมวด 3 ผู้ที่จะรับศีลล้างบาป

มาตรา 864 มนุษย์ทุกคน และมนุษย์เท่านั้นที่ยังมิได้รับศีลล้างบาป สามารถรับศีลล้างบาปได้

มาตรา 865 วรรค 1 เพื่อให้ผู้ใหญ่รับศีลล้างบาปได้เขาต้องแสดงเจตจำนงที่จะรับศีลนี้ และต้องเรียนรู้ข้อความจริงแห่งความเชื่อ และหน้าที่ชีวิตคริสตชนอย่างเพียงพอต้องได้รับการทดสอบชีวิตคริสตชนในขณะที่เป็นคริสตชนสำรอง ยิ่งกว่านั้นเขาต้องได้รับการกระตุ้นเตือนให้เป็นทุกข์ถึงบาปของตน

วรรค 2 ผู้ใหญ่ที่อยู่ในอันตรายใกล้ตายรับศีลล้างบาปได้ถ้าเขาได้เจตจำนงวิธีใดวิธีหนึ่งที่จะรับศีลล้างบาป และสัญญาว่าจะถือตามบัญญัติของศาสนาคริสต์ โดยมีความรู้บ้าง ถึงความจริงที่สำคัญๆ ของความเชื่อ

มาตรา 866 เว้นแต่ว่ามีเหตุผลตรงข้าม อย่างยิ่งผู้ใหญ่ หลังรับศีลล้างบาปแล้วให้รับศีลกำลังทันที ร่วมในการถวายบูชามิสซา และรับศีลมหาสนิทด้วย

มาตรา 867 วรรค 1 บิดามารดามีพันธะจัดเตรียมทารกให้รับศีลล้างบาปในระยะสัปดาห์แรกๆ เร็วเท่าที่ทำได้หลังการเกิดแม้ก่อนการเกิดบิดามารดาควรติดต่อเจ้าอาวาสเพื่อขอรับศีลศักดิ์สิทธิ์สำหรับลูกของตน และเตรียมตัวตามที่จำเป็น

วรรค 2 หากทารกอยู่ในอันตรายใกล้ตาย ให้โปรดศีลล้างบาปแก่ทารกนั้นโดยไม่รอช้า

มาตรา 868 วรรค 1 เพื่อให้เด็กรับศีลล้างบาปโดยชอบ ต้อง :

1.       ให้บิดามารดา หรืออย่างน้อยคนใดคนหนึ่ง หรือผู้ทำหน้าที่แทนโดยชอบ แสดงความยินยอม

2.       มีความหวังที่มีพื้นฐานเป็นจริงว่าเด็กจะได้รับการอบรมเลี้ยงดูในศาสนาคาทอลิก หากความหวังดังกล่าวไม่มีเลยให้เลื่อนการรับศีลล้างบาปออกไป ตามข้อกำหนดของกฎหมายเฉพาะและให้แจ้งแก่บิดามารดาทราบถึงเหตุผลที่เลื่อนนั้น

วรรค 2 ทารกของบิดามารดาคาทอลิก ยิ่งกว่านั้นแม้ที่มิได้เป็นคาทอลิกซึ่งอยู่ในอันตรายใกล้ตาย รับศีลล้างบาปได้โดยชอบแม้ขัดต่อน้ำใจบิดามารดาก็ตาม

มาตรา 869 วรรค 1 ถ้ามีข้อสงสัยว่า คนใดคนหนึ่งได้รับศีลล้างบาปแล้วหรือยังหรือศีลล้างบาปที่เขารับนั้นถูกต้องหรือไม่หลังจากได้สอบสวนเรื่องอย่างจริงจังแล้ว ความสงสัยนั้นยังคงอยู่ให้โปรดศีลล้างบาปแก่บุคคลนั้นภายใต้เงื่อนไข

วรรค 2 บุคคลผู้รับศีลล้างบาปในชุมชนศาสนจักรที่มิใช่คาทอลิกต้องไม่รับศีลล้างบาปภายใต้เงื่อนไขอีกเว้นแต่ว่ามีความสงสัยยิ่งเกี่ยวกับความถูกต้องของศีลล้างบาปเรื่องวัตถุสาร และสูตรวาจาที่ใช้ หรือเรื่องเจตจำนงค์ของบุคคลนั้นที่รับหรือเรื่องศาสนบริกรผู้โปรด

วรรค 3 ถ้าในกรณีที่กล่าวใน วรรค 1 และ 2 ยังมีความสงสัยว่าได้มีการโปรดศีลล้างบาปหรือยัง หรือศีลล้างบาปที่รับนั้นถูกต้องหรือไม่ต้องไม่โปรดศีลล้างบาปอีกจนกว่าจะได้อธิบายคำสอนเรื่องศีลล้างบาปให้แก่ผู้ใหญ่ซึ่งจะรับศีลยิ่งกว่านั้นต้องบอกเหตุแห่งความสงสัยในความถูกต้องของศีลล้างบาปที่รับแก่เขาด้วยหรือถ้าเป็นทารก ก็แจ้งแก่บิดามารดา

มาตรา 870 ให้โปรดศีลล้างบาปแก่ทารกที่ถูกทอดทิ้งหรือมีผู้พบเห็นได้ เว้นแต่เมื่อสอบสวนอย่างจริงจัง และพบว่า ทารกนั้นได้รับศีลล้างบาปแล้ว

มาตรา 871 ทารกที่แท้งออกมา ถ้ายังมีชีวิตอยู่ให้รับศีลล้างบาปเท่าที่เป็นไปได้

 

หมวด 4 พ่อ-แม่อุปถัมภ์

มาตรา 872 เท่าที่เป็นไปได้ ผู้รับศีลล้างบาปมีพ่อแม่อุปถัมภ์ได้คนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่ช่วยผู้รับศีลล้างบาปที่เป็นผู้ใหญ่ในพิธีเริ่มต้นเป็นคริสตชน และถ้าผู้รับศีลล้างบาปเป็นทารกก็มีหน้าที่พร้อมกับบิดามารดานำทารกนั้นมารับศีลล้างบาป และช่วยเหลือให้ผู้ได้รับศีลล้างบาปแล้วเจริญชีวิตคริสตชนที่เหมาะสม และปฏิบัติพันธะที่ติดมากับศีลล้างบาปนั้นอย่างซื่อสัตย์

มาตรา 873 ต้องมีพ่ออุปถัมภ์คนหนึ่ง หรือแม่อุปถัมภ์คนหนึ่งเท่านั้น หรือจะมีทั้งพ่ออุปถัมภ์ และแม่อุปถัมภ์ก็ได้

มาตรา 874 วรรค 1 บุคคลที่รับหน้าที่เป็นพ่อแม่อุปถัมภ์นั้น ต้อง :

1.       ได้รับการเลือกจากผู้จะรับศีลล้างบาปเอง หรือจากบิดามารดาหรือจากผู้ทำหน้าที่แทนบิดามารดาของเขา หรือถ้าขาดบุคคลเหล่านี้ให้เจ้าอาวาส หรือ ศาสนบริกรเลือกแทนบุคคลที่เป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ต้องมีความเหมาะสม และมีเจตจำนงค์รับหน้าที่นี้

2.       มีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์เว้นแต่พระสังฆราชสังฆมณฑลได้กำหนดอายุเป็นอย่างอื่น หรือเจ้าอาวาสหรือศาสนบริกรเห็นว่ามีเหตุอันควรยกเว้นให้ได้

3.       เป็นคาทอลิกที่รับศีลกำลัง และศีลมหาสนิท และเจริญชีวิตที่สอดคล้องกับความเชื่อ ซึ่งเหมาะสมกับบทบาทที่จะรับ

4.       ไม่เป็นบุคคลที่ยังต้องโทษใดๆ ทางกฎหมายพระศาสนจักร ไม่ว่าโทษที่ลงทัณฑ์แล้ว หรือโทษที่ได้ประกาศโดยชอบ

5.       ไม่เป็นบิดาหรือมารดา ของผู้จะรับศีลล้างบาป

วรรค 2 ให้ผู้ได้รับศีลล้างบาปที่มาจากชุมชนศาสนจักรที่มิใช่คาทอลิกเข้าร่วมกับพ่อแม่อุปถัมภ์คาทอลิกได้แต่เป็นได้เฉพาะพยานศีลล้างบาปเท่านั้น

 

หมวด 5 การพิสูจน์ และบันทึกศีลล้างบาป

มาตรา 875 ผู้โปรดศีลล้างบาปต้องเอาใจใส่ให้มีพยานอย่างน้อยหนึ่งคนเพื่อสามารถพิสูจน์ศีลล้างบาปที่ได้โปรดนั้นเว้นแต่จะมีพ่อแม่อุปถัมภ์อยู่ที่นั่นแล้ว 876 เพื่อพิสูจน์การโปรดศีลล้างบาป ถ้าไม่มีผลประโยชน์มาขัดแย้งหากมีพยานคนหนึ่งที่อยู่เหนือความสงสัยทั้งปวง ยืนยันว่ามีการโปรดศีลล้างบาปจริง เท่านั้นก็พอ หรือหากเป็นผู้ใหญ่ที่รับศีลล้างบาปคำสาบานของเขาก็เพียงพอเช่นกัน

มาตรา 877 วรรค 1 เจ้าอาวาสของสถานที่ซึ่งมีการโปรดศีลล้างบาป ต้องเอาใจใส่และไม่ชักช้าที่จะบันทึกในทะเบียนศีลล้างบาป ซึ่งผู้รับศีลล้างบาปศาสนบริกร บิดามารดา พ่อแม่อุปถัมภ์ พยานด้วยถ้ามี และสถานที่วันที่โปรดศีลล้างบาป พร้อมทั้งวันและสถานที่เกิดของผู้รับศีลล้างบาปด้วย

วรรค 2 ในกรณีเกี่ยวกับเด็กที่เกิดจากมารดานอกสมรส ต้องบันทึกชื่อมารดาถ้าปรากฏอย่างเปิดเผยว่า หญิงนั้นเป็นมารดาของเด็กหรือถ้ามารดาเป็นผู้ขอให้บันทึกเองเป็นลายลักษณ์อักษร หรือต่อหน้าพยานสองคนเช่นเดียวกัน ให้บันทึกชื่อบิดา ถ้าความเป็นบิดามีเอกสารสาธารณะยืนยันหรือเขาเองยืนยันต่อหน้าเจ้าอาวาส และพยานสองคน ในกรณีอื่น ๆ ให้บันทึกชื่อผู้รับศีลล้างบาป โดยไม่ระบุชื่อบิดา หรือบิดามารดา

วรรค 3 ในกรณีเกี่ยวกับบุตรบุญธรรม ให้บันทึกชื่อบิดามารดาบุญธรรม และชื่อบิดามารดาแท้ด้วยตามกฎเกณฑ์ในวรรค 1 และ 2 ถ้าอย่างน้อยมีการทำเช่นนี้ในทะเบียนท้องถิ่นทางบ้านเมืองโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของสภาพระสังฆราชด้วย

มาตรา 878 ถ้าการโปรดศีลล้างบาปมิได้โปรดโดยเจ้าอาวาสเองหรือโปรดโดยมีเจ้าอาวาสอยู่ด้วย ผู้ที่ได้โปรดศีลล้างบาป ไม่ว่าใครต้องแจ้งให้เจ้าอาวาสของวัดปกครองที่มีการโปรดศีลล้างบาปทราบเพื่อให้ท่านบันทึกการล้างบาปนั้นตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 877 วรรค 1

 

 

 

ลักษณะ 2 ศีลกำลัง

879 ศีลกำลังเป็นศีลที่ประทับตรา และโดยศีลนี้ผู้รับศีลล้างบาป ซึ่งเริ่มดำเนินชีวิตคริสตชนก็เปี่ยมด้วยพระคุณของพระจิตเจ้า และผูกผันกับพระศาสนจักรครบครันยิ่งขึ้นศีลนี้ทำให้ผู้รับเข้มแข็งและผูกมัดยิ่งขึ้นให้เป็นพยานถึงพระคริสต์ ด้วย

 

หมวด 1 การเฉลิมฉลองศีลกำลัง

มาตรา 880 วรรค 1 ศีลกำลังโปรดด้วยการเจิมน้ำมันคริสมาที่หน้าผากซึ่งกระทำโดยการปกมือ และกล่าววาจาที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรมที่ได้รับการรับรอง

วรรค 2 น้ำมันคริสมาที่ใช้ในการโปรดศีลกำลัง ต้องได้รับการอภิเสกจากพระสังฆราช แม้ในกรณีที่พระสงฆ์เป็นผู้โปรดศีลกำลังด้วย

มาตรา 881 ควรอย่างยิ่งให้เฉลิมฉลองศีลกำลังในวัด และระหว่างบูชามิสซาด้วยกระนั้นก็ดี ถ้ามีเหตุอันควร และชอบด้วยเหตุผล จะเฉลิมฉลองนอกบูชามิสซาและในสถานที่คู่ควรใดๆ ก็ได้

 

หมวด 2 ศาสนบริกรศีลกำลัง

มาตรา 882 ศาสนบริกรปกติของศีลกำลัง คือ พระสังฆราชพระสงฆ์สามารถโปรดศีลนี้อย่างมีผลได้ด้วย ถ้าได้รับอำนาจให้ปฏิบัติเช่นนั้นไม่ว่าจากกฎหมายสากล หรือโดยได้รับมอบอำนาจพิเศษจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ

มาตรา 883 บุคคลต่อไปนี้ โดยกฎหมาย มีอำนาจโปรดศีลกำลังได้

1.       ภายในขอบเขตปกครองของตน บุคคลผู้เทียบเท่าพระสังฆราชสังฆมณฑลตามกฎหมาย

2.       เกี่ยวกับบุคคลที่กล่าวถึงนี้ พระสงฆ์ซึ่งโดยภาระหน้าที่หรือโดยคำสั่งของพระสังฆราชสังฆมณฑล โปรดศีลล้างบาป แก่บุคคลที่พ้นวัยทารกหรือรับบุคคลที่รับศีลล้างบาปแล้วให้เข้ามาในความสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับพระศาสนจักรคาทอลิก

3.       เกี่ยวกับผู้ที่อยู่ในอันตรายใกล้ตาย เจ้าอาวาส ยิ่งกว่านั้นพระสงฆ์ใดๆ ก็โปรดศีลกำลังได้

มาตรา 884 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑล ต้องโปรดศีลกำลังเองหรือเอาใจใส่ให้พระสังฆราชองค์อื่นโปรดแทน หากมีความจำเป็นท่านสามารถให้อำนาจแก่พระสงฆ์องค์หนึ่งหรือหลายองค์ ที่กำหนดตัวแน่นอนโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์นี้

วรรค 2 ถ้ามีเหตุผลอันหนัก พระสังฆราชหรือพระสงฆ์ซึ่งสามารถโปรดศีลกำลังได้โดยกฎหมายหรือโดยอนุญาติพิเศษจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจสามารถเชิญพระสงฆ์องค์อื่นร่วมโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ได้เป็นรายกรณี

มาตรา 885 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑล มีพันธะต้องเอาใจใส่ให้ผู้ที่อยู่ในปกครองได้รับศีลกำลัง เมื่อขอรับอย่างถูกต้อง และมีเหตุผล

วรรค 2 พระสงฆ์ซึ่งมีอำนาจปฏิบัตินี้ต้องใช้อนุญาตนั้นให้เป็นคุณประโยชน์แก่บรรดาบุคคล ซึ่งเพราะเห็นแก่เขาพระสงฆ์องค์นั้นได้รับอำนาจนี้

มาตรา 886 วรรค 1 ในสังฆมณฑลของตนพระสังฆราชโปรดศีลกำลังแก่คริสตชนได้โดยชอบด้วยกฎหมายแม้แก่ผู้ซึ่งไม่อยู่ใต้ปกครองของตนเว้นแต่จะมีข้อห้ามอย่างแจ้งชัดจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ

วรรค 2เพื่อให้พระสังฆราชโปรดศีลกำลังได้โดยชอบด้วยกฎหมายในสังฆมณฑลอื่นท่านต้องมีอนุญาตของพระสังฆราชสังฆมณฑลนั้นอย่างน้อยสันนิษฐานอย่างมีเหตุผลเว้นแต่เป็นการโปรดให้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครองของตน

มาตรา 887 พระสงฆ์ซึ่งมีอำนาจโปรดศีลกำลัง โปรดศีลนี้ได้โดยชอบด้วยกฎหมายในเขตที่ตนได้รับมอบหมาย แม้แก่บุคคลที่มาจากที่อื่นด้วยเว้นแต่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของผู้รับศีลห้ามไว้อย่างไรก็ดีในเขตปกครองของผู้อื่นพระสงฆ์ไม่สามารถโปรดศีลนี้อย่างมีผลแก่บุคคลใดๆโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 883 ข้อ 3

มาตรา 888 ภายในอาณาเขต ซึ่งศาสนบริกรโปรดศีลกำลังได้ ก็สามารถโปรดศีลนี้ แม้ในสถานที่ที่ได้รับการยกเว้นด้วย

 

หมวด 3 ผู้รับศีลกำลัง

มาตรา 889 วรรค 1 ผู้ได้รับศีลล้างบาปแล้วทุกคนและเท่านั้น ที่ยังไม่เคยรับศีลกำลัง สามารถรับศีลกำลังได้

วรรค 2 นอกจากกรณีใกล้ตาย เพื่อให้ใครๆ รับศีลกำลังได้โดยชอบด้วยกฎหมายถ้าบุคคลนั้นรู้ความแล้ว ต้องได้รับการอบรมที่เหมาะสม เตรียมตัวอย่างดีและสามารถรื้อฟื้นคำสัญญาศีลล้างบาปได้

มาตรา 890 สัตบุรุษมีข้อผูกมัดต้องรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้ ในเวลาอันควรบิดามารดาผู้อภิบาลวิญญาณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสต้องเอาใจใส่ให้สัตบุรุษได้รับ การอบรมสั่งสอนอย่างดีเพื่อรับศีลนี้ และให้รับในเวลาเหมาะสม

มาตรา 891 ให้สัตบุรุษได้รับศีลกำลังเมื่อถึงวัยที่รู้จักใช้ดุลยพินิจโดยประมาณ เว้นไว้แต่ว่าสภาพระสังฆราชจะกำหนดอายุไว้เป็นอย่างอื่น หรือมีอันตรายใกล้ตายหรือมีเหตุผลหนักที่ชี้ชวนให้ปฏิบัติเป็นอย่างอื่นตามการวินิจฉัยของศาสนบริกร

 

 

หมวด 4 พ่อแม่อุปถัมภ์

มาตรา 892 เท่าที่ทำได้ ให้ผู้รับศีลกำลังมีพ่อแม่อุปถัมภ์ซึ่งมีหน้าที่เอาใจใส่ให้ผู้รับประพฤติตนเป็นพยานที่แท้จริงของพระคริสต์ และปฏิบัติหน้าที่อันเนื่องมาจากศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้อย่างซื่อสัตย์ครบถ้วน

มาตรา 893 วรรค 1 เพื่อให้ใครๆ สามารถทำหน้าที่เป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ได้ เขาต้องปฏิบัติเงื่อนไขต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 874

วรรค 2 เป็นการสมควรให้ผู้ที่รับหน้าที่เป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ศีลล้างบาป มาเป็นพ่อแม่อุปถัมภ์ศีลกำลังด้วย

 

หมวด 5 การพิสูจน์ และการบันทึกศีลกำลัง

มาตรา 894 เพื่อพิสูจน์การรับศีลกำลัง ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรา 876

มาตรา 895 ให้บันทึกชื่อผู้รับศีลกำลัง ศาสนบริกร บิดามารดา พ่อแม่อุปถัมภ์สถานที่และวันที่โปรดศีลกำลัง ในทะเบียนศีลกำลังของสำนักงานสังฆมณฑลหรือในทะเบียนที่ต้องเก็บไว้ในตู้เอกสารของวัดปกครอง ณที่ใดที่สภาพระสังฆราช หรือพระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดไว้เช่นนี้เจ้าอาวาสต้องแจ้งการโปรดศีลกำลังนั้นให้เจ้าอาวาสของสถานที่โปรดศีลล้างบาปทราบ เพื่อบันทึกในทะเบียนศีลล้างบาปตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 535 วรรค 2

มาตรา 896 ถ้าเจ้าอาวาสของสถานที่นั้นไม่อยู่ศาสนบริกรต้องแจ้งให้ท่านทราบถึงการโปรดศีลกำลังนั้น โดยตนเองหรือโดยบุคคลอื่นให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

 

ลักษณะ 3 ศีลมหาสนิท

มาตรา 897 ศีลมหาสนิทเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ที่น่าเคารพบูชาสูงสุด ในศีลนี้พระเยซูเจ้าเองสถิตอยู่ ถูกถวายและถูกรับ ด้วยศีลนี้พระศาสนจักรเจริญชีวิตและเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องการบูชาศีลมหาสนิทเป็นอนุสรณ์การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนชีพของพระเจ้าในบูชานี้ การบูชาบนไม้กางเขนดำเนินไปตลอดกาล ทั้งยังเป็นจุดสุดยอดและบ่อเกิดของคารวกิจทั้งมวลกับชีวิต คริสตชน การบูชานี้หมายถึงและก่อให้เกิดความเป็นหนึ่งของประชากรของพระเป็นเจ้า และสร้างพระวรกายของพระคริสต์ให้สมบูรณ์ อันที่จริงศีลศักดิ์สิทธิ์ประการอื่นๆและงานแพร่ธรรมทั้งหมดของพระศาสนจักรสัมพันธ์กันแนบแน่นกับศีลมหาสนิท และมีจุดหมายมุ่งสู่ศีลนี้

มาตรา 898 คริสตชน ต้องให้ความเคารพสูงสุดต่อศีลมหาสนิทควรมีส่วนร่วมอย่างมีบทบาทในการเฉลิมฉลองศีลบูชาที่น่าเคารพนี้ควรรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้อย่างศรัทธาที่สุดและบ่อยๆควรแสดงความเคารพบูชาอย่างสูงสุดต่อศีลนี้ผู้อภิบาลวิญญาณต้องเอาใจใส่สอนสัตบุรุษเกี่ยวกับหน้าที่นี้เวลาสอนคำสอนเรื่องศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้

 

หมวด 1 การเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท

มาตรา 899 วรรค 1 การเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทเป็นกิจการของพระคริสต์เอง และของพระศาสนจักร ในกิจการนี้พระคริสต์พระเจ้าทรงถวายพระองค์เองแด่พระเจ้า พระบิดา โดยศาสนบริกรของพระสงฆ์พระองค์ประทับอยู่ด้วยตัวจริงของพระองค์เองภายใต้รูปปรากฏของปังและเหล้าองุ่น และประทานพระองค์เป็นอาหารฝ่ายจิตแก่บรรดาสัตบุรุษที่ร่วมถวายบูชากับพระองค์

วรรค 2 ในงานเลี้ยงศีลมหาสนิทประชากรของพระเจ้าได้รับเรียกให้มาชุมนุมเป็นหนึ่งเดียวกันโดยมีพระสังฆราชหรือพระสงฆ์ ที่อยู่ภายใต้ปกครองของท่าน เป็นประธานทำหน้าที่ในฐานะเป็นพระบุคคลของพระคริสต์ และสัตบุรุษทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่นไม่ว่าสมณะหรือฆราวาส ต่างมาชุมนุมกันเพื่อมีส่วนร่วมตามลำดับต่างๆและบทบาทของตนในพิธีกรรม

วรรค 3 การเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท ต้องจัดลำดับอย่างที่ว่าผู้มีส่วนร่วมทุกคนได้รับผลจากการเฉลิมฉลองนี้อย่างมากที่สุดพระคริสต์พระเจ้า ทรงตั้งบูชาศีลมหาสนิทนี้เพื่อผลดังกล่าว

 

ส่วน 1 ศาสนบริกรศีลมหาสนิท

มาตรา 900 วรรค 1 ศาสนบริกร ผู้สามารถเสกศีลมหาสนิทในฐานะเป็นพระบุคคลของพระคริสต์ คือพระสงฆ์ ซึ่งได้รับการบวชอย่างถูกต้องเท่านั้น

วรรค 2 พระสงฆ์ ผู้ไม่ถูกห้ามโดยกฎหมายพระศาสนจักร สามารถเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทได้โดยชอบ แต่ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตราต่อไปนี้

มาตรา 901 พระสงฆ์จะถวายบูชามิสซา เพื่อใครก็ได้ ทั้งผู้เป็นและผู้ตาย

มาตรา 902 เว้นไว้แต่ว่าผลประโยชน์ของสัตบุรุษเรียกร้องหรือชี้ชวนไว้เป็นอย่างอื่นพระสงฆ์สามารถร่วมกันถวายบูชามิสซา แต่อย่างไรก็ดีพระสงฆ์แต่ละองค์ยังคงไว้ซึ่งอิสระภาพในการถวายบูชามิสซาเป็นการส่วนตัวแต่ไม่ใช่เวลาที่มีการถวายบูชามิสซาร่วมกันในวัด หรือในโรงสวดเดียวกันนั้น

มาตรา 903 พระสงฆ์ แม้ไม่เป็นที่รู้จักแก่อธิการโบสถ์ก็อนุญาตให้ถวายบูชามิสซาได้ ขอแต่ให้พระสงฆ์นั้นแสดงหนังสือแนะนำตัวซึ่งออกให้ไม่เกินหนึ่งปีจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจหรืออธิการของตนหรือสามารถวินิจฉัยได้อย่างรอบคอบว่าพระสงฆ์องค์นั้นมิได้ถูกห้ามถวายบูชามิสซา

มาตรา 904 ขอให้พระสงฆ์ถวายบูชามิสซาบ่อยๆโดยสำนึกเสมอว่าในรหัสธรรมของบูชาศีลมหาสนิทนี้งานไถ่กู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ยิ่งกว่านั้นขอเสนอแนะอย่างแข็งขันให้ถวายบูชามิสซาทุกวัน เพราะว่าแม้ไม่สามารถมีสัตบุรุษเข้าร่วมก็ตามการถวายบูชามิสซาก็ยังเป็นกิจการของพระคริสตเจ้า และของพระศาสนจักรพระสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่ส่วนสำคัญยิ่งของตนโดยการถวายบูชามิสซา

มาตรา 905 วรรค 1 ไม่อนุญาตให้พระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้มากกว่าวันละหนึ่งครั้งเว้นแต่ในกรณีที่กฎหมายอนุญาตให้ถวายหรือร่วมถวายมิสซาได้หลายครั้งในวันเดียวกัน

วรรค 2 ในกรณีที่ขาดแคลนพระสงฆ์ ด้วยเหตุผลอันชอบผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถอนุญาตให้พระสงฆ์ถวายบูชามิสซาสองครั้งต่อวัน หรือยิ่งกว่านั้น ถ้าความจำเป็นด้านอภิบาลสัตบุรุษเรียกร้องจะอนุญาตให้ถวายบูชามิสซา สามครั้งในวันอาทิตย์ และวันฉลองบังคับก็ได้

มาตรา 906 เว้นแต่จะมีเหตุอันชอบ และชอบด้วยเหตุผลพระสงฆ์ต้องไม่ถวายบูชามิสซาโดยไม่มีสัตบุรุษร่วมด้วยอย่างน้อยหนึ่งคน

มาตรา 907 ในการถวายบูชามิสซา ห้ามสังฆานุกร หรือฆราวาสกล่าวคำภาวนาโดยเฉพาะอย่างยิ่ง บทภาวนาศีลมหาสนิทหรือประกอบกิจกรรมอันเป็นบทบาทเฉพาะของผู้ถวายบูชามิสซา

มาตรา 908 ห้ามพระสงฆ์คาทอลิกร่วมถวายบูชามิสซากับพระสงฆ์ หรือศาสนบริกรของศาสนจักร หรือชุมชนศาสนาที่ไม่มีสายสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับศาสนจักรคาทอลิก

มาตรา 909 พระสงฆ์ต้องไม่ละเว้นการเตรียมตัวเองที่จำเป็นก่อนการถวายบูชามิสซาด้วยการภาวนา ทั้งไม่ละเลยการขอบคุณพระเจ้า เมื่อถวายบูชามิสซาแล้ว

มาตรา 910 วรรค 1 ศาสนบริกรแจกศีลมหาสนิทปกติคือ พระสังฆราช พระสงฆ์ และสังฆานุกร

วรรค 2 ศาสนบริกรแจกศีลมหาสนิทพิเศษ คือผู้ช่วยพิธีกรรมหรือคริสตชนที่ได้รับแต่งตั้งเพื่อการนี้ ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 230 วรรค 3

มาตรา 911 วรรค 1 การเชิญศีลมหาสนิทเป็นศีลเสบียงไปให้ผู้ป่วยเป็นหน้าที่และสิทธิของเจ้าอาวาส ผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระสงฆ์ ประจำวัดน้อยส่วนสำหรับผู้ป่วยทุกคนในบ้านของคณะเป็นหน้าที่และสิทธิของอธิการของสถาบันนักพรตสมณะ หรือของคณะชีวิตแพร่ธรรม

วรรค 2 ในกรณีจำเป็น หรือด้วยการอนุญาตอย่างน้อยโดยสันนิษฐานจากเจ้าอาวาส จากพระสงฆ์ประจำวัดน้อย หรือจากอธิการซึ่งภายหลังต้องแจ้งให้ท่านทราบ พระสงฆ์ใดๆ หรือศาสนบริกรแจกศีลอื่นใดต้องปฏิบัติหน้าที่นี้

 

ส่วน 2 การมีส่วนร่วมในศีลมหาสนิท

มาตรา 912 ผู้ได้รับศีลล้างบาปใดๆ ซึ่งไม่ต้องข้อห้ามโดยกฎหมาย สามารถรับ และต้องให้รับศีลมหาสนิท

มาตรา 913 วรรค 1 เพื่อให้เด็กรับศีลมหาสนิทจำเป็นต้องให้เด็กมีความรู้อย่างเพียงพอ และได้รับการเตรียมตัวอย่างเอาใจใส่จนกว่าเขาสามารถเข้าใจตามภูมิปัญญาของเขา เกี่ยวกับรหัสธรรมของพระคริสต์ และสามารถรับพระวรกายของพระเจ้าด้วยความเชื่อ และความศรัทธา

วรรค 2 เด็กที่อยู่ในอันตรายใกล้ตาย สามารถให้รับศีลมหาสนิทได้ถ้าเขาสามารถแยกแยะได้ว่าพระวรกายของพระคริสต์แตกต่างจากอาหารธรรมดา และสามารถรับศีลมหาสนิทด้วยความเคารพ

มาตรา 914 ก่อนใครหมด บิดามารดาและผู้ทำหน้าที่แทนบิดามารดาพร้อมทั้งเจ้าอาวาสด้วย มีหน้าที่เอาใจใส่เด็กซึ่งถึงอายุรู้ความแล้วได้เตรียมตัวอย่างเหมาะสม และหลังจากรับศีลอภัยบาปแล้วให้รับศีลมหาสนิทโดยเร็วเท่าที่ทำได้เป็นหน้าที่ของเจ้าอาวาสด้วยที่จะคอยสอดส่องมิให้เด็กที่ยังไม่ถึงอายุรู้ความ หรือคนที่เห็นว่ายังไม่อยู่ในสภาพพร้อมรับศีลมหาสนิท

มาตรา 915 ต้องไม่แจกศีลมหาสนิทให้แก่ผู้ที่ต้องโทษตัดขาดจากพระศาสนจักรทั้งแก่ผู้ต้องโทษข้อห้าม หลังจากมีการสั่งลงโทษหรือประกาศโทษแล้วหรือแก่บุคคลอื่นๆ ที่ดื้อดึงอยู่ในบาปหนักอย่างเปิดเผย

มาตรา 916 บุคคลที่สำนึกว่าตนอยู่ในบาปหนัก ต้องไม่ถวายบูชามิสซาหรือรับพระวรกายของพระเจ้า โดยมิได้รับศีลอภัยบาปก่อน เว้นแต่มีเหตุผลหนัก และไม่มีโอกาส สารภาพบาป ในกรณีเช่นนี้ บุคคลนั้นต้องไม่ลืมว่าตนต้องเป็นทุกข์ถึงบาปอย่างสมบูรณ์ซึ่งรวมถึงความตั้งใจจะไปสารภาพบาปโดยเร็วที่สุด

มาตรา 917 บุคคลที่รับศีลมหาสนิทแล้ว สามารถรับศีลมหาสนิทได้อีกในวันเดียวกันแต่ต้องรับในบูชามิสซาที่ตนมีส่วนร่วมด้วย โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา912 วรรค 2

มาตรา 918 จงเสนอแนะอย่างที่สุด ให้สัตบุรุษรับศีลมหาสนิทในระหว่างบูชามิสซาอย่างไรก็ดี ถ้าเขาขอรับศีลมหาสนิทนอกบูชามิสซา ด้วยเหตุผลอันชอบก็ต้องให้เขารับ แต่ต้องปฏิบัติตามจารีตพิธีกรรม

มาตรา 919 วรรค 1 ก่อนรับศีลมหาสนิทอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง ผู้จะรับศีลมหาสนิทต้อง อดอาหารและเครื่องดื่มทุกชนิด ยกเว้นน้ำและยาเท่านั้น

วรรค 2 พระสงฆ์ซึ่งถวายมิสซา สองหรือสามครั้งในวันเดียวกันสามารถรับประทานได้บ้าง ก่อนบูชามิสซาที่สอง หรือที่สามแม้ช่วงเวลาอดจะไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ตาม

วรรค 3 ผู้สูงอายุ หรือผู้ไม่สบายเพราะความเจ็บป่วยพร้อมทั้งผู้ดูแลผู้ป่วยนั้นด้วย รับศีลมหาสนิทได้แม้ว่าระหว่างหนึ่งชั่วโมงก่อนนั้น จะได้รับประทานบ้างแล้ว

มาตรา 920 วรรค 1 คริสตชนทุกคน เมื่อได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรกแล้ว มีพันธะต้องรับศีลมหาสนิทอย่างน้อยปีละครั้ง

วรรค 2 บัญญัติประการนี้ ต้องปฏิบัติภายในกำหนดปาสกา แต่ถ้ามีเหตุอันชอบ อาจปฏิบัติในเวลาอื่นใดของปีก็ได้

มาตรา 921 วรรค 1 คริสตชนซึ่งอยู่อันตรายใกล้ตาย ไม่ว่าด้วยเหตุใดๆ ต้องบำรุงให้เข้มแข็งด้วยศีลมหาสนิทในรูปของศีลเสบียง

วรรค 2 แม้ในวันเดียวกัน คริสตชนได้รับศีลมหาสนิทมาแล้ว ถ้าตกอยู่ในอันตรายใกล้ตาย ควรอย่างยิ่งให้ได้รับศีลมหาสนิทอีกครั้ง

วรรค 3 ตลอดเวลาที่ยังคงอยู่ในอันตรายใกล้ตาย ขอแนะนำให้รับศีลมหาสนิทหลายครั้ง แต่ต่างวันกัน

มาตรา 922 อย่าประวิงการส่งศีลเสบียงให้แก่ผู้ป่วยเนิ่นนานเกินไปผู้มีหน้าที่ดูแลวิญญาณต้องเอาใจใส่อย่างแข็งขันให้ผู้ป่วยได้รับการบำรุงให้เข้มแข็งด้วยศีลเสบียง ในเวลาที่ยังมีสติดี

มาตรา 923 คริสตชน จะร่วมถวายบูชามิสซา และรับศีลมหาสนิทในจารีตคาทอลิกใดก็ได้ โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 844

 

ส่วน 3 จารีต และพิธีเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท

มาตรา 924 วรรค 1 ต้องถวายบูชาศีลมหาสนิท อันศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง โดยใช้ขนมปัง และเหล้าองุ่น ซึ่งผสมกับน้ำเล็กน้อย

วรรค 2 ปังต้องทำจากแป้งข้าวสาลีเท่านั้น และเป็นปังที่ทำใหม่ๆ อย่างที่ว่าไม่มีอันตรายที่จะเสื่อมสภาพ

วรรค 3 เหล้าองุ่นต้องเป็นเหล้าองุ่นธรรมชาติ ทำจากผลองุ่น และต้องเป็นเหล้าองุ่นที่ยังไม่เสื่อมสภาพ

มาตรา 925 การรับศีลมหาสนิท ให้รับในรูปของปังเท่านั้นหรือให้รับทั้งในรูปของปังและเหล้าองุ่นตามกฎพิธีกรรมในกรณีจำเป็นอาจรับในรูปของเหล้าองุ่นอย่างเดียวได้

มาตรา 926 ในการเฉลิมฉลองศีลมหาสนิท ตามธรรมเนียมโบราณของพระศาสนจักรลาติน พระสงฆ์ต้องใช้ปังไม่มีเชื้อ ณ ที่ใดก็ตามที่เขาถวายบูชามิสซา

มาตรา 927 การเสกศีลเพียงรูปเดียว โดยไม่เสกอีกรูปหนึ่ง หรือการเสกทั้งสองรูปนอกการถวายบูชามิสซา ทำไม่ได้เลย แม้ในกรณีจำเป็นที่สุดเร่งรัด

มาตรา 928 การถวายมิสซา อาจถวายเป็นภาษาลาติน หรือภาษาอื่นก็ได้ ขอแต่ให้หนังสือพิธีกรรมได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง

มาตรา 929 ในการถวายบูชามิสซา และการบริการศีลมหาสนิท พระสงฆ์และสังฆานุกร ต้องสวมอาภรณ์ศักดิ์สิทธิ์ ตามข้อกำหนดของพิธีกรรม

มาตรา 930 วรรค 1 พระสงฆ์ป่วยหรือชรา ถ้ายืนไม่ได้ ก็นั่งถวายบูชามิสซาได้โดยต้องถือตามกฎพิธีกรรม แต่มิใช่ต่อหน้าสัตบุรุษเว้นแต่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

วรรค 2 พระสงฆ์ตาบอด หรือที่เจ็บป่วยอย่างอื่น ถวายบูชามิสซาได้โดยชอบโดยใช้หนังสือมิสซาใดๆ ก็ได้ ที่ได้รับการรับรองแล้วพร้อมกับมีผู้ช่วยเหลือถ้าจำเป็น ไม่ว่าเป็นพระสงฆ์ หรือสังฆานุกรหรือแม้ฆราวาสที่ได้รับการอบรมอย่างเหมาะสมแล้ว

ส่วน 4 เวลา และสถานที่เฉลิมฉลองศีลมหาสนิท

มาตรา 931 การเฉลิมฉลอง และการบริการศีลมหาสนิท จะกระทำในวันและเวลาใดก็ได้ เว้นแต่ในวันเวลาที่ห้ามไว้ตามกฎเกณฑ์พิธีกรรม

มาตรา 932 วรรค 1 ต้องถวายบูชามิสซาในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เว้นแต่ในกรณีเฉพาะที่ความจำเป็นเรียกร้องเป็นอย่างอื่น ในกรณีเช่นนี้การถวายบูชามิสซาต้องกระทำในสถานที่เหมาะสม

วรรค 2 ต้องถวายบูชามิสซา บนพระแท่นที่มีการถวายอุทิศ หรือเสกแล้วนอกสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะใช้โต๊ะที่เหมาะสม ก็ได้แต่ต้องปูด้วยผ้าปูพระแท่น และผ้ารองพระกายเสมอ

มาตรา 933 เมื่อมีเหตุผลอันชอบและมีอนุญาตชัดแจ้งจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นอนุญาตให้พระสงฆ์ถวายบูชามิสซาในสถานนมัสการของพระศาสนจักร หรือของชุมชนใดๆซึ่งไม่มีความสัมพันธ์เต็มรูปแบบกับพระศาสนจักรคาทอลิก แต่ทั้งนี้ต้องขจัดการเป็นที่สะดุดให้หมดไปก่อน

 

หมวด 2 การเก็บรักษา และการเคารพศีลมหาสนิท

มาตรา 934 วรรค 1 ศีลมหาสนิท

1.       ต้องเก็บรักษาไว้ในอาสนวิหาร หรือในวัดเทียบเท่าในวัดปกครองทุกแห่งและในวัด หรือวัดน้อยที่เป็นส่วนหนึ่งของบ้านสถาบันนักพรตหรือคณะชีวิตแพร่ธรรม

2.       อาจเก็บรักษาไว้ในวัดส่วนบุคคลของพระสังฆราชและโดยการอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น อาจเก็บรักษาไว้ในวัดอื่นๆในวัดน้อย และในวัดส่วนบุคคล

วรรค 2 ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ซึ่งเก็บรักษาศีลมหาสนิทต้องมีผู้ดูแลรักษาเสมอ และเท่าที่เป็นได้ต้องมีพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาที่นั่น อย่างน้อยเดือนละ

มาตรา 935 ไม่อนุญาตให้ใคร เก็บรักษาศีลมหาสนิทไว้ที่บ้านของตนหรือนำติดตัวไปในการเดินทาง เว้นแต่มีความจำเป็นด้านอภิบาลเร่งรัดและโดยได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระสังฆราชสังฆมณฑล

มาตรา 936 ในบ้านสถาบันนักพรต หรือบ้านแห่งความศรัทธาอื่นศีลมหาสนิทต้องเก็บรักษาไว้ในวัดหรือในวัดน้อยหลักที่เป็นส่วนหนึ่งของบ้านเท่านั้น อย่างไรก็ดีเมื่อมีเหตุอันชอบผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถอนุญาตให้เก็บรักษาไว้ในวัดน้อยอีกแห่งหนึ่งของบ้านเดียวกันด้วย

มาตรา 937 เว้นแต่จะมีเหตุผลหนักขัดขวาง วัดซึ่งเก็บรักษาศีลมหาสนิทต้องเปิดอย่างน้อยสองสามชั่วโมงทุกวันเพื่อให้สัตบุรุษสามารถภาวนาต่อหน้าศีลมหาสนิท

มาตรา 938 วรรค 1 ศีลมหาสนิทต้องเก็บไว้เป็นประจำในตู้ศีลเพียงแห่งเดียวของวัดหรือของวัดน้อย

วรรค 2 ตู้ศีลซึ่งเก็บรักษาศีลมหาสนิท ต้องตั้งไว้ในส่วนที่เด่นของวัดหรือของวัดน้อย เป็นส่วนที่มองเห็นชัดประดับอย่างสมพระเกียรติและชวนให้ภาวนา

วรรค 3 ตู้ศีลซึ่งใช้เก็บรักษาศีลมหาสนิทเป็นประจำ ต้องยึดติดตายกับที่ทำด้วยวัตถุแข็งทนทาน ไม่โปร่งแสงปิดกุญแจแน่นหนาอย่างที่ว่าปลอดภัยจากการลบหลู่มากที่สุด

วรรค 4 ถ้ามีเหตุผลอันหนัก อนุญาตให้เก็บรักษาศีลมหาสนิทในที่แห่งอื่นซึ่งปลอดภัยกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามค่ำคืน

วรรค 5 ผู้มีหน้าที่ดูแลวัดหรือวัดน้อย ต้องดูแลให้มีการเก็บรักษากุญแจตู้ที่เก็บรักษาศีลมหาสนิท อย่างเอาใจใส่ที่สุด

มาตรา 939 แผ่นศีลที่เสกแล้ว ที่มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของสัตบุรุษต้องเก็บไว้ในผอบศีล หรือภาชนะเล็กๆ และต้องมีการเปลี่ยนใหม่บ่อยๆด้วยการรับแผ่นศีลเก่าให้หมดไปอย่างเหมาะสม

มาตรา 940 ต้องจุดตะเกียงพิเศษตลอดเวลา ต่อหน้าตู้ที่เก็บรักษาศีลมหาสนิท เพื่อบ่งบอก และเทิดพระเกียรติการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้า

มาตรา 941 วรรค 1 ในวัดหรือวัดน้อย ซึ่งมีอนุญาตให้เก็บรักษาศีลมหาสนิทไว้สามารถมีการตั้งศีลมหาสนิทได้ โดยใช้ผอบศีล หรือรัศมีทั้งนี้โดยถือตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรม

วรรค 2 ขณะที่มีการถวายบูชามิสซา ต้องไม่มีการตั้งศีลมหาสนิทในห้องโถงเดียวกันนั้นของวัด หรือของวัดน้อย

มาตรา 942 ขอเสนอแนะให้มีการตั้งศีลมหาสนิท อย่างสง่าในวัดหรือวัดน้อยเหล่านี้เป็นประจำทุกปี โดยใช้เวลาที่เหมาะสม แม้จะไม่ทำแบบต่อเนื่องเพื่อให้ชุมชนท้องถิ่นที่นั่นได้รำพึง และนมัสการด้วยความศรัทธาลึกซึ้งยิ่งขึ้นต่อรหัสธรรมศีลมหาสนิทการตั้งศีลมหาสนิทลักษณะนี้ควรทำต่อเมื่อคาดหวังได้ว่าจะมีสัตบุรุษมาร่วมมากพอสมควร รวมทั้งมีการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้

มาตรา 943 ศาสนบริกรตั้งศีลมหาสนิท และอวยพรศีลมหาสนิทคือพระสงฆ์หรือสังฆานุกร ในกรณีแวดล้อมพิเศษศาสนบริกรที่ทำหน้าที่เพียงตั้งศีล และเก็บศีลเท่านั้นโดยไม่มีการอวยพรศีลมหาสนิท คือผู้ช่วยพิธีกรรมศาสนบริกรพิเศษสำหรับบริการศีลมหาสนิทหรือบุคคลที่ได้รับมอบหมายเพื่อการนี้ จากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นทั้งนี้ โดยปฏิบัติตามข้อกำหนดของพระสังฆราชสังฆมณฑล

มาตรา 944 วรรค 1 ที่ใดที่ พระสังฆราชสังฆมณฑล ตามวิจารณญาณของตนเห็นว่าสามารถทำได้ ที่จะให้มีการแสดงความเคารพสาธารณะต่อศีลมหาสนิทโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแห่ไปตามทางสาธารณะในโอกาสสมโภชพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า

วรรค 2 เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑล ที่จะออกระเบียบว่าด้วยการแห่ศีล เพื่อให้มีการเข้าร่วม และการแห่เป็นไปอย่างสมศักดิ์ศรี

หมวด 3 เงินถวาย เพื่อการถวายบูชามิสซา

มาตรา 945 วรรค 1 ตามประเพณีที่ได้รับรองแล้วของพระศาสนจักรอนุญาตให้พระสงฆ์ทุกองค์ที่ถวายหรือร่วมถวายบูชามิสซา สามารถรับเงินถวายเพื่ออุทิศมิสซาให้ตามจุดประสงค์เฉพาะ

วรรค 2 ขอแนะนำอย่างแข็งขัน ให้พระสงฆ์ถวายบูชามิสซาเพื่อจุดประสงค์ของ คริสตชน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ของคนยากจน แม้มิได้รับเงินถวาย

มาตรา 946 บรรดาคริสตชนที่ถวายเงินเพื่อให้มีการถวายบูชามิสซาตามจุดประสงค์ของตน ก็ได้บริจาคเพื่อความดีของพระศาสนจักรและมีส่วนร่วมกับพระศาสนจักร ในการเอาใจใส่ช่วยเหลือศาสนบริกรและกิจการต่างๆ ของพระศาสนจักรด้วยเงินถวายนั้น

มาตรา 947 แม้การปรากฏเหมือนใดๆ ของธุรกิจหรือการค้า ต้องขจัดออกไปอย่างเด็ดขาดจากเงินถวายมิสซา

มาตรา 948 ต้องแยกถวายบูชามิสซาอุทิศตามแต่ละจุดประสงค์ของผู้ถวายเงินแม้จำนวนเงินที่ถวายและรับไว้แล้วสำหรับแต่ละจุดประสงค์นั้นจะเล็กน้อยก็ตาม

มาตรา 949 ผู้ที่มีพันธะต้องถวายบูชามิสซาและอุทิศมิสซานั้นตามจุดประสงค์ของผู้ถวายเงินมีข้อผูกพันต้องถวายบูชามิสซานั้น แม้เงินถวายนั้น ได้สูญหายไปโดยมิใช่เพราะความผิดของตน

มาตรา 950 ถ้าจำนวนเงินที่ถวายเพื่อถวายบูชามิสซาแต่มิได้บ่งจำนวนมิสซาที่จะต้องถวายจำนวนมิสซาต้องคำนวณบนพื้นฐานของการถวายที่กำหนดไว้ในสถานที่ผู้ถวายเงินมีภูมิลำเนาอยู่เว้นแต่สันนิษฐานโดยชอบได้ว่า ผู้ถวายเงินมีจุดประสงค์เป็นอย่างอื่นได้

มาตรา 951 วรรค 1 พระสงฆ์ที่ถวายหลายมิสซา ในวันเดียวกันสามารถถวายแต่ละมิสซาอุทิศให้จุดประสงค์ที่ของเงินถวายนั้นแต่ต้องปฏิบัติตามกฎที่ว่า ผู้ถวายมิสซาสามารถรับเงินถวายสำหรับตัวเองได้เพียงมิสซาเดียว ยกเว้นในวันพระคริสตสมภพ ส่วนเงินถวายอื่นๆ ต้องส่งมอบตามจุดประสงค์ที่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นกำหนดไว้แต่ยอมให้รับค่าชดเชย จากเหตุผลภายนอกอย่างอื่น

วรรค 2 พระสงฆ์ที่ร่วมถวายสหบูชามิสซาที่สองในวันเดียวกัน ไม่สามารถอ้างสิทธิใดๆ เพื่อรับเงินถวายสำหรับมิสซาที่สองนั้น

มาตรา 952 วรรค 1 ที่ประชุมสภาแขวง หรือที่ประชุมพระสังฆราชระดับแขวงต้องกำหนดโดยออกเป็นคำสั่งสำหรับทั่วทั้งแขวงว่าต้องถวายเงินจำนวนเท่าไรเพื่อการถวายและการอุทิศมิสซาและไม่อนุญาตให้พระสงฆ์เรียกร้องเอาเงินถวายที่มากกว่านั้น แต่อย่างไรก็ดีอนุญาตให้พระสงฆ์รับเงินถวายที่มีผู้ถวายให้ด้วยความเต็มใจสำหรับอุทิศมิสซา เงินถวายนั้นอาจมากกว่า หรือแม้น้อยกว่าที่ได้กำหนดไว้

วรรค 2 ที่ไดที่ไม่มีคำสั่งเช่นนั้น ให้ถือตามธรรมเนียมที่มีอยู่ในสังฆมณฑล

วรรค 3 สมาชิกของสถาบันนักพรตใดๆ ต้องปฏิบัติตามคำสั่งเดียวกันนั้น หรือถือตามธรรมเนียมท้องถิ่น ดังที่มีกล่าวไว้ใน วรรค 1 และ 2

มาตรา 953 ห้ามมิให้ใคร รับเงินถวายสำหรับมิสซาที่เขาต้องถวายด้วยตนเอง เกินกว่าที่เขาสามารถถวายได้ภายในหนึ่งปี

มาตรา 954 ถ้าในวัดหรือวัดน้อยบางแห่งมีการขอมิสซาเกินกว่าที่สามารถถวายได้ที่นั่นมิสซาเหล่านั้นอาจถวายที่อื่นได้ เว้นไว้แต่ว่าผู้ถวายเงินแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น

มาตรา 955 วรรค 1 พระสงฆ์ที่ประสงค์จะมอบมิสซาให้ผู้อื่นถวายตามจุดประสงค์ของผู้ขอต้องมอบมิสซานั้นเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ให้แก่พระสงฆ์ที่ตนเลือกขอแต่ให้ท่านแน่ใจว่า ผู้รับเหล่านั้นเป็นคนดีท่านต้องมอบเงินถวายทั้งหมดที่ได้รับ เว้นแต่เป็นที่แน่นอนว่าจำนวนเงินที่เกินกว่าอัตราที่กำหนดไว้ในสังฆมณฑลเป็นเงินที่ให้มาเพราะเห็นแก่บุคคล ยิ่งกว่านั้น ท่านยังมีหน้าที่รับผิดชอบการถวายบูชามิสซาเหล่านั้นจนกว่าจะได้รับหลักฐานว่า ทั้งหน้าที่ถวายบูชามิสซา และเงินถวายมีการรับเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

วรรค 2 ระยะเวลาที่ต้องถวายบูชามิสซา เริ่มต้นจากวันที่พระสงฆ์ผู้จะถวายบูชามิสซาได้รับมิสซาเหล่านั้น เว้นแต่จะแน่ชัดเป็นอย่างอื่น

วรรค 3 ผู้ที่มอบมิสซาที่ต้องถวายให้แก่ผู้อื่นต้องบันทึกทั้งจำนวนมิสซาที่ได้รับ และจำนวนมิสซาที่ส่งไปพร้อมทั้งบันทึกจำนวนเงินถวายนั้นด้วย ลงในหนังสือโดยไม่ชักช้า

วรรค 4 พระสงฆ์ทุกองค์ ต้องบันทึกจำนวนมิสซาที่ได้รับเพื่อถวาย และจำนวนมิสซาที่ได้ถวายแล้ว อย่างเที่ยงตรง

มาตรา 956 ผู้บริหารทุกคน และแต่ละคนที่มีหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับเรื่องการกุศลต่างๆ หรือผู้มีภาระอย่างใดๆ ก็ตาม ที่จะต้องจัดให้มีการถวายบูชามิสซาไม่ว่าเป็นสมณะหรือฆราวาสต้องมอบภาระการถวายบูชามิสซาที่ทำไม่เสร็จภายในหนึ่งปีนั้นให้แก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของตน ตามวิธีที่ท่านได้กำหนดไว้

มาตรา 957 หน้าที่ และสิทธิที่จะตรวจดูว่า ภาระการถวายบูชามิสซาได้ทำเสร็จเรียบร้อยหรือไม่นั้นถ้าเป็นวัดของสงฆ์สังฆมณฑลเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นถ้าเป็นวัดของสถาบันนักพรตหรือของคณะชีวิตแพร่ธรรมเป็นหน้าที่ของท่านอธิการของเขา

มาตรา 958 วรรค 1 เจ้าอาวาส รวมทั้งอธิการโบสถ์ หรืออธิการสถานการกุศลอื่นๆ ซึ่งในสถานที่เหล่านั้น มีการรับเงินถวายบูชามิสซาตามปกติต้องมีหนังสือบันทึกพิเศษ เพื่อบันทึกจำนวนมิสซาที่จะต้องถวายจุดประสงค์มิสซา เงินถวายที่ได้รับ และจำนวนมิสซาที่ได้ถวายแล้วอย่างเที่ยงตรง

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ มีหน้าที่ต้องตรวจหนังสือเหล่านี้ทุกปี ไม่ว่าโดยตนเอง หรือโดยผู้อื่น

 

ลักษณะ 4 ศีลแห่งความสำนึกกลับใจ

มาตรา 959 ในศีลแห่งการสำนึกกลับใจ สัตบุรุษซึ่งเป็นทุกข์เสียใจในบาปของตน พร้อมทั้งมีความตั้งใจจะแก้ไขตนเองเมื่อสารภาพบาปของตนต่อศาสนบริกรที่ถูกต้องแล้วเขาได้รับการอภัยบาปที่เขาได้ทำหลังรับศีลล้างบาปจากพระเจ้าโดยการยกบาปจากศาสนบริกรเดียวกัน พร้อมกันนั้น เขาได้คืนดีกับพระศาสนจักรซึ่งได้รับผลเสียเพราะการกระทำบาปของเขา

 

หมวด 1 การประกอบพิธีศีลแห่งการสำนึกกลับใจ

มาตรา 960 การสารภาพบาปรายบุคคลและทั้งครบ รวมกับการรับอภัยบาปเป็นวิธีปกติวิธีเดียวที่สัตบุรุษผู้สำนึกในบาปหนักของตนคืนดีกับพระเจ้า และพระศาสนจักรในกรณีที่มีข้อขัดข้องทางกายภาพ หรือทางจิตใจเท่านั้นที่สัตบุรุษได้รับการยกเว้นจากการสารภาพบาปแบบปกติ ในกรณีดังกล่าวการคืนดีอาจทำได้โดยวิธีอื่น

มาตรา 961 วรรค 1 การให้อภัยบาปรวมแก่หลายคนพร้อมกัน โดยไม่มีการสารภาพบาปรายบุคคลก่อน ทำไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่า :

1.       เมื่อมีภัยที่จะตายคุกคาม และไม่มีเวลาให้พระสงฆ์องค์เดียว หรือหลายองค์ฟังการสารภาพบาปเป็นรายบุคคลได้

2.       เมื่อมีความจำเป็นอย่างยิ่ง เช่นว่า มีคนจำนวนมากต้องการสารภาพบาป และมีพระสงฆ์ไม่พอที่จะฟังการสารภาพบาปอย่างดีภายในเวลาที่เหมาะมิฉะนั้นพวกเขาจะไม่ได้รับพระหรรษทานแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์หรือรับศีลมหาสนิทเป็นเวลานาน โดยมิใช่เพราะความผิดของพวกเขาเองแต่อย่างไรก็ดี ไม่ถือว่ามีความจำเป็นเพียงพอ หากว่าไม่มีพระสงฆ์พร้อมที่จะฟังการสารภาพบาปเพราะเพียงแต่มีคนจำนวนมากต้องการสารภาพบาปเท่านั้นเช่นในโอกาสวันฉลองใหญ่ๆ หรือการจารีตแสวงบุญ

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลเป็นผู้วินิจฉัยว่าเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในวรรค 1 ข้อ 2 นั้น มีจริงหรือไม่ ท่านสามารถกำหนดกรณีต่างๆ ที่มีความจำเป็นเช่นว่านั้นโดยคำนึงถึงบรรทัดฐานการวินิจฉัยที่ได้ตกลงกันกับสมาชิกสภาพระสังฆราช

มาตรา 962 วรรค 1 เพื่อให้คริสตชนได้รับผลอันถูกต้องจากการให้อภัยบาปที่ให้แก่คนหลายคนพร้อมกันนั้น จำเป็นต้องให้เขาไม่เพียงแต่อยู่ในสภาพที่เหมาะสมเท่านั้นแต่ในเวลาเดียวกัน เขาแต่ละคนต้องตั้งใจจะไปสารภาพบาปหนักในเวลาที่เหมาะสมซึ่งเขาไม่สามารถสารภาพในขณะนั้น

วรรค 2 ต้องสอนคริสตชนเท่าที่จะทำได้ถึงเงื่อนไขจำเป็นตามกฎเกณฑ์ของวรรค 1 แม้ในโอกาสให้อภัยบาปรวมด้วยและเตือนให้แต่ละคนเป็นทุกข์ถึงบาปก่อนการให้อภัยบาปรวมแม้ในกรณีมีภัยความตายด้วย หากมีเวลา

มาตรา 963 โดยคงไว้ซึ่งพันธะที่ระบุไว้ในมาตรา 989 ผู้ที่ได้รับการอภัยบาปหนักด้วยการให้อภัยบาปรวมต้องไปสารภาพบาปเป็นรายบุคคล โดยเร็วที่สุดเมื่อมีโอกาสก่อนที่จะรับการอภัยบาปรวมครั้งต่อไปเว้นแต่มีเหตุอันชอบเข้ามาแทรก

มาตรา 964 วรรค 1 สถานที่เฉพาะเพื่อรับฟังการสารภาพบาปที่เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ คือ วัดหรือสถานภาวนา

วรรค 2 เกี่ยวกับที่สารภาพบาปนั้น ให้สภาพระสังฆราชกำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นกระนั้นก็ดี ต้องจัดให้ที่สารภาพบาป ตั้งอยู่ในที่เปิดเผยเสมอโดยมีตะแกรงกั้นระหว่างผู้สารภาพบาป กับผู้รับฟังการสารภาพบาปเพื่อว่าสัตบุรุษที่ต้องการสารภาพบาป สามารถใช้ได้อย่างเสรี

วรรค 3 ต้องไม่รับฟังการสารภาพบาปนอกที่สารภาพบาป เว้นแต่จะมีเหตุอันชอบ

 

หมวด 2 ศาสนบริกรศีลแห่งการสำนึกกลับใจ

มาตรา 965 ศาสนบริกรแห่งการสำนึกกลับใจ คือ พระสงฆ์เท่านั้น

มาตรา 966 วรรค 1 เพื่อให้การให้อภัยบาปมีผลถูกต้องศาสนบริกรนอกจากต้องมีอำนาจที่มาจากศีลบวชแล้ว ยังต้องมีอำนาจปฏิบัติเพื่อใช้อำนาจนั้นกับสัตบุรุษ ซึ่งเขาให้การอภัยบาป

วรรค 2 พระสงฆ์ได้รับอำนาจปฏิบัตินี้ ไม่ว่าโดยกฎหมายเอง หรือโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจมอบให้ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 969

มาตรา 967 วรรค 1 นอกจากสมเด็จพระสันตะปาปาแล้ว บรรดาพระคาร์ดินัลมีอำนาจปฏิบัติโดยกฎหมายเองที่จะรับฟังการสารภาพบาปของคริสตชนทั่วทุกแห่งในโลก เช่นเดียวกันบรรดาพระสังฆราชมีอำนาจปฏิบัตินี้ซึ่งท่านใช้ได้ทุกแห่งโดยชอบด้วยกฎหมายเว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชสังฆมณฑล จะห้ามไว้ในกรณีเฉพาะ

วรรค 2 ผู้ที่มีอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปเป็นประจำไม่ว่าโดยตำแหน่งหน้าที่หรือโดยการมอบให้จากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจไม่ว่าของสถานที่ที่เขาสังกัด หรือของสถานที่ที่ซึ่งเขามีภูมิลำเนาอยู่สามารถใช้อำนาจปฏิบัตินั้นได้ทุกแห่ง เว้นไว้แต่ว่าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นห้ามไว้ในกรณีเฉพาะโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 974 วรรค 2 และ 3

วรรค 3 บรรดาผู้ที่ได้รับอำนาจปฏิบัติในการรับฟังสารภาพบาปโดยตำแหน่งหน้าที่หรือโดยอธิการผู้มีอำนาจ มอบให้ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 968 วรรค 2 และ 969 วรรค 2 โดยกฎหมายเองพวกเขาสามารถใช้อำนาจปฏิบัติเดียวกันนี้ทุกแห่งกับสมาชิกของสถาบันและกับคนอื่นๆ ที่อาศัยทั้งกลางวันและกลางคืนในบ้านของสถาบัน หรือของคณะอันที่จริง พวกเขาสามารถใช้อำนาจปฏิบัติเดียวกันนี้ได้โดยชอบ เว้นไว้แต่ว่าอธิการใหญ่บางคนห้ามไว้เป็นกรณีเฉพาะเกี่ยวกับผู้อยู่ในปกครองของตน

มาตรา 968 วรรค 1 โดยตำแหน่งหน้าที่ ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นพระสงฆ์ผู้มีอำนาจด้านอภัยโทษ พระสงฆ์เจ้าอาวาสรวมทั้งพระสงฆ์ที่ทำหน้าที่แทนเจ้าอาวาสมีอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปภายในเขตปกครองของแต่ละคน

วรรค 2 โดยตำแหน่งหน้าที่ บรรดาอธิการของสถาบันนักพรตหรือของคณะชีวิตแพร่ธรรม ถ้าเป็นสมณะ สิทธิสันตะสำนักซึ่งมีอำนาจบริหารด้านการปกครองตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญก็มีอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปของผู้อยู่ในปกครองของตนรวมทั้งของผู้อื่นที่อาศัยทั้งกลางวันและกลางคืนในบ้านของสถาบันหรือของคณะด้วย ทั้งนี้โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 630 วรรค 4

มาตรา 969 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นเท่านั้นมีอำนาจให้อำนาจปฏิบัติแก่พระสงฆ์ใดๆ ไม่ว่าในการรับฟังการสารภาพบาปของสัตบุรุษใดๆ ไม่ว่าส่วนบรรดาพระสงฆ์ผู้เป็นสมาชิกของสถาบันนักพรตต้องไม่ใช้อำนาจปฏิบัติเดียวกันนี้ โดยมิได้รับอนุญาตอย่างน้อยโดยสันนิษฐานจากอธิการของตน

วรรค 2 อธิการของสถาบันนักพรต หรือของคณะชีวิตแพร่ธรรม ซึ่งระบุในมาตรา 968 วรรค 2 มีอำนาจ ให้อำนาจปฏิบัติแก่พระสงฆ์ใดๆไม่ว่าในการรับฟังการสารภาพบาปของผู้อยู่ในปกครองของตนและของคนอื่นที่อาศัยทั้งกลางวันและกลางคืนในบ้านของสถาบัน หรือของคณะ

มาตรา 970 ต้องไม่มอบอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาป แก่พระสงฆ์องค์ใด เว้นแต่จะเห็นว่าเขาเหมาะสม ไม่ว่าโดยการสอบหรือโดยวิธีอื่น

มาตรา 971 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องไม่มอบอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปแบบประจำแก่พระสงฆ์ องค์ใดแม้พระสงฆ์องค์นั้นมีภูมิลำเนา หรือกึ่งภูมิลำเนาในเขตปกครองของท่านเว้นแต่จะได้ปรึกษาผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของพระสงฆ์องค์นั้นเสียก่อนเท่าที่จะทำได้

มาตรา 972 ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจที่ระบุในมาตรา 969 สามารถมอบอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปแบบชั่วคราว โดยกำหนดหรือไม่กำหนดเวลาก็ได้

มาตรา 973 การมอบอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปแบบประจำ ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 974 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น และอธิการผู้มีอำนาจด้วยต้องเรียกคืนอำนาจปฏิบัติที่มอบให้ในการ รับฟังการสารภาพบาปแบบประจำเว้นแต่จะมีเหตุอันหนัก

วรรค 2 ถ้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นที่ระบุในมาตรา 967 วรรค 2 ซึ่งเป็นผู้มอบอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปเรียกคืนอำนาจปฏิบัตินั้น พระสงฆ์องค์นั้นเสียอำนาจนั้นทุกแห่งถ้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นท่านอื่นเป็นผู้เรียกคืนพระสงฆ์องค์นั้นเสียอำนาจนั้นเฉพาะในเขตปกครองของผู้ที่เรียกคืนเท่านั้น

วรรค 3 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นท่านใดที่ได้เรียกคืนอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาป จากพระสงฆ์องค์ใดต้องแจ้งผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจที่เป็นผู้ใหญ่เฉพาะซึ่งพระสงฆ์องค์นั้นสังกัดอยู่ หรือถ้าพระสงฆ์องค์นั้นเป็นสมาชิกของสถาบันนักพรตต้องแจ้งอธิการผู้มีอำนาจของพระสงฆ์องค์นั้น

วรรค 4 ถ้าอธิการใหญ่เรียกคืนอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปจากพระสงฆ์ของตนพระสงฆ์องค์นั้นเสียอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปของสมาชิกของสถาบันทุกแห่ง แต่ถ้าอธิการผู้มีอำนาจท่านอื่นเป็นผู้เรียกคืนพระสงฆ์องค์นั้นเสียอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพ บาปเฉพาะกับผู้อยู่ในปกครองของ อธิการท่านนั้นเท่านั้น

มาตรา 975 นอกจากการเรียกคืนแล้ว อำนาจปฏิบัติที่ระบุในมาตรา 967 วรรค 2 หมดไปเพราะการเสียตำแหน่งหน้าที่ หรือการออกจากต้นสังกัดหรือการเสียภูมิลำเนา

มาตรา 976 พระสงฆ์องค์ใดไม่ว่า แม้ไม่มีอำนาจปฏิบัติในการรับฟังการสารภาพบาปสามารถยกโทษทางวินัย และให้อภัยบาปใดๆ ไม่ว่าอย่างมีผลถูกต้องแก่ผู้สารภาพบาปคนใดไม่ว่า ที่อยู่ในภัยความตายแม้มีพระสงฆ์ผู้ได้รับการรับรองอยู่ที่นั่นก็ตาม

มาตรา 977 การอภัยบาปที่ผิดต่อพระบัญญัติประการที่หก ให้คู่ขาเป็นโมฆะ เว้นแต่อยู่ในภัยความตาย

มาตรา 978 วรรค 1 ในการรับฟังการสารภาพบาป พระสงฆ์ต้องระลึกว่าตนทำหน้าที่เป็นทั้งตุลาการและแพทย์และเป็นผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าให้เป็นศาสนบริกรแห่งพระยุติธรรมและพระเมตตาของพระองค์ โดยมุ่งถวายเกียรติมงคลแด่พระเจ้าและช่วยวิญญาณให้รอด

วรรค 2 ในการให้บริการศีลศักดิ์สิทธิ์ ผู้รับฟังการสารภาพบาปในฐานะเป็นศาสนบริกรของพระศาสน จักร ต้องยึดถือคำสอนทางการของพระศาสนจักรและกฎเกณฑ์ที่ผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจกำหนดไว้อย่างซื่อสัตย์

มาตรา 979 พระสงฆ์เมื่อต้องถาม ต้องทำด้วยความรอบคอบและด้วยความระมัดระวังโดยคำนึงถึงสภาพและอายุของผู้สารภาพบาปและให้ละเว้นถามชื่อของผู้ร่วมกระทำผิด

มาตรา 980 ถ้าผู้รับฟังการสารภาพบาปไม่สงสัยถึงความพร้อมของผู้สารภาพบาป และเขาขอการอภัยบาป อย่าปฏิเสธหรือเลื่อนการอภัยบาปนั้น

มาตรา 981 ผู้รับฟังการสารภาพบาปต้องกำหนดกิจการใช้โทษบาปที่นำความรอด และเหมาะสมตามสัดส่วนของความหนักเบาและจำนวนของบาป อย่างไรก็ตามต้องคำนึงถึงสภาพของผู้สารภาพบาปด้วยผู้สารภาพบาปมีพันธะต้องทำกิจการใช้โทษบาปเหล่านั้นด้วยตนเอง

มาตรา 982 ต้องไม่อภัยบาปแก่ผู้สารภาพว่าตนได้กล่าวหาผู้รับฟังการสารภาพบาปที่บริสุทธิ์ ด้วยข้อความอันเป็นเท็จต่อผู้ใหญ่ของพระศาสนจักรเกี่ยวกับความผิดหนักในเรื่องการชักชวนให้ทำบาปผิดต่อพระบัญญัติประการที่หกเว้นไว้แต่ว่า ผู้นั้นจะได้ถอนคำกล่าวหาอันเป็นเท็จอย่างเป็นทางการ และพร้อมที่จะชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น ถ้ามีเสียก่อน

มาตรา 983 วรรค 1 ความลับศีลศักดิ์สิทธิ์ละเมิดมิได้ เพราะฉะนั้นห้ามโดยเด็ดขาดมิให้ผู้รับฟังสารภาพบาปทรยศผู้สารภาพบาปด้วยคำพูดหรือด้วยวิธีอื่นใด และด้วยเหตุผลอันใดแม้เพียงเล็กน้อย

วรรค 2 ถ้ามีล่ามแปล ล่ามมีพันธะต้องรักษาความลับนี้ด้วย รวมทั้งคนอื่นๆ ทุกคน ที่รู้บาปจากการสารภาพบาป ไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม

มาตรา 984 วรรค 1 ห้ามโดยเด็ดขาดมิให้ผู้รับฟังการสารภาพบาปใช้ความรู้ที่ได้จากการสารภาพบาป ให้เป็นที่เสียหายแก่ผู้สารภาพบาปแม้ว่าจะได้ขจัดอันตรายที่จะเผยความลับนั้นให้หมดไปแล้วก็ตาม

วรรค 2 ผู้ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้มีอำนาจไม่สามารถเลยที่จะนำความรู้เกี่ยวกับบาปที่ได้มาจากการสารภาพบาปไม่ว่าเมื่อไรก็ตาม มาใช้ในการปกครองภายนอก

มาตรา 985 นวกจารย์ และเพื่อนร่วมงานของเขาอธิการบ้านเณรหรืออธิการของสถาบันการศึกษาอื่นใดต้องไม่รับฟังการสารภาพบาปที่เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ของนักเรียนของตนซึ่งพำนักอยู่ใน บ้านเดียวกันเว้นแต่ในกรณีเฉพาะที่นักเรียนขอให้รับฟังการสารภาพบาปของเขาด้วยความสมัครใจเอง

มาตรา 986 วรรค 1 ทุกคนที่มีหน้าที่ดูแลวิญญาณมีพันธะต้องจัดให้มีการรับฟังการสารภาพบาปของสัตบุรุษที่ตนได้รับมอบหมายเมื่อพวกเขาขออย่างมีเหตุผล และต้องจัดให้พวกเขามีโอกาสสารภาพบาปส่วนตัวโดยกำหนดวันและเวลาที่สะดวกสำหรับพวกเขา

วรรค 2 เมื่อความจำเป็นเร่งเร้า ผู้รับฟังการสารภาพบาปทุกองค์มีพันธะต้องรับฟังการสารภาพบาปของคริสตชน และในกรณีมีอันตรายที่จะตายพระสงฆ์องค์ใดไม่ว่ามีพันธะ

 

หมวด 3 ผู้สารภาพบาป

มาตรา 987 เพื่อรับการเยียวยาที่นำไปสู่ความรอดของศีลแห่งการสำนึกกลับใจคริสตชนต้องทำตัวให้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะกลับมาหาพระเจ้าโดยละทิ้งบาปที่ตนได้กระทำ และตั้งใจจะแก้ไขตนเอง

มาตรา 988 วรรค 1 คริสตชนแต่ละคน มีพันธะต้องสารภาพบาปหนักทุกข้อโดยบอกชนิดและจำนวนของบาปที่ได้ทำ หลังรับศีลล้างบาปและยังมิได้รับการอภัยโดยตรงจากอำนาจยกบาปของพระศาสนจักร และยังมิได้สารภาพบาปนั้นในการสารภาพบาปเป็นรายบุคคลซึ่งเขาสำนึกได้หลังจากได้พิจารณามโนธรรมอย่างดีแล้ว

วรรค 2 ขอแนะนำให้คริสตชน สารภาพบาปเบาด้วย

มาตรา 989 สัตบุรุษทุกคน เมื่อถึงอายุรู้ความ มีพันธะต้องสารภาพบาปหนักของตนเองอย่างซื่อสัตย์อย่างน้อยปีละครั้ง

มาตรา 990 ไม่ห้ามใครสารภาพบาปโดยผ่านล่าม อย่างไรก็ตามต้องหลีกเลี่ยงการใช้โดยไม่จำเป็น และการเป็นที่สะดุดโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 983 วรรค 2

มาตรา 991 คริสตชนใดไม่ว่ามีสิทธิเต็มที่ที่จะเลือกสารภาพบาปกับผู้รับฟังการสารภาพบาปที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้อง ตามที่ตนชอบแม้จะเป็นผู้รับฟังการสารภาพบาปของจารีตอื่น

 

หมวด 4 พระคุณการุณย์

มาตรา 992 พระคุณการุณย์ คือ การยกโทษชั่วคราวต่อหน้าพระเจ้าเพื่อชดเชยบาปซึ่งเป็นความผิดที่ได้รับการอภัยแล้วสมาชิกคริสตชนผู้ซึ่งทำตัวให้อยู่ในสภาพเหมาะสม และทำตามเงื่อนไขบางข้อที่กำหนดไว้ สามารถรับพระคุณการุณย์โดยทางพระศาสนจักรซึ่งในฐานะเป็นศาสนบริกรของการไถ่กู้ นำเอาพระคลังแห่งบุญกุศลของพระคริสต์ และของบรรดานักบุญมาแจกจ่ายและใช้อย่างผู้ทรงอำนาจ

มาตรา 993 พระคุณการุณย์มีทั้งชนิดบางส่วน ทั้งชนิดครบบริบูรณ์ ตามที่พระคุณการุณย์นั้นปลดโทษชั่วคราวบางส่วนหรือทั้งหมด เพื่อชดเชยบาป

มาตรา 994 สัตบุรุษใดไม่ว่า สามารถรับพระคุณการุณย์ ไม่ว่าชนิดบางส่วนหรือชนิดครบบริบูรณ์ สำหรับตัวเองหรือสำหรับผู้ตาย ในลักษณะอุทิศให้

มาตรา 995 วรรค 1 นอกจากอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรแล้วบุคคลที่สามารถให้พระคุณการุณย์ได้คือบุคคลที่มีอำนาจโดยกฎหมายหรือโดยสมเด็จพระสันตะปาปาเท่านั้น

วรรค 2 ไม่มีผู้มีอำนาจใด ที่ต่ำกว่าพระสันตะปาปาสามารถมอบให้ผู้อื่นมีอำนาจประทานพระคุณการุณย์เว้นแต่ผู้นั้นได้รับอำนาจนี้จากสันตะสำนักอย่างแจ้งชัด

มาตรา 996 วรรค 1 เพื่อที่ใครจะสามารถรับพระคุณการุณย์ได้เขาต้องได้รับศีลล้างบาป ไม่ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรและอยู่ในสถานะพระหรรษทาน อย่างน้อยในขณะที่ทำกิจกรรมที่กำหนดสิ้นสุดลง

วรรค 2 เพื่อรับพระคุณการุณย์ผู้ที่สามารถรับได้อย่างน้อยต้องมีเจตนารับพระคุณและทำกิจการที่ต้องทำให้ครบถ้วน ในเวลาที่กำหนดและด้วยวิธีที่ต้องปฏิบัติตามแนวทางของการให้

มาตรา 997 เกี่ยวกับการให้ และการใช้พระคุณการุณย์ ต้องถือตามข้อกำหนดอื่นๆ ซึ่งระบุในกฎหมายเฉพาะของพระศาสนจักรด้วย

 

ลักษณะ 5 ศีลเจิมคนป่วย

มาตรา 998 การเจิมคนป่วยประกอบขึ้นโดยการเจิมด้วยน้ำมันและกล่าววาจาที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรม ด้วยการเจิมนี้พระศาสนจักรมอบคริสตชนที่ป่วยหนักน่าอันตรายแด่พระเจ้าผู้รับทนทรมานและรับเกียรติมงคล เพื่อขอพระองค์ช่วยบรรเทา และช่วยให้รอด

 

หมวด 1 การประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์

มาตรา 999 น้ำมันที่ใช้เจิมคนป่วย นอกจากพระสังฆราชแล้ว ยังมีบุคคลต่อไปนี้ที่สามารถเสกได้ คือ

1. บุคคลที่เทียบเท่าพระสังฆราชสังฆมณฑล โดยกฎหมาย

2. ในกรณีจำเป็น พระสงฆ์องค์ใดไม่ว่า ก็เสกได้ แต่ต้องทำในขณะประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

มาตรา 1000 วรรค 1 การเจิมนั้นให้กระทำอย่างละเอียดถี่ถ้วน ในการกล่าววาจาตามลำดับ และตามวิธีที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรม อย่างไรก็ดี ในกรณีจำเป็นให้เจิมครั้งเดียวที่หน้าผาก หรือแม้แต่ที่ส่วนอื่นของร่างกายก็พอพลางกล่าวสูตรวาจาทั้งครบ

วรรค 2 ศาสนบริกรต้องเจิมด้วยมือของตนเอง เว้นแต่มีเหตุผลอันหนัก ชี้แนะให้ใช้เครื่องมือ

มาตรา 1001 ผู้อภิบาลวิญญาณ และญาติของผู้ป่วย ต้องเอาใจใส่ให้คนป่วยได้รับความบรรเทาจากศีลฯ นี้ ในเวลาที่เหมาะสม

มาตรา1002 การประกอบศีลเจิมแบบรวมให้คนป่วยหลายคนพร้อมกันซึ่งคนป่วยเหล่านั้น ได้รับการเตรียมอย่างเหมาะสม และอยู่ในสภาพพร้อมก็ทำได้ ตามกฎระเบียบของพระสังฆราชสังฆมณฑล

 

หมวด 2 ศาสนบริกร ศีลเจิมคนป่วย

มาตรา 1003 วรรค 1 พระสงฆ์ทุกองค์ และพระสงฆ์เท่านั้น โปรดศีลเจิมคนป่วยได้อย่างมีผล

วรรค 2 พระสงฆ์ทุกองค์ ซึ่งได้รับหน้าที่ดูแลวิญญาณมีหน้าที่ และสิทธิโปรดศีลเจิมคนป่วยให้คริสตชนซึ่งท่านได้รับมอบให้ดูแลอภิบาล ถ้าหากมีเหตุอันชอบด้วยเหตุผลพระสงฆ์อื่นใดๆ ก็โปรดศีลนี้ได้ หากได้รับความยินยอมจากพระสงฆ์ดังกล่าวอย่างน้อยโดยการสันนิษฐาน

วรรค 3 พระสงฆ์องค์ใดไม่ว่า มีอนุญาติให้นำน้ำมันที่เสกแล้วไปกับตนได้ เพื่อว่าในกรณีจำเป็น เขาสามารถโปรดศีลเจิมคนป่วยได้

 

หมวด 3 ผู้รับศีลเจิมคนป่วย

มาตรา 1004 วรรค 1 คริสตชนทุกคนที่รู้ความ สามารถรับศีลเจิมคนป่วยได้ เมื่อเริ่มอยู่ในอันตราย เพราะความเจ็บป่วย หรือเพราะความชรา

วรรค2 ศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ สามารถโปรดซ้ำได้ ถ้าคนป่วยเมื่อหายป่วยแล้วกลับป่วยหนักอีก หรือถ้าการป่วยนั้นยืดเยื้อและทรุดหนักลงกว่าเดิม

มาตรา 1005 ในกรณีที่มีการสงสัยว่า คนป่วยถึงอายุรู้ความหรือยังหรือการป่วยนั้นมีอันตรายหรือไม่ หรือคนป่วยตายหรือยังให้โปรดศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ 1006 ต้องโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์นี้แก่คนป่วยซึ่งเมื่อยังมีจิตสำนึกอยู่เขาได้แสดงออกว่า อยากรับศีลเจิมนี้ แม้อย่างไม่ชัดแจ้ง

มาตรา 1007 ต้องไม่โปรดศีลเจิมคนป่วยให้ บรรดาผู้ดื้อดึงอยู่ในบาปหนักที่ชัดแจ้ง

ลักษณะ 6 ศีลบรรพชา

มาตรา 1008 โดยศีลบรรพชา ซึ่งตั้งขึ้นโดยพระเจ้าบางคนจากบรรดาคริสตชนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนบริกรศักดิ์สิทธิ์โดยได้รับการประทับตราด้วยเครื่องหมายอันมิอาจลบเลือนได้ กล่าวคือศาสนบริกรเหล่านี้ได้รับการอภิเษกและรับการมอบหมายให้แต่ละคนอภิบาลประชากรของพระเจ้า ตามฐานันดรของตนโดยการทำหน้าที่สั่งสอน ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์และปกครองในพระบุคคลของพระคริสต์ ผู้ทรงเป็นศีรษะ

มาตรา 1009 วรรค 1 ลำดับฐานันดรสงฆ์ ได้แก่ พระสังฆราช พระสงฆ์ และสังฆานุกร

วรรค 2 ฐานันดรเหล่านี้ ถูกมอบด้วยการปกมือ และการภาวนาอภิเษก ซึ่งหนังสือพิธีกรรมกำหนดไว้สำหรับแต่ละฐานันดร

 

ลักษณะ 6 ศีลบรรพชา

มาตรา 1008 โดยศีลบรรพชา ซึ่งตั้งขึ้นโดยพระเจ้าบางคนจากบรรดาคริสตชนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศาสนบริกรศักดิ์สิทธิ์โดยได้รับการประทับตราด้วยเครื่องหมายอันมิอาจลบเลือนได้กล่าวคือศาสนบริกรเหล่านี้ได้รับการอภิเษกและรับการมอบหมายให้แต่ละคนอภิบาลประชากรของพระเจ้า ตามฐานันดรของตนโดยการทำหน้าที่สั่งสอน ทำให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ และปกครองในพระบุคคลของพระคริสต์ผู้ทรงเป็นศีรษะ

มาตรา 1009 วรรค 1 ลำดับฐานันดรสงฆ์ ได้แก่ พระสังฆราช พระสงฆ์ และสังฆานุกร

วรรค 2 ฐานันดรเหล่านี้ ถูกมอบด้วยการปกมือ และการภาวนาอภิเษก ซึ่งหนังสือพิธีกรรมกำหนดไว้สำหรับแต่ละฐานันดร

 

หมวด 1 การประกอบศีลบรรพชา และศาสนบริกร

มาตรา 1010 ต้องประกอบศีลบรรพชาในระหว่างการถวายบูชามิสซาอย่างสง่าในวันอาทิตย์หรือวันฉลองต้องบังคับ แต่ด้วยเหตุผลด้านอภิบาลจะประกอบศีลบรรพชาในวันอื่นๆ ก็ได้ ไม่เว้นแม้วันธรรมดา

มาตรา 1011 วรรค 1 โดยปกติให้ประกอบศีลบรรพชาในอาสนวิหาร แต่ด้วยเหตุผลด้านอภิบาล จะประกอบในวัดอื่นหรือวัดน้อยก็ได้

วรรค 2 ต้องเชิญบรรดาสมณะ และคริสชน เข้าร่วมในการบรรพชานี้ เพื่อให้มีผู้ร่วมพิธีมากที่สุด

มาตรา 1012 ศาสนบริกรประกอบศีลบรรพชา คือพระสังฆราชผู้ได้รับการอภิเษกแล้ว

มาตรา 1013 ไม่อนุญาตให้พระสังฆราชองค์ใด อภิเษกใครเป็นพระสังฆราช เว้นแต่แจ้งชัดเกี่ยวกับคำสั่งของพระสันตะปาปาก่อน

มาตรา 1014 เว้นไว้แต่ได้รับการยกเว้นจากสันตะสำนักพระสังฆราชผู้เป็นประธานในการอภิเษก ต้องเชิญพระสังฆราชอีกอย่างน้อยสององค์ร่วมพิธีอภิเษกพระสังฆราช แต่เป็นการเหมาะสมอย่างยิ่งที่พระสังฆราชที่อยู่ที่นั่นทุกองค์ ร่วมกับพระสังฆราชเหล่านั้นอภิเษกผู้ที่ได้รับเลือกด้วย

มาตรา 1015 วรรค 1 ให้แต่ละคนรับการบวช เป็นพระสงฆ์และสังฆานุกร จากพระสังฆราชของตน หรือโดยมีหนังสือรับรองให้บวชจากพระสังฆราชองค์เดียวกัน

วรรค 2 ถ้าพระสังฆราชไม่มีเหตุขัดข้องอย่างมีเหตุผลให้ท่านเป็นผู้ประกอบพิธีบวช ผู้อยู่ใต้ปกครองโดยตนเองแต่ท่านไม่อาจประกอบพิธีบวชได้โดยชอบตามกฎหมายแก่บุคคลใต้ปกครองที่ถือจารีตตะวันออก เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากสันตะสำนัก

วรรค 3 ผู้ใดก็ตามที่สามารถออกหนังสือรับรองให้บวชได้ในฐานันดรใดย่อมประกอบพิธีบวชฐานันดรเหล่านั้นได้โดยตนเองหากมีศีลบวชเป็นพระสังฆราช 1016 พระสังฆราชเฉพาะเพื่อการบวชสังฆานุกรของผู้ที่ตั้งใจเข้าสังกัดเป็นสมณะสังฆมณฑล คือ พระสังฆราชสังฆมณฑลที่ผู้สมัครมีภูมิลำเนาอยู่หรือพระสังฆราชสังฆมณฑลที่ผู้สมัครตกลงใจอุทิศตนรับใช้ในสังฆมณฑลนั้นส่วนสังฆราชเฉพาะเพื่อการบวชพระสงฆ์เป็นสมณะสังฆมณฑล คือพระสังฆราชสังฆมณฑลซึ่งผู้สมัครเข้าสังกัด เมื่อบวชเป็นสังฆานุกร

มาตรา 1017 พระสังฆราชจะประกอบพิธีบวช นอกเขตปกครองของตนได้ ก็ต่อเมื่อได้รับอนุญาตจากพระสังฆราชของสังฆมณฑลนั้นเท่านั้น

มาตรา 1018 วรรค 1 ผู้ที่สามารถออกหนังสือรับรองให้บวชเป็นสมณะสังฆมณฑลได้แก่

1. พระสังฆราชเฉพาะดังที่ระบุไว้ในมาตรา 1016

2. ผู้รักษาการในนามสันตะสำนัก และผู้รักษาการสังฆมณฑลพร้อมด้วยความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษา, รองผู้ปกครองเขตสันตะสำนักและรองสังฆรักษ์ พร้อมด้วยความเห็นชอบของสภาดังที่ระบุไว้ในมาตรา 495 วรรค2วรรค 2 ผู้รักษาการสังฆมณฑล รองผู้ปกครองเขตสันตะสำนัก และรองสังฆรักษ์ต้องไม่ออกหนังสือรับรองให้บวช แก่ผู้ที่พระสังฆราชสังฆมณฑลหรือผู้ปกครองเขตสันตะสำนัก หรือสังฆรักษ์ปฏิเสธมิให้บวช

มาตรา 1019 วรรค 1 อธิการชั้นผู้ใหญ่ของสถาบันนักพรต สมณะสิทธิสันตะสำนักหรืออธิการชั้นผู้ใหญ่ของคณะสมณะแห่งชีวิตแพร่ธรรมสิทธิสันตะสำนักมีอำนาจออกหนังสือรับรองให้บวชแก่ผู้อยู่ใต้ปกครองของตนที่สังกัดสถาบันหรือคณะแบบตลอดชีพ หรือแบบเด็ดขาดตามธรรมนูญ

วรรค 2 การบวชผู้สมัครอื่นๆ ของสถาบันหรือของคณะใดไม่ว่าอยู่ใต้กฎข้อบังคับของคณะสมณะสังฆมณฑล และยกเลิกการอนุญาตพิเศษต่าง ๆ ที่ให้แก่บรรดาอธิการ

มาตรา 1020 ต้องไม่ออกหนังสือรับรองให้บวช เว้นแต่จะมีพยานและเอกสารทั้งหมดก่อน ซึ่งกฎหมายบังคับให้มีตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1050 หรือ 1051

มาตรา 1021 หนังสือรับรองให้บวชนั้น ส่งไปยังพระสังฆราชได้ทุกองค์ซึ่งมีความสัมพันธ์กับสันตะสำนักยกเว้นพระสังฆราชซึ่งมีจารีตแตกต่างจากจารีตของผู้ที่จะรับศีลบรรพชานั้นเท่านั้น ซึ่งในกรณีเช่นนี้ ต้องมีอนุญาตพิเศษจากสันตะสำนัก

มาตรา 1022 เมื่อได้รับหนังสือรับรองให้บวชแล้ว พระสังฆราชผู้จะประกอบพิธีบวชต้องไม่ดำเนินการจนกว่าจะได้แน่ชัดอย่างไม่ต้องสงสัยเลยว่าหนังสือรับรองนั้นเป็นของจริง เชื่อถือได้

มาตรา 1023 หนังสือรับรองให้บวชนั้น สามารถมีข้อจำกัดกำกับไว้ หรือเรียกคืนได้จากผู้ออกหนังสือเอง หรือจากผู้สืบตำแหน่งแทน แต่เมื่อได้ออกให้แล้วหนังสือนั้นไม่หมดอายุ แม้ผู้ออกหนังสือนั้นได้หมดตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว

 

หมวด 2 ผู้รับศีลบรรพชา

มาตรา 1024 บุรุษผู้ได้รับศีลล้างบาปแล้วเท่านั้น สามารถรับศีลบรรพชาได้อย่างมีผล

มาตรา 1025 วรรค 1 เพื่อที่ใครจะรับศีลบรรพชาเป็นสังฆานุกรหรือเป็นพระสงฆ์ได้โดยชอบด้วยกฎหมายเมื่อมีการทดลองตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายแล้วตามการวินิจฉัยของพระสังฆราชเฉพาะของตน หรือของอธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ ผู้สมัครนั้นมีคุณสมบัติที่จำเป็นต้องมีและไม่มีข้อขัดขวางเพราะผิดกฎเกณฑ์ หรือเพราะข้อห้ามอื่นใดและทั้งได้ปฏิบัติครบถ้วนตามข้อบังคับของกฎหมายมาตรา 1033 - 1039นอกจากนี้ต้องมีเอกสารต่างๆ ดังระบุไว้ในมาตรา 1050 และมีการสอบสวนดังระบุไว้ในมาตรา 1051 อีกด้วย

วรรค 2 ยิ่งไปกว่านั้น ต้องให้อธิการที่ชอบด้วยกฎหมายของผู้สมัครนี้ลงความเห็นว่า เขาเป็นประโยชน์ต่องานศาสนบริการของพระศาสนจักร

วรรค 3 พระสังฆราชซึ่งประกอบพิธีบวชแก่ผู้อยู่ใต้ปกครองของตนซึ่งจะไปรับหน้าที่ในอีกสังฆมณฑลหนึ่ง ต้องแน่ใจว่าผู้จะรับการบวชนั้นจะไปเข้าสังกัดสังฆมณฑลนั้นอย่างแน่นอน

 

ส่วน 1 สิ่งต้องการในผู้สมัคร

มาตรา 1026 เพื่อที่ใครจะรับศีลบรรพชาได้ เขาต้องมีเสรีภาพที่ขาดไม่ได้ห้ามเด็ดขาด มิให้บังคับใครให้รับศีลบรรพชา ไม่ว่าด้วยวิธีใดหรือเพราะเหตุผลใดทั้งสิ้นหรือหันเหผู้มีความเหมาะสมตามกฎหมายพระศาสนจักรไปจากการรับศีลบรรพชา

มาตรา 1027 ผู้ประสงค์จะรับศีลบรรพชาเป็นสังฆานุกร และเป็นพระสงฆ์ ต้องได้รับการฝึกอบรมเตรียมตัวอย่างพิถีพิถัน ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 1028 พระสังฆราชสังฆมณฑล หรืออธิการผู้มีอำนาจก่อนที่จะให้ผู้สมัครรับศีลบรรพชาขั้นใดขั้นหนึ่งต้องสอนให้เขารู้อย่างเหมาะสมถูกต้อง เกี่ยวกับศีลขั้นที่จะรับและหน้าที่ต่างๆ ของศีลขั้นนั้นด้วย

มาตรา 1029 ต้องให้บุคคลเหล่านี้เท่านั้นรับศีลบรรพชา คือบุคคลที่ตามการวินิจฉัยที่รอบคอบของพระสังฆราชเฉพาะของตนหรือของอธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ ซึ่งเมื่อได้พิจารณาทุกด้านแล้วเห็นว่า เขามีความเชื่อดี เจตนาเที่ยงตรง ความรู้ที่จำเป็นชื่อเสียงดี ความประพฤติดี คุณธรรมเป็นที่ยอมรับ และคุณสมบัติอื่นๆทั้งทางกาย และทางจิตใจ ที่เหมาะสมกับศีลบรรพชาขั้นที่จะรับนั้น

มาตรา 1030 พระสังฆราชเฉพาะของตน หรืออธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจสามารถห้ามสังฆานุกร ซึ่งมุ่งจะเป็นพระสงฆ์ที่อยู่ใต้ปกครองของตนบวชเป็นพระสงฆ์ ด้วยเหตุผลทางกฎหมายพระศาสนจักรเท่านั้น แม้ว่าเหตุผลนั้นไม่เป็นที่เปิดเผยก็ตามทั้งนี้โดยคงไว้ซึ่งสิทธิร้องเรียนตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 1031 วรรค 1 ต้องบวชบุคคลที่มีอายุครบ 25 ปีบริบูรณ์เท่านั้นและมีวุฒิภาวะเพียงพอให้เป็นพระสงฆ์ ยิ่งกว่านั้นต้องเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 6 เดือน ระหว่างขั้นสังฆานุกรและขั้นพระสงฆ์ให้บวชบุคคลที่มุ่งเป็นพระสงฆ์ เป็นสังฆานุกร หลังจากอายุครบ 23ปีบริบูรณ์เท่านั้นวรรค 2 ผู้สมัครเป็นสังฆานุกรถาวร และยังไม่แต่งงานบวชเป็นสังฆานุกรได้ หลังจากอายุครบ 25 ปี บริบูรณ์เป็นอย่างน้อยส่วนผู้สมัครที่แต่งงานแล้ว ต้องมีอายุครบ 35 ปีบริบูรณ์เป็นอย่างน้อยและต้องได้รับความเห็นชอบจากภรรยาด้วย

วรรค 3 สภาพระสังฆราช สามารถวางกฎเกณฑ์ให้ผู้ที่บวชเป็นพระสงฆ์ และเป็นสังฆานุกรถาวร มีอายุมากกว่าได้

วรรค 4 การยกเว้นอายุเกินกว่าที่กำหนดไว้ 1 ปี ตามกฎเกณฑ์ใน วรรค 1 และวรรค 2 นั้น สงวนไว้สำหรับสันตะสำนัก

มาตรา 1032 วรรค 1 ผู้ประสงค์เป็นพระสงฆ์ให้รับศีลบรรพชาเป็นสังฆานุกรได้ หลังจากจบหลักสูตรปรัชญา และเทวศาสตร์ปีที่ 5 เท่านั้น

วรรค 2 หลังจากจบหลักสูตรการศึกษาแล้ว สังฆานุกรต้องใช้เวลาที่เหมาะสมตามที่พระสังฆราชหรืออธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจกำหนดไว้เพื่อมีส่วนในงานอภิบาล และฝึกงานสังฆานุกร ก่อนจะรับศีลบรรพชาเป็น พระสงฆ์

วรรค 3 ต้องไม่บวช ผู้ประสงค์รับศีลบรรพชาเป็นสังฆานุกรถาวร เว้นแต่ หลังจากเขาจบการฝึกอบรมแล้ว

ส่วน 2 สิ่งจำเป็นต้องมีก่อนการบวช

มาตรา 1033 บุคคลผู้ได้รับศีลกำลังแล้วเท่านั้น จึงรับศีลบรรพชาขั้นต่าง ๆ ได้โดยชอบ

มาตรา 1034 วรรค 1 ต้องไม่บวชผู้ประสงค์เป็นสังฆานุกร หรือเป็นพระสงฆ์เว้นแต่ว่า เขาได้รับการบรรจุเป็นผู้สมัครบวชโดยพิธีกรรมการรับจากผู้มีอำนาจดังระบุไว้ในมาตรา 1016 และ 1019 พิธีดังกล่าวจัดทำขึ้นหลังจากผู้สมัครได้ยื่นคำขอที่เขียนและเซ็นด้วยมือของตนเอง และผู้มีอำนาจดังกล่าวได้ตอบรับเป็นลายลักษณ์อักษร

วรรค 2 ผู้ที่เป็นสมาชิกสถาบันนักพรตสมณะ โดยการถวายสินบน ไม่ต้องมีการรับดังกล่าว

มาตรา 1035 วรรค 1 ก่อนจะบวชใครให้เป็นสังฆานุกร ไม่ว่าแบบถาวรหรือชั่วคราวบุคคลนั้นต้องได้รับศาสนบริการผู้อ่าน และผู้ช่วยพิธีกรรมและปฏิบัติหน้าที่นั้นเป็นระยะเวลานานพอสมควร

วรรค 2 ช่วงระหว่างการแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยพิธีกรรม และการบวชเป็นสังฆานุกร ต้องเว้นระยะเวลา 6 เดือน เป็นอย่างน้อย

มาตรา 1036 เพื่อสามารถรับศีลบรรพชาเป็นสังฆานุกร หรือเป็นพระสงฆ์ผู้สมัครต้องยื่นแสดงเจตจำนงที่เขียนและเซ็นด้วยมือของตนเองต่อพระสังฆราชของตน หรืออธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจในข้อความแสดงเจตจำนงนั้น เขายืนยันว่า เขาขอรับศีลบรรพชาด้วยตนเองและอย่างอิสระ และสมัครใจอุทิศตนรับใช้ในงานศาสนบริการพระศาสนจักรตลอดไปขณะเดียวกัน ก็ขออนุญาตให้เขารับศีลบรรพชา

มาตรา 1037 ผู้สมัครเป็นสังฆานุกรถาวร ซึ่งไม่แต่งงาน เช่นเดียวกันผู้สมัครเป็นพระสงฆ์ ต้องไม่อนุญาตให้รับศีลบรรพชาเป็นสังฆานุกรเว้นไว้แต่ว่าเขายอมรับข้อบังคับการถือโสดต่อหน้าพระเจ้าและพระศาสนจักรอย่างเปิดเผย ตามจารีตพิธีกรรมกำหนดไว้หรือเขาได้ปฏิญาณตนตลอดชีพในสถาบันนักพรตแล้ว

มาตรา 1038 จะห้ามสังฆานุกร ซึ่งปฏิเสธที่จะบวชเป็นพระสงฆ์ปฏิบัติหน้าที่สังฆานุกรที่เขาได้รับไม่ได้ เว้นไว้แต่ว่าเขาถูกห้ามเพราะข้อขัดขวางตามกฎหมายพระศาสนจักรหรือเพราะเหตุอันหนักอย่างอื่นบางประการซึ่งต้องตัดสินตามการวินิจฉัยของพระสังฆราชสังฆมณฑลหรือของอธิการชั้นผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ

มาตรา 1039 ทุกคนที่จะรับการบวชในขั้นใดขั้นหนึ่งต้องใช้เวลาเข้าเงียบอย่างน้อย 5 วัน ณ สถานที่และตามวิธีที่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจกำหนด ก่อนดำเนินการบวชพระสังฆราชต้องแน่ใจว่าบรรดาผู้สมัครได้เข้าเงียบดังกล่าวอย่างดีเท่าที่ควร

ส่วน 3 เรื่องผิดกฎเกณฑ์ และข้อขัดขวาง

มาตรา 1040 ห้ามบุคคลที่มีข้อขัดขวางใด ๆ รับศีลบวชไม่ว่าข้อขัดขวางนั้นจะเป็นชนิดถาวร ซึ่งมีชื่อว่า เรื่องผิดกฎเกณฑ์หรือชนิดธรรมดา ไม่มีข้อขัดขวางใดเกิดขึ้นนอกจากที่จะกล่าวถึงในมาตราต่อไปนี้

มาตรา 1041 บุคคลต่อไปนี้ เป็นผู้ผิดกฎเกณฑ์ รับศีลบวชไม่ได้

1.       บุคคลผู้มีจิตฟั่นเฟือนในรูปแบบใดแบบหนึ่ง หรือป่วยทางจิตอย่างอื่นซึ่งเมื่อได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญแล้ว มีความเห็นว่า ความเจ็บป่วยนั้นทำให้เขาไม่สามารถทำหน้าที่ศาสนบริกรได้อย่างถูกต้อง

2.       บุคคลผู้มีความผิดหนัก เพราะทิ้งความเชื่อ เพราะยึดถือข้อความเชื่อที่ผิด หรือเพราะแยกตัวออกจากพระศาสนจักรคาทอลิก

3.       บุคคลผู้ที่พยายามแต่งงานแม้จะเป็นการแต่งงานตามพิธีทางบ้านเมืองก็ตามไม่ว่าในขณะที่เขาเองมีข้อขัดขวาง เพราะพันธะทางศีลแต่งงาน หรือเพราะศีลบวชหรือเพราะศีลบนสาธารณะถือพรหมจรรย์ตลอดชีพหรือในขณะที่ฝ่ายหญิงมีพันธะทางศีลแต่งงานอย่างถูกต้องอยู่แล้วหรือมีศีลบนถือศีลพรหมจรรย์ชนิดเดียวกัน

4.       บุคคลผู้ที่ได้ฆ่าคนโดยเจตนา หรือจัดให้มีการทำแท้งโดยมีผล และทุกคนที่มีส่วนร่วมในการทำแท้งนั้น

5.       บุคคลผู้ที่ทำให้ตนเองหรือผู้อื่นพิการอย่างร้ายแรง และด้วยเจตนาร้าย หรือผู้ที่พยายามฆ่าตนเอง

6.       บุคคลผู้ที่ทำกิจการของศีลบวช ซึ่งสงวนไว้สำหรับขั้นพระสังฆราชหรือสำหรับขั้นพระสงฆ์ โดยที่ตัวเขาเองขาดศีลบวชในขั้นนั้นๆหรือมีศีลบวชในขั้นนั้นๆแต่ถูกห้ามปฏิบัติหน้าที่เพราะถูกโทษพระศาสนจักรอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ว่าโทษนั้นจะเป็นโทษจากการประกาศ หรือจากการตัดสิน

มาตรา 1042 บุคคลต่อไปนี้ มีข้อขัดขวางแบบธรรมดา มิให้รับศีลบวช

1.       บุรุษผู้มีภรรยา เว้นแต่เขาถูกกำหนดให้เป็นสังฆานุกรถาวร โดยชอบด้วยกฎหมาย

2.       บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่ หรือบริหารงานที่ต้องห้ามแก่สมณะ ตามมาตรา285 และ 286 ซึ่งเขาต้องรายงานความรับผิดชอบ ข้อขัดขวางนี้จะหมดไปเมื่อเขาลาออกจากหน้าที่ และการบริหารนั้นพร้อมทั้งได้รายงานความรับผิดชอบแล้ว

3.       คริสตชนใหม่ เว้นแต่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ จะได้พิจารณาเห็นว่า เขาได้รับการทดลองเพียงพอแล้ว

มาตรา 1043 คริสตชนมีพันธะต้องแจ้งข้อขัดขวางที่จะรับศีลบวชศักดิ์สิทธิ์ขั้นต่างๆ เท่าที่รู้แก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจหรือแก่เจ้าอาวาส ก่อนการบวช

มาตรา 1044 วรรค 1 บุคคลต่อไปนี้ เป็นผู้ผิดกฎเกณฑ์ ห้ามปฏิบัติหน้าที่ศีลบวชที่ได้รับ

1.       บุคคลขณะที่มีข้อขัดขวางเพราะผิดกฎเกณฑ์มิให้รับศีลบวช บังอาจรับศีลบวชโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

2.       บุคคลที่ทำผิดหนักที่ระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 2 ถ้าความผิดนั้นเป็นความผิดสาธารณะ

3.       บุคคลที่ทำผิดหนักข้อใดข้อหนึ่งที่ระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 3, 4, 5, 6

วรรค 2 บุคคลต่อไปนี้ถูกห้ามแบบธรรมดา มิให้ปฏิบัติหน้าที่ของศีลบวช

1.       บุคคลที่มีข้อขัดขวางแบบธรรมดา มิให้รับศีลบวชบังอาจรับศีลบวชโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

2.       บุคคลผู้มีจิตฟั่นเฟือนหรือป่วยทางจิตอย่างอื่นที่ระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 1 จนกว่าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ เมื่อได้ปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญแล้วอนุญาตให้ปฏิบัติหน้าที่ของศีลบวชนั้น

มาตรา 1045 ความไม่รู้ถึงเรื่องผิดกฎเกณฑ์ และข้อขัดขวาง ไม่ช่วยให้พ้นความผิดเหล่านั้น

มาตรา 1046 การผิดกฎเกณฑ์ และข้อขัดขวางเพิ่มจำนวนขึ้นถ้าความผิดนั้นเกิดจากสาเหตุต่างกัน แต่อย่างไรก็ตามไม่เพิ่มจำนวนจากการทำผิดซ้ำที่เกิดจากสาเหตุเดียวกันเว้นแต่เป็นเรื่องผิดกฎเกณฑ์ที่เกิดจากการฆ่าคนโดยเจตนาหรือจากการทำแท้งที่มีผลจริง ๆ

มาตรา 1047 วรรค 1 ถ้าข้อเท็จจริงที่อ้างอิงได้ถูกนำขึ้นสู่การพิจารณาตัดสินของศาลแล้วการยกเว้นจากเรื่องผิดกฎเกณฑ์ทุกชนิด สงวนไว้แก่สันตะสำนักเท่านั้น

วรรค 2 กรณีดังต่อไปนี้ การยกเว้นจากเรื่องผิดกฎเกณฑ์และจากข้อขัดขวางมิให้รับศีลบวช สงวนไว้แก่สันตะสำนักด้วย

1.       เรื่องผิดกฎเกณฑ์จากความผิดหนักสาธารณะ ดังระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 2 และ 3

2.       เรื่องผิดกฎเกณฑ์จากความผิดหนัก ไม่ว่าเป็นความผิดสาธารณะ หรือที่ซ่อนเร้นอยู่ ดังระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 4

3.       ข้อขัดขวาง ดังระบุไว้ในมาตรา 1042 ข้อ 1

วรรค 3 สงวนไว้แก่สันตะสำนักเช่นกัน การยกเว้นจากเรื่องผิดกฎเกณฑ์มิให้ปฏิบัติหน้าที่ของศีลบวชที่ได้รับ ดังระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 3ในกรณีที่ความผิดนั้นเป็นสาธารณะเท่านั้น และข้อ 4 ในมาตราเดียวกันแม้ในกรณีซ่อนเร้นด้วย

วรรค 4 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถยกเว้นจากเรื่องผิดกฎเกณฑ์ และข้อขัดขวางที่มิได้สงวนไว้แก่สันตะสำนัก

มาตรา 1048 ถ้าในกรณีซ่อนเร้นที่มีความจำเป็นเร่งด่วนไม่สามารถเข้าหาผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจได้หรือถ้าเป็นเรื่องผิดกฎเกณฑ์ดังระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 3 และ 4 ไม่สามารถเข้าหาสำนักงานด้านอภัยโทษได้ และถ้าในกรณีมีอันตรายที่จิ่มจวนที่จะเสียหายอย่างรุนแรง หรือเสียชื่อเสียงบุคคลผู้ที่มีข้อขัดขวางเพราะผิดกฎเกณฑ์มิให้ปฏิบัติหน้าที่ของศีลบวชสามารถปฏิบัติหน้าที่นั้นได้ อย่างไรก็ตามยังมีพันธะต้องเข้าพึ่งผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจหรือสำนักงานด้านอภัยโทษโดยเร็วเท่าที่ทำได้ โดยไม่ต้องเปิดเผยชื่อและโดยทางผู้ฟังแก้บาป

มาตรา 1049 วรรค 1 ในคำร้องขอการยกเว้น จากเรื่องผิดกฎเกณฑ์และจากข้อขัดขวางต้องแจ้งเรื่องผิดกฎเกณฑ์และข้อขัดขวางทั้งหมด อย่างไรก็ตามการยกเว้นแบบทั่วไปมีผลสำหรับเรื่องที่ไม่แจ้งโดยสุจริตใจด้วยยกเว้นเรื่องผิดกฎเกณฑ์ดังระบุไว้ในมาตรา 1041 ข้อ 4 หรือเรื่องอื่น ๆ ที่นำขึ้นสู่การพิจารณาตัดสินในศาลแล้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่มีผลสำหรับเรื่องที่ไม่แจ้งโดยเจตนาไม่สุจริต

วรรค 2 ถ้าเป็นเรื่องผิดกฎเกณฑ์ที่เกิดจากการฆ่าคนโดยเจตนาหรือเกิดจากการทำแท้งโดยการจัด เพื่อให้การยกเว้นมีผลทางกฎหมายต้องบอกจำนวนการทำผิดด้วย

วรรค 3 การยกเว้นทั่วไป จากเรื่องผิดกฎเกณฑ์ และจากข้อขัดขวางมิให้รับศีลบวชนั้น มีผลสำหรับศีลบวชทุกขั้น

ส่วน 4 เอกสารที่จำเป็นและการสืบสวน

มาตรา 1050 บุคคลที่จะรับศีลบวช ต้องมีเอกสารดังต่อไปนี้

1.       ใบรับรองจบการศึกษาอย่างถูกต้อง ตามมาตรา 1032

2.       ผู้จะรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ ต้องมีใบรับรองการบวชเป็นสังฆานุกร

3.       ผู้จะรับศีลบวชเป็นสังฆานุกร ต้องมีใบรับรองการรับศีลล้างบาปศีลกำลัง และการรับหน้าที่ศาสนบริกรตามมาตรา 1035 และใบรับรองว่าได้แสดงเจตจำนงตามมาตรา 1036 แล้วและถ้าผู้จะรับศีลบวชเป็นสังฆานุกรถาวรแต่งงานแล้ว ต้องมีใบรับรองศีลสมรสและคำยืนยันการยินยอมของภรรยาของเขา

มาตรา 1051 ในการสืบสวนคุณสมบัติที่จำเป็นของผู้ที่จะรับศีลบวช ให้ถือตามข้อบังคับดังต่อไปนี้

1.       ต้องมีใบรับรองจากอธิการบ้านเณรหรือบ้านฝึกอบรมเกี่ยวกับคุณสมบัติที่จำเป็นในผู้สมัครรับศีลบวช กล่าวคือคำสอนที่ถูกต้อง ความศรัทธาที่แท้จริง ความประพฤติทางจริยธรรมอันดีงามความเหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ศาสนบริกร และเช่นเดียวกันเมื่อสืบสวนอย่างถูกต้องแล้วต้องมีใบรับรองเกี่ยวกับสุขภาพทางกาย และทางจิตของผู้สมัคร

2.       พระสังฆราชสังฆมณฑล หรืออธิการใหญ่เพื่อให้การสืบสวนทำไปได้อย่างถูกต้อง สามารถใช้สื่ออื่นๆ ที่ตนเห็นว่ามีประโยชน์ ตามสภาพสิ่งแวดล้อมของเวลาและสถานที่ เช่นพยานหลักฐาน จดหมาย การพิมพ์หรือข่าวสารอื่นๆ

มาตรา 1052 วรรค 1 เพื่อให้พระสังฆราชซึ่งทำการบวชด้วยสิทธิของตนเองสามารถดำเนินการบวชได้ ท่านต้องแน่ใจว่า เอกสารที่ระบุไว้ในมาตรา 1050 มีอยู่พร้อม และเมื่อได้สืบสวนตามข้อบังคับของกฎหมายแล้ว แน่ใจว่าผู้สมัครมีความเหมาะสมด้วยข้อพิสูจน์ในทางบวก

วรรค 2 เพื่อให้พระสังฆราชดำเนินการบวช ผู้ไม่อยู่ใต้ปกครองของตนเองเป็นการเพียงพอที่หนังสือรับรองการบวชยืนยันว่าเอกสารเหล่านั้นมีอยู่พร้อมแล้ว ได้มีการสืบสวนตามกฎหมายแล้ว และเป็นที่แจ้งชัดว่า ผู้สมัครบวชมีความเหมาะสมจริง และถ้าผู้สมัครบวชเป็นสมาชิกของสถาบันนักพรต หรือคณะชีวิตแพร่ธรรมหนังสือรับรองเหล่านี้ต้องยืนยันด้วยว่าเขาได้สังกัดในสถาบันหรือคณะอย่างเด็ดขาดแล้ว และอยู่ใต้ปกครองของอธิการผู้ให้หนังสือรับรองนั้น

วรรค 3 โดยที่สิ่งที่กล่าวมาแล้วไม่เป็นอุปสรรคถ้าพระสังฆราชมีเหตุผลแน่ชัดที่จะสงสัยว่า ผู้สมัครบวช ไม่สมควรรับศีลบวชท่านต้องไม่บวชให้

 

หมวด 3 การจดบันทึกและหลักฐานการบวช

มาตรา 1053 วรรค 1 เมื่อพิธีบวชเสร็จสิ้นแล้ว ชื่อของผู้รับศีลบวชชื่อของผู้ประกอบพิธีบวช สถานที่ รวมทั้งวันที่ของการบวช ให้บันทึกลงในทะเบียนเฉพาะ ทะเบียนนี้ให้เก็บรักษาไว้อย่างดีในสำนักสังฆมณฑลของสถานที่บวช เอกสารทั้งหมดของการบวชแต่ละครั้งต้องรักษาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

วรรค 2 พระสังฆราชผู้ประกอบพิธีบวชต้องออกหนังสือรับรองเป็นทางการของการบวชให้แก่ผู้รับศีลบวชแต่ละคนผู้ที่รับศีลบวชจากพระสังฆราชอื่น ที่ไม่ใช่พระสังฆราชของตนโดยมีหนังสืออนุญาตให้บวช ต้องแสดงใบรับรองนั้นแก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของตนเพื่อบันทึกการบวชลงในทะเบียนเฉพาะ ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เอกสาร

มาตรา 1054 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมณะสังฆมณฑล หรืออธิการใหญ่ผู้มีอำนาจถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้อยู่ใต้ปกครองของตน ต้องแจ้งการบวชของแต่ละคนไปยังเจ้าอาวาสของสถานที่รับศีลล้างบาป เจ้าอาวาสต้องบันทึกการบวชลงในทะเบียนศีลล้างบาปตามมาตรา 535 วรรค 2

หมวด 3 การจดบันทึก และหลักฐานการบวช

มาตรา 1053 วรรค 1 เมื่อพิธีบวชเสร็จสิ้นแล้ว ชื่อของผู้รับศีลบวชชื่อของผู้ประกอบพิธีบวช สถานที่ รวมทั้งวันที่ของการบวช ให้บันทึกลงในทะเบียนเฉพาะ ทะเบียนนี้ให้เก็บรักษาไว้อย่างดีในสำนักสังฆมณฑลของสถานที่บวช เอกสารทั้งหมดของการบวชแต่ละครั้งต้องรักษาไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

วรรค 2 พระสังฆราชผู้ประกอบพิธีบวชต้องออกหนังสือรับรองเป็นทางการของการบวชให้แก่ผู้รับศีลบวชแต่ละคนผู้ที่รับศีลบวชจากพระสังฆราชอื่น ที่ไม่ใช่พระสังฆราชของตนโดยมีหนังสืออนุญาตให้บวช ต้องแสดงใบรับรองนั้นแก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของตนเพื่อบันทึกการบวชลงในทะเบียนเฉพาะ ซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในตู้เอกสาร

มาตรา 1054 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสมณะสังฆมณฑล หรืออธิการใหญ่ผู้มีอำนาจถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับผู้อยู่ใต้ปกครองของตน ต้องแจ้งการบวชของแต่ละคนไปยังเจ้าอาวาสของสถานที่รับศีลล้างบาป เจ้าอาวาสต้องบันทึกการบวชลงในทะเบียนศีลล้างบาปตามมาตรา 535 วรรค 2

 

ลักษณะ 7 การแต่งงาน

มาตรา 1055 วรรค 1 พันธสัญญาการแต่งงาน คือ พันธสัญญาที่ชายและหญิงนำชีวิตทั้งครบของตน มาหลอมเข้าเป็นชีวิตหนึ่งเดียวธรรมชาติของพันธสัญญานี้มุ่งสู่ความดีของคู่ชีวิต และการให้กำเนิดบุตรหลานรวมทั้งให้การศึกษาอบรม การแต่งงานระหว่างผู้ได้รับศีลล้างบาปได้รับการยกขึ้นจากพระคริสตเจ้า ให้มีศักดิ์ศรีเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์

วรรค 2 เพราะเหตุนี้ สัญญาการแต่งงานระหว่างผู้ได้รับศีลล้างบาป ไม่สามารถมีผลทางกฎหมาย โดยไม่เป็นศีลศักดิ์สิทธิ์ในเวลาเดียวกัน

มาตรา 1056 ลักษณะเฉพาะที่เป็นแก่นแท้ของการแต่งงาน คือความเป็นหนึ่งเดียว และการแยกจากกันมิได้การแต่งงานของคริสตชนมีความมั่นคงพิเศษ โดยเหตุผลของการเป็นศีลศักดิ์สิทธิ์

มาตรา 1057 วรรค 1 การแต่งงานเกิดขึ้นจากการยินยอมของทั้งสองฝ่ายซึ่งแสดงออกโดยชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างบุคคลที่สามารถแต่งงานได้ตามกฎหมาย การยินยอมนี้ไม่สามารถทดแทนได้ด้วยอำนาจของมนุษย์ใดๆ

วรรค 2 การยินยอมของการแต่งงาน คือ กิจการของอำเภอใจซึ่งชาย และหญิงมอบ และรับตนเองแก่กันและกันเพื่อทำให้เกิดการแต่งงานด้วยพันธสัญญาอันเรียกคืนไม่ได้

มาตรา 1058 ทุกคนซึ่งกฎหมายไม่ห้าม สามารถทำสัญญาแต่งงานได้

มาตรา 1059 การแต่งงานของคาทอลิก แม้ฝ่ายเดียวเท่านั้นเป็นคาทอลิกไม่เพียงแต่อยู่ใต้กฎเกณฑ์ของพระเจ้าเท่านั้นแต่ยังอยู่ใต้กฎเกณฑ์ของพระศาสนจักรด้วย โดยคงไว้ซึ่งอำนาจทางบ้านเมืองเกี่ยวกับผลเพียงทางบ้านเมืองของการแต่งงานเดียวกันนั้น

มาตรา 1060 การแต่งงานได้รับการสนับสนุนจากกฎหมาย ด้วยเหตุนี้ในกรณีมีความสงสัย ให้ยืนยันความถูกต้องของการแต่งงานไว้ก่อนจนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นเป็นตรงกันข้าม

มาตรา 1061 วรรค 1 การแต่งงานที่ถูกต้องระหว่างผู้ได้รับศีลล้างบาปเรียกว่า การแต่งงานที่ได้รับสัตยาบันเท่านั้น หากยังไม่มีการทำให้สมบูรณ์เรียกว่า การแต่งงานที่ได้รับสัตยาบันและสมบูรณ์หากสามีภรรยาได้มีเพศสัมพันธ์ตามวิสัยมนุษย์ซึ่งในตัวมันเองเหมาะที่จะทำให้เกิดบุตรหลานโดยธรรมชาติการแต่งงานมีจุดประสงค์เพื่อการมีเพศสัมพันธ์นี้ และโดยการมีเพศสัมพันธ์นี้สามีภรรยากลายเป็นเนื้อเดียวกัน

วรรค 2 ถ้าสามีภรรยามีชีวิตร่วมกัน หลังพิธีแต่งงานให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า การแต่งงานนั้นสมบูรณ์แล้วจนกว่าจะพิสูจน์ให้เห็นเป็นตรงกันข้าม

วรรค 3 การแต่งงานที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เรียกว่า การแต่งงานสมมุติหากการแต่งงานมีขึ้นโดยสุจริตใจอย่างน้อยจากฝ่ายหนึ่งจนกว่าทั้งสองฝ่ายแน่ใจว่า การแต่งงานนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา 1062 วรรค 1 การสัญญาจะแต่งงาน ไม่ว่าจะเป็นจากฝ่ายเดียวหรือจากทั้งสองฝ่าย เรียกว่า การหมั้น การสัญญานี้ควบคุมด้วยกฎหมายเฉพาะซึ่งสภาพระสังฆราชตั้งขึ้น หลังจากได้พิจารณาประเพณีการหมั้นและกฎหมายบ้านเมือง หากมี

วรรค 2 การหมั้นไม่ทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องการแต่งงาน แต่ทำให้เกิดสิทธิเรียกร้องการชดเชยค่าเสียหาย หากมี

 

หมวด 1 การเอาใจใส่ด้านอภิบาลและสิ่งที่จำเป็นก่อนพิธีแต่งงาน

มาตรา 1063 ผู้อภิบาลวิญญาณ มีหน้าที่ต้องเอาใจใส่ให้ชุมชนวัดจัดให้ความช่วยเหลือแก่บรรดาคริสตชนเพื่อรักษาสถานภาพการแต่งงานให้มีจิตตารมณ์ คริสตชนและพัฒนาไปสู่ความครบครัน ความช่วยเหลือที่ต้องจัดให้มีดังนี้ เป็นต้น :

1.       ด้วยการเทศน์สอน การสอนคำสอนที่ปรับให้เหมาะกับผู้เยาว์คนหนุ่มสาวและผู้ใหญ่ ยิ่งกว่านั้น โดยใช้สื่อสารทางสังคมเพื่อว่าโดยอาศัยสื่อสารเหล่านี้คริสตชนจะได้รับการสอนเกี่ยวกับความหมายของการแต่งงานคริสตชนและหน้าที่ของสามีภรรยา และบิดามารดาที่เป็น คริสตชน

2.       ด้วยการเตรียมส่วนบุคคล เพื่อเข้าสู่การแต่งงาน เพื่อว่าคู่สมรสจะได้มีความพร้อมที่จะรับความศักดิ์สิทธิ์และหน้าที่แห่งสถานภาพใหม่ของตน

3.       ด้วยการประกอบจารีตการแต่งงานที่ให้ผลอุดมจารีตนี้ช่วยให้มองเห็นชัดแจ้งว่า สามีภรรยามีความหมายและมีส่วนในรหัสธรรมความเป็นหนึ่งเดียวและความรักอันมีผลอุดมระหว่างพระคริสตเจ้า และพระศาสนจักร

4.       ด้วยการให้ความช่วยเหลือแก่คู่สมรสเพื่อว่าเขาจะได้ยิ่งวันยิ่งบรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นและมีชีวิตครอบครัวที่เต็มเปี่ยมมากขึ้นด้วยการรักษาและป้องกันพันธะศีลแต่งงานอย่างซื่อสัตย์

มาตรา 1064 เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นที่จะจัดให้มีความช่วยเหลือนี้อย่างที่ควร ถ้าเห็นว่าเหมาะสมท่านควรปรึกษาบุรุษและสตรีผู้มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญซึ่งเป็นที่ยอมรับแล้ว

มาตรา 1065 วรรค 1 คาทอลิกที่ยังไม่ได้รับศีลกำลังให้รับศีลศักดิ์สิทธิ์นั้นก่อนรับเข้าพิธีแต่งงานถ้าหากการรับนี้ไม่ก่อให้เกิดความไม่สะดวกมากนัก

วรรค 2 เพื่อให้การรับศีลแต่งงานนี้เกิดผลอุดม ขอแนะนำอย่างแข็งขัน ให้คู่สมรสรับศีลอภัยบาป และศีลมหาสนิท

มาตรา 1066 ก่อนจะประกอบพิธีแต่งงาน จะต้องแน่ใจว่า ไม่มีอุปสรรคอันใดมาขัดขวางมิให้การประกอบพิธีแต่งงานมีผล และถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา 1067 สภาพระสังฆราช ต้องวางกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแบบสอบถามคู่สมรสและเกี่ยวกับการประกาศการแต่งงานหรือวิธีการสืบสวนอื่น ๆ ที่เหมาะสมซึ่งต้องทำก่อนการแต่งงาน เมื่อได้ถือตามกฎเกณฑ์เหล่านี้อย่างเอาใจใส่แล้วเจ้าอาวาสก็ดำเนินการประกอบพิธีแต่งงานได้

มาตรา 1068 ในกรณีที่มีอันตรายจะตายถ้าไม่สามารถหาวิธีพิสูจน์อย่างอื่นได้ เว้นแต่มีสิ่งบ่งบอกตรงกันข้ามเป็นการเพียงพอที่คู่สมรส ยืนยันด้วยการสาบาน ถ้าจำเป็นว่าเขาได้รับศีลล้างบาป และไม่มีข้อขัดขวางใดๆ

มาตรา 1069 ก่อนการประกอบพิธีแต่งงานคริสตชนทุกคนมีหน้าที่ต้องแจ้งเจ้าอาวาสหรือผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นให้ทราบ ถึงข้อขัดขวางที่เขารู้

มาตรา 1070 ถ้าบุคคลอื่นทำการสอบสวนแทนเจ้าอาวาสผู้ซึ่งจะประกอบพิธีแต่งงานบุคคลนั้นต้องแจ้งผลการสอบสวนให้เจ้าอาวาสทราบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยเอกสารที่เป็นทางการ

มาตรา 1071 วรรค 1 เว้นแต่ในกรณีที่จำเป็น ไม่อนุญาตให้ใครประกอบพิธีแต่งงาน โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

1.       การแต่งงานของคนพเนจร

2.       การแต่งงานซึ่งกฎหมายบ้านเมืองไม่รับรู้ หรือไม่อนุญาตให้ประกอบพิธี

3.       การแต่งงานของบุคคลที่มีหน้าที่รับผิดชอบตามธรรมชาติต่อคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง หรือต่อบุตรที่เกิดจากการแต่งงานครั้งก่อน

4.       การแต่งงานของบุคคลที่ปฏิเสธความเชื่อคาทอลิกอย่างโจ่งแจ้ง

5.       การแต่งงานของบุคคลที่ต้องโทษทางกฎหมายพระศาสนจักร

6.       การแต่งงานของผู้เยาว์ โดยทั้งที่บิดามารดาไม่รู้ หรือไม่ยินยอมอย่างมีเหตุผล

7.       การแต่งงานโดยตัวแทน ดังระบุไว้ในมาตรา 1105

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องไม่อนุญาตให้ประกอบพิธีแต่งงานแก่ผู้ที่ปฏิเสธความเชื่อคาทอลิกอย่างโจ่งแจ้ง เว้นไว้แต่ว่า ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1125 แล้วโดยการปรับเปลี่ยนที่จำเป็นตามความเหมาะสม

มาตรา 1072 ให้ผู้อภิบาลวิญญาณ พยายามหันเหหนุ่มสาวจากการแต่งงานก่อนอายุ ซึ่งเป็นอายุแต่งงานตามประเพณีท้องถิ่น

 

หมวด 2 ข้อขัดขวางที่ทำให้การแต่งงาน เป็นโมฆะโดยทั่วไป

มาตรา 1073 ข้อขัดขวางที่ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะ ทำให้บุคคลไม่สามารถแต่งงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

มาตรา 1074 ข้อขัดขวางถือว่าเป็นสาธารณะ เมื่อพิสูจน์ได้ในขอบข่ายอำนาจทางศาลภายนอก มิฉะนั้นถือว่าเป็นข้อขัดขวางปกปิด

มาตรา 1075 วรรค 1 เป็นอำนาจสูงสุดของพระศาสนจักรเท่านั้นที่จะประกาศเป็นทางการว่าเมื่อใดกฎหมายพระเจ้าห้ามแต่งงานหรือทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะ

วรรค 2 เป็นสิทธิแห่งอำนาจสูงสุดเดียวกัน ที่จะกำหนดข้อขัดขวางอื่นๆ สำหรับผู้ได้รับศีลล้างบาป

มาตรา 1076 ประเพณีซึ่งก่อให้เกิดข้อขัดขวางใหม่หรือที่เป็นตรงกันข้ามกับข้อขัดขวางที่มีอยู่แล้วพระศาสนจักรไม่ยอมรับ

มาตรา 1077 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถห้ามการแต่งงานเป็นกรณีพิเศษได้ สำหรับผู้อยู่ใต้ปกครองของตนไม่ว่าเขาจะพำนักอยู่ ณ ที่ใด และสำหรับทุกคนในขณะที่อาศัยอยู่จริง ๆ ในเขตปกครองของตน แต่เป็นการห้ามชั่วคราวเท่านั้น เพราะมีเหตุผลอันหนัก และตลอดเวลาที่เหตุผลอันหนักนั้นยังคงอยู่
วรรค 2 อำนาจสูงสุดของพระ ศาสนจักรเท่านั้น สามารถเพิ่มเงื่อนไขที่ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะ

มาตรา 1078 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถยกเว้นผู้อยู่ใต้ปกครองของตน ไม่ว่าเขาจะพำนักอยู่ ณ ที่ใดและทุกคนในขณะที่อาศัยอยู่จริงๆ ในเขตปกครองของตน จากข้อขัดขวางทุกข้อตามกฎหมายพระศาสนจักร เว้นแต่ข้อขัดขวางที่สงวนการยกเว้นสำหรับสันตะสำนัก

วรรค 2 ข้อขัดขวางที่สงวนการยกเว้นไว้สำหรับสันตะสำนัก มี :

1.       ข้อขัดขวางที่เกิดจากศีลบรรพชาในขั้นต่างๆ และการปฏิญาณถือศีลพรหมจรรย์ตลอดชีพ แบบสาธารณะในสถาบันนักพรตสิทธิสันตะสำนัก

2.       ข้อขัดขวางที่เกิดจาก อาชญากรรมที่ระบุไว้ตามมาตรา 1090

วรรค 3 ไม่เคยให้การยกเว้น จากข้อขัดขวาง ที่เกิดจากสายเลือดในสายตรง หรือในสายขนานขั้นที่สอง

มาตรา 1079 วรรค 1 เมื่ออยู่ในอันตรายใกล้ตายผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถให้การยกเว้นแก่ผู้อยู่ใต้ปกครองของตนไม่ว่าเขาจะพำนักอยู่ ณ ที่ใด และแก่ทุกคนในขณะที่อาศัยอยู่จริงๆ ในเขตปกครองของตน ทั้งจากรูปแบบในการประกอบพิธีแต่งงานและจากข้อขัดขวางทุกข้อ และแต่ละข้อตามกฎหมายพระ ศาสนจักรไม่ว่าจะเป็นข้อขัดขวางสาธารณะหรือปกปิดยกเว้นข้อขัดขวางที่เกิดจากศีลบรรพชาในขั้นพระสงฆ์

วรรค 2 ในกรณีแวดล้อมเดียวกัน ที่ระบุไว้ในวรรค 1แต่เป็นกรณีที่ไม่อาจเข้าหาผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นได้เท่านั้นผู้มีอำนาจให้การยกเว้นเช่นเดียวกัน ได้แก่ พระสงฆ์เจ้าอาวาส ศาสนบริกรที่ได้รับมอบหมายอย่างถูกต้อง รวมทั้งพระสงฆ์หรือสังฆานุกรผู้ประกอบพิธีแต่งงาน ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1116 วรรค 2

วรรค 3 ในกรณีมีอันตรายใกล้ตายผู้รับฟังการสารภาพบาปมีอำนาจให้การยกเว้นจากข้อขัดขวางที่ปกปิดอยู่สำหรับขอบข่ายอำนาจภายในไม่ว่าการยกเว้นนั้นจะให้ภายในหรือภายนอกกิจกรรมแห่งศีลอภัยบาป

วรรค 4 ในกรณีที่ระบุไว้ใน วรรค 2 ถือว่าเข้าหาผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นไม่ได้ ถ้าหากว่าติดต่อได้โดยทางโทรเลขหรือโทรศัพท์เท่านั้น

มาตรา 1080 วรรค 1 ถ้าพบข้อขัดขวางเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วสำหรับการแต่งงานและไม่อาจเลื่อนการแต่งงานได้โดยไม่มีอันตรายจะเกิดความเสียหายอย่างหนักเมื่อต้องรอจนกว่าจะได้รับการยกเว้นจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจบุคคลผู้มีอำนาจให้การยกเว้นได้จากข้อขัดขวางทุกข้อยกเว้นข้อขัดขวางที่ระบุไว้ในมาตรา 1078 วรรค 2 ข้อ 1 คือผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น และตราบใดที่ข้อขัดขวางนั้นยังปกปิดอยู่ทุกคนที่ระบุไว้ในมาตรา 1079 วรรค 2 และ 3 ทั้งนี้ต้องรักษาเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในมาตราดังกล่าวด้วย

วรรค 2 อำนาจนี้ใช้ได้สำหรับการรื้อฟื้นการแต่งงานให้ถูกต้องด้วยเมื่ออันตรายอันเดียวกันนั้นยังมีอยู่ หากต้องรอและไม่มีเวลาที่จะเข้าหาสันตะสำนัก หรือเข้าหาผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นในเรื่องเกี่ยวกับข้อขัดขวางที่ท่านมีอำนาจยกเว้นได้

มาตรา 1081 พระสงฆ์เจ้าอาวาส หรือพระสงฆ์ หรือสังฆานุกรดังระบุไว้ในมาตรา 1079 วรรค 2ต้องแจ้งให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นทราบทันทีถึงการยกเว้นที่ได้ให้สำหรับขอบข่ายอำนาจภายนอก และต้องบันทึกการยกเว้นนี้ลงในทะเบียนการแต่งงานด้วย

มาตรา 1082 เว้นแต่คำตอบของสำนักงานด้านอภัยโทษ จะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นการยกเว้นจากข้อขัดขวางที่ปกปิดที่ให้สำหรับขอบข่ายอำนาจภายในนอกศีลศักดิ์สิทธิ์ต้องบันทึกในทะเบียนซึ่งต้องเก็บรักษาในตู้เอกสารลับของสำนักงานสังฆมณฑลและไม่ต้องมีการยกเว้นสำหรับขอบข่ายอำนาจภายนอกอีกถ้าหากข้อขัดขวางที่ปกปิดกลายเป็นสาธารณะในภายหลัง

 

หมวด 3 ข้อขัดขวางที่ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะโดยเฉพาะ

มาตรา 1083 วรรค 1 บุรุษไม่สามารถแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ก่อนอายุ 16 ปีบริบูรณ์ และสตรีก่อนอายุ 14 ปีบริบูรณ์

วรรค 2 สภาพระสังฆราช มีอำนาจกำหนดอายุสูงกว่า เพื่อให้การแต่งงานชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 1084 วรรค 1 การไร้สมรรถภาพที่จะร่วมเพศ ที่มีอยู่ก่อนและถาวรไม่ว่าจากฝ่ายชายหรือฝ่ายหญิง ไม่ว่าแบบเด็ดขาด หรือแบบเฉพาะบุคคลทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะ โดยธรรมชาติของมันเอง

วรรค 2 ถ้าข้อขัดขวางการไร้สมรรถภาพเป็นที่สงสัยไม่ว่าในข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงการแต่งงานนั้นต้องไม่ถูกขัดขวางและตราบใดที่ยังมีความสงสัยอยู่การแต่งงานนั้นต้องไม่ถูกประกาศเป็นโมฆะ

วรรค 3 การเป็นหมัน ทั้งไม่ห้าม และไม่ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะ โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดแห่งมาตรา 1098

มาตรา 1085 วรรค 1 บุคคลที่มีพันธะจากการแต่งงานครั้งก่อน แม้การแต่งงานนั้นจะยังไม่สมบูรณ์ ความพยายามแต่งงานใหม่เป็นโมฆะ

วรรค 2 แม้การแต่งงานครั้งก่อนเป็นโมฆะ หรือสิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยเหตุใดก็ตาม ไม่อนุญาตให้แต่งงานใหม่ ด้วยเหตุนี้ก่อนที่จะรู้ชัดโดยชอบด้วยกฎหมาย และอย่างแน่นอนว่าการแต่งงานครั้งก่อนเป็นโมฆะหรือสิ้นสุดลงแล้ว

มาตรา 1086 วรรค 1 การแต่งงานระหว่างสองบุคคลเป็นโมฆะเมื่อบุคคลหนึ่งรับศีลล้างบาปในพระศาสนจักรคาทอลิกหรือถูกรับเข้าในพระศาสนจักรคาทอลิกและยังไม่ละทิ้งพระศาสนจักรอย่างเป็นทางการส่วนอีกบุคคลหนึ่งมิได้รับศีลล้างบาป

วรรค 2 ต้องไม่ให้การยกเว้นจากข้อขัดขวางนี้ เว้นแต่จะได้ปฏิบัติตามเงื่อนไข ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 1125 และ 1126 อย่างครบถ้วนแล้ว

วรรค 3 ถ้าขณะที่แต่งงานนั้นฝ่ายหนึ่งเป็นที่เข้าใจโดยทั่วไปว่าได้รับศีลล้างบาป หรือถ้าการล้างบาปของเขาเป็นที่สงสัย ให้สันนิษฐานตามมาตรา 1060 ว่าการแต่งงานนั้นถูกต้อง จนกว่าจะได้พิสูจน์เป็นที่แน่นอนว่าฝ่ายหนึ่งได้รับศีลล้างบาป แต่อีกฝ่ายหนึ่งมิได้รับศีลล้างบาป

มาตรา 1087 ความพยายามแต่งงานของบุคคลที่อยู่ในศีลบรรพชา เป็นโมฆะ

มาตรา 1088 ความพยายามแต่งงานของบุคคลที่มีพันธะการปฏิญาณถือศีลพรหมจรรย์ตลอดชีพแบบสาธารณะในสถาบันนักพรตเป็นโมฆะ

มาตรา 1089 ไม่มีการแต่งงานใดสามารถเกิดขึ้นได้ ระหว่างบุรุษและสตรีที่ถูกลักพาตัว หรืออย่างน้อยถูกหน่วงเหนี่ยวกักขังโดยมีจุดประสงค์จะแต่งงานกับสตรีผู้นั้นเว้นแต่หลังจากสตรีผู้นั้นถูกแยกออกจากผู้ลักพาตัวและอยู่ในที่อิสระและปลอดภัยแล้วเธอเลือกที่จะแต่งงานด้วยความสมัครใจของเธอเอง

มาตรา 1090 วรรค 1 บุคคลที่มีจุดมุ่งหมายแต่งงานกับบุคคลหนึ่งโดยฆ่าคู่ครองของบุคคลนั้น หรือคู่ครองของตนเองความพยายามแต่งงานของเขาเป็นโมฆะ

วรรค 2 บุคคลซึ่งได้ร่วมกันทำให้คู่ครองของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจะด้วยความร่วมมือทางกายหรือทางสนับสนุนก็ตามความพยายามแต่งงานของเขาทั้งสองเป็นโมฆะ

มาตรา 1091 วรรค 1 การแต่งงานระหว่างบุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดในสายตรงทุกระดับไม่ว่าขึ้นหรือลง ตามกฎหมายหรือตามธรรมชาติเป็นการแต่งงานของพวกเขาเป็นโมฆะ

วรรค 2 การแต่งงานในสายขนาน เป็นโมฆะ จนถึง และรวมขั้นที่สี่ด้วย

วรรค 3 ข้อขัดขวางที่มาจากความสัมพันธ์ทางสายเลือด ไม่เพิ่มทวี

วรรค 4 ถ้ามีข้อสงสัยว่าคู่แต่งงานเป็นญาติกันทางสายเลือดไม่ว่าในขั้นใดของสายตรง หรือในขั้นที่สองของสายขนานต้องไม่อนุญาตให้แต่งงานเลย

มาตรา 1092 ความเกี่ยวดองทางสายตรง ไม่ว่าในขั้นใดๆ ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะ

มาตรา 1093 ข้อขัดขวางสาธารณะเกียรติเกิดจากการมีชีวิตร่วมกันหลังจากการแต่งงานที่เป็นโมฆะ หรือจากการอยู่ร่วมกันแบบชู้สาวที่ฉาวโฉ่ และเปิดเผยข้อขัดขวางนี้ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะในสายตรงขั้นที่หนึ่งระหว่างชายกับบรรดาผู้มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับฝ่ายหญิง และในทางกลับกันด้วย

มาตรา 1094 บุคคลที่มีความสัมพันธ์ทางกฎหมายซึ่งเกิดจากการรับเป็นบุตรบุญธรรมไม่สามารถแต่งงานกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ถ้าความสัมพันธ์นั้นเป็นสายตรงหรือสายขนานในขั้นที่สอง

 

หมวด 4 การยินยอมในการแต่งงาน

มาตรา 1095 บุคคลต่อไปนี้ ไม่สามารถแต่งงานได้

1.       บุคคลที่บกพร่องในการใช้เหตุผลที่เพียงพอ

2.       บุคคลที่บกพร่องอย่างมาก ในการตัดสินแยกแยะเกี่ยวกับสิทธิและหน้าที่อันเป็นแก่นแท้ของการแต่งงานที่ต้องมอบให้และรับซึ่งกันและกัน

3.       บุคคลที่ไม่สามารถรับพันธะอันเป็นแก่นแท้ของการแต่งงาน เพราะสาเหตุอันมาจากธรรมชาติด้านจิต

มาตรา 1096 วรรค 1 เพื่อให้มีความยินยอมในการแต่งงานจำเป็นต้องให้ผู้แต่งงานอย่างน้อยไม่ถึงขนาดไม่รู้ความจริงว่าการแต่งงานเป็นการร่วมหุ้นส่วนถาวรกันระหว่างชายและหญิง เพื่อให้กำเนิดบุตรโดยการมีกิจกรรมทางเพศอย่างหนึ่งร่วมกัน

วรรค 2 เมื่อผ่านวัยหนุ่มสาวแล้ว จะสันนิษฐานว่า ไม่รู้เรื่องนี้ไม่ได้

มาตรา 1097 วรรค 1 ความหลงผิดในตัวบุคคล ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะ

วรรค 2 ความหลงผิดในคุณสมบัติของบุคคลแม้คุณสมบัตินั้นจะเป็นสาเหตุของการแต่งงาน ไม่ทำให้การแต่งงานเป็นโมฆะเว้นแต่ คุณสมบัตินั้นจะเป็นจุดมุ่งหมายเอก และโดยตรง

มาตรา 1098 บุคคลที่ถูกหลอกให้แต่งงานด้วยกลอุบายซึ่งทำเพื่อจะได้รับการยินยอม เกี่ยวกับคุณสมบัติบางประการของอีกฝ่ายหนึ่งซึ่งคุณสมบัตินั้นโดยธรรมชาติของมันเองสามารถก่อความวุ่นวายอย่างหนักแก่การเป็นหุ้นส่วนในชีวิตสมรสการแต่งงานของเขาเป็นโมฆะ

มาตรา 1099 การหลงผิดเกี่ยวกับความเป็นหนึ่งเดียว หรือการหย่าร้างมิได้หรือศักดิ์ศรีแห่งศีลศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงาน หากไม่เป็นตัวกำหนดเจตนาไม่ทำให้การยินยอมในการแต่งงานเสียสภาพไป

มาตรา 1100 ความรู้หรือความคิดเห็นเกี่ยวกับ ความเป็นโมฆะของการแต่งงาน ไม่จำเป็นต้องลบล้างความยินยอมในการแต่งงาน

มาตรา 1101 วรรค 1 ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่า ความยินยอมในใจสอดคล้องกับวาจา หรือเครื่องหมายที่ใช้ในการประกอบพิธีแต่งงาน

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายจงใจปฏิเสธการแต่งงานเองหรือองค์ประกอบที่เป็นแก่นแท้ของการแต่งงานหรือคุณสมบัติที่เป็นแก่นแท้บางอย่าง การแต่งงานของเขาเป็นโมฆะ

มาตรา 1102 วรรค 1 การแต่งงานภายใต้เงื่อนไขที่เกี่ยวกับอนาคต ไม่สามารถทำให้ถูกต้องตามกฎหมายได้

วรรค 2 การแต่งงานภายใต้เงื่อนไขที่เกี่ยวกับอดีต หรือปัจจุบันจะเป็นโมฆะ หรือไม่โมฆะขึ้นอยู่กับว่าสิ่งที่ตั้งเป็นเงื่อนไขนั้นมีอยู่จริงหรือไม่

วรรค 3 อย่างไรก็ดี เงื่อนไขที่กล่าวถึงในวรรค 2 นั้นไม่สามารถนำเอามาตั้งได้โดยชอบด้วยกฎหมายเว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

มาตรา 1103 การแต่งงานที่ถูกบีบบังคับด้วยกำลังหรือด้วยความกลัวอย่างหนักจากภายนอกแม้ว่าการบีบบังคับนั้นทำไปโดยไม่ตั้งใจ บุคคลนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแต่งงาน การแต่งงานนั้นเป็นโมฆะ

มาตรา 1104 วรรค 1 เพื่อให้การแต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย จำเป็นต้องให้คู่แต่งงานอยู่พร้อมกันโดยตนเอง หรือโดยตัวแทน

วรรค 2 คู่แต่งงานต้องแสดงความยินยอมในการแต่งงานด้วยวาจา อย่างไรก็ตาม ถ้าพูดไม่ได้ ให้แสดงออกด้วยเครื่องหมายเท่าเทียมกัน

มาตรา 1105 วรรค 1 เพื่อให้การแต่งงานโดยตัวแทนถูกต้องตามกฎหมาย

1.       ต้องมีการมอบอำนาจพิเศษให้แต่งงานกับบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

2.       ต้องให้ตัวแทนถูกกำหนดตัวโดยผู้มอบอำนาจเอง และให้ตัวแทนปฏิบัติหน้าที่นี้โดยตนเอง

วรรค 2 เพื่อให้การมอบอำนาจถูกต้องตามกฎหมาย การมอบอำนาจนี้ต้องมีลายเซ็นของผู้มอบอำนาจ พร้อมกับลายเซ็นของพระสงฆ์เจ้าอาวาสหรือของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นของสถานที่ที่มีการมอบอำนาจนั้นหรือของพระสงฆ์ที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่ดังกล่าวคนใดคนหนึ่ง หรือของพยานอย่างน้อยสองคน หรือทำการมอบอำนาจนั้น เป็นหนังสือที่เป็นทางการตามกฎหมายบ้านเมือง

วรรค 3 ถ้าผู้มอบอำนาจเขียนไม่ได้ เรื่องนี้ต้องบันทึกในหนังสือมอบอำนาจและเพิ่มพยานอีกคน ซึ่งต้องเซ็นรับรองข้อความนั้น มิฉะนั้นการมอบอำนาจเป็นโมฆะ

วรรค 4 ถ้าผู้มอบอำนาจเรียกการมอบอำนาจคืน หรือกลายเป็นบุคคลวิกลจริตก่อนที่ตัวแทนจะทำการแต่งงานในนามของผู้มอบอำนาจ การแต่งงานนั้นเป็นโมฆะแม้ว่าตัวแทนหรือคู่แต่งงานอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นนี้

มาตรา 1106 การแต่งงานสามารถทำได้โดยอาศัยล่าม แต่พระสงฆ์เจ้าอาวาสต้องไม่ประกอบพิธีแต่งงานเช่นนั้น เว้นแต่ท่านมีความมั่นใจในความน่าเชื่อถือของล่าม

มาตรา 1107 แม้ว่าการแต่งงานเป็นโมฆะ เพราะข้อขัดขวางหรือเพราะขาดรูปแบบพิธี ให้สันนิษฐานว่า การยินยอมที่ให้ไปแล้ว ยังคงอยู่จนกว่าจะแน่ใจว่าถูกเรียกคืนแล้ว

 

หมวด 5 รูปแบบของการประกอบพิธีแต่งงาน

มาตรา 1108 วรรค 1 การแต่งงานเหล่านี้เท่านั้น ถูกต้องตามกฎหมาย คือการแต่งงานที่กระทำต่อหน้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นหรือต่อหน้าพระสงฆ์เจ้าอาวาส หรือต่อหน้าพระสงฆ์ หรือสังฆานุกรซึ่งได้รับการมอบอำนาจจากผู้มีอำนาจดังกล่าวองค์ใดองค์หนึ่งซึ่งประกอบพิธีต่อหน้าพยานสองคน กระนั้นก็ดียังต้องปฏิบัติตามระเบียบที่กำหนดไว้ในมาตราต่อไปนี้และโดยคงไว้ซึ่งข้อยกเว้นที่ระบุไว้ในมาตรา 144, 1112 วรรค 1, 1116 และ1127 วรรค 2 และ 3

วรรค 2 บุคคลนี้เท่านั้นเป็นผู้ประกอบพิธีแต่งงาน คือผู้ที่อยู่ต่อหน้าคู่แต่งงาน ขอให้คู่แต่งงานแสดงความยินยอมและรับความยินยอมนั้นในนามของพระศาสนจักร

มาตรา 1109 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นและพระสงฆ์เจ้าอาวาสโดยหน้าที่ประกอบพิธีแต่งงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายภายในเขตปกครองของตนไม่เพียงแต่ให้แก่ผู้อยู่ใต้ปกครองของตนเท่านั้นแต่ยังให้แก่ผู้ไม่อยู่ใต้ปกครองของตนด้วย ขอเพียงว่าคู่แต่งงานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสังกัดอยู่ในจารีตลาติน อย่างไรก็ดีผู้มีหน้าที่ประกอบพิธีแต่งงานดังกล่าว ต้องไม่เป็นผู้ต้องโทษโดยการตัดสิน หรือโดยคำสั่งให้เป็นผู้ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรหรือถูกห้ามหรือถูกแขวนมิให้ปฏิบัติหน้าที่ หรือต้องไม่ถูกประกาศว่าเป็นผู้ต้องโทษเหล่านั้น

มาตรา 1110 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจและพระสงฆ์เจ้าอาวาสเฉพาะบุคคลโดยหน้าที่ประกอบพิธีแต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายให้แก่บุคคลเหล่านี้เท่านั้นซึ่งอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของบุคคลเหล่านี้เป็นผู้อยู่ใต้ปกครองภายในขอบข่ายอำนาจปกครองของตน

มาตรา 1111 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น และพระสงฆ์เจ้าอาวาสตราบใดที่ยังปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องตามกฎหมายอยู่สามารถมอบอำนาจแม้ชนิดทั่วไปแก่พระสงฆ์หรือสังฆานุกรเพื่อประกอบพิธีแต่งงานภายในเขตพื้นที่ปกครองของตนวรรค 2 เพื่อให้การมอบอำนาจประกอบพิธีแต่งงานถูกต้องตามกฎหมายต้องมอบให้แก่บุคคลเฉพาะโดยการแสดงออกอย่างแจ้งชัดถ้าเป็นการมอบอำนาจชนิดเฉพาะ อำนาจนั้นถูกมอบให้ประกอบพิธีแต่งงานเฉพาะอย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นการมอบอำนาจชนิดทั่วไปการมอบอำนาจนี้ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 1112 วรรค 1 ถ้าสภาพระสังฆราชได้เห็นชอบและสันตะสำนักได้อนุญาตแล้ว ที่ใดที่ขาดพระสงฆ์และสังฆานุกรพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถมอบอำนาจให้แก่ฆราวาสประกอบพิธีแต่งงานได้

วรรค 2 ต้องเลือกฆราวาสที่เหมาะสม ที่สามารถให้การอบรมบุคคลที่จะแต่งงานและมีคุณสมบัติที่จะประกอบพิธีกรรม การแต่งงานได้อย่างถูกต้อง

มาตรา 1113 ก่อนที่จะมีการมอบอำนาจชนิดเฉพาะ ต้องจัดทุกอย่างไว้ให้พร้อมตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เพื่อตรวจสอบสถานภาพอิสระที่จะแต่งงาน

มาตรา 1114 บุคคลผู้ประกอบพิธีแต่งงาน ทำการอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายเว้นแต่เขาเองจะได้แน่ใจก่อนแล้วในสถานภาพอิสระของคู่แต่งงานตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย และถ้าเป็นไปได้โดยมีอนุญาตของพระสงฆ์เจ้าอาวาส ทุกครั้งที่เขาประกอบพิธีแต่งงานด้วยอำนาจที่รับมอบชนิดทั่วไป

มาตรา 1115 ต้องประกอบพิธีแต่งงานในวัดซึ่งคู่แต่งงานฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีที่อาศัยอยู่ถาวร กึ่งถาวรหรืออาศัยอยู่แล้วหนึ่งเดือน หรือถ้าเกี่ยวกับพวกเร่ร่อนให้ประกอบพิธีในวัด ซึ่งผู้เร่ร่อนอาศัยอยู่จริงๆ พิธีแต่งงานจะประกอบที่อื่นก็ได้ โดยมีอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเฉพาะหรือของพระสงฆ์เจ้าอาวาสเฉพาะของคู่แต่งงาน

มาตรา 1116 วรรค 1 ถ้าไม่สามารถมี หรือไปหาผู้มีอำนาจประกอบพิธีแต่งงานตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายได้โดยปราศจากความไม่สะดวกอย่างมาก บุคคลผู้ประสงค์จะแต่งงานอย่างแท้จริงสามารถแต่งงานกันอย่างถูกต้องและโดยชอบด้วยกฎหมายต่อหน้าเพียงพยานเท่านั้นได้

1.       ในอันตรายใกล้ตาย

2.       นอกอันตรายใกล้ตาย ขอแต่คาดการณ์ล่วงหน้าอย่างรอบคอบได้ว่า สถานการณ์นี้จะคงอยู่เป็นเดือน

วรรค 2 ในทั้ง 2 กรณี ถ้ามีพระสงฆ์องค์อื่นหรือสังฆานุกรอยู่ที่นั่นต้องเชิญท่านมาร่วมพิธีแต่งงานพร้อมกับพยานโดยคงไว้ซึ่งความถูกต้องตามกฎหมายของการแต่งงานต่อหน้าเพียงพยานเท่านั้น

มาตรา 1117 รูปแบบที่กำหนดไว้ข้างต้น ต้องนำมาปฏิบัติถ้าอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งของคู่แต่งงานรับศีลล้างบาปในพระศาสนจักรคาทอลิก หรือได้รับเข้ามาในพระศาสนจักรคาทอลิกแล้วและยังไม่ละทิ้งพระศาสนจักรอย่างเป็นทางการทั้งนี้ให้คงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1127 วรรค 2

มาตรา 1118 วรรค 1 การแต่งงานระหว่างคาทอลิกด้วยกันหรือระหว่างคาทอลิกฝ่ายหนึ่งกับผู้รับศีลล้างบาปที่ไม่ใช่คาทอลิกอีกฝ่ายหนึ่งต้องประกอบพิธีแต่งงานในวัดปกครองชุมชน จะประกอบพิธีแต่งงานในวัดอื่นหรือในวัดน้อยก็ได้ โดยมีอนุญาตจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นหรือจากพระสงฆ์เจ้าอาวาส

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น สามารถอนุญาตให้ประกอบพิธีแต่งงานในสถานที่อื่น ที่สะดวกเหมาะสมได้

วรรค 3 การแต่งงานระหว่างคาทอลิกฝ่ายหนึ่งกับผู้ที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปอีกฝ่ายหนึ่ง สามารถกระทำได้ในวัดหรือในสถานที่อื่นที่สะดวกเหมาะสม

มาตรา 1119 นอกกรณีจำเป็น ในการประกอบพิธีแต่งงานให้ถือตามจารีตที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรมซึ่งได้รับการรับรองโดยพระศาสนจักรหรือเป็นที่ยอมรับกันโดยประเพณีที่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 1120 สภาพระสังฆราช สามารถร่างจารีตพิธีแต่งงานของตนขึ้นซึ่งกลมกลืนกับประเพณีของท้องถิ่นและของประชาชนที่ได้ปรับให้เข้ากับจิตตารมณ์ คริสตชนแล้วจารีตพิธีนี้ต้องได้รับการตรวจรับรองจากสันตะสำนัก อย่างไรก็ตามต้องรักษากฎหมายที่ให้ผู้ประกอบพิธีแต่งงานอยู่ต่อหน้าและขอให้คู่แต่งงานแสดงความยินยอม พร้อมทั้งรับการแสดงความยินยอมนั้น

มาตรา 1121 วรรค 1 เมื่อประกอบพิธีแต่งงานเสร็จแล้วพระสงฆ์เจ้าอาวาสของสถานที่ประกอบพิธีแต่งงาน หรือใครไม่ว่าที่ทำแทนท่านแม้ในกรณีที่ทั้งสองมิได้เป็นผู้ประกอบพิธีแต่งงานเองต้องจดบันทึกเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ลงในทะเบียนแต่งงาน ชื่อของคู่แต่งงานชื่อของผู้ประกอบพิธี และชื่อของพยานรวมทั้งสถานที่และวันของการประกอบพิธีแต่งงาน ตามแบบที่สภาพระสังฆราชหรือพระสังฆราชสังฆมณฑลกำหนดไว้

วรรค 2 ทุกครั้งที่มีการแต่งงาน ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1116 พระสงฆ์หรือสังฆานุกร ถ้าได้อยู่ร่วมในพิธีแต่งงาน มิฉะนั้นก็พยานมีภาระร่วมกับคู่แต่งงาน แจ้งให้พระสงฆ์เจ้าอาวาสหรือผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นทราบถึงการแต่งงานนั้น โดยเร็วที่สุด

วรรค 3 เกี่ยวกับการแต่งงานที่ได้รับการยกเว้นจากรูปแบบการแต่งงานตามกฎหมายพระศาสนจักรผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นซึ่งได้ให้การยกเว้นนั้นต้องเอาใจใส่ให้จดบันทึกการยกเว้นและการแต่งงานนั้น ลงในทะเบียนแต่งงานทั้งของสำนักงานสังฆมณฑล ทั้งของวัดปกครองของฝ่ายคาทอลิกซึ่งพระสงฆ์เจ้าอาวาสของฝ่ายคาทอลิกเป็นผู้สอบถามเกี่ยวกับสถานภาพอิสระที่จะแต่งงานคู่แต่งงานฝ่ายคาทอลิกมีภาระต้องแจ้งให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเดียวกันและพระสงฆ์เจ้าอาวาสทราบถึงการแต่งงานที่ได้ทำไปแล้วนั้นโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ โดยบอกสถานที่แต่งงานและรูปแบบการแต่งงานแบบสาธารณะที่ใช้ด้วย

มาตรา 1122 วรรค 1 การแต่งงานที่ได้ทำไปแล้วนั้น ต้องบันทึกลงในทะเบียนศีลล้างบาปด้วย ซึ่งมีบันทึกศีลล้างบาปของคู่แต่งงานอยู่

วรรค 2 ถ้าคู่แต่งงานคนใด มิได้แต่งงานในวัดที่เขาได้รับศีลล้างบาปพระสงฆ์เจ้าอาวาสของสถานที่แต่งงาน ต้องแจ้งการแต่งงานของคู่แต่งงานคนนั้นไปยังพระสงฆ์เจ้าอาวาสของสถานที่ที่เขาได้รับศีลล้างบาปโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้มาตรา 1123 ทุกครั้งที่การแต่งงาน ถูกรื้อฟื้นให้ถูกต้องตามกฎหมายสำหรับขอบข่ายอำนาจภายนอก หรือถูกประกาศให้เป็นโมฆะหรือถูกทำให้หมดพันธะต่อกันตามกฎหมาย นอกจากด้วยความตายพระสงฆ์เจ้าอาวาสของสถานที่ประกอบพิธีแต่งงานต้องได้รับแจ้งให้ทราบถึงเรื่องดังกล่าว เพื่อจดบันทึกลงในทะเบียนแต่งงานและในทะเบียนศีลล้างบาปให้ถูกต้อง

 

หมวด 6 การแต่งงานของผู้ถือนิกายต่างกัน

มาตรา 1124 ถ้าไม่มีอนุญาตอย่างแจ้งชัดจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจห้ามการแต่งงานระหว่างผู้รับศีลล้างบาปสองคนโดยที่ฝ่ายหนึ่งได้รับศีลล้างบาปในพระ ศาสนจักรคาทอลิกหรือได้เข้ามาสังกัดในพระศาสนจักรคาทอลิกหลังรับศีลล้างบาปแล้วและมิได้ละทิ้งศาสนาด้วยการกระทำที่เป็นทางการ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งที่สังกัดศาสนจักรหรือชุมชนศาสนาที่ไม่มีความสัมพันธ์กับพระศาสนจักรคาทอลิกอย่างสมบูรณ์

มาตรา 1125 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น สามารถให้อนุญาตนี้ได้ถ้ามีเหตุอันชอบธรรม และชอบด้วยเหตุผล ท่านต้องไม่ให้อนุญาตเว้นแต่ได้มีการปฏิบัติตามเงื่อนไขต่อไปนี้อย่างครบถ้วนเสียก่อน

1.       ฝ่ายคาทอลิกประกาศว่า ตนพร้อมที่จะขจัดภัยทั้งปวงอันจะทำให้เสียความเชื่อ และให้สัญญาอย่างจริงใจว่าตนจะทำทุกอย่างด้วยเต็มกำลัง เพื่อให้บุตรทั้งหมดรับศีลล้างบาป และรับการอบรมพระศาสนจักรคาทอลิก

2.       อีกฝ่ายหนึ่ง ต้องได้รับแจ้งให้ทราบในเวลาอันควร ถึงคำสัญญาเหล่านี้ซึ่งฝ่ายคาทอลิกได้ทำ เพื่อว่าเป็นที่แจ้งชัดว่าอีกฝ่ายหนึ่งตระหนักรู้อย่างแท้จริง ถึงคำสัญญา และพันธะของฝ่ายคาทอลิก

3.       ทั้งสองฝ่าย ต้องได้รับการอบรม ถึงจุดประสงค์ และคุณสมบัติเฉพาะที่เป็นแก่นแท้ของการแต่งงาน ซึ่งทั้งสองฝ่ายไม่อาจปฏิเสธได้

มาตรา 1126 สภาพระสังฆราชต้องกำหนดวิธีการทำการแจ้งและการสัญญาซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นเสมอและวิธีการที่ทำให้การแจ้งและการสัญญานี้ ปรากฏในขอบข่ายอำนาจภายนอก และเป็นที่ทราบแก่ฝ่ายที่ไม่เป็นคาทอลิก

มาตรา 1127 วรรค 1 เกี่ยวกับรูปแบบที่ต้องใช้ในการประกอบพิธีแต่งงานของผู้ถือนิกายต่างกันต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของมาตรา 1108 อย่างไรก็ดีถ้าฝ่ายคาทอลิกแต่งงานกับฝ่ายไม่เป็นคาทอลิกที่สังกัดจารีตตะวันออกรูปแบบการแต่งงานตามกฎหมายพระศาสนจักรต้องปฏิบัติเพื่อให้ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น แต่เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายต้องมีศาสนบริกรร่วมพิธีด้วย พร้อมทั้งต้องปฏิบัติตามข้อบังคับอื่น ๆ ที่กฎหมายกำหนด

วรรค 2 ถ้ามีความยุ่งยากมากในการปฏิบัติตามรูปแบบการแต่งงานตามกฎหมายพระศาสนจักรผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นของฝ่ายคาทอลิกมีสิทธิ์ให้การยกเว้นจากการถือตามรูปแบบนั้นเป็นกรณีๆ ไป กระนั้นก็ดีโดยได้ปรึกษากับผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของสถานที่ที่มีการประกอบพิธีแต่งงานก่อนอย่างไรก็ดี เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายจำเป็นต้องมีรูปแบบแบบสาธารณะบางประการในการประกอบพิธีแต่งงานเป็นหน้าที่ของสภาพระสังฆราชที่จะกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อให้การยกเว้นเป็นไปในลักษณะเดียวกัน

วรรค 3 ก่อนหรือหลังการประกอบพิธีแต่งงานตามกฎหมายพระศาสนจักรตามกฎเกณฑ์ วรรค 1 สำหรับการแต่งงานอันเดียวกันนั้นห้ามประกอบพิธีแต่งงานทางศาสนาอะไรอื่นอีกเพื่อให้หรือรื้อฟื้นความยินยอมในการแต่งงาน เช่นเดียวกันต้องไม่ประกอบพิธีทางศาสนา ซึ่งในพิธีนั้นผู้เป็นประธานฝ่ายคาทอลิก และฝ่ายไม่เป็นคาทอลิก ร่วมกันถามความยินยอมของคู่แต่งงานโดยที่แต่ละคนดำเนินตามพิธีจารีตของตน

มาตรา 1128 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น และผู้อภิบาลวิญญาณอื่นๆต้องเอาใจใส่ให้คู่แต่งงานฝ่ายคาทอลิกและบุตรที่เกิดจากการแต่งงานของผู้ถือนิกายต่างกันไม่ขาดความช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นเพื่อปฏิบัติพันธะที่เขามีอย่างครบถ้วนและต้องช่วยคู่แต่งงานเสริมสร้างความเป็นหนึ่งเดียวของชีวิตแต่งงาน และชีวิตครอบครัว

มาตรา 1129 ให้นำข้อกำหนดของมาตรา 1127 และ 1128 ไปใช้กับการแต่งงานที่มีอุปสรรคเพราะข้อขัดขวางจากการถือศาสนาต่างกัน ตามที่ระบุไว้ในมาตรา1086 วรรค 1

หมวด 7 การประกอบพิธีแต่งงานอย่างลับ

มาตรา 1130 เพราะสาเหตุอันหนัก และเร่งด่วน ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถอนุญาตให้มีการประกอบพิธีแต่งงานอย่างลับได้

มาตรา 1131 การอนุญาตให้ประกอบพิธีแต่งงานอย่างลับ รวมถึง

1.       ต้องทำการสอบสวนอย่างลับก่อนการแต่งงาน

2.       ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น ผู้เป็นประธานการแต่งงาน บรรดาพยานและคู่แต่งงาน ต้องรักษาความลับเกี่ยวกับการแต่งงานที่ได้ทำไปแล้วนั้น

มาตรา 1132 พันธะต้องรักษาความลับ ที่ระบุไว้ในมาตรา 1131 ข้อ 2 สำหรับผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสิ้นสุดลง ถ้าการเป็นที่สะดุดอย่างหนักหรือความเสียหายอันหนักต่อความศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงานส่อเค้าว่าจะเกิดขึ้นจากการรักษาความลับนั้น และต้องบอกเรื่องนี้ให้คู่แต่งงานทราบไว้ก่อนการประกอบพิธีแต่งงาน

มาตรา 1133 ต้องจดบันทึกการแต่งงานที่ประกอบอย่างลับนี้ลงไว้ในทะเบียนพิเศษเท่านั้นซึ่งต้องเก็บรักษาไว้ในที่เก็บเอกสารลับของสำนักงานสังฆมณฑล

 

หมวด 8 ผลของการแต่งงาน

มาตรา 1134 ผลจากการแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมายทำให้เกิดพันธะระหว่างคู่แต่งงาน ซึ่งโดยธรรมชาติของมัน พันธะนี้ถาวร และผูกขาดเฉพาะตัว นอกนั้น ในการแต่งงานของคริสตชนคู่แต่งงานได้รับการเสริมพลัง และประหนึ่งว่าได้รับการอภิเษกจากศีลศักดิ์สิทธิ์พิเศษ เพื่อหน้าที่ และศักดิ์ศรีแห่งสถานภาพของตน

มาตรา 1135 คู่แต่งงานทั้งสองฝ่าย มีหน้าที่และสิทธิเท่าเทียมกัน ในสิ่งที่เกี่ยวกับการเป็นหุ้นส่วนของชีวิตแต่งงาน

มาตรา 1136 บิดามารดามีหน้าที่หนักที่สุด และมีสิทธิอันดับแรกที่จะให้การเลี้ยงดูบุตรของตน ในด้านร่างกาย สังคมวัฒนธรรม ศีลธรรม และศาสนาอย่างสุดกำลัง

มาตรา 1137 บุตรซึ่งปฏิสนธิหรือเกิดจากการแต่งงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย หรือที่ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 1138 วรรค 1 บิดา คือบุคคลที่การแต่งงานอันชอบธรรมบ่งบอก เว้นแต่จะพิสูจน์ให้เห็นเป็นตรงข้าม ด้วยข้อพิสูจน์ที่ชัดแจ้ง

วรรค 2 บุตรที่เกิดอย่างน้อย 180 วัน หลังวันแต่งงาน หรือภายใน 300 วันนับจากการสิ้นสุดของชีวิตแต่งงานให้สันนิษฐานว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 1139 บุตรที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายกลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายโดยการแต่งงานต่อมาของบิดามารดา ไม่ว่าเป็นการแต่งงานถูกต้องตามกฎหมายหรือที่ถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย หรือโดยคำตอบอนุมัติของสันตะสำนัก

มาตรา 1140 บุตรที่กลายเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายเท่าเทียมกับบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายทุกอย่าง ในเรื่องเกี่ยวกับผลทางกฎหมายเว้นแต่จะมีระบุไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้งในกฎหมาย

 

หมวด 9 การแยกกันของคู่แต่งงาน

ส่วน 1 การสิ้นสุดของพันธะ

มาตรา 1141 การแต่งงานที่ทำพิธีถูกต้องตามกฎหมายและสมบูรณ์ด้วยเพศสัมพันธ์ไม่สามารถสลายได้ด้วยอำนาจใดๆ ของมนุษย์ หรือด้วยเหตุอันใดนอกจากความตาย

มาตรา 1142 การแต่งงานที่ยังไม่สมบูรณ์ด้วยเพศสัมพันธ์ระหว่างผู้รับศีลล้างบาปทั้งสองฝ่าย หรือระหว่างผู้รับศีลล้างบาปฝ่ายหนึ่งกับผู้มิได้รับศีลล้างบาปอีกฝ่ายหนึ่ง สามารถสลายโดยพระสันตะปาปาเพราะเหตุอันชอบ โดยการร้องขอของทั้งสองฝ่าย หรือฝ่ายหนึ่งฝ่ายเดียวแม้อีกฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอม

มาตรา 1143 วรรค 1 การแต่งงานระหว่างบุคคลที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปทั้งสองฝ่ายสลายได้ด้วยอภิสิทธิ์นักบุญเปาโลเพื่อให้เป็นคุณแก่ความเชื่อของฝ่ายที่รับศีลล้างบาปการสลายนั้นเกิดขึ้นทันทีที่ฝ่ายรับศีลล้างบาปแต่งงานใหม่ขอแต่ให้ฝ่ายไม่ได้รับศีลล้างบาปแยกจากไป

วรรค 2 ถือได้ว่าฝ่ายไม่ได้รับศีลล้างบาปแยกจากไปถ้าเขาไม่ยินยอมอยู่ร่วมกับฝ่ายรับศีลล้างบาปหรือไม่ยอมอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยปราศจากการหมิ่นประมาทพระผู้สร้างเว้นแต่ฝ่ายที่ได้รับศีลล้างบาป หลังจากรับศีลล้างบาปแล้วได้ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งแยกจากไปด้วยเหตุอันชอบ

มาตรา 1144 วรรค 1 เพื่อให้ฝ่ายที่รับศีลล้างบาปสามารถแต่งงานใหม่ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายฝ่ายที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปจะต้องได้รับการทาบทามเสมอว่า

1.       เขาประสงค์จะรับศีลล้างบาปด้วยหรือไม่

2.       อย่างน้อย เขาประสงค์จะอยู่อย่างสงบกับฝ่ายที่รับศีลล้างบาป โดยไม่ประมาทพระผู้สร้างหรือไม่

วรรค 2 การทาบทามนี้ ต้องทำ หลังรับศีลล้างบาปแล้วแต่ว่าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นเมื่อมีเหตุอันหนักสามารถอนุญาตให้ทำการทาบทามนั้นไม่ว่าก่อนหรือหลังการรับศีลล้างบาป ขอแต่ให้เป็นที่แจ้งชัดอย่างน้อยจากขบวนการนอกศาลอย่างสรุปว่า การทาบทามไม่อาจทำได้หรือไม่มีประโยชน์

มาตรา 1145 วรรค 1 ให้ถือเป็นกฎว่าการทาบทามนั้นต้องทำด้วยอำนาจของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นของฝ่ายที่กลับใจ ถ้าคู่แต่งงานอีกฝ่ายหนึ่งขอเวลาเพื่อให้คำตอบผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคนเดียวกันนั้นต้องให้เวลาแก่เขา โดยเตือนเขาว่าถ้าระยะเวลาที่ขอผ่านไป โดยไม่มีคำตอบใดๆ การนิ่งเงียบถือว่าเป็นคำตอบปฏิเสธ

วรรค 2 การทาบทาม แม้ทำ เป็นการส่วนตัวของฝ่ายที่กลับใจถูกต้องตามกฎหมาย และยิ่งกว่านั้นชอบด้วยกฎหมายด้วย ถ้ารูปแบบการทาบทามที่กำหนดไว้ข้างบนนี้ไม่สามารถปฏิบัติได้

วรรค 3 ในทั้งสองกรณี จะต้องพิสูจน์ได้ทางกฎหมายในขอบเขตอำนาจภายนอก เกี่ยวกับการทาบทามที่ได้ทำ และผลของการทาบทามนั้น

มาตรา 1146 ฝ่ายที่รับศีลล้างบาป มีสิทธิ์แต่งงานใหม่กับฝ่ายคาทอลิก

1.       หากอีกฝ่ายหนึ่งตอบปฏิเสธต่อการทาบทาม หรือหากมีการละเว้นการทาบทามโดยชอบด้วยกฎหมาย

2.       หากฝ่ายที่ไม่ได้รับศีลล้างบาป ไม่ว่าได้รับการทาบทามแล้วหรือว่ายังมิได้รับการทาบทาม ในตอนแรก อยู่ร่วมกันอย่างสงบโดยไม่หมิ่นประมาทพระผู้สร้างแต่ภายหลังได้แยกจากไปโดยไม่มีเหตุอันชอบธรรมทั้งนี้ โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1144 และ 1145

มาตรา 1147 อย่างไรก็ดี ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น เมื่อมีเหตุอันหนักสามารถอนุญาตให้ฝ่ายที่รับศีลล้างบาป แต่งงานกับฝ่ายที่ไม่เป็นคาทอลิกไม่ว่าจะได้รับศีลล้างบาปหรือไม่ โดยใช้อภิสิทธิ์นักบุญเปาโล ทั้งนี้โดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆของมาตราที่เกี่ยวกับการแต่งงานของผู้ถือนิกายต่างกันด้วย

มาตรา 1148 วรรค 1 บุรุษที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปซึ่งมีภรรยาที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปหลายคนพร้อมกันเมื่อได้รับศีลล้างบาปในพระศาสนจักรคาทอลิกแล้วหากเป็นการทรมานที่จะอยู่กับภรรยาคนแรกก็สามารถเลือกเอาภรรยาคนหนึ่งในบรรดาภรรยาเหล่านั้นโดยแยกขาดจากภรรยาคนอื่นๆ กฎเดียวกันนี้ใช้ได้กับสตรีที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปซึ่งมีสามีที่มิได้รับศีลล้างบาปหลายคนพร้อมกัน

วรรค 2 ในกรณีที่กล่าวถึงใน วรรค 1 เมื่อรับศีลล้างบาปแล้วการแต่งงานต้องทำตามรูปแบบของกฎหมาย โดยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดต่างๆที่เกี่ยวกับการแต่งงานของผู้ถือนิกายต่างกัน และข้อกำหนดอื่นๆ ของกฎหมายหากจำเป็น

วรรค 3 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น ต้องเอาใจใส่ให้ภรรยาคนแรกและคนอื่นๆ ที่ต้องแยกไป ได้รับปัจจัยครองชีพที่เพียง พอ ตามกฎแห่งความเป็นธรรมความรักเยี่ยงคริสตชนและความเที่ยงธรรมตามธรรมชาติโดยคำนึงถึงสภาพทางศีลธรรม ทางสังคมทางเศรษฐกิจของพื้นที่และของบุคคล

มาตรา 1149 บุคคลที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปซึ่งเมื่อรับศีลล้างบาปในพระศาสนจักรคาทอลิกแล้วไม่สามารถคืนสู่การอยู่ร่วมกันกับคู่แต่งงานที่ไม่ได้รับศีลล้างบาปเพราะถูกจับเป็นเชลย หรือถูกเบียดเบียน สามารถแต่งงานใหม่ได้ถึงแม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะได้รับศีลล้างบาปในระหว่างนั้น ทั้งนี้โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1141

มาตรา 1150 ในเรื่องที่สงสัย อภิสิทธิ์ของความเชื่อได้รับประโยชน์จากกฎหมาย

 

 

ส่วน 2 การแยกกันโดยที่พันธะการแต่งงานยังคงอยู่

มาตรา 1151 คู่แต่งงานมีหน้าที่และสิทธิ ต้องธำรงค์ไว้ซึ่งชีวิตฉันท์สามีภรรยา เว้นแต่มีเหตุผลอันชอบเป็นข้ออ้าง

มาตรา 1152 วรรค 1 แม้จะเป็นที่แนะนำอย่างแข็งขันว่าคู่แต่งงานที่ได้รับการจูงใจจากความรักเยี่ยงคริสตชนและมีความห่วงใยต่อความดีของครอบครัวไม่ควรปฏิเสธการให้อภัยแก่คู่ชีวิตที่นอกใจ และไม่ควรตัดขาดชีวิตสมรสกระนั้นก็ดี ถ้าคู่แต่งงานมิได้ให้อภัยความผิดของอีกฝ่ายหนึ่งอย่างชัดแจ้งหรืออย่างเงียบๆ เขามีสิทธิ์ที่จะตัดขาดการมีชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยาเว้นแต่ เขาได้เห็นชอบกับการนอกใจนั้น หรือเป็นเหตุแห่งการนอกใจหรือตัวเขาเองได้นอกใจด้วย

วรรค 2 ถือว่ามีการให้อภัยอย่างเงียบ ถ้าคู่ชีวิตฝ่ายบริสุทธิ์นั้นหลังจากรู้ถึงการนอกใจแล้วยังเต็มใจใช้ชีวิตร่วมกันกับคู่ชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งด้วยความรักฉันท์สามีภรรยาอันที่จริงให้สันนิษฐานว่า มีการให้อภัยถ้าหากคู่ชีวิตฝ่ายบริสุทธิ์ยังคงรักษาชีวิตฉันท์สามีภรรยาอยู่เป็นเวลาหกเดือน และมิได้ร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ฝ่าย ศาสนจักร หรือฝ่ายบ้านเมือง

วรรค 3 ถ้าคู่ชีวิตฝ่ายบริสุทธิ์ได้ตัดการมีชีวิตร่วมกันฉันท์สามีภรรยาโดยลำพังภายในหกเดือนต้องยื่นเรื่องการแยกอยู่ต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร ซึ่งเมื่อได้ตรวจสอบกรณีสิ่งแวดล้อมทั้งปวงแล้ว ต้องชั่งใจดูว่าจะสามารถชักจูงคู่ชีวิตฝ่ายบริสุทธิ์ให้อภัยความผิดนั้น และไม่ยืดการแยกอยู่อย่างถาวร ได้หรือไม่

มาตรา 1153 วรรค 1 ถ้าคู่ชีวิตฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก่ออันตรายร้ายแรงแก่อีกฝ่ายหนึ่งหรือแก่ลูกหลาน ไม่ว่าทางใจหรือทางกายหรือทำให้ชีวิตร่วมกันทุกข์ลำเค็ญเกินไป เป็นเหตุให้คู่ชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งมีเหตุผลอันชอบ มาอ้างเพื่อแยกจากไป ไม่ว่าโดยคำสั่งของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น หรือด้วยอำนาจของตนเองและหากชักช้าจะมีอันตราย

วรรค 2 ในทุกกรณี เมื่อเหตุของการแยกอยู่สิ้นสุดลงชีวิตการอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยาต้องได้รับการฟื้นฟูอีกครั้งหนึ่งเว้นแต่อำนาจทางพระศาสนจักรจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 1154 เมื่อจัดให้คู่ชีวิตแยกกันอยู่ ต้องจัดให้บุตรได้รับการเลี้ยงดู และการศึกษาอบรมอย่างเหมาะสมเสมอ

มาตรา 1155 คู่ชีวิตฝ่ายบริสุทธิ์สามารถรับคู่ชีวิตอีกฝ่ายหนึ่งกลับมาร่วมชีวิตฉันท์สามีภรรยาอย่างน่าสรรเสริญอีกครั้งหนึ่งในกรณีเช่นนี้ เขาสละสิทธิ์ที่จะแยกกันอยู่

 

 

 

 

ส่วน 2 การแยกกันโดยที่พันธะการแต่งงานยังคงอยู่

ส่วน 1 การทำให้ถูกต้องแบบง่าย

มาตรา 1156 วรรค 1 เพื่อทำให้การแต่งงานที่โมฆะเพราะข้อขัดขวางที่ทำให้เป็นโมฆะถูกต้องตามกฎหมายจำเป็นต้องให้ข้อขัดขวางนั้นสิ้นสุดลง หรือได้รับการยกเว้น และอย่างน้อยต้องให้ฝ่ายที่รู้จักข้อขัดขวางนั้น รื้อฟื้นความยินยอมอีกครั้งหนึ่ง

วรรค 2 การรื้อฟื้นความยินยอมนี้ มีความจำเป็นตามกฎหมายพระศาสนจักรเพื่อทำให้การแต่งงานถูกต้องตามกฎหมายแม้ว่าในครั้งแรกทั้งสองฝ่ายได้ให้ความยินยอมแล้ว และมิได้ถอนความยินยอมนั้น

ส่วน 2 การรักษาที่รากเหง้า

มาตรา 1161 วรรค 1 การรักษาที่รากเหง้าของการแต่งงานที่เป็นโมฆะ คือการทำให้การแต่งงานอันเดียวกันนั้นกลับเป็นถูกต้องโดยไม่มีการรื้อฟื้นการให้ความยินยอมผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจเป็นผู้ให้การรักษานี้ซึ่งรวมถึงการให้การยกเว้นจากข้อขัดขวางหากมีอยู่ และการยกเว้นจากการถือตามรูปแบบที่กฎหมายพระศาสนจักรกำหนด ถ้ามิได้ปฏิบัติและรวมการย้อนหลังถึงอดีตของผลทางกฎหมายพระศาสนจักร

วรรค 2 การทำให้กลับเป็นถูกต้อง เกิดขึ้นในเวลาที่ให้อุปการคุณอันที่จริง การมีผลย้อนหลังให้เข้าใจว่า มีผลถึงเวลา ที่ประกอบพิธีแต่งงานเว้นแต่มีข้อควรระวังอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

วรรค 3 ต้องไม่ให้การรักษาที่รากเหง้า เว้นแต่น่าเชื่อถือว่า คู่แต่งงานตั้งใจที่จะมั่นคงอยู่ในชีวิตแต่งงาน

มาตรา 1162 วรรค 1 ถ้าทั้งสองฝ่ายหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขาดการให้ความยินยอมการแต่งงานไม่สามารถรักษาที่รากเหง้าได้ไม่ว่าเป็นการขาดความยินยอมตั้งแต่แรก หรือเป็นการให้ความยินยอมในตอนแรกแต่ถอนคืนในภายหลัง

วรรค 2 ถ้าขาดการให้ความยินยอมในตอนแรกก็จริง แต่ภายหลังได้ให้ความยินยอม การรักษาที่รากเหง้าก็ทำได้ นับจากเวลาที่ให้ความยินยอมนั้น

มาตรา 1163 วรรค 1 การแต่งงานที่เป็นโมฆะเพราะข้อขัดขวางหรือเพราะขาดรูปแบบตามกฎหมาย สามารถรักษาที่รากเหง้าได้ขอแต่ให้ความยินยอมของทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่

วรรค 2 การแต่งงานที่เป็นโมฆะ เพราะข้อขัดขวางที่มาจากกฎธรรมชาติหรือกฎบัญญัติของพระเจ้ารักษาที่รากเหง้าได้ก็ต่อเมื่อข้อขัดขวางนั้นสิ้นสุดลง

มาตรา 1164 การรักษาที่รากเหง้า ให้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายแม้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตามต้องไม่ให้การรักษานั้น เว้นแต่มีเหตุอันหนัก

มาตรา 1165 วรรค 1 สันตะสำนัก สามารถให้การรักษาที่รากเหง้าได้

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลให้การรักษาที่รากเหง้าได้ในแต่ละกรณีแม้ว่ามีเหตุอันทำให้เป็นโมฆะหลายเหตุเกิดขึ้นพร้อมกันในการแต่งงานอันเดียวกันโดยมีเงื่อนไขว่าได้ปฏิบัติตามมาตรา 1125 เกี่ยวกับการรักษาที่รากเหง้าของการแต่งงานแบบผู้ถือนิกายต่างกันอย่างไรก็ดี พระสังฆราชสังฆมณฑล ไม่สามารถให้การรักษาที่รากเหง้าได้ถ้ามีข้อขัดขวางซึ่งสงวนการยกเว้นไว้แก่สันตะสำนักตามมาตรา 1078 วรรค 2 หรือถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อขัดขวางที่มาจากกฎธรรมชาติหรือกฎบัญญัติของพระเจ้า ซึ่งเวลานี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว

มาตรา 1157 การรื้อฟื้นการให้ความยินยอมต้องเป็นการกระทำใหม่ของเจตนาที่จะแต่งงานซึ่งฝ่ายที่รื้อฟื้นรู้หรือคิดว่า การแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมายตั้งแต่แรก

มาตรา 1158 วรรค 1 ถ้าข้อขัดขวางเป็นสาธารณะทั้งสองฝ่ายต้องรื้อฟื้นการให้ความยินยอมตามรูปแบบที่กฎหมายพระศาสนจักรกำหนด โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1127 วรรค 3 วรรค 2 ถ้าข้อขัดขวางไม่สามารถพิสูจน์ได้การรื้อฟื้นความยินยอมทำเป็นการส่วนตัว และอย่างลับก็เพียงพอและโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต้องทำโดยฝ่ายที่รู้ว่ามีข้อขัดขวางขอแต่ให้อีกฝ่ายหนึ่งยังยึดมั่นในความยินยอมที่ได้ทำไปแล้วหรือต้องทำโดยทั้งสองฝ่าย หากทั้งสองฝ่ายทราบข้อขัดขวางนั้น

มาตรา 1159 วรรค 1 การแต่งงานที่เป็นโมฆะ เพราะขาดการให้ความยินยอมกลับเป็นถูกต้องได้ ถ้าฝ่ายที่ไม่ได้ให้ความยินยอม ให้ความยินยอมเวลานี้ขอแต่ให้ความยินยอมที่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้แล้วยังคงอยู่

วรรค 2 ถ้าการขาดความยินยอมไม่สามารถพิสูจน์ได้ ฝ่ายที่ไม่ได้ให้ความยินยอม ให้ความยินยอมเป็นการส่วนตัว และอย่างลับก็เพียงพอ

วรรค 3 ถ้าการขาดความยินยอมสามารถพิสูจน์ได้ จำเป็นต้องมีการให้ความยินยอม ตามรูปแบบที่กฎหมายพระศาสนจักรกำหนด

มาตรา 1160 การแต่งงานที่เป็นโมฆะ เพราะขาดรูปแบบเพื่อทำให้กลับเป็นถูกต้อง ต้องทำการแต่งงานใหม่อีกครั้งตามรูปแบบที่กฎหมายพระศาสนจักรกำหนด โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1127 วรรค 3

ภาค 2 กิจการอื่นๆในการถวายคารวกิจแด่พระเจ้า

 

ลักษณะ 1 สิ่งคล้ายศีล

มาตรา 1166 สิ่งคล้ายศีล คือ เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเลียนแบบบางประการของศีลศักดิ์สิทธิ์ มีความหมายถึงผลโดยเฉพาะด้านจิตและผลนั้นได้มาด้วยการเสนอวิงวอนของพระศาสนจักร

มาตรา 1167 วรรค 1 สันตะสำนักเท่านั้น สามารถตั้งสิ่งคล้ายศีลใหม่หรืออธิบายความหมายอย่างเป็นทางการ สิ่งคล้ายศีลที่ได้รับมา ยกเลิกหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างของสิ่งคล้ายศีลที่มีอยู่แล้ว

วรรค 2 จารีต และบทสูตรที่ได้รับการรับรองแล้วจากอำนาจพระศาสนจักรต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดในการประกอบหรือให้บริการสิ่งคล้ายศีลนั้น

มาตรา 1168 บุคลากรสิ่งคล้ายศีล คือ สมณะผู้มีอำนาจที่จำเป็นตามกฎเกณฑ์ของหนังสือพิธีกรรมและภายใต้การวินิจฉัยของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นฆราวาสที่มีคุณสมบัติเหมาะสม สามารถให้บริการสิ่งคล้ายศีลบางประการได้ด้วย

มาตรา 1169 วรรค 1 การอภิเษก และการเสกถวายสามารถทำได้โดยถูกต้องตามกฎหมาย โดยผู้ได้รับการประทับตราเป็นพระสังฆราชทั้งโดยพระสงฆ์ผู้ได้รับอนุญาตโดยกฎหมายหรือโดยการมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย

วรรค 2 พระสงฆ์ใดๆ ไม่ว่า สามารถให้การเสกอวยพร ยกเว้นการอวยพรที่สงวนไว้แก่พระสันตะปาปา หรือพระสังฆราช

วรรค 3 สังฆานุกรสามารถให้การเสกอวยพร เฉพาะที่กฎหมายอนุญาตอย่างชัดแจ้งเท่านั้น

มาตรา 1170 การเสกอวยพร ก่อนอื่นต้องให้แก่คาทอลิกจะให้แก่ผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปก็ได้ ยิ่งกว่านั้นถ้าไม่มีข้อห้ามของพระศาสนจักร จะให้แก่บุคคลที่ไม่เป็นคาทอลิกก็ได้เช่นกัน

มาตรา 1171 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งได้รับการเสกถวายหรือเสกอวยพรเพื่อใช้สำหรับการถวายคารวกิจแด่พระเจ้า ต้องได้รับการปฏิบัติด้วยความเคารพทั้งต้องไม่นำไปใช้ในกิจการที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือที่ไม่เหมาะสมแม้ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นจะอยู่ในครอบครองของปัจเจกบุคคลก็ตาม

มาตรา 1172 วรรค 1 ไม่มีใครสามารถทำพิธีไล่ผีออกจากคนถูกสิงได้โดยชอบด้วยกฎหมายเว้นแต่จะได้รับอนุญาตพิเศษ และอย่างชัดแจ้งจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นต้องให้อนุญาตนี้เฉพาะแก่พระสงฆ์ผู้ประกอบด้วยความศรัทธา ความรู้ความรอบคอบ และความไม่ด่างพร้อยในชีวิตเท่านั้น

 

ลักษณะ 2 พิธีกรรมประจำชั่วโมง

มาตรา 1173 ในการทำหน้าที่สงฆ์ของพระคริสต์พระศาสนจักรเฉลิมฉลองพิธีกรรมประจำชั่วโมง ในการเฉลิมฉลองนี้พระศาสนจักรฟังพระเจ้าตรัสกับประชากรของพระองค์ และทำการระลึกถึงรหัสธรรมแห่งความรอด โดยวิธีนี้พระศาสนจักรสรรเสริญพระเจ้าโดยไม่หยุดหย่อน ด้วยบทเพลงและการอธิษฐานภาวนาพร้อมทั้งวิงวอนพระองค์ เพื่อความรอดของโลกทั้งมวล

มาตรา 1174 วรรค 1 บรรดาสมณะมีพันธะต้องประกอบพิธีกรรมประจำชั่วโมงตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 276 วรรค 2 ข้อ 3 ส่วนสมาชิกสถาบันชีวิตที่ถวายแล้วและสมาชิกของคณะชีวิตธรรมทูต มีพันธะตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญของตน

วรรค 2 คริสตชนอื่นๆ ด้วย ตามสภาพแวดล้อมต่างๆ ได้รับการเชิญชวนอย่างแข็งขัน ให้ร่วมในพิธีกรรมประจำชั่วโมงในฐานะที่เป็นกิจกรรมของพระศาสนจักร

มาตรา 1175 ในการประกอบพิธีกรรมประจำชั่วโมง ให้รักษาเวลาที่แท้จริงของแต่ละชั่วโมง เท่าที่จะทำได้

 

ลักษณะ 3 จารีตพิธีปลงศพพระศาสนจักร

มาตรา 1176 วรรค 1 คริสตชนที่ตาย ต้องได้รับพิธีปลงศพทางพระศาสนจักรตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

วรรค 2 พิธีปลงศพทางพระศาสนจักรต้องประกอบตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายจารีตพิธีกรรม ในพิธีกรรมนี้พระศาสนจักรวอนขอความช่วยเหลือฝ่ายวิญญาณให้แก่ผู้ตายและให้เกียรติแก่ร่างกายของเขาพร้อมกับนำความบรรเทาแห่งความหวังให้แก่ผู้มีชีวิตอยู่

วรรค 3 พระศาสนจักร แนะนำอย่างยิ่งให้รักษาประเพณีฝังศพอย่างศรัทธากระนั้นก็ดี ไม่ห้ามเผาศพ เว้นแต่การเลือกเผาศพทำไปด้วยเหตุผลที่ขัดต่อคำสอนคริสตัง

 

หมวด 1 การประกอบพิธีปลงศพ

มาตรา 1177 วรรค 1 พิธีปลงศพสำหรับผู้ตาย คริสตชนใด ๆ ไม่ว่า โดยกฎทั่วไป ต้องประกอบในวัดปกครองของตน

วรรค 2 อย่างไรก็ดี คริสตชนคนใดไม่ว่าหรือบรรดาผู้ที่มีอำนาจจัดการปลงศพของผู้ตาย อาจเลือกเอาวัดอื่นได้โดยได้รับความยินยอมของผู้ปกครองวัดนั้นพร้อมทั้งแจ้งให้เจ้าอาวาสของผู้ตายทราบ

วรรค 3 เมื่อการตายเกิดขึ้นนอกเขตวัดปกครองของผู้ตาย และไม่เคลื่อนศพไปยังวัดนั้น และไม่ได้เลือกเอาวัดอื่นโดยชอบด้วยกฎหมายเพื่อปลงศพให้ทำพิธีปลงศพในวัดปกครองซึ่งมีการตายเกิดขึ้นเว้นแต่กฎหมายเฉพาะกำหนดเป็นวัดอื่น

มาตรา 1178 พิธีปลงศพของพระสังฆราชสังฆมณฑล ให้ประกอบในอาสนวิหาร เว้นแต่ผู้ตายเองได้เลือกเอาวัดอื่น

มาตรา 1179 พิธีปลงศพของนักบวช หรือของสมาชิกคณะชีวิตธรรมทูต โดยกฎทั่วไปให้ประกอบในวัดหรือวัดน้อยของตน ผู้ประกอบพิธีปลงศพเป็นท่านอธิการถ้าเป็นสถาบัน หรือคณะชีวิตธรรมทูตที่เป็นสมณะมิฉะนั้นเป็นพระสงฆ์ประจำวัดน้อย

มาตรา 1180 วรรค 1 ถ้าวัดปกครองมีสุสานของตนเองให้ฝังผู้ตายคริสตชนในสุสานนั้น เว้นแต่สุสานอื่นได้ถูกเลือกโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยผู้ตายเองหรือโดยผู้มีอำนาจจัดการปลงศพ

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ทุกคนสามารถเลือกสุสานฝังศพได้ เว้นแต่ ถูกกฎหมายห้ามไว้

มาตรา 1181 เกี่ยวกับเงินถวายโอกาสพิธีปลงศพนั้นให้ถือตามข้อกำหนดของมาตรา 1264 อย่างไรก็ดีให้ระวังอย่าให้มีการเลือกที่รักมักที่ชังใดๆ ในพิธีปลงศพ และอย่าให้คนจนต้องขาดพิธีปลงศพที่ควรทำ

มาตรา 1182 เมื่อเสร็จพิธีปลงศพแล้ว ให้ทำการบันทึกลงในทะเบียนผู้ตาย ตามข้อบังคับของกฎหมายเฉพาะ

หมวด 2 บุคคลที่ต้องได้รับ หรือต้องถูกปฏิเสธจารีตพิธีปลงศพพระศาสนจักร


มาตรา 1183 วรรค 1 เกี่ยวกับพิธีปลงศพ ผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาป ต้องถือเสมือนคริสตชน

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถอนุญาตให้ประกอบพิธีปลงศพทางพระศาสนจักรแก่เด็กซึ่งบิดามารดาตั้งใจให้รับศีลล้างบาปแต่ต้องมาตายก่อนการรับศีลล้างบาป

วรรค 3 ผู้รับศีลล้างบาปที่สังกัดพระศาสนจักรหรือชุมชนศาสนจักรที่ไม่เป็นคาทอลิก สามารถได้รับพิธีปลงศพทางพระศาสนจักรโดยการวินิจฉัยที่รอบคอบของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น เว้นแต่เป็นที่ชัดแจ้งว่า ขัดต่อเจตนาของเขา และขอแต่ว่าเขาไม่สามารถมีศาสนบริกรของเขาเอง

มาตรา 1184 วรรค 1 ต้องไม่ประกอบพิธีปลงศพทางพระศาสนจักร ให้แก่บุคคลเหล่านี้ เว้นแต่ ก่อนตายเขาได้ให้เครื่องหมายการกลับใจบางอย่าง

1.       บรรดาผู้ฉาวโฉ่ที่ทิ้งความเชื่อ ที่ยึดความเชื่อผิด และที่แยกตัวออกออกจากพระศาสนจักร

2.       ผู้ที่เลือกการเผาศพตนเอง เพราะเหตุผลที่ขัดต่อความเชื่อคริสตัง

3.       คนบาปเปิดเผยอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถประกอบพิธีปลงศพทางพระศาสนจักรโดยไม่เป็นที่สะดุดสาธารณะแก่คริสตชน

วรรค 2 เมื่อเกิดมีข้อสงสัยใดๆ ขึ้น ให้ปรึกษากับผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น คำวินิจฉัยของท่านต้องปฏิบัติตาม

มาตรา 1185 ผู้ที่ถูกปฏิเสธการปลงศพทางพระศาสนจักร ก็ต้องถูกปฏิเสธมิสซาปลงศพใดๆ ไม่ว่าด้วย

ลักษณะ 4 การเคารพบูชาต่อนักบุญ รูปศักดิ์สิทธิ์ และพระธาตุ

มาตรา 1186 เพื่อส่งเสริมความศักดิ์สิทธิ์ของประชากรพระเจ้าพระศาสนจักรสนับสนุนให้คริสตชนแสดงความเคารพพิเศษ และเยี่ยงบุตรต่อพระนางมารีย์พรหมจารีย์เสมอพระมารดาพระเจ้าซึ่งพระคริสต์ทรงแต่งตั้งให้เป็นมารดาของมนุษย์ทุกคน และยังสนับสนุนให้แสดงความเคารพจริง และแท้ต่อนักบุญอื่นๆ อันที่จริงคริสตชนได้รับการเสริมสร้างจากตัวอย่างของนักบุญ และได้รับการค้ำจุนจากการเสนอวิงวอนของท่านด้วย

มาตรา 1187 เฉพาะบรรดาผู้รับใช้ของพระเจ้าที่ถูกบันทึกไว้ในทะเบียนนักบุญหรือบุญราศรีโดยอำนาจของพระศาสนจักรเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้แสดงความเคารพสาธารณะ

มาตรา 1188 ให้คงไว้ซึ่งการปฏิบัติในการตั้งรูปศักดิ์สิทธิ์ในวัดเพื่อให้คริสตชนแสดงความเคารพ ถึงกระนั้นก็ดีให้ตั้งรูปเหล่านั้นในจำนวนที่พอควร และตามลำดับที่เหมาะสมเพื่อไม่ปลุกเร้าให้ประชากร คริสตชนเกิดความพิศวงทั้งเพื่อไม่เปิดโอกาสให้เกิดมีความศรัทธาที่ไม่สู้ถูกต้อง

มาตรา 1189 รูปภาพที่มีค่าสูง กล่าวคือ ที่ประเสริฐเพราะความเก่าแก่เพราะศิลปะ หรือเพราะการเคารพบูชา ที่ตั้งไว้ในวัดหรือวัดน้อยเพื่อให้คริสตชนแสดงความเคารพถ้าเมื่อจำเป็นต้องซ่อมแซม อย่าซ่อมแซมเด็ดขาดโดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจซึ่งต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญก่อนให้อนุญาต

มาตรา 1190 วรรค 1 ห้ามขายพระธาตุศักดิ์สิทธิ์อย่างเด็ดขาด

วรรค 2 พระธาตุที่เด่น และเช่นเดียวกัน พระธาตุอื่นๆที่ได้รับความเคารพอย่างสูงจากประชาชนไม่สามารถถ่ายโอนให้ผู้อื่นได้อย่างถูกต้อง ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ ทั้งไม่สามารถเคลื่อนย้ายไปอย่างถาวร โดยมิได้รับอนุญาตจากสันตะสำนัก

วรรค 3 ข้อกำหนด วรรค 2 ใช้ได้ด้วยสำหรับรูปภาพ ที่ในบางวัดได้รับความเคารพอย่างสูงจากประชาชน

 

ลักษณะ 5 การบนบาน และการสาบาน

หมวด 1 การบนบาน

มาตรา 1191 วรรค 1 การบนบาน คือ การสัญญาที่ปลงใจและอิสระต่อพระเจ้าเกี่ยวกับสิ่งที่ดีที่ทำได้ และดีกว่าซึ่งต้องปฏิบัติตามด้วยเหตุผลของคุณธรรมทางศาสนา

วรรค 2 เว้นแต่กฎหมายจะห้ามไว้ ทุกคนที่ใช้เหตุผลได้อย่างเหมาะสม สามารถทำการบนบานได้

วรรค 3 การบนบานที่ทำไปเพราะความกลัวอันหนัก และไม่เป็นธรรม หรือเพราะถูกหลอก ไม่เป็นการบนบานโดยกฎหมายเอง

มาตรา 1192 วรรค 1 การบนบาน เป็นแบบสาธารณะ ถ้าผู้ใหญ่ที่ชอบด้วยกฎหมายรับในนามพระศาสนจักร มิฉะนั้น เป็นแบบส่วนตัว

วรรค 2 การบนบาน เป็นแบบสง่า ถ้าพระศาสนจักรรับรู้เป็นเช่นนั้น มิฉะนั้น เป็นแบบธรรมดา

วรรค 3 การบนบานเป็นส่วนบุคคลถ้าบุคคลที่ทำการบนบานสัญญาการกระทำเป็นวัตถุสิ่งของถ้าเป็นการสัญญาวัตถุสิ่งของเป็นแบบผสมถ้าเป็นการสัญญาที่มีลักษณะส่วนบุคคล และวัตถุสิ่งของรวมกัน

มาตรา 1193 ด้วยเหตุผลของตนเอง การบนบานไม่บังคับ นอกจากผู้ทำการบนบานเท่านั้น

มาตรา 1194 การบนบานสิ้นสุดลงเมื่อเวลาที่กำหนดไว้เพื่อทำพันธะให้สำเร็จสิ้นสุดลงหรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงของสิ่งที่สัญญาไว้หรือเมื่อเงื่อนไขที่การบนบานอิงอยู่ขาดไป หรือจุดประสงค์ของการบนบานหมดไปการบนบานสิ้นสุดลงด้วย เมื่อได้รับการยกเว้นหรือได้รับการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

มาตรา 1195 บุคคลผู้มีอำนาจเหนือสิ่งที่บนบานสามารถหยุดพักพันธะของการบนบานได้นานเท่าที่การปฏิบัติตามการบนบานจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ตนเอง

มาตรา 1196 นอกจากพระสันตะปาปาแล้วบุคคลต่อไปนี้สามารถให้การยกเว้นจากการถือตามการบนบานส่วนตัวเมื่อมีเหตุอันชอบขอแต่ว่าการยกเว้นนั้นไม่ไปกระทบสิทธิที่ได้มาแล้วของคนอื่น

1.       ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นและพระสงฆ์เจ้าอาวาส เมื่อเกี่ยวกับผู้อยู่ใต้ปกครองของตนและผู้พเนจรด้วย

2.       ผู้ใหญ่ของสถาบันนักบวชหรือของคณะชีวิตธรรมทูตถ้าเป็นสมณะสิทธิสันตะสำนัก เมื่อเกี่ยวกับสมาชิกนวกและบุคคลที่อาศัยอยู่ตลอดวันคืนในบ้านของสถาบัน หรือของคณะ

3.       บุคคลที่ได้รับมอบอำนาจ ให้การยกเว้นจากสันตะสำนัก หรือจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

มาตรา 1197 ผู้ที่ทำการบนบานสามารถเปลี่ยนสิ่งที่ได้บนบานไปแล้วเป็นสิ่งอื่นที่ดีกว่าหรือเท่าเทียมกัน ส่วนจะเปลี่ยนเป็นสิ่งที่ด้อยกว่าทำได้โดยบุคคลที่มีอำนาจให้การยกเว้นตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1196

มาตรา 1198 การบนบาน ที่ทำก่อนการปฏิญาณตนเป็นนักบวช ให้พักไว้ก่อน ตราบเท่าที่ผู้ทำการบนบานยังอยู่ในสถาบัน

 

หมวด 2 การสาบาน

มาตรา 1199 วรรค 1 การสาบาน คือการเรียกขานพระนามพระเจ้ามาเป็นพยานต่อความจริง จะกระทำมิได้เว้นแต่ในเรื่องที่เป็นจริง เรื่องการตัดสินและเรื่องยุติธรรม

วรรค 2 การสาบาน ซึ่งกฎหมายพระศาสนจักรเรียกร้อง หรือรับรู้ ไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้องโดยตัวแทน

มาตรา 1200 วรรค 1 ผู้สาบานโดยเสรีว่าตนจะทำอะไรบางอย่าง มีพันธะพิเศษทางศาสนาต้องปฏิบัติตามสิ่งซึ่งเขายืนยันด้วยการสาบานนั้น

วรรค 2 การสาบานที่ทำไปเพราะถูกหลอก ถูกบังคับ หรือเพราะความกลัวอย่างหนัก เป็นโมฆะโดยกฎหมายเอง

มาตรา 1201 วรรค 1 การสาบานที่เป็นสัญญา ถูกกำหนดโดยธรรมชาติ และเงื่อนไขของการกระทำ ซึ่งการสาบานนั้นผูกมัด

วรรค 2 การกระทำที่คุกคามอันตรายโดยตรงต่อผู้อื่นหรือที่ทำความเสียหายต่อความดีสาธารณะ หรือความรอดนิรันดรการกระทำนั้นไม่มีผลบังคับอะไรเลยจากการสาบาน

มาตรา 1202 พันธะของการสาบานที่เป็นสัญญาสิ้นสุดลง :

๑.      ถ้าบุคคลผู้ได้รับประโยชน์จากการสาบาน สละผลประโยชน์นั้น

๒.      ถ้าสิ่งที่สาบานนั้นเปลี่ยนแปลงในเนื้อหาหรือเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป กลายเป็นสิ่งชั่วร้ายหรือสิ่งที่ไม่มีความหมายเลย หรือในที่สุดขัดขวางสิ่งที่ดีกว่า

๓.      ถ้าจุดประสงค์ หรือเงื่อนไขที่ทำการสาบานหมดไป

๔.      ถ้ามีการยกเว้นหรือการปรับเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1203มาตรา 1203บุคคลที่สามารถพัก, ยกเว้น หรือปรับเปลี่ยนการสาบานมีอำนาจเดียวกันและด้วยเหตุผลเดียวกัน เกี่ยวกับการสาบานที่เป็นสัญญาแต่ถ้าการยกเว้นจากการสาบานเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นซึ่งไม่ยอมรับการเลิกล้มข้อผูกพันนั้นสันตะสำนักให้การยกเว้นนั้นได้แต่ผู้เดียวเท่านั้น

มาตรา 1204 การสาบานต้องตีความอย่างเคร่งครัดตามกฎหมายและตามเจตนาของผู้สาบาน หรือถ้าผู้สาบานทำการโดยเจตนาลวงให้ตีความตามเจตนาของผู้รับการสาบาน

 

ภาค 3 สถานที่ และเวลาศักดิ์สิทธิ์

ลักษณะ 1 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์

มาตรา 1205 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ คือสถานที่ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นที่ถวายคารวกิจแด่พระเจ้าหรือเป็นที่ฝังศพของคริสตชน โดยการเสกถวายหรือการเสกอวยพรซึ่งหนังสือจารีตพิธีกรรมกำหนดไว้ เพื่อจุดประสงค์นี้

มาตรา 1206 การเสกถวายของสถานที่ใดที่หนึ่งเป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑล และของผู้เทียบเท่ากับท่านตามกฎหมายท่านเหล่านี้สามารถมอบหน้าที่ทำการเสกถวายในเขตปกครองของตนแก่พระสังฆราชใดๆ ไม่ว่า หรือในกรณียกเว้นมอบให้พระสงฆ์ก็ได้

มาตรา 1207 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เสกโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจแต่การเสกอวยพรวัดสงวนไว้สำหรับพระสังฆราชสังฆมณฑล อย่างไรก็ตามทั้งสองท่านสามารถมอบอำนาจให้พระสงฆ์องค์หนึ่งเพื่อการนี้ได้

มาตรา 1208 เมื่อทำการเสกถวาย หรือการเสกอวยพรวัดแล้วและเช่นเดียวกันเมื่อทำการเสกอวยพรสุสานแล้วให้ทำเอกสารเกี่ยวกับการเสกนั้น ฉบับหนึ่งเก็บที่ศูนย์สังฆมณฑลอีกฉบับหนึ่งเก็บที่ตู้เอกสารของวัด

มาตรา 1209 การเสกถวาย หรือการเสกอวยพรสถานที่ใดที่หนึ่งถ้าไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ใดพิสูจน์ด้วยพยานที่อยู่เหนือความสงสัยใดๆ แต่เพียงผู้เดียวก็พอ

มาตรา 1210 ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อนุญาตให้ทำหรือส่งเสริมกิจกรรมต่างๆที่เกี่ยวกับคารวกิจ ความศรัทธา และศาสนกิจเท่านั้นและห้ามสิ่งใดไม่ว่าที่ไม่สอดคล้องกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่อย่างไรก็ดีผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจสามารถให้อนุญาตใช้เพื่อทำกิจกรรมอื่นเป็นครั้งๆ ได้แต่ต้องไม่ขัดกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่

มาตรา 1211 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ถูกละเมิดด้วยการกระทำในที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียอย่างหนักพร้อมทั้งเป็นที่สะดุดสำหรับสัตบุรุษซึ่งตามการวินิจฉัยของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น ความเสื่อมเสียนั้นหนักและขัดต่อความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่จนถึงกับว่าไม่อนุญาตให้ประกอบคารวกิจในสถานที่นั้น จนกว่าจะมีการชดเชยความเสื่อมเสีย ด้วยพิธีขอสมาโทษตามข้อกำหนดของหนังสือจารีตพิธีกรรม

มาตรา 1212 สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ เสียการเสกถวาย หรือการเสกอวยพรถ้าส่วนใหญ่ของสถานที่นั้นถูกทำลายหรือถูกลดเพื่อใช้เป็นสถานที่ทำกิจกรรมธรรมดาอย่างถาวรโดยคำสั่งของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจ หรือโดยพฤติกรรมนั้นเอง

มาตรา 1213 ผู้ใหญ่พระศาสนจักร ใช้อำนาจและทำหน้าที่ของตนในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสระ

 

หมวด 1 วัด

มาตรา 1214 วัด หมายถึง อาคารศักดิ์สิทธิ์เพื่อการถวายคารวกิจแด่พระเจ้าซึ่งบรรดาสัตบุรุษมีสิทธิ์เข้าไปใช้เพื่อปฏิบัติคารวกิจแด่พระเจ้า เป็นต้นคารวกิจสาธารณะ

มาตรา 1215 วรรค 1 ห้ามสร้างวัดใดๆ โดยมิได้รับความเห็นชอบอย่างชัดแจ้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากพระสังฆราชสังฆมณฑล

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑล ต้องไม่ให้ความเห็นชอบเว้นแต่เมื่อได้รับฟังความเห็นของคณะสงฆ์และบรรดาเจ้าอาวาสวัดใกล้เคียงแล้วเห็นว่าวัดใหม่สามารถให้บริการเพื่อความดีของวิญญาณ และปัจจัยที่จำเป็นสำหรับการสร้างวัด และสำหรับการถวายคารวกิจจะไม่ขาด

วรรค 3 สถาบันนักบวชด้วย แม้ได้รับการเห็นชอบให้สร้างบ้านใหม่ในสังฆมณฑล หรือในเมือง จากพระสังฆราชแล้วก็ตาม กระนั้นก็ดีก่อนจะสร้างวัดในสถานที่หนึ่ง และที่กำหนดแน่นอนแล้วต้องได้รับอนุญาตจากพระสังฆราชองค์เดียวกันนั้น

มาตรา 1216 ในการสร้าง และซ่อมวัดเมื่อได้รับคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญแล้ว ให้รักษาหลักการและหลักเกณฑ์ของพิธีกรรม และศิลปะศักดิ์สิทธิ์ไว้

มาตรา 1217 วรรค 1 เมื่อสร้างวัดใหม่เรียบร้อยแล้ว ต้องได้รับการเสกถวายหรืออย่างน้อยการเสกอวยพรโดยเร็วที่สุดโดยถือตามกฎหมายเกี่ยวกับพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์

วรรค 2 วัด เป็นต้น อาสนวิหาร และวัดปกครอง ต้องได้รับการเสกถวายด้วยพิธีจารีตอย่างสง่า

มาตรา 1218 แต่ละวัดต้องมีชื่อของวัด ซึ่งเมื่อได้รับการเสกถวายแล้ว เปลี่ยนมิได้

มาตรา 1219 ในวัดที่มีการเสกถวาย หรือการเสกอวยพรโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วกิจกรรมถวายคารวกิจแด่พระเจ้าทุกอย่างดำเนินไปได้โดยคงไว้ซึ่งสิทธิของวัดปกครอง

มาตรา 1220 วรรค 1 ทุกคนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องต้องเอาใจใส่รักษาวัดให้มีความสะอาดและความสวยงามที่คู่ควรกับบ้านของพระเจ้าและให้ขจัดทุกสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่ให้หมดไป

วรรค 2 เพื่อปกป้องสมบัติศักดิ์สิทธิ์และมีค่า ต้องใช้ความเอาใจใส่ปกติ และมาตราการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม

มาตรา 1221 การเข้าวัดในเวลาประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ ต้องเป็นอิสระ และให้เปล่า

มาตรา 1222 วรรค 1 ถ้าวัดใดไม่สามารถใช้เพื่อคารวกิจแด่พระเจ้าอีกเลยและไม่สามารถซ่อมได้ พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถลดไปใช้เพื่อกิจกรรมธรรมดาที่ไม่โสมม

วรรค 2 ที่ใดมีเหตุผลอื่นอันหนัก ชี้นำให้วัดใดไม่ควรใช้เพื่อคารวกิจแด่พระเจ้าอีกต่อไป พระสังฆราช       สังฆมณฑลเมื่อได้รับฟังคำปรึกษาของคณะสงฆ์แล้วสามารถลดไปใช้เพื่อกิจกรรมธรรมดาที่ไม่โสมมทั้งนี้โดยได้รับความเห็นชอบของบรรดาผู้มีสิทธิ์อันชอบด้วยกฎหมายในวัดนั้น และขอแต่ว่าอย่าให้ความดีของวิญญาณต้องได้รับความเสียหายจากการยุบวัดนั้น

 

หมวด 2 วัดน้อย และห้องพระส่วนบุคคล

มาตรา 1223 วัดน้อย หมายถึงสถานที่ซึ่งโดยอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจจัดไว้สำหรับถวายคารวกิจแด่พระเจ้า เพื่อความสะดวกของบางชุมชน หรือกลุ่ม คริสตชนซึ่งมาประชุมกันที่นั่น ณที่นั้น คริสตชนอื่นสามารถเข้ามาได้ด้วย โดยอธิการผู้มีอำนาจเห็นชอบ

มาตรา 1224 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจต้องไม่ให้อนุญาตที่จำเป็นเพื่อสร้างวัดน้อยเว้นแต่ได้ไปดูสถานที่ที่กำหนดไว้สำหรับสร้างวัดน้อยโดยตนเองหรือโดยบุคคลอื่นก่อนและพบว่าจัดเตรียมไว้อย่างเหมาะสม

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม เมื่อได้ให้อนุญาตแล้ววัดน้อยไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ในกิจกรรมธรรมดาโดยปราศจากอำนาจของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคนเดียวกัน

มาตรา 1225 ในวัดน้อยที่ตั้งขึ้นอย่างถูกต้องตามกฎหมายการประกอบพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ทุกชนิดดำเนินไปได้เว้นแต่พิธีกรรมซึ่งกฎหมาย หรือคำสั่งของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นห้ามไว้หรือที่ขัดกับกฎเกณฑ์ของพิธีกรรม

มาตรา 1226 คำว่า ห้องพระส่วนบุคคล หมายถึง สถานที่ซึ่งกำหนดไว้สำหรับถวายคารวกิจแด่พระเจ้า โดยมีอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นเพื่อความสะดวกของบุคคลหนึ่ง หรือหลายบุคคล

มาตรา 1227 พระสังฆราช ทำห้องพระส่วนบุคคลสำหรับตนเองได้ ซึ่งมีสิทธิ์เช่นเดียวกับวัดน้อย

มาตรา 1228 เพื่อถวายบูชามิสซา หรือประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ในห้องพระส่วนบุคคลแห่งใดไม่ว่า ต้องมีอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นทั้งนี้ให้คงไว้ซึ่งข้อบังคับของมาตรา 1227

มาตรา 1229 วัดน้อย และห้องพระส่วนบุคคลสมควรได้รับการเสกอวยพรตามจารีตที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรมและต้องสงวนไว้สำหรับคารวกิจแด่พระเจ้าเท่านั้นทั้งต้องปลอดจากการใช้สอยทุกชนิดทางครอบครัว

 

หมวด 3 สักการสถาน

มาตรา 1230 สักการสถาน หมายถึงวัด หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่น ซึ่งคริสตชนจาริกแสวงบุญมาเยี่ยมบ่อยๆ เพราะมีความศรัทธาพิเศษ โดยได้รับการรับรองของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

มาตรา 1231 เพื่อให้สักการสถานมีชื่อเป็นระดับชาติต้องได้รับการรับรองจากสภาพระสังฆราช เพื่อให้มีชื่อเป็นระดับนานาชาติต้องได้รับการรับรองจากสันตะสำนัก

มาตรา 1232 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นมีอำนาจรับรองธรรมนูญของสักการสถานระดับสังฆมณฑลสภาพระสังฆราชสำหรับธรรมนูญของสักการสถานระดับชาติสันตะสำนักเท่านั้นสำหรับธรรมนูญของสักการสถานระดับนานาชาติ

วรรค 2 ในธรรมนูญต้องกำหนด เป็นต้น จุดประสงค์ อำนาจของผู้ดูแล การครอบครองและการบริหารทรัพย์สิน

มาตรา 1233 สิทธิพิเศษบางประการสามารถมอบให้แก่สักการสถานได้ทุกครั้งที่เห็นว่าสิ่งแวดล้อมของสถานที่ก็ดี จำนวนของผู้แสวงบุญก็ดี และเป็นต้นความดีของสัตบุรุษ เสนอแนะเช่นนั้น

มาตรา 1234 วรรค 1 ในสักการสถานให้เพิ่มปัจจัยความรอดแก่คริสตชนให้มากขึ้นโดยการประกาศพระวาจาของพระเจ้าด้วยความเอาใจใส่โดยส่งเสริมชีวิตทางพิธีกรรมอย่างเหมาะสม เป็นต้นด้วยการประกอบศีลมหาสนิทและศีลอภัยบาป และโดยการปลูกฝังรูปแบบของความศรัทธาประชาชน ซึ่งได้มีการรับรองแล้ว

วรรค 2 ของแก้บนที่เป็นศิลปะชาวบ้าน และหลักฐานความศรัทธาต้องนำออกแสดงในสักการสถาน หรือในสถานที่ติดต่อกัน และต้องเฝ้ารักษาให้ปลอดภัย

 

 

หมวด 4 พระแท่น

มาตรา 1235 วรรค 1 พระแท่น หรือโต๊ะซึ่งบนนั้นมีการประกอบพิธีบูชาขอบพระคุณ เรียกว่าพระแท่นติดกับที่ถ้าสร้างในลักษณะที่ยึดติดกับพื้น และดังนี้จึงไม่อาจเคลื่อนที่ได้ส่วนพระแท่นเคลื่อนที่ได้ ถ้าสามารถเคลื่อนย้ายได้

วรรค 2 สมควรให้ทุกวัด มีพระแท่นติดกับที่ อย่างไรก็ดี ในที่อื่นๆ ซึ่งกำหนดไว้ เพื่อประกอบพิธีศักดิ์สิทธิ์ พระแท่นอาจเป็นชนิดติดกับที่หรือ ชนิดเคลื่อนที่ได้

มาตรา 1236 วรรค 1 ตามประเพณีปฏิบัติสืบทอดกันมาของพระศาสนจักรโต๊ะพระแท่นชนิดติดกับที่ ต้องทำด้วยหินและอันที่จริงต้องเป็นหินธรรมชาติท่อนเดียว อย่างไรก็ดี วัตถุอื่นที่สมควรและตันเป็นเนื้อเดียวกัน ก็สามารถนำมาใช้ได้ด้วย ทั้งนี้ตามการวินิจฉัยของสภาพระสังฆราช ส่วนเสาค้ำ หรือฐาน จะทำจากวัตถุใดก็ได้

วรรค 2 พระแท่นเคลื่อนที่ได้ ทำจากวัตถุตันใดๆ ก็ได้ ซึ่งเหมาะสมสำหรับการใช้ทางพิธีกรรม

มาตรา 1237 วรรค 1 พระแท่นติดกับที่ ต้องได้รับการเสกถวายส่วนพระแท่นเคลื่อนที่ได้ ต้องได้รับการเสกถวายหรือการเสกอวยพร ทั้งนี้ตามจารีตที่กำหนดไว้ในหนังสือพิธีกรรม

วรรค 2 ประเพณีโบราณที่ฝังพระธาตุมรณสักขี หรือพระธาตุนักบุญอื่นๆ ไว้ใต้พระแท่นติดกับที่นั้น ให้คงถือปฏิบัติต่อไปทั้งนี้ตามกฎเกณฑ์ที่ได้รับมอบมาในหนังสือพิธีกรรม

มาตรา 1238 วรรค 1 พระแท่นสูญเสียการเสกถวาย หรือการเสกอวยพรไป ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1212

วรรค 2 พระแท่นไม่ว่าชนิดติดกับที่ หรือชนิดเคลื่อนที่ได้ไม่สูญเสียการเสกถวาย หรือการเสกอวยพร โดยการลดวัด หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ ไปใช้ในกิจกรรมธรรมดา

มาตรา 1239 วรรค 1 พระแท่นทั้งชนิดติดต่อกับที่ และชนิดเคลื่อนที่ได้ต้องสงวนไว้สำหรับการถวายคารวกิจแด่พระเจ้าเท่านั้นโดยห้ามใช้สำหรับกิจกรรมธรรมดาอย่างเด็ดขาด

วรรค 2 ใต้พระแท่น ห้ามฝังศพใดๆ มิฉะนั้น ห้ามประกอบพิธีบูชามิสซาบนพระแท่นนั้น

 

หมวด 5 สุสาน

มาตรา 1240 วรรค 1 ที่ใดเป็นไปได้ วัดต้องมีสุสานของตนเองหรืออย่างน้อยให้มีพื้นที่ส่วนหนึ่งในสุสานสาธารณะที่จัดไว้สำหรับคริสตชนที่ล่วงลับ และได้รับการเสกอวยพรอย่างถูกต้อง

วรรค 2 อย่างไรก็ดี ถ้าไม่อาจมีดังเช่นว่านั้น ฝังศพทีไรต้องเสกอวยพรหลุมศพอย่างถูกต้องทุกครั้งไป

มาตรา 1241 วรรค 1 วัด และสถาบันนักบวช สามารถมีสุสานเฉพาะของตนได้

วรรค 2 นิติบุคคล หรือครอบครัวอื่นๆ ด้วย สามารถมีสุสานหรือที่ฝังศพพิเศษของตน ซึ่งต้องเสกอวยพรถ้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นวินิจฉัยเช่นนั้น

มาตรา 1242 ห้ามฝังศพในวัด เว้นแต่เป็นกรณีของพระสันตะปาปาหรือพระคาร์ดินัล หรือพระสังฆราช    สังฆมณฑล แม้เกษียณแล้วซึ่งต้องฝังในวัดเฉพาะของตน

มาตรา 1243 กฎหมายเฉพาะ ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ที่เหมาะสมเกี่ยวกับการจัดการสุสาน เป็นต้น ในเรื่องเกี่ยวกับการป้องกันและการส่งเสริมเอกลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์ของสุสาน

 

ลักษณะ 2 เวลาศักดิ์สิทธิ์

มาตรา 1244 วรรค 1 อำนาจสูงสุดของพระศาสนจักร แต่อำนาจเดียวมีอำนาจกำหนด เลื่อน ยกเลิกวันฉลองและวันทำการใช้โทษบาปด้วยที่ใช้สำหรับพระศาสนจักรสากล ทั้งนี้ให้คงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1246

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑล สามารถกำหนดวันฉลอง หรือวันทำการใช้โทษบาปเฉพาะสำหรับสังฆมณฑลของตนได้เป็นครั้งๆ ไปเท่านั้น

มาตรา 1245 โดยคงไว้ซึ่งสิทธิของพระสังฆราชสังฆมณฑล ที่กล่าวถึงในมาตรา87 พระสงฆ์เจ้าอาวาส เมื่อมีเหตุอันชอบ และตามคำสั่งของพระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถให้การยกเว้นในแต่ละกรณี จากพันธะต้องถือวันฉลองหรือวันทำการใช้โทษบาปหรือเปลี่ยนพันธะนั้นไปเป็นกิจกรรมศรัทธาอย่างอื่นแทนได้อธิการของสถาบันนักบวชหรือของคณะชีวิตธรรมทูต ถ้าเป็นสมณะสิทธิสันตะสำนักก็ทำได้เช่นกัน เกี่ยวกับผู้ใต้ปกครองเฉพาะของตนและบุคคลอื่นที่อาศัยอยู่ทั้งกลางวันและกลางคืนในบ้านของคณะ

 

หมวด 1 วันฉลอง

มาตรา 1246 วรรค 1 วันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันฉลองรหัสธรรมปาสกาตามประเพณีที่สืบทอดมาจากอัครสาวก ต้องถือเป็นวันฉลองต้องบังคับแรกในพระศาสนจักรสากล เช่นเดียวกันวันต่อไปนี้ต้องถือเป็นวันฉลองต้องบังคับด้วย :วันสมภพของพระเยซูคริสต์พระสวามีของเรา วันพระคริสตประจักษ์ วันเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ วันฉลองพระกายและพระโลหิตของพระคริสต์ วันฉลองพระนางมารีย์พระมารดาศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า วันปฏิสนธินิรมลและวันรับยกขึ้นสู่สวรรค์ของพระนางมารีย์ วันฉลองนักบุญยอแซฟ วันฉลองอัครสาวกเปโตรและเปาโล ในที่สุด วันฉลองนักบุญทั้งหลาย

วรรค 2 กระนั้นก็ดี สภาพระสังฆราชสามารถยกเลิกวันฉลองต้องบังคับบางวันหรือเลื่อนวันฉลองเหล่านั้นไปวันอาทิตย์ ทั้งนี้โดยได้รับการเห็นชอบจากสันตะสำนักก่อน

มาตรา 1247 ในวันอาทิตย์ และวันฉลองอื่นๆ ที่ต้องบังคับคริสตชนต้องไปร่วมพิธีบูชามิสซา ยิ่งกว่านั้น ต้องเว้นจากการงานและธุรกิจซึ่งกีดกันการถวายคารวกิจแด่พระเจ้าความชื่นชมยินดีอันเป็นเฉพาะสำหรับวันพระเจ้าหรือการพักผ่อนอันจำเป็นของใจและกาย

มาตรา 1248 วรรค 1 ผู้ที่ร่วมพิธีบูชามิสซาซึ่งถวายด้วยจารีตคาทอลิก ณที่ใดไม่ว่า ในวันฉลองนั้นเอง หรือในตอนเย็นของวันก่อนฉลองถือว่าได้ปฏิบัติตามบัญญัติให้ร่วมพิธีบูชามิสซานั้นแล้ว

วรรค 2 ถ้าขาดบุคลากรศักดิ์สิทธิ์ หรือมีเหตุอันหนักทำให้ไม่สามารถร่วมพิธีบูชามิสซาได้ ขอแนะนำเป็นอย่างยิ่งให้ร่วมในวจนพิธีกรรม ถ้าหากมีการจัดพิธีนั้น ในวัดปกครองหรือในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อื่น ตามข้อกำหนดของพระสังฆราชสังฆมณฑลหรือให้สวดภาวนาส่วนตัว หรือเป็นครอบครัวเป็นเวลานานเท่าที่ควรหรือร่วมกับครอบครัวอื่นๆ เท่าที่โอกาสจะอำนวย

 

หมวด 2 วันทำการใช้โทษบาป

มาตรา 1249 คริสตชนทุกคน แต่ละคนด้วยวิธีของตนเองมีพันธะต้องทำการใช้โทษบาป โดยกฎหมายของพระเจ้า อย่างไรก็ดีเพื่อให้คริสตชนทั้งหมดร่วมกันทำการใช้โทษบาป จึงได้กำหนดวันใช้โทษบาปขึ้นซึ่งในวันเหล่านั้น คริสตชนอุทิศตนเป็นพิเศษ เพื่อภาวนาปฏิบัติกิจศรัทธาและกิจเมตตา ปฏิเสธตนเองโดยทำหน้าที่ของตนอย่างซื่อสัตย์ยิ่งขึ้น และเป็นต้น โดยการถือศีลอดอาหารและอดเนื้อ ตามกฎเกณฑ์ของมาตราต่อไปนี้

มาตรา 1250 วันและเวลาทำการใช้โทษบาป ในพระศาสนจักรสากล คือ ทุกวันศุกร์ตลอดปี และเทศกาลมหาพรต

มาตรา 1251 การอดเนื้อ หรือการอดอาหารอย่างอื่นตามข้อกำหนดของสภาพระสังฆราช ต้องถือทุกวันศุกร์ตลอดปีเว้นแต่วันฉลองใหญ่ตกเป็นวันศุกร์ส่วนการอดเนื้อและการอดอาหารต้องถือในวันพุธรับเถ้าและในวันศุกร์แห่งมหาทรมาน และการสิ้นพระชนม์ของพระสวามีเยซูคริสตเจ้าของเรา

มาตรา 1252 ผู้ที่มีอายุครบสิบสี่ปี (14 ปี) บริบูรณ์ต้องถือกฎการอดเนื้อ ส่วนผู้ที่มีอายุเป็นผู้ใหญ่ต้องถือกฎการอดอาหารจนถึงอายุเริ่มหกสิบปี (60 ปี) กระนั้นก็ดีผู้อภิบาลวิญญาณและบิดามารดาต้องเอาใจใส่ให้ผู้เยาว์ที่แม้ไม่ถูกบังคับให้ถือกฎ การอดเนื้อและการอดอาหาร เพราะอายุยังน้อยได้รับการอบรมถึงความหมายแท้ของการใช้โทษบาป

มาตรา 1253 สภาพระสังฆราช สามารถกำหนดให้ชัดแจ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับการอดเนื้อและการอดอาหารและกำหนดรูปแบบอื่นๆ ของการใช้โทษบาป เป็นต้น เกี่ยวกับการปฏิบัติกิจเมตตา และกิจศรัทธา เพื่อทดแทนการอดเนื้อ และการอดอาหารทั้งหมด หรือเป็นบางส่วน

 

 

บรรพ 5 ทรัพย์สิน ฝ่ายโลกของพระศาสนจักร


มาตรา 1254 วรรค 1 พระศาสนจักรคาทอลิกมีสิทธิโดยกำเนิดไม่ขึ้นกับอำนาจทางบ้านเมือง สามารถหามาได้ถือครองจัดการและจำหน่ายจ่ายโอนซึ่งทรัพย์สินฝ่ายโลกเพื่อบรรลุเป้าหมายของตนเองโดยเฉพาะ

วรรค 2 จุดหมายเฉพาะที่สำคัญ ได้แก่การจัดระเบียบในการถวายคารวกิจแด่พระเจ้า การจัดหาเพื่อค้ำจุนสมณะและศาสนบริกรอื่นๆ อย่างเหมาะสม การปฏิบัติกิจแพร่ธรรม และงานเมตตาธรรมเป็นต้น ต่อผู้ขัดสน

มาตรา 1255 พระศาสนจักรสากล สันตะสำนัก พระศาสนจักรท้องถิ่น และนิติบุคคลอื่นๆ ทั้งที่เป็นสาธารณะ และส่วนบุคคล สามารถหามาได้ ถือครองจัดการ และจำหน่ายจ่ายโอนซึ่งทรัพย์สินฝ่ายโลกได้ ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 1256 การเป็นเจ้าของทรัพย์สินฝ่ายโลกภายใต้อำนาจสูงสุดของสมเด็จพระสันตะปาปา ย่อมเป็นของนิติบุคคลนั้นๆ ซึ่งได้ทรัพย์สินนั้นมาโดยชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 1257 วรรค 1 ทรัพย์สินฝ่ายโลกทั้งหมด ที่เป็นของพระศาสนจักรสากลของสันตะสำนัก และของนิติบุคคลสาธารณะอื่นๆ ในพระศาสนจักรเป็นทรัพย์สินของพระศาสนจักร และถูกควบคุมด้วยกฎหมายมาตราที่ตามมารวมทั้งธรรมนูญเฉพาะของตนด้วย

วรรค 2 ทรัพย์สินฝ่ายโลกที่เป็นของนิติบุคคล ส่วนบุคคลถูกควบคุมด้วยธรรมนูญเฉพาะของตน ไม่ใช่ด้วยกฎหมายมาตราต่อไปนี้เว้นแต่จะมีข้อกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

มาตรา 1258ในกฎหมายมาตราทั้งหลายที่ตามมา คำว่า พระศาสนจักร หมายถึงไม่เพียงแต่พระศาสนจักรสากล หรือสันตะสำนักเท่านั้นแต่หมายถึงนิติบุคคลสาธารณะใดๆ ในพระศาสนจักรด้วยเว้นแต่จากบริบทของข้อความหรือจากธรรมชาติของเรื่องจะปรากฏชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น

 

ลักษณะ 1 การได้มาซึ่งทรัพย์สิน

มาตรา 1259 พระศาสนจักรสามารถได้ทรัพย์สินฝ่ายโลกมาด้วยวิธีการที่ชอบธรรมทุกอย่างตามกฎธรรมชาติ และกฎหมายที่ตราขึ้นซึ่งกฎหมายเหล่านั้นให้สิทธิ์แก่บุคคลอื่นๆ

มาตรา 1260 พระศาสนจักรมีสิทธิโดยกำเนิดที่จะเรียกร้องจากคริสตชน สิ่งซึ่งจำเป็นสำหรับจุดประสงค์เฉพาะของตน

มาตรา 1261 วรรค 1 คริสตชนมีสิทธิครบถ้วนที่จะถวายทรัพย์สินฝ่ายโลก เพื่อสนับสนุนพระศาสนจักร

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลมีหน้าที่เตือนสัตบุรุษถึงพันธะที่กล่าวถึงในมาตรา 222 วรรค 1 และกระตุ้นเตือนด้วยวิธีการที่เหมาะสม

มาตรา 1262 สัตบุรุษพึงให้ความช่วยเหลือแก่พระศาสนจักร ตามการขอร้อง และตามกฎเกณฑ์ที่สภาพระสังฆราชกำหนด

มาตรา 1263 พระสังฆราชสังฆมณฑล เมื่อได้รับฟังที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ และคณะสงฆ์แล้วมีสิทธิกำหนดภาษีที่พอประมาณ และได้สัดส่วนกับรายได้แก่นิติบุคคลสาธารณะที่อยู่ใต้ปกครองของท่าน เพื่อใช้ในความจำเป็นของสังฆมณฑลสำหรับบุคคลธรรมดา และนิติบุคคลอื่นๆท่านสามารถกำหนดภาษีพิเศษ และพอประมาณได้ เมื่อมีความจำเป็นหนักเท่านั้น และภายใต้เงื่อนไขเดียวกัน โดยคงไว้ซึ่งกฎหมาย และธรรมเนียมเฉพาะซึ่งให้สิทธิที่ดีกว่าแก่ท่าน

มาตรา 1264 เว้นแต่กฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น ที่ประชุมบรรดาพระสังฆราชแขวง มีหน้าที่

1.       กำหนดภาษี สำหรับกิจการ บริหารอำนาจในการให้พระคุณหรือสำหรับการปฏิบัติตามหนังสือตอบของสันตะสำนัก ข้อกำหนดนี้ต้องได้รับการเห็นชอบจากสันตะสำนัก

2.       กำหนดเงินถวาย โอกาสให้บริการศีลศักดิ์สิทธิ์ และสิ่งคล้ายศีล

มาตรา 1265 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งสิทธิของนักพรตภิกขาจารห้ามปัจเจกบุคคลไม่ว่าบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล ทำการรณรงค์หาทุนเพื่อสถาบัน หรือจุดประสงค์ที่เกี่ยวกับการกุศล หรือ เกี่ยวกับพระศาสนจักรใดๆ โดยมิได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจของตน และผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น

วรรค 2 สภาพระสังฆราช สามารถออกกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการรณรงค์หาทุน ซึ่งทุกคนต้องถือ ไม่ยกเว้นแม้พวกที่มีชื่อและเป็นภิกขาจารโดยสถาบัน

มาตรา 1266 ในวัด และวัดน้อยทุกแห่งแม้ที่ขึ้นกับสถาบันนักพรตซึ่งตามความเป็นจริง เปิดรับคริสตชนเป็นประจำอยู่แล้วผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นสามารถสั่งให้มีการเก็บทานพิเศษสำหรับโครงการระดับวัดปกครอง, ระดับสังฆมณฑล, ระดับชาติ หรือระดับสากลที่กำหนดไว้แล้วเงินทานนี้ภายหลังต้องส่งไปยังสำนักสังฆมณฑลด้วยความเอาใจใส่

มาตรา 1267 วรรค 1 เว้นแต่เป็นที่แจ้งชัดว่าเป็นตรงกันข้ามของถวายทั้งหลายที่ให้แก่อธิการหรือผู้บริหารของนิติบุคคลฝ่ายพระศาสนจักรใดไม่ว่า แม้เป็นนิติบุคคลปัจเจกให้สันนิษฐานว่า เป็นของถวายให้แก่นิติบุคคลนั้นเอง

วรรค 2 ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับนิติบุคคลสาธารณะของถวายที่กล่าวถึงในวรรค 1 ปฏิเสธไม่ได้ เว้นแต่มีเหตุอันชอบและในเรื่องใหญ่จะปฏิเสธไม่ได้ เว้นแต่มีอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจต้องมีอนุญาตของผู้ใหญ่คนเดียวกันเพื่อรับของถวายที่มีภาระหรือเงื่อนไขติดพัน โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1295

วรรค 3 ของถวายจากสัตบุรุษ เพื่อจุดประสงค์ที่กำหนดไว้ สามารถใช้เฉพาะกับจุดประสงค์นั้นเท่านั้น

มาตรา 1268 พระศาสนจักร ยอมรับการครอบครองปรปักษ์ เป็นวิธีการเพื่อได้มา และเพื่อปลดเปลื้องภาระในเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินฝ่ายโลกตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 197199

มาตรา 1269 วัตถุศักดิ์สิทธิ์ ถ้าอยู่ในการครอบครองของปัจเจกบุคคลปัจเจกบุคคลสามารถได้มาด้วยการครอบครองปรปักษ์แต่ไม่อนุญาตให้ใช้ในทางไม่ศักดิ์สิทธิ์เว้นแต่วัตถุศักดิ์สิทธิ์นั้นได้สูญเสียการเสก ถวาย หรือการเสกอวยพรแล้วอย่างไรก็ตาม ถ้าวัตถุศักดิ์สิทธิ์เป็นของนิติบุคคล สาธารณะฝ่ายพระศาสนจักรนิติบุคคลสาธารณะฝ่ายพระศาสนจักรอื่น สามารถครอบครองเท่านั้น

มาตรา 1270 อสังหาริมทรัพย์สังหาริมทรัพย์ที่มีค่า สิทธิและการเรียกร้องทางกฎหมายไม่ว่าเกี่ยวกับบุคคลหรือทรัพย์สินซึ่งเป็นของสันตะสำนักระยะครอบครองปรปักษ์ คือ 100 ปีถ้าเป็นของนิติบุคคลสาธารณะฝ่ายพระศาสนจักรอื่น ระยะครอบครองปรปักษ์ คือ 30ปี

มาตรา 1271 ด้วยเหตุผลแห่งความผูกพันเป็นหนึ่งเดียวกัน และความรักพระสังฆราชตามความสามารถของสังฆมณฑลของตน ต้องบริจาคเพื่อหาจัดปัจจัยซึ่งสันตะสำนักมีความต้องการตามสภาพแห่งกาลเวลา เพื่อสามารถบริการพระศาสนจักรสากลได้อย่างที่ควร

มาตรา 1272 ในเขตที่สิทธิประโยชน์ ตามความหมายเฉพาะของคำยังมีอยู่เป็นหน้าที่ของสภาพระสังฆราชที่จะควบคุมดูแลสิทธิประโยชน์นี้ด้วยกฎเกณฑ์ที่เหมาะสม จากการตกลงและรับรองโดยสันตะสำนัก จุดหมายของกฎเกณฑ์เหล่านี้ คือเพื่อให้รายได้และยิ่งกว่านั้นเท่าที่เป็นไปได้ให้ทุนเดิมของสิทธิประโยชน์นี้ ถูกย้ายไปทีละน้อยเข้ากองทุนที่กล่าวถึงในมาตรา 1274 วรรค 1

 

ลักษณะ 2 การบริหารทรัพย์สิน

มาตรา 1273 สมเด็จพระสันตะปาปา ในฐานะผู้มีอำนาจสูงสุดในการปกครองเป็นผู้บริหาร และผู้จัดการสูงสุด แห่งทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักรทั้งหมด

มาตรา 1274 วรรค 1 ในแต่ละสังฆมณฑลต้องมีกองทุนพิเศษซึ่งรวบรวมทรัพย์สิน หรือเงินถวายโดยมีจุดประสงค์เพื่อค้ำจุนบรรดาสมณะ ซึ่งรับใช้สังฆมณฑล ตามกฎหมายมาตรา281 เว้นแต่จะจัดหาความช่วยเหลือไว้แล้วเป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ในที่ซึ่งประกันสังคมสำหรับสมณะยังไม่มีการจัดไว้อย่างเหมาะสมสภาพระสังฆราชต้องเอาใจใส่ให้มีกองทุนประกันสังคมอย่างเพียงพอสำหรับสมณะ

วรรค 3 ในแต่ละสังฆมณฑล ต้องจัดให้มีกองทุนกลางตามความจำเป็น เพื่อพระสังฆราชสามารถทำหน้าที่ช่วยเหลือ

บุคคลอื่นๆ ที่รับใช้พระศาสนจักร และเพื่อสนองความต้องการต่างๆของสังฆมณฑล และเพื่อสังฆมณฑลที่ร่ำรวยกว่าสามารถช่วยเหลือสังฆมณฑลที่ยากจนกว่า

วรรค 4 ตามสภาพแวดล้อมของพื้นที่ต่างๆ จุดประสงค์ที่กล่าวถึงในวรรค 2 และ วรรค 3 สามารถบรรลุผลดีขึ้นโดยการรวบรวมกองทุนระหว่างสังฆมณฑลเข้าด้วยกัน หรือโดยการร่วมมือกันหรือแม้โดยการตั้งสมาคมที่เหมาะสมสำหรับสังฆมณฑลต่างๆ และยิ่งกว่านั้นสำหรับเขตทั้งหมดของสภาพระสังฆราชเองด้วย

วรรค 5 ถ้าเป็นไปได้กองทุนเหล่านี้ ต้องจัดตั้งขึ้นให้มีผลในทางกฎหมายบ้านเมืองด้วย

มาตรา 1275 กองทุนทรัพย์สินรวมที่มาจากสังฆมณฑลต่างๆ ต้องบริหารตามกฎเกณฑ์ที่ได้ตกลงกันระหว่างพระสังฆราชทั้งหลายซึ่งมีส่วนได้เสียร่วมกัน

มาตรา 1276 วรรค 1 เป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ ต้องเอาใจใส่ดูแลการบริหารทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งเป็นของนิติบุคคลสาธารณะที่ขึ้นกับตนโดยคงไว้ซึ่งตำแหน่งต่างๆ ที่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งให้สิทธิที่ดีกว่าแก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจองค์เดียวกันนั้นวรรค 2 บรรดาผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจต้องเอาใจใส่ดูแลธุรกิจทั้งหมดของการบริหารทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักรโดยออกคำสั่งพิเศษภายในขอบเขตของกฎหมายสากล และกฎหมายเฉพาะพร้อมทั้งคำนึงถึงสิทธิ ประเพณีอันชอบด้วยกฎหมาย และสิ่งแวดล้อมทั้งหลาย

มาตรา 1277 พระสังฆราชสังฆมณฑล ต้องฟังที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจและคณะที่ปรึกษาในเรื่องที่เกี่ยวกับกิจบริหารที่สำคัญมากโดยคำนึงถึงฐานะทางเศรษฐกิจของสังฆมณฑล อย่างไรก็ตามท่านต้องรับความเห็นชอบของที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ และของคณะที่ปรึกษาด้วยเพื่อทำกิจการบริหารวิสามัญ นอกเหนือไปจากกรณีที่บ่งไว้พิเศษในกฎหมายสากลหรือในกฎบัตรกองทุน ส่วนสภาพระสังฆราชมีหน้าที่กำหนดว่ากิจการใดเป็นบริหารวิสามัญ

มาตรา 1278 นอกจากหน้าที่ซึ่งกล่าวถึงในกฎหมายมาตรา 494 วรรค 3 และ 4 พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถมอบหน้าที่ที่กล่าวถึงในกฎหมายมาตรา 1276 วรรค 1และมาตรา 1279 วรรค 2 แก่เจ้าหน้าที่ฝ่ายเศรษฐกิจ

มาตรา 1279 วรรค 1 การบริหาร ทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักร เป็นธุระของ ผู้ปกครองโดยตรง ของบุคคลซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินนั้น เว้นแต่กฎหมายเฉพาะ หรือธรรมนูญหรือประเพณีอันชอบด้วยกฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นและให้คงไว้ซึ่งสิทธิของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจที่จะแทรกแซงในกรณีที่ผู้บริหารนั้นเพิกเฉย

วรรค 2 ในการบริหารทรัพย์สินของนิติบุคคลสาธารณะ ซึ่งจากกฎหมายหรือจากกฎบัตรกองทุน หรือจากธรรมนูญเฉพาะไม่มีผู้บริหารของตนผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจซึ่งนิติบุคคลสาธารณะนั้นอยู่ใต้ปกครองต้องแต่งตั้งบุคคลที่เหมาะสมให้เป็นผู้บริหาร เป็นวาระ 3 ปีผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถแต่งตั้งบุคคลเดียวกันนั้นเป็นผู้บริหารอีก

มาตรา 1280 นิติบุคคลใดๆ ไม่ว่า ต้องมีคณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของตนหรืออย่างน้อยมีที่ปรึกษา 2 คนเพื่อช่วยผู้บริหารในการทำหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ของธรรมนูญ

มาตรา 1281 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของธรรมนูญผู้บริหารที่ทำเกินขอบเขต และวิธีการของการบริหารตามปกติย่อมทำการอันเป็นโมฆะ เว้นแต่ก่อนทำการ เขาได้รับอำนาจให้ทำเช่นนั้นเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจวรรค 2 ในธรรมนูญต้องกำหนดกิจการที่เกินขอบเขต และวิธีการของการบริหารปกติถ้าธรรมนูญมิได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลเมื่อได้ฟังคณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจแล้ว ต้องกำหนดกิจการเช่นนี้สำหรับบุคคลที่อยู่ใต้ปกครองของตน

วรรค 3 เว้นแต่เมื่อ และเท่าที่ได้ผลประโยชน์นิติบุคคลไม่ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่โมฆะของผู้บริหาร อย่างไรก็ตามนิติบุคคลเองต้องรับผิดชอบต่อการกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายแต่ไม่โมฆะของผู้บริหาร โดยคงไว้ซึ่งสิทธิฟ้องร้อง หรือเรียกร้องเอาผิดกับผู้บริหารซึ่งทำให้เกิดความเสียหาย

มาตรา 1282 ทุกคนไม่ว่าเป็นสมณะหรือฆราวาสซึ่งมีส่วนในการบริหารทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักร โดยตำแหน่งอันชอบด้วยกฎหมายต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนในนามของพระศาสนจักร ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 1283 ก่อนที่ผู้บริหารเข้ารับหน้าที่ของตน

1.       ต้องสาบานตนต่อหน้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ หรือผู้แทนของท่านว่า ตนจะบริหารอย่างดี และอย่างซื่อสัตย์

2.       ต้องทำรายการอย่างละเอียด และแจ้งชัดของอสังหาริมทรัพย์สังหาริมทรัพย์ที่มีค่า หรือที่มีคุณค่าทางวัฒนธรรม หรือทรัพย์สินอื่นๆ พร้อมกับคำบรรยาย และการประเมินค่าของทรัพย์สินเหล่านั้นพร้อมลายเซ็นของตนเอง และต้องรับรู้รายการที่ทำแล้ว

3.       สำเนาฉบับหนึ่งของบัญชีรายการนี้ เก็บไว้ที่ตู้เอกสารในที่ทำงานอีกฉบับหนึ่งเก็บไว้ที่ตู้เอกสารของสำนักสังฆมณฑล การเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ว่า ที่อาจเกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่ว่าต้องบันทึกในบัญชีรายการทั้งสองฉบับ

มาตรา 1284 วรรค 1 ผู้บริหารทุกคนมีภาระ ต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างขยันขันแข็ง เยี่ยงพ่อบ้านที่ดี

วรรค 2 ฉะนั้น ผู้บริหารต้อง

1.       เฝ้าระวังมิให้ทรัพย์สินที่มอบไว้ในความดูแลของตนสูญหายหรือได้รับความเสียหาย ไม่ว่าด้วยแบบใดๆ และทำประกันเท่าที่จำเป็นเพื่อจุดประสงค์นี้

2.       เอาใจใส่รักษาการเป็นเจ้าของทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักรให้ปลอดภัย ด้วยวิธีการที่มีผลตามกฎหมายบ้านเมือง

3.       ถือตามข้อกำหนดทั้งของกฎหมายพระศาสนจักร และกฎหมายบ้านเมืองหรือข้อกำหนดที่ตั้งขึ้นโดยผู้ก่อตั้ง หรือผู้บริจาคหรือผู้ทรงอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้บริหารต้องระวังเป็นเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามกฎหมายบ้านเมือง

4.       จัดเก็บรายได้ และรายรับของทรัพย์สินอย่างละเอียดและตามเวลาที่ถูกต้อง และเมื่อเก็บแล้ว ต้องรักษาให้ปลอดภัยและใช้มันตามจุดประสงค์ของผู้ก่อตั้ง หรือตามกฎเกณฑ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย

5.       ชำระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายเพราะการยืม หรือจำนองตามเวลาที่กำหนด และเอาใจใส่คืนเงินต้นของหนี้สินนั้นตามเวลาที่เหมาะสม

6.       ด้วยความเห็นชอบของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ นำเงินที่เหลือจากการใช้จ่ายและเงินที่สามารถจัดการให้เป็นประโยชน์ได้ไปลงทุนเพื่อจุดประสงค์ของนิติบุคคล

7.       ทำบัญชีรายรับ และรายจ่าย อย่างเป็นระเบียบ

8.       ทำรายงานการบริหารทุกสิ้นปี

9.       จัดเอกสาร และเอกสารสิทธิ์ซึ่งเป็นหลักฐานของสิทธิในทรัพย์สินของพระศาสนจักร และของสถาบันให้เป็นระเบียบอย่างถูกต้องและเก็บรักษาไว้ในตู้เอกสารที่ปลอดภัย และเหมาะสม ที่ใดทำได้สะดวกให้เก็บต้นฉบับแท้ของเอกสารเหล่านั้นในตู้เอกสารของสำนักสังฆมณฑล

วรรค 3 ขอแนะนำอย่างแข็งขัน ให้ผู้บริหารจัดทำงบประมาณรายรับและรายจ่ายทุกๆ ปี อย่างไรก็ตาม ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของกฎหมายเฉพาะที่จะสั่ง และกำหนดวิธีการเสนองบประมาณนั้น อย่างรัดกุมยิ่งขึ้น

มาตรา 1285 ภายในขอบเขตการบริหารทรัพย์สินตามปกติเท่านั้นอนุญาตให้ผู้บริหารนำทรัพย์สินที่เป็นสังหาริมทรัพย์ที่ไม่รวมอยู่ในกองทรัพย์สินถาวรไปทำการบริจาค เพื่อกิจศรัทธาหรือเพื่อกิจเมตตาแบบ คริสตชนได้

มาตรา 1286 ผู้บริหารทรัพย์สินฝ่ายโลก

1.       ในการจ้างแรงงาน ต้องปฏิบัติอย่างละเอียดถี่ถ้วนตามหลักการที่พระศาสนจักรสั่งสอน และตามกฎหมายบ้านเมืองที่เกี่ยวกับแรงงาน และชีวิตสังคมด้วย

2.       ต้องจ่ายค่าจ้างที่เป็นธรรม และสมศักดิ์ศรีแก่คนงานที่ทำงานตามที่ตกลงกันเพื่อให้เขาสามารถจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับตนเอง และคนที่ขึ้นอยู่กับเขาได้อย่างเหมาะสม

มาตรา 1287 วรรค 1 โดยตำหนิประเพณีที่ตรงกันข้ามผู้บริหารทั้งที่เป็นสมณะ และฆราวาสซึ่งทำหน้าที่บริหารทรัพย์สินฝ่ายพระศาสนจักรใดๆ ไม่ว่าที่มิถูกถอนออกจากอำนาจปกครองของพระสังฆราชสังฆมณฑลโดยชอบด้วยกฎหมายมีหน้าที่ต้องส่งรายงานทุกปีแก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่นซึ่งท่านต้องส่งรายงานนั้นแก่คณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจเพื่อตรวจสอบ

วรรค 2 เกี่ยวกับทรัพย์สินที่ สัตบุรุษบริจาคแก่พระศาสนจักร ผู้บริหารต้องทำรายงานแก่สัตบุรุษตามกฎเกณฑ์ที่ต้องกำหนดโดยกฎหมายเฉพาะ

มาตรา 1288 ผู้บริหารทรัพย์สิน ต้องไม่ดำเนินคดีหรือต่อสู้คดีในศาลทางบ้านเมืองในนามของนิติบุคคลสาธารณะเว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเฉพาะของตนก่อน

มาตรา 1289 ผู้บริหารทรัพย์สินแม้ว่าไม่มีพันธะในการบริการโดยตำแหน่งหน้าที่ทางพระศาสนจักรเขาไม่สามารถทิ้งหน้าที่ซึ่งเขาได้รับมาโดยพลการของตนเอง ถ้าเขาทำเช่นนั้น และการกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดความเสียหายแก่พระศาสนจักรเขามีหน้าที่จะต้องชดใช้ความเสียหายนั้น

 

ลักษณะที่ 3 สัญญา และโดยเฉพาะ การจำหน่ายจ่ายโอน

มาตรา 1290 สิ่งใดที่กฎหมายบ้านเมืองในพื้นที่นั้น กำหนดอย่างทั่วไปหรืออย่างเฉพาะเกี่ยวกับสัญญา และการสิ้นสุดลงของสัญญาต้องปฏิบัติในกฎหมายพระ ศาสนจักรเกี่ยวกับสิ่งที่อยู่ใต้อำนาจการปกครองของพระศาสนจักร โดยมีผลแบบเดียวกันเว้นแต่กฎหมายทางบ้านเมืองจะขัดต่อกฎหมายของพระเจ้าหรือกฎหมายพระศาสนจักรจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นทั้งนี้ให้คงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1547

มาตรา 1291 ทรัพย์สินซึ่งตั้งขึ้นเป็นกองมรดกถาวรของนิติบุคคลสาธารณะโดยการกำหนดที่ชอบด้วยกฎหมายและค่าของมันสูงกว่าค่าที่กฎหมายกำหนดทรัพย์สินนั้นอาจจำหน่ายออกได้โดยถูกต้องก็ต่อเมื่อมีอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจตามกฎเกณฑ์ของกฎหมาย

มาตรา 1292 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 638 วรรค 3 เมื่อค่าของทรัพย์สินที่เสนอขาย อยู่ระหว่างค่าต่ำสุดและสูงสุดซึ่งต้องกำหนดโดยสภาพระสังฆราชสำหรับแต่ละแขวงถ้าเป็นกรณีที่เกี่ยวกับนิติบุคคลที่ไม่ขึ้นกับพระสังฆราชสังฆมณฑลผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจต้องถูกกำหนดโดยธรรมนูญของนิติบุคคลนั้นเองถ้าเป็นกรณีอื่น ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคือพระสังฆราชสังฆมณฑลซึ่งต้องทำการร่วมกับความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจ และความเห็นชอบของคณะที่ปรึกษาพร้อมกับความเห็นชอบของผู้มีส่วนได้เสียส่วนในกรณีที่เกี่ยวกับการจำหน่ายทรัพย์สินของสังฆมณฑลเองผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ คือพระสังฆราชสังฆมณฑลโดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะบุคคลดังกล่าวด้วย

วรรค 2 อย่างไรก็ดี ถ้าเป็นการจำหน่ายที่มีค่าเกินกว่าราคาประเมินสูงสุดหรือที่ถวายแก่พระศาสนจักรโดยการบนบาน หรือวัตถุที่มีค่าทางศิลปะหรือทางประวัติศาสตร์การจำหน่ายนั้นต้องมีอนุญาตของสันตะสำนักเพิ่มอีกด้วยเพื่อมีผลถูกต้องตามกฎหมาย

วรรค 3 ถ้าทรัพย์สินที่จะจำหน่าย เป็นสิ่งที่แบ่งแยกได้การขออนุญาตเพื่อการจำหน่าย จะต้องระบุส่วนที่ได้จำหน่ายไปแล้วด้วยมิฉะนั้นการอนุญาตไม่มีผลตามกฎหมาย

วรรค 4 บุคคลผู้มีส่วนในการให้คำแนะนำหรือความเห็นชอบในการจำหน่ายทรัพย์สินต้องไม่ให้คำแนะนำหรือความเห็นชอบนั้นเว้นแต่จะได้รับแจ้งให้ทราบอย่างถี่ถ้วนก่อนถึงสถานภาพทางเศรษฐกิจของนิติบุคคล ซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เสนอขายและทราบถึงทรัพย์สินส่วนที่ได้ขายไปแล้วด้วย

มาตรา 1293 วรรค 1 เพื่อจำหน่ายทรัพย์สิน ซึ่งมีราคาสูงกว่าค่าประเมินต่ำสุด ยังต้องมี

1.       เหตุผลอันชอบ เช่น ความจำเป็นเร่งด่วน ผลประโยชน์ที่แจ้งชัดเหตุผลทางจิตศรัทธา ทางความเมตตาหรือเหตุผลทางการอภิบาลที่มีน้ำหนักอย่างอื่น

2.       การประเมินราคาทรัพย์สินที่จะจำหน่าย ต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร โดยผู้เชี่ยวชาญ

วรรค 2 ข้อควรระวังอื่นๆ ซึ่งผู้มีอำนาจอันชอบด้วยกฎหมายกำหนดไว้ ต้องถือตามด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงความเสียหายแก่พระศาสนจักร

มาตรา 1294 วรรค 1 ปกติทรัพย์สินต้องไม่จำหน่ายในราคาที่ต่ำกว่าราคาซึ่งบ่งไว้ในราคาประเมิน

วรรค 2 เงินที่ได้จากการจำหน่ายทรัพย์สิน ต้องลงทุนอย่างระมัดระวังเพื่อประโยชน์ของพระศาสนจักรหรือใช้จ่ายอย่างฉลาดตามจุดประสงค์ของการจำหน่ายทรัพย์สิน

มาตรา 1295 เงื่อนไขที่จำเป็นในกฎหมายมาตรา 1291 1294 ซึ่งธรรมนูญของนิติบุคคลต้องสอดคล้องด้วยต้องถือตามไม่เฉพาะแต่ในการจำหน่ายทรัพย์สินเท่านั้นแต่ยังต้องถือตามในธุรกิจใดๆ อีกด้วยเพื่อมิให้สภาพกองมรดกของนิติบุคคลเสื่อมทรามลง

มาตรา 1296 ทุกครั้งที่ทรัพย์สินของพระศาสนจักรถูกจำหน่ายออกไปโดยขาดรูปแบบที่จำเป็นตามกฎหมายพระศาสนจักรแต่การจำหน่ายนั้นมีผลตามกฎหมายบ้านเมือง ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเมื่อได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ต้องตัดสินว่า ต้องดำเนินคดีความหรือไม่ และเป็นคดีชนิดไหน กล่าวคือชนิดเกี่ยวกับบุคคล หรือเกี่ยวกับทรัพย์สินใครเป็นผู้ฟ้อง และฟ้องใคร เพื่อทวงสิทธิของพระศาสนจักร

มาตรา 1297 โดยคำนึงสภาพแวดล้อมของท้องที่ สภาพระสังฆราชมีหน้าที่กำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการให้เช่าทรัพย์สินของพระศาสนจักร เป็นต้นเกี่ยวกับการอนุญาตที่ต้องได้รับจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร

มาตรา 1298 เว้นแต่เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเพียงเล็กน้อย ทรัพย์สินของพระศาสนจักรต้องไม่ขายหรือให้เช่าแก่ผู้บริหารทรัพย์สินเองหรือแก่ญาติสายโลหิต หรือญาติเกี่ยวดองจนถึงชั้นที่สี่ของเขาโดยมิได้รับอนุญาติพิเศษจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ เป็นลายลักษณ์อักษร

 

ลักษณะ 4 พินัยกรรมศรัทธาโดยทั่วไปและกองทุนมูลนิธิศรัทธา

มาตรา 1299 วรรค 1 บุคคลซึ่งตามกฎหมายธรรมชาติ และกฎหมายพระศาสนจักรสามารถจัดการทรัพย์สินของตนได้อย่างอิสระสามารถอุทิศทรัพย์นั้นเพื่อการกุศล โดยทำพินัยกรรมซึ่งมีผลขณะยังมีชีวิตอยู่ หรือเมื่อสิ้นชีพแล้ว

วรรค 2 พินัยกรรมซึ่งมีผลเมื่อสิ้นชีพแล้วเพื่อยกทรัพย์สินให้พระศาสนจักร ถ้าทำได้ต้องทำตามรูปแบบของกฎหมายบ้านเมืองถ้ามิได้ทำต้องเตือนผู้รับมรดกถึงพันธะที่ผูกมัดเขาให้ปฏิบัติตามเจตนาของผู้ทำพินัยกรรม

มาตรา 1300 เจตนาของสัตบุรุษที่อุทิศหรือสละทรัพย์สินเพื่อการกุศลโดยพินัยกรรมซึ่งมีผลขณะยังมีชีวิตอยู่ หรือเมื่อสิ้นชีพแล้วเมื่อเจตนานั้นได้รับการยอมรับอย่างถูกต้องแล้วต้องปฏิบัติตามอย่างขะมักเขม้น แม้ในเรื่องวิธีการบริหารและการจำหน่ายทรัพย์สินด้วย โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1301 วรรค 3

มาตรา 1301 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ เป็นผู้ปฏิบัติตามพินัยกรรมศรัทธาทุกฉบับ ทั้งที่มีผลขณะยังมีชีวิตอยู่ หรือเมื่อสิ้นชีพแล้ว

วรรค 2 โดยสิทธินี้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถ และต้องดูแลแม้โดยวิธีการไปเยี่ยมด้วย ให้มีการปฏิบัติอย่างครบถ้วนตามพินัยกรรมศรัทธาและบรรดาผู้ปฏิบัติอื่นๆ เมื่อได้ทำหน้าที่เสร็จแล้ว ต้องรายงานให้ท่านทราบ

วรรค 3 เงื่อนไขที่เพิ่มต่อท้ายพินัยกรรม ซึ่งขัดกับสิทธิข้อนี้ของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ ให้ถือประหนึ่งว่าไม่มี

มาตรา 1302 วรรค 1 บุคคลซึ่งได้รับหน้าที่ดูแลทรัพย์สินเพื่อการกุศลไม่ว่าโดยนิติกรรม ซึ่งมีผลขณะมีชีวิตอยู่หรือโดยพินัยกรรมต้องแจ้งให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจทราบเกี่ยวกับภาระนี้และต้องแสดงทรัพย์สินทุกอย่าง ทั้งสังหาริมทรัพย์ หรือ อสังหาริมทรัพย์พร้อมกับพันธะติดพันด้วย ถ้าหากผู้บริจาคห้ามเรื่องนี้อย่างชัดแจ้งและเด็ดขาด ก็ต้องไม่ยอมรับหน้าที่นี้

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจต้องเรียกร้องให้ทรัพย์สินที่รับไว้ในความดูแล เก็บรักษาไว้อย่างปลอดภัยเช่นเดียวกัน ท่านต้องดูแลให้ปฏิบัติตามพินัยกรรมศรัทธาตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1301

วรรค 3 เมื่อทรัพย์สินที่มอบไว้ในความดูแลแก่สมาชิกคนหนึ่งของสถาบันนักบวชหรือของคณะชีวิตแพร่ธรรม โดยมีจุดประสงค์มอบให้แก่สถานที่หนึ่งโดยเฉพาะกล่าวคือสังฆมณฑล หรือแก่ผู้อาศัยในสังฆมณฑล หรือเพื่อการกุศลผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจที่ระบุไว้ในวรรค 1 และ 2 ได้แก่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจท้องถิ่น มิฉะนั้น ถ้าผู้ได้รับมอบให้ดูแลเป็นสมาชิกในสถาบันสมณะสิทธิสันตะสำนัก ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ คือท่านอธิการใหญ่หรือถ้าเป็นสมาชิกในสถาบันนักบวช ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ คือผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเฉพาะของสมาชิกนั้นเอง

มาตรา 1303 วรรค 1 กองทุนมูลนิธิศรัทธา ในกฎหมายได้แก่

1.       กองทุนมูลนิธิศรัทธาอิสระ กล่าวคือทรัพย์สินทุกชนิดที่รวมเป็นกองทุนเพื่อจุดประสงค์ที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา114 วรรค 2 และตั้งขึ้นเป็นนิติบุคคล โดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจฝ่ายพระศาสนจักร

2.       กองทุนมูลนิธิศรัทธาไม่อิสระ กล่าวคือทรัพย์สินฝ่ายโลกที่ให้แก่นิติบุคคลสาธารณะบางแห่ง ไม่ว่าด้วยวิธีใดๆพร้อมกับภาระเป็นระยะเวลานานซึ่งกำหนดโดยกฎหมายเฉพาะที่จะต้องถวายบูชามิสซา จากรายได้ประจำปีและกระทำหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักรตามที่กำหนดไว้ หรือมิฉะนั้นเพื่อจุดประสงค์ตามที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 114 วรรค 2

วรรค 2 ทรัพย์สินของกองทุนมูลนิธิศรัทธาที่ไม่อิสระถ้ามอบให้แก่นิติบุคคลที่ขึ้นกับพระสังฆราชสังฆมณฑล เมื่อสิ้นสุดเวลาแล้วทรัพย์สินนั้นต้องมอบให้แก่สถาบันที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1274 วรรค 1 เว้นแต่ผู้บริจาคแสดงเจตนาอย่างชัดแจ้งเป็นอย่างอื่น มิฉะนั้นทรัพย์สินนั้นตกเป็นของนิติบุคคลนั้นเอง

มาตรา 1304 วรรค 1 เพื่อให้นิติบุคคลสามารถรับกองทุนได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายจำเป็นต้องมีอนุญาตของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเป็นลายลักษณ์อักษรผู้ใหญ่ดังกล่าวต้องไม่ให้อนุญาตก่อนที่จะเห็นโดยชอบด้วยกฎหมายว่านิติบุคคลนั้นสามารถปฏิบัติทั้งพันธะใหม่ที่จะรับ และพันธะเก่าที่รับมาแล้วยิ่งกว่านั้นต้องระวังเป็นพิเศษให้รายได้ตอบสนองอย่างเพียงพอทีเดียวต่อพันธะที่ติดมาตามประเพณีของท้องที่ หรือของแขวงแต่ละแห่ง

วรรค 2 เงื่อนไขอื่นที่เกี่ยวกับธรรมนูญ และการรับกองทุนต้องกำหนด โดยกฎหมายเฉพาะ

มาตรา 1305 เงิน และสังหาริมทรัพย์ที่กำหนดเป็นสินสอดจะต้องเก็บทันทีในที่ปลอดภัยซึ่งรับรองโดยผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจโดยมีจุดประสงค์เพื่อให้เงินหรือค่าของสังหาริมทรัพย์ได้รับการปกปักรักษาอย่างปลอดภัย ทรัพย์สินนี้โดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ต้องนำไปลงทุนอย่างระมัดระวัง และอย่างประโยชน์เพื่อผลประโยชน์ของกองทุนตามที่ระบุไว้อย่างชัดแจ้ง และเฉพาะถึงภาระที่ติดมากับกองทุนการลงทุนนี้ต้องทำตามการวินิจฉัยที่รอบคอบของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคนเดียวกันซึ่งได้ปรึกษาผู้มีส่วนได้เสีย และคณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของท่าน

มาตรา 1306 วรรค 1 กองทุน แม้ตั้งขึ้นโดยปากเปล่า ต้องบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร

วรรค 2 สำเนาเอกสารกองทุนฉบับหนึ่งต้องเก็บไว้อย่างปลอดภัยในตู้เอกสารของสำนักสังฆมณฑลและอีกฉบับหนึ่งเก็บไว้ในตู้เอกสารของนิติบุคคล ซึ่งเกี่ยวข้องกับกองทุน

มาตรา 1307 วรรค 1 โดยถือตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1300-1302 และ 1287 ต้องทำบัญชีภาระที่เกิดขึ้นจากกองทุนมูลนิธิศรัทธาซึ่งต้องติดตั้งไว้ในที่เปิดเผย เพื่อมิให้หลงลืมภาระที่ต้องปฏิบัติ

วรรค 2 นอกจากหนังสือที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 958 วรรค 1 แล้วต้องมีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง และเก็บไว้ที่บ้านของเจ้าวัด หรืออธิการโบสถ์ซึ่งในหนังสือเล่มนี้ ต้องบันทึกภาระแต่ละเรื่อง ภาระที่ได้ปฏิบัติไปแล้วและเงินทานที่ได้รับ

มาตรา 1308 วรรค 1 การปรับลดภาระมิสซาต้องทำเฉพาะเมื่อมีเหตุชอบธรรม และจำเป็นเท่านั้นการปรับลดนี้สงวนไว้แก่สันตะสำนัก โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนด ดังต่อไปนี้

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถปรับลดภาระมิสซาลงได้ เพราะรายได้ลดลง ถ้าในเอกสารกองทุนได้คาดการเรื่องนี้ไว้ก่อนแล้วอย่างแจ้งชัด

วรรค 3 เมื่อรายได้ลดลง พระสังฆราชสังฆมณฑลมีอำนาจปรับลดจำนวนมิสซาจากกองมรดกหรือจากกองทุนทุกชนิดที่เป็นกองทุนอิสระเพื่อให้เหมาะสมกับระดับค่ามิสซาปัจจุบัน ที่ได้กำหนดอย่างถูกต้องตามกฎหมายในสังฆมณฑลตลอดระยะเวลาที่เหตุการณ์ที่จำต้องปรับนั้นยังคงอยู่ขอแต่ว่าไม่มีใครที่ต้องมีภาระและถูกบีบบังคับอย่างได้ผลให้ต้องเพิ่มเงินถวายมิสซา

วรรค 4 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคนเดียวกัน มีอำนาจปรับลดภาระ หรือมรดกมิสซาซึ่งผูกมัดสถาบันฝ่ายพระศาสนจักรถ้ารายได้ลดลงจนไม่เพียงพอที่จะดำเนินการตามจุดประสงค์เฉพาะของสถาบันนั้นอย่างเหมาะสม

วรรค 5 ผู้บริหารสูงสุดของสถาบันนักบวช สมณะ สิทธิสันตะสำนัก มีอำนาจเดียวกัน ดังที่ระบุไว้ในวรรค 3 และ 4

มาตรา 1309 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจคนเดียวกัน ที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1308มีอำนาจด้วยที่จะย้ายเมื่อมีเหตุผลอันเหมาะสม พันธะมิสซาไปยังวัดหรือพระแท่นอื่นที่แตกต่างจากที่กำหนดไว้ในกองทุน

มาตรา 1310 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถปรับลด ปรับให้พอควรหรือปรับเปลี่ยนพินัยกรรมเพื่อการกุศลของสัตบุรุษได้เฉพาะเมื่อมีเหตุผลชอบธรรมและจำเป็นเท่านั้น ขอแต่ว่าผู้ตั้งกองทุนให้อำนาจนั้นแก่เขาอย่างชัดแจ้ง

วรรค 2 ถ้าการปฏิบัติตามพันธะ เป็นไปไม่ได้ เพราะรายได้ลดลงหรือเพราะสาเหตุอื่นบางประการ โดยมิใช่ความผิดของผู้บริหารผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถลดพันธะนั้นลงได้อย่างเที่ยงธรรมหลังจากได้ปรึกษากับผู้มีส่วนได้เสีย และคณะที่ปรึกษาฝ่ายเศรษฐกิจของตนแล้วทั้งนี้ โดยพยายามทำตามเจตนาของผู้ตั้งกองทุนให้ดีเท่าที่จะทำได้ยกเว้นการปรับลดมิสซา ซึ่งควบคุมโดยข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1308

วรรค 3 ในกรณีอื่นๆ ต้องเสนอเรื่องต่อสันตะสำนัก

 

 

 

บรรพ 6 การลงโทษในพระศาสนจักร

 

ส่วนที่ 1 ความผิด และการลงโทษโดยทั่วไป

ลักษณะที่ 1 การลงโทษต่อความผิดโดยทั่วไป

มาตรา 1311 พระศาสนจักรมีสิทธิโดยกำเนิด และของตัวเองที่จะบังคับสัตบุรุษ ผู้กระทำความผิด ให้ถือกฎหมายด้วยการลงโทษ

มาตรา 1312 วรรค 1 การบังคับให้ถือกฎหมายด้วยการลงโทษในพระศาสนจักร ได้แก่

1.       การลงโทษเยียวยา หรือการลงโทษทางวินัย ซึ่งระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 13311333

2.       การลงโทษชดเชยความผิด ซึ่งกล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1336

วรรค 2 กฎหมายสามารถกำหนดการลงโทษชดเชยความผิดอื่นๆ ซึ่งทำให้คริสตชนขาดประโยชน์ด้านจิตใจหรือทางโลกบางประการและการกระทำเช่นนี้สอดคล้องกับจุดประสงค์เหนือธรรมชาติของพระศาสนจักร

วรรค 3 นอกจากนี้ มีการนำการเยียวยาด้วยการลงโทษ และการใช้โทษมาใช้ วิธีแรกเพื่อป้องกันความผิด วิธีหลัง ค่อนข้างไปทางทดแทนหรือเพิ่มการลงโทษ

 

ลักษณะที่ 2 กฎหมายอาญา และบัญญัติอาญา

มาตรา 1313 วรรค 1 ถ้ากฎหมายถูกเปลี่ยนหลังจากมีการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายที่เป็นคุณมากกว่าแก่ผู้กระทำความผิด

วรรค 2 ถ้ากฎหมายซึ่งมาทีหลัง ยกเลิกกฎหมายที่มีอยู่ก่อน หรืออย่างน้อยยกเลิกโทษ การลงโทษนั้นยุติทันที

มาตรา 1314 การลงโทษส่วนใหญ่ เป็นแบบต้องโทษโดยมีคำพิพากษา กล่าวคือผู้กระทำความผิดไม่ต้องโทษจนกว่าจะมีคำสั่งลงทัณฑ์ส่วนการลงโทษโดยไม่ต้องมีคำพิพากษาผู้กระทำความผิดต้องโทษโดยอัตโนมัติเมื่อกระทำความผิดหากกฎหมายหรือบัญญัติกำหนดไว้เช่นนั้นอย่างชัดเจน

มาตรา 1315 วรรค 1 บุคคลผู้มีอำนาจนิติบัญญัติสามารถออกกฎหมายอาญาได้ด้วย อย่างไรก็ดีเขาสามารถออกกฎหมายภายในขอบเขตอำนาจของตนในด้านพื้นที่ หรือด้านบุคคลเพื่อส่งเสริมกฎหมายพระเจ้า หรือกฎหมายพระศาสนจักรซึ่งออกโดยอำนาจที่เหนือกว่าให้เข้มแข็งขึ้น โดยการกำหนดโทษที่เหมาะสม

วรรค 2 กฎหมายเองสามารถกำหนดการลงโทษ หรือปล่อยให้ตุลาการกำหนดการลงโทษด้วยดุลยพินิจอัน รอบคอบของตนเองได้

วรรค 3 กฎหมายเฉพาะ สามารถเพิ่มการลงโทษอื่นๆเข้ากับการลงโทษที่กฎหมายสากลกำหนดไว้ได้ด้วยในความผิดบางประการกระนั้นก็ดี ไม่ต้องทำเช่นนั้น เว้นแต่จะมีความจำเป็นอย่างหนักที่สุดถ้ากฎหมายสากลคาดโทษแบบไม่กำหนดแน่นอน หรือแบบตามดุลยพินิจกฎหมายเฉพาะสามารถกำหนดโทษที่แน่นอน หรือที่บังคับเข้าแทนได้ด้วย

มาตรา 1316 บรรดาพระสังฆราชสังฆมณฑลพึงเอาใจใส่เท่าที่ทำได้ถ้าต้องออกกฎหมายอาญาก็ให้กฎหมายนั้นเป็นรูปแบบเดียวกันสำหรับเมืองหรือภาคเดียวกัน

มาตรา 1317 ให้กำหนดโทษเท่าที่จำเป็นจริงๆเพื่อรักษาระเบียบวินัยของพระศาสนจักรไว้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามกฎหมายเฉพาะ ไม่สามารถกำหนดโทษขับบุคคลออกจากสถานภาพสมณะ

มาตรา 1318 ผู้ตรากฎหมาย ต้องไม่คาดโทษแบบไม่ต้องมีคำพิพากษาเว้นแต่ความผิดบางอย่างที่เลวร้ายอย่างไม่มีที่เปรียบซึ่งสามารถเป็นที่สะดุดค่อนข้างหนักหรือไม่สามารถลงโทษได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

ลักษณะที่ 3 บุคคลผู้ที่อยู่ใต้บทลงโทษทางอาญา

มาตรา 1321 วรรค 1 ไม่มีใครต้องโทษเว้นแต่บุคคลผู้นั้นทำการละเมิดภายนอกต่อกฎหมาย หรือต่อบัญญัติโดยที่การละเมิดนั้นถือเอาเป็นความผิดหนักได้เพราะเจตนาชั่วหรือเพราะมีความผิด

วรรค 2 บุคคลซึ่งละเมิดกฎหมายหรือบัญญัติโดยเจตนาต้องโทษตามที่กฎหมายหรือบัญญัตินั้นกำหนดไว้ส่วนบุคคลซึ่งละเมิดกฎหมายหรือบัญญัติ เพราะละเลยความเอาใจใส่ที่พึงมีไม่ต้องโทษ เว้นแต่กฎหมายหรือบัญญัตินั้นกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 3 เมื่อมีการละเมิดภายนอก ให้สันนิษฐานว่ามีความผิด เว้นแต่จะปรากฏเป็นอย่างอื่น

มาตรา 1322 บุคคลที่ขาดสติสัมปะชัญ-ญะเป็นอาจิณแม้ละเมิดกฎหมายหรือบัญญัติ ขณะที่ดูเหมือนว่าเป็นคนปกติถือว่าเขาไม่สามารถกระทำความผิด

มาตรา 1323 บุคคลซึ่งไม่ต้องโทษใดๆ เมื่อละเมิดกฎหมายหรือบัญญัติ

1.       บุคคลผู้มีอายุไม่ครบ 16 ปีบริบูรณ์

2.       บุคคลผู้ที่ไม่ทราบโดยไม่มีความผิด ว่าตนละเมิดกฎหมายหรือบัญญัติ ส่วนความพลั้งเผลอ และความหลงผิด เทียบเท่ากับความไม่รู้

3.       บุคคลผู้กระทำเพราะถูกบังคับทางกาย หรือเพราะอุบัติเหตุ ซึ่งไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้ หรือแม้รู้ล่วงหน้าก็ไม่สามารถป้องกันได้

4.       บุคคลผู้กระทำ เพราะถูกบังคับด้วยความกลัวหนัก แม้ความกลัวหนักนั้นจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลเท่านั้น หรือเพราะความจำเป็นหรือเพราะความไม่สะดวกอย่างหนักเว้นแต่การกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ชั่วในตัวเองหรือมุ่งไปทางทำความเสียหายแก่วิญญาณ

5.       บุคคลผู้กระทำ เพื่อป้องกันโดยชอบ ต่อต้านผู้บุกรุกที่ไม่เป็นธรรมต่อตัวเอง หรือต่อผู้อื่น โดยการกระทำที่พอประมาณอันควร

6.       บุคคลที่ขาดสติสัมปะชัญญะ โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1324 วรรค 1 ข้อ 2 และ 1325

7.       บุคคลผู้ที่คิดโดยไม่มีความผิดว่ามีบางประการในกรณีต่างๆ ดังกล่าวในข้อ 4 และ 5 เกิดขึ้นจริง

มาตรา 1324 วรรค 1 ผู้ละเมิด ไม่พ้นการต้องโทษแต่โทษที่กฎหมายหรือบัญญัติกำหนด ต้องมีการลดหย่อนผ่อนปรนลงหรือทำกิจใช้โทษแทน ถ้าความผิดนั้นกระทำโดย

1.       บุคคลซึ่งมีเพียงสติสัมปะชัญญะที่ไม่สมบูรณ์เท่านั้น

2.       บุคคลซึ่งขาดสติสัมปะชัญญะเพราะความมึนเมา หรือเพราะความปั่นป่วนอื่นๆ ทางด้านสติปัญญาที่คล้ายคลึงกัน ซึ่งเอาเป็นความผิดได้

3.       บุคคลซึ่งกระทำเพราะความรุ่มร้อนของตัณหา ซึ่งกระนั้นก็ดีไม่ได้เกิดขึ้นก่อนและไม่ขัดขวางการยับยั้งชั่งใจและความยินยอมของจิตใจทั้งหมดเลยทีเดียว ขอแต่อย่าจงใจปลุกเร้าหรือส่งเสริมตัณหานั้นเอง

4.       ผู้เยาว์ที่มีอายุครบ 16 ปีบริบูรณ์

5.       บุคคลที่ถูกบีบบังคับด้วยความกลัวหนักแม้ความกลัวนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับบุคคลเท่านั้น หรือเพราะความจำเป็นหรือความไม่สะดวกอย่างหนัก ถ้าการกระทำนั้นชั่วร้ายในตัวมันเองหรือมุ่งไปทางทำความเสียหายแก่วิญญาณ

6.       บุคคลซึ่งกระทำเพื่อป้องกันโดยชอบต่อต้านผู้รุกรานที่ไม่เป็นธรรมต่อตัวเอง หรือต่อผู้อื่น แต่ว่าไม่รักษาความพอประมาณอันควร

7.       บุคคลที่กระทำต่ออีกบุคคลหนึ่ง ที่ยั่วยุอย่างรุนแรงและไม่ยุติธรรม

8.       บุคคลซึ่งคิดผิด แต่ยังมีความผิดอยู่ ว่ามีบางประการในกรณีต่างๆ ที่กล่าวถึงในกฎหมายมาตรา 1323 ข้อ 4 และ 5 เกิดขึ้นจริง

9.       บุคคลซึ่งไม่รู้โดยไม่มีความผิดว่า มีโทษติดอยู่กับกฎหมาย หรือบัญญัตินั้น

10.   บุคคลซึ่งกระทำโดยเอาผิดได้แต่ไม่เต็มที่ ขอแต่ว่า ความผิดนั้นยังคงเป็นเรื่องหนักอยู่

วรรค 2 ตุลาการสามารถทำเช่นเดียวกัน ถ้ามีกรณีแวดล้อมบางอย่าง ซึ่งลดความผิดให้หนักน้อยลง

วรรค 3 ในกรณีแวดล้อมที่กล่าวในวรรค 1 ผู้กระทำผิดไม่ต้องโทษแบบไม่ต้องมีคำพิพากษา

มาตรา 1325 ความไม่รู้เพราะไม่ขวน ขวาย หรือเพราะเกียจคร้านหรือเพราะไม่อยากรู้ ไม่สามารถนำมาพิจารณาใช้กับข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1323 และ 1324 เช่นเดียวกัน ความมึนเมา หรือความปั่นป่วนอื่นๆทางด้านสติปัญญา ถ้าจงใจทำให้มีขึ้นเพื่อทำความผิด หรือเพื่อเป็นข้อแก้ตัว และตัณหาที่จงใจปลุกเร้า หรือส่งเสริมให้มีขึ้น ก็ไม่นำมาพิจารณาเช่นกัน

มาตรา 1326 วรรค 1 ตุลาการสามารถลงโทษหนักกว่าที่กฎหมาย หรือบัญญัติกำหนด แก่

1.       บุคคลที่หลังการตัดสินลงโทษ หรือการประกาศโทษแล้ว ยังคงทำผิดต่อไปในลักษณะที่ว่า ความดื้อดึงในเจตนาชั่วของเขาสามารถสรุปได้อย่างรอบคอบจากกรณีแวดล้อมต่างๆ

2.       บุคคลซึ่งได้รับการแต่งตั้งในตำแหน่งที่มีเกียรติ หรือบุคคลซึ่งใช้อำนาจ หรือหน้าที่ในทางที่ผิด เพื่อกระทำความผิด

3.       ผู้ต้องหาซึ่งแม้เมื่อมีการกำหนดโทษสำหรับการกระทำที่มีความผิดแล้วทั้งๆ ที่ได้มองเห็นล่วงหน้าว่าอะไรจะเกิดขึ้น กระนั้นก็ดียังไม่ใช้ความระมัดระวัง ที่ผู้เอาใจใส่ทุกคนควรใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการกระทำความผิด

วรรค 4 ในกรณีที่กล่าวถึงในวรรค 1 ถ้าโทษที่กำหนดนั้น เป็นโทษแบบไม่ต้องมีคำพิพากษา ก็สามารถเพิ่มโทษ หรือกิจใช้โทษอื่นๆ ได้

มาตรา 1327 กฎหมายเฉพาะสามารถกำหนดเงื่อนไขแวดล้อม ซึ่งยกเว้น ลดหย่อนหรือเพิ่มโทษให้หนักขึ้น นอกเหนือไปจากกรณีที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 13231326 นั้นได้ ด้วยกฎเกณฑ์ทั่วไป หรือสำหรับความผิดแต่ละอย่างเช่นเดียวกัน ในบัญญัติสามารถตั้งเงื่อนไขแวดล้อมที่ยกเว้น บรรเทาหรือเพิ่มโทษ ซึ่งมีกำหนดไว้ในบัญญัติ

มาตรา 1328 วรรค 1 บุคคลซึ่งทำการหรือละเว้นทำการ เพื่อกระทำความผิดแต่ทำความผิดไม่สำเร็จตามที่ได้ตั้งใจไว้ไม่ต้องโทษซึ่งมีกำหนดไว้สำหรับความผิดที่ทำสำเร็จ เว้นแต่กฎหมายหรือบัญญัติกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ถ้าการกระทำ หรือการละเว้นกระทำ โดยธรรมชาติของมันเองนำไปสู่การกระทำความผิด ผู้เป็นต้นเหตุสามารถถูกบังคับทำกิจใช้โทษหรือต้องโทษเยียวยา เว้นแต่เขาเองจะได้ยุติการกระทำความผิดที่ได้เริ่มแล้วนั้น กระนั้นก็ดี ถ้ามีการเป็นที่สะดุดหรือความเสียหายหนัก หรืออันตรายอื่นเกิดขึ้น ผู้เป็นต้นเหตุแม้จะได้ยุติการกระทำเอง สามารถต้องโทษที่เหมาะสม แต่กระนั้นก็ดียังเป็นโทษที่เบากว่าโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่ทำสำเร็จ

มาตรา 1329 วรรค 1 บุคคลผู้ร่วมคิดกระทำความผิดและกฎหมายหรือคำสั่งไม่ได้ระบุผู้สมรู้ร่วมคิดไว้อย่างชัดเจนถ้าโทษที่กำหนดไว้สำหรับตัวการสำคัญ เป็นโทษชนิดที่ต้องมีการพิจารณาตัดสินผู้สมรู้ร่วมคิดต้องโทษเดียวกันกับตัวการสำคัญ รวมทั้งต้องโทษอื่นๆ ที่มีความหนักหรือเบาเท่ากันด้วย

วรรค 2 ในกรณีที่กฎหมายหรือคำสั่ง ไม่ได้ระบุผู้สมรู้ร่วมคิดถ้าปราศจากการร่วมกระทำของพวกเขา ความผิดนั้นจะไม่เกิดขึ้นผู้สมรู้ร่วมคิดต้องโทษ แม้เป็นโทษชนิดที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสินแต่โทษที่รับนั้นเป็นโทษที่มีลักษณะที่มีผลถึงเขาด้วย มิฉะนั้นผู้สมรู้ร่วมคิดสามารถถูกลงโทษ โดยโทษชนิดที่ต้องมีการพิจารณา ตัดสิน

มาตรา 1330 ความผิดซึ่งเกิดจากการประกาศการแสดงออกของเจตนาคำสอนหรือวิชาการ ถือว่ายังไม่เป็นความผิดสมบูรณ์ ถ้ายังไม่มีใครทราบการประกาศหรือการแสดงออกนั้น

 

 

 

ลักษณะที่ 4 โทษ และการลงทัณฑ์อื่นๆ

บทที่ 1 โทษทางวินัย

มาตรา 1331 วรรค 1 บุคคลที่ถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร ต้องห้าม

1.       มีส่วนใดๆ ด้านศาสนบริการในการถวายบูชามิสซา หรือในพิธีจารีตอื่นๆ ของคารวกิจสาธารณะ

2.       ประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งคล้ายศีล และรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ

3.       ปฏิบัติงาน หรือศาสนบริการ หรือตำแหน่งหน้าที่ใดๆ ฝ่ายพระศาสนจักร หรือปฏิบัติกิจการปกครอง

วรรค 2 ถ้าโทษการถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร มีคำสั่งลงโทษ หรือประกาศแล้ว ผู้ผิด

1.       ถ้าเขาประสงค์ทำขัดข้อกำหนดในวรรค 1 ข้อ 1 ต้องถูกห้าม หรือต้องหยุดกิจการทางจารีตพิธีกรรม เว้นแต่จะมีเหตุผลหนักเป็นอุปสรรค

2.       ปฏิบัติกิจการปกครองเป็นโมฆะ ซึ่งกิจกรรมนั้นตามข้อกำหนดในวรรค 1 ข้อ 3 เป็นเพียงไม่ชอบด้วยอนุญาตเท่านั้น

3.       ถูกห้ามรับผลประโยชน์จากเอกสิทธิ์ ซึ่งแต่ก่อนได้รับ

4.       ไม่สามารถได้รับเกียรติการงานหรือตำแหน่งหน้าที่อื่นใดในพระศาสนจักร อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

5.       ไม่สามารถรับผลประโยชน์จากเกียรติ การงาน ตำแหน่งหน้าที่ใดๆ หรือเงินสวัสดิการที่พระศาสนจักรให้

มาตรา 1332 ผู้ถูกโทษต้องห้าม ต้องข้อห้ามที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1331 วรรค 1 ข้อ 1 และ 2; ถ้าโทษต้องห้ามมีคำสั่งลงโทษ หรือประกาศแล้วข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1331 วรรค 2 ข้อ 1 ต้องปฏิบัติตาม

มาตรา 1333 วรรค 1 โทษถูกแขวน ซึ่งมีผลกระทบต่อสมณะเท่านั้น ห้าม

1.       การปฏิบัติศาสนกิจทั้งหมด หรือบางอย่างที่มาจากอำนาจศีลบวช

2.       การปฏิบัติศาสนกิจทั้งหมด หรือบางอย่างที่มาจากอำนาจการปกครอง

3.       การใช้สิทธิ์ หรือปฏิบัติหน้าที่ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางอย่าง ที่ติดกับตำแหน่งหน้าที่

วรรค 2 สามารถมีกำหนดไว้ในกฎหมาย หรือคำสั่งได้ว่าสมณะซึ่งต้องโทษถูกแขวนหลังจากมีคำพิพากษาให้ต้องโทษโทษ หรือประกาศต้องโทษแล้ว ไม่สามารถปฏิบัติกิจของอำนาจการปกครองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย

วรรค 3 การห้ามไม่กระทบเลยต่อ:

1.       ตำแหน่งหน้าที่ หรืออำนาจการปกครอง ซึ่งไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใหญ่ที่กำหนดโทษ

2.       สิทธิการอยู่อาศัย ซึ่งผู้ผิดมี โดยตำแหน่งหน้าที่

3.       สิทธิบริหารทรัพย์สินซึ่งอาจเป็นของตำแหน่งหน้าที่ของสมณะเองที่ต้องโทษถูกแขวนถ้าโทษนั้นเป็นโทษชนิดที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสิน

วรรค 4 โทษถูกแขวน ซึ่งห้ามรับผลประโยชน์ เงินมิสซา เงินสวัสดิการหรืออะไรอื่นๆ ทำนองเดียวกัน มีข้อผูกมัดในตัวมันเองให้ต้องใช้คืนทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้รับไปแล้ว โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายแม้ว่าจะได้รับไปโดยสุจริตใจ

มาตรา 1334 วรรค 1 ภายในขอบเขตที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตราก่อนขอบข่ายของโทษถูกแขวน ถูกกำหนด ทั้งโดยกฎหมายเอง หรือโดยคำสั่งทั้งโดยคำพิพากษาหรือโดยกฤษฎีกา ซึ่งมีคำสั่ง ลงทัณฑ์

วรรค 2 กฎหมาย แต่มิใช่คำสั่ง สามารถกำหนดโทษถูกแขวนชนิดที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสิน โดยไม่มีการกำหนดหรือการจำกัดอะไรเพิ่มเติมอีกอันที่จริงโทษชนิดนี้มีผลทุกอย่างที่ถูกกล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1333 วรรค 1

มาตรา 1335 ถ้าโทษทางวินัยห้ามประกอบศีลศักดิ์สิทธิ์ หรือสิ่งคล้ายศีลหรือห้ามทำกิจการปกครอง การห้ามนั้นถูกระงับไว้ทุกครั้งที่เห็นว่าจำเป็นเพื่อช่วยเหลือสัตบุรุษที่อยู่ในอันตรายใกล้ตายถ้าเป็นโทษทางวินัยชนิดที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสิน ยังไม่ถูกประกาศการห้ามก็ถูกระงับไว้ด้วยทุกครั้งที่สัตบุรุษขอรับศีลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งคล้ายศีลหรือกิจของอำนาจการปกครองการขอนั้นทำได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลอันชอบใดๆ

 

บทที่ 2 โทษชดเชย

มาตรา 1336 วรรค 1 โทษชดเชย ซึ่งสามารถลงโทษผู้ผิดไม่ว่าโดยตลอดไปหรือโดยกำหนดเวลา หรือโดยไม่กำหนดเวลา นอกจากโทษอื่นๆ ซึ่งกฎหมายอาจได้กำหนดไว้แล้ว โทษดังกล่าวมีดังต่อไปนี้

1.       การห้าม หรือคำสั่งให้พำนักอยู่ในสถานที่ หรือในเขตพื้นที่บางแห่ง

2.       การสูญเสียอำนาจ การงาน ตำแหน่งหน้าที่ สิทธิเอกสิทธิ์ อำนาจปฏิบัติความดีความชอบ ยศ หรือเครื่องหมายยศ แม้เป็นเครื่องหมายให้เกียรติเท่านั้น

3.       การห้ามปฏิบัติสิ่งทั้งหลายที่กล่าวไว้ในข้อ 2 หรือการห้ามปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นในสถานที่บางแห่ง หรือนอกสถานที่บางแห่งซึ่งการห้ามนั้นไม่เคยมีโทษกำกับไว้ว่า การปฏิบัตินั้นเป็นโมฆะ

4.       การลงโทษโยกย้ายไปทำงานแห่งอื่น

5.       การถอดจากสถานภาพสมณะ

วรรค 2 โทษชดเชย สามารถเป็นโทษชนิดที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสินได้ เฉพาะโทษที่มีกล่าวไว้ในวรรค 1 ข้อ 3

มาตรา 1337 วรรค 1 การห้ามพำนักอยู่ในสถานที่บางแห่งหรือในพื้นที่บางเขตสามารถใช้บังคับทั้งสมณะ และนักพรตส่วนคำสั่งให้พำนักอยู่ในสถานที่บางแห่งหรือพื้นที่บางเขตสามารถใช้บังคับสมณะสังกัดสังฆมณฑล และนักพรตภายในขอบเขตของธรรมนูญของเขา

วรรค 2 เพื่อออกคำสั่งให้พำนักในสถานที่บางแห่งหรือพื้นที่บางเขตต้องได้รับการเห็นชอบของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของสถานที่นั้นเว้นแต่เป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านที่ตั้งขึ้นสำหรับใช้โทษบาปหรือเพื่อปรับเปลี่ยนความประพฤติ ของสมณะนอกสังฆ-มณฑลด้วย

มาตรา 1338 วรรค 1 การสูญเสีย หรือการห้ามที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1336 วรรค 1 ข้อ 2 และ 3 ไม่กระทบเลยต่ออำนาจ การงาน ตำแหน่งหน้าที่ สิทธิเอกสิทธิ์ อำนาจปฏิบัติ ความดีความชอบยศเครื่องหมายยศซึ่งไม่อยู่ใต้อำนาจของผู้ใหญ่ที่กำหนดโทษ

วรรค 2 การลงโทษให้สูญเสียอำนาจศีลบวช ทำไม่ได้แต่ทำได้เพียงการห้ามใช้อำนาจนั้น หรือห้ามทำกิจบางอย่างของอำนาจนั้นเช่นเดียวกัน ไม่สามารถลงโทษให้สูญเสียวุฒิการศึกษาได้

วรรค 3 การห้าม ที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1336 วรรค 1 ข้อ 3 ต้องควบคุมโดยกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1335 ที่ว่าด้วยโทษทางวินัย

 

บทที่ 3 โทษเยียวยา และการใช้โทษบาป

มาตรา 1339 วรรค 1 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ โดยท่านเองหรือโดยบุคคลอื่นสามารถเตือนบุคคลที่อยู่ในอันตรายที่จะทำบาปหรือบุคคลที่หลังจากได้สืบสวนแล้ว มีความสงสัยหนักว่าได้ทำผิด

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ สามารถตำหนิบุคคลซึ่งมีพฤติกรรมเป็นที่ สะดุดหรือสร้างความวุ่นวายหนักต่อระเบียบสังคมด้วยวิธีที่เหมาะกับสภาพเฉพาะของบุคคลและของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

วรรค 3 ต้องมีข้อพิสูจน์เสมอเกี่ยวกับการเตือน และการตำหนิอย่างน้อยอาศัยเอกสารบางประการซึ่งต้องเก็บไว้ในตู้เก็บเอกสารลับของสำนักงานสังฆมณฑล

มาตรา 1340 วรรค 1 การใช้โทษบาป ซึ่งสามารถใช้บังคับในขอบข่ายภายนอก คือ การกระทำกิจทางศาสนา หรือกิจศรัทธา หรือกิจเมตตา

วรรค 2 การใช้โทษสาธารณะจะใช้ลงโทษความผิดที่เป็นความลับไม่ได้เลย

วรรค 3 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ ตามวิจารณญาณอันรอบคอบของตน สามารถเพิ่มกิจใช้โทษบาปเข้ากับโทษเยียวยาการเตือน หรือการตำหนิ

 

ลักษณะ 5 การใช้การลงโทษ

มาตรา 1341 เมื่อเห็นว่า การเป็นที่สะดุด ไม่สามารถได้รับการแก้ไขความยุติธรรมไม่สามารถทำให้กลับสู่สภาพเดิมและผู้ผิดไม่สามารถปรับเปลี่ยนตนเองได้อย่างเพียงพอด้วยการเตือนฉันท์พี่น้อง ด้วยการตำหนิหรือด้วยวิธีการอื่นใดของความห่วงใยด้านอภิบาลแล้ว ให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจจัดกระบวนการพิจารณาทางศาลหรือทางการบริหารขึ้น เพื่อลงโทษหรือประกาศโทษ

มาตรา 1342 วรรค 1 ทุกครั้งที่มีเหตุผลอันชอบเป็นอุปสรรคการใช้กระบวนการทางศาล การลงโทษหรือประกาศโทษสามารถทำได้โดยการออกคำสั่งนอกขบวนการทางศาลส่วนการออกคำสั่งลงโทษเยียวยา และทำกิจใช้โทษ สามารถทำได้ในทุกกรณี

วรรค 2 โทษถาวรไม่สามารถนำไปใช้ หรือประกาศใช้โดยวิธีการออกคำสั่งและเช่นเดียวกัน โทษซึ่งกฎหมายหรือบัญญัติกำหนดขึ้นมาพร้อมทั้งห้ามนำไปใช้โดยการออกคำสั่ง

วรรค 3 สิ่งใดที่กล่าวไว้ในกฎหมายหรือในบัญญัติเกี่ยวกับผู้พิพากษาในเรื่องการลงโทษ หรือการประกาศโทษในการ ตัดสินคดีใช้ได้กับอธิการด้วย ซึ่งสั่งลงโทษ หรือประกาศโทษโดยคำสั่งนอกขบวนการทางศาล เว้นแต่แจ้งชัดว่าเป็นอย่างอื่นหรือเว้นแต่เป็นปัญหาของข้อกำหนดที่เกี่ยวกับขั้นตอนในการดำเนินคดีเท่านั้น

มาตรา 1343 ถ้ากฎหมายหรือบัญญัติให้อำนาจแก่ผู้พิพากษา ที่จะใช้การลงโทษหรือไม่ใช้ ผู้พิพากษาตามมโนธรรมและความรอบคอบของตนสามารถปรับเปลี่ยนการลงโทษให้อ่อนลงหรือกำหนดกิจใช้โทษแทนการลงโทษก็ได้

มาตรา 1344 แม้กฎหมายจะใช้คำพูดในลักษณะเป็นคำสั่ง ผู้พิพากษาตามมโน-ธรรมและความรอบคอบของตน สามารถ :

1.       เลื่อนการลงโทษไปในเวลาที่เหมาะสมกว่า ถ้าเห็นล่วงหน้าว่า การรีบด่วนลงโทษผู้ผิด จะทำให้เกิดความชั่วร้ายแรงมากขึ้น

2.       งดเว้นการลงโทษ หรือลงโทษที่เบากว่า หรือให้กิจใช้โทษแทนถ้าผู้ผิดได้สำนึกผิด และได้ชดเชยการเป็นที่สะดุดหรือถ้าผู้ผิดได้รับการลงโทษ หรือมองเห็นล่วงหน้าว่าจะได้รับการลงโทษอย่างเพียงพอจากอำนาจทางบ้านเมือง

3.       อาจพักพันธะการปฏิบัติตามโทษชดเชย ถ้าผู้ผิดทำผิดครั้งแรกหลังจากได้ดำเนินชีวิตที่น่าสรรเสริญมาแล้วและไม่มีความจำเป็นต้องเร่งรัดให้ชดเชยการเป็นที่สะดุด กระนั้นก็ดีถ้าผู้ผิดทำผิดอีก ภายในเวลาที่ผู้พิพากษากำหนดไว้เขาจะต้องรับโทษทั้งสองกระทง เว้นแต่ ระหว่างการรอลงอาญาอายุความของความผิดครั้งแรกได้สิ้นสุดลงแล้ว

 

มาตรา 1345 เมื่อใดก็ตาม ผู้กระทำผิดเพียงใช้สติปัญญาอย่างไม่สมบูรณ์เท่านั้นหรือทำผิดเพราะความกลัว หรือเพราะความจำเป็นหรือเพราะความรุ่มร้อนของตัณหา หรือเพราะความมึนเมาหรือเพราะความวุ่นวายอื่นๆ ที่คล้ายกันทางจิตใจผู้พิพากษาสามารถงดเว้นการลงโทษใดๆ ได้ ถ้าท่านคิดว่าการแก้ไขโดยวิธีอื่นจะได้ผล ดีกว่า

มาตรา 1346 ทุกครั้งที่ผู้ผิด ทำผิดหลายกระทงถ้าเห็นว่าโทษสะสมที่ต้องตัดสินลงโทษนั้นมากเกินไปก็สุดแต่ผู้พิพากษาจะใช้ดุลยพินิจอันรอบคอบของตนลดหย่อนการลงโทษในรูปแบบที่ถูกที่ควร

มาตรา 1347 วรรค 1 ไม่สามารถลงโทษทางวินัยได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเว้นแต่ผู้ผิดจะได้รับคำเตือนก่อนอย่างน้อยหนึ่งครั้งเพื่อให้เขาละทิ้งความดื้อดึง และให้เวลาแก่เขาพอควรเพื่อการสำนึกผิด

วรรค 2 กล่าวได้ว่า ผู้กระทำผิดได้ละทิ้งความดื้อดึงแล้วถ้าเขาได้เสียใจจริงๆ ในความผิด และนอกนั้นยังได้ชดเชยความเสียหายและการเป็นที่สะดุดอย่างเหมาะสม หรืออย่างน้อยได้สัญญาอย่างจริงจัง

มาตรา 1348 เมื่อจำเลยพ้นข้อกล่าวหาแล้ว หรือเมื่อไม่ต้องโทษใดๆผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ สามารถพิจารณาใช้คำเตือนที่เหมาะสม หรือใช้วิธีการอื่นๆ ทางความห่วงใยด้านอภิบาล และถ้ากรณีแวดล้อมเอื้ออำนวยก็ใช้โทษเยียวยาเพื่อประโยชน์ของเขาเอง และเพื่อความดีส่วนรวม

มาตรา 1349 ถ้าเป็นโทษที่ไม่กำหนดแน่นอน และกฎหมายมิได้ตั้งข้อระวังไว้เป็นอย่างอื่นผู้พิพากษาต้องไม่ใช้การลงโทษที่หนักขึ้น เป็นต้น โทษทางวินัยเว้นแต่ความหนักของกรณีเรียกร้องจริงๆ ให้ต้องทำเช่นนั้น อย่างไรก็ตามผู้พิพากษาไม่สามารถลงโทษถาวรได้

มาตรา 1350 วรรค 1 ในการลงโทษสมณะ ต้องระวังเสมออย่าให้เขาต้องขาดสิ่งจำเป็นสำหรับเลี้ยงตนเองอย่างเหมาะสมเว้นแต่จะเป็นการปลดออกจากสถานภาพสมณะ

วรรค 2 บุคคล ซึ่งขัดสนมาก เพราะต้องโทษถูกปลดออกจากสถานภาพสมณะให้ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจจัดหาสิ่งจำเป็นให้เขาด้วยวิธีที่ดีที่สุดเท่าที่ทำได้

มาตรา 1351 โทษติดตัวผู้กระทำผิดไปทุกหนทุกแห่งแม้ว่าสิทธิของผู้กำหนดโทษหรือลงโทษได้สิ้นสุดลงแล้วเว้นแต่จะมีข้อให้ระวังไว้เป็นอย่างอื่นอย่างแจ้งชัด

มาตรา 1352 วรรค 1 ถ้าโทษห้ามผู้กระทำผิดรับศีลศักดิ์สิทธิ์หรือสิ่งคล้ายศีลข้อห้ามนั้นถูกแขวนตลอดเวลาที่ผู้กระทำผิดอยู่ในอันตรายใกล้ตาย

วรรค 2 ข้อบังคับให้ปฏิบัติตามโทษชนิดที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสินซึ่งยังไม่ได้ประกาศหรือไม่เป็นที่รู้จักในที่ซึ่งผู้กระทำผิดพำนักอยู่ถูกแขวนทั้งหมดหรือบางส่วน ตราบเท่าที่ผู้กระทำผิดไม่อาจปฏิบัติตามข้อบังคับนั้นได้โดยปราศจากอันตรายที่จะเป็นที่สะดุดร้ายแรง หรือเสียชื่อเสียง

มาตรา 1353 การอุทธรณ์ หรือการร้องเรียน คัดค้านคำพิพากษาของศาล หรือคำสั่งลงโทษ หรือการประกาศโทษใดๆ มีผลยับยั้งการลงโทษ

 

ลักษณะ 6 การสิ้นสุดของโทษ

มาตรา 1354 วรรค 1 นอกจากบุคคลที่มีกล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 13551356แล้ว ทุกคนซึ่งสามารถให้การยกเว้นจากกฎหมายที่มีโทษพ่วงติดอยู่หรือสามารถยกเว้นจากคำสั่งที่คาดโทษไว้ เขาก็สามารถยกโทษนั้นได้ด้วย

วรรค 2 นอกนั้นกฎหมายหรือคำสั่ง ซึ่งกำหนดโทษสามารถให้อำนาจยกโทษแก่คนอื่นได้ด้วย

วรรค 3 ถ้าสันตะสำนักสงวนการยกโทษไว้แก่ตนเอง หรือแก่ผู้อื่น การสงวนนั้นต้องตีความอย่างเคร่งครัด

มาตรา 1355 วรรค 1 ถ้าไม่มีการสงวนการยกโทษไว้แก่สันตะสำนัก บุคคลต่อไปนี้สามารถยกโทษซึ่งกฎหมายกำหนดเมื่อมีการสั่งหรือประกาศ

1.       ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจผู้ซึ่งเริ่มขบวนการพิจารณาทางศาลเพื่อสั่งหรือประกาศลงโทษหรือผู้ซึ่งมีคำสั่งลงโทษ หรือประกาศลงโทษโดยตนเอง หรือโดยบุคคลอื่น

2.       ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของท้องที่ ซึ่งผู้กระทำผิดพำนักอยู่ อย่างไรก็ตามโดยได้ปรึกษากับผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจที่กล่าวไว้ในข้อ 1 เสียก่อนเว้นแต่การปรึกษานั้นไม่อาจทำได้ เพราะกรณีแวดล้อมที่ผิดปกติ

วรรค 2 ถ้าไม่เป็นโทษสงวนไว้แก่สันตะสำนัก ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถยกโทษชนิดที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสิน ที่กฎหมายกำหนดไว้แต่ยังไม่ถูกประกาศให้แก่ผู้อยู่ใต้อำนาจการปกครองของตนหรือแก่ผู้ที่พำนักอยู่ในเขตการปกครองของตนหรือแก่ผู้กระทำความผิดในเขตการปกครองของตน ยิ่งกว่านั้นพระสังฆราชองค์ใดไม่ว่า ซึ่งกำลังทำหน้าที่โปรดศีลอภัยบาปก็สามารถยกโทษดังกล่าวได้

มาตรา 1356 วรรค 1 โทษที่ต้องมีการพิจารณาตัดสินหรือโทษที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสินที่กำหนดในบัญญัติซึ่งไม่ได้ออกโดยสันตะสำนัก บุคคลต่อไปนี้สามารถย้ายได้

1.       ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจของท้องที่ ซึ่งผู้กระทำความผิดพำนักอยู่

2.       ถ้าโทษที่ถูกสั่งลงทัณฑ์ หรือถูกประกาศลงทัณฑ์แล้วผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจด้วย ผู้ซึ่งได้เริ่มขบวนการพิจารณาสั่งลงทัณฑ์หรือประกาศลงทัณฑ์หรือผู้ที่ได้ลงทัณฑ์หรือประกาศลงทัณฑ์ด้วยคำสั่งโดยตนเอง หรือโดยบุคคลอื่น

วรรค 2 ก่อนจะให้การอภัย จะต้องมีการปรึกษากับผู้ออกคำสั่งเสียก่อน เว้นแต่จะทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะกรณีแวดล้อมที่ผิดปกติ

มาตรา 1357 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 508 และ 976 ถ้าเป็นที่ทรมานใจสำหรับผู้สำนึกผิดที่จำเป็นต้องอยู่ในสภาพบาปหนักจนกว่าผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจจะจัดการผู้โปรดศีลอภัยบาปภายในขอบเขตของศีลอภัยบาปก็สามารถอภัยโทษอัตโนมัติ (ที่ไม่ต้องมีการพิจารณาตัดสิน) ซึ่งตัดบุคคลนั้นออกจากพระศาสนจักรหรือทำให้เป็นผู้ต้องห้าม โทษดังกล่าวนี้เป็นโทษที่ไม่ได้ถูกประกาศ

วรรค 2 ในการให้อภัย ผู้โปรดศีลอภัยบาปต้องเพิ่มภาระให้แก่ผู้สำนึกผิดที่จะต้องเข้าหาผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจหรือพระสงฆ์ผู้มีอำนาจปฏิบัติภายในหนึ่งเดือน มิฉะนั้นโทษจะกลับมาอีก และต้องทำตามคำแนะนำของท่าน ในขณะเดียวกันผู้โปรดบาปต้องให้กิจใช้โทษที่เหมาะสม และต้องกำหนดการชดเชยการเป็นที่สะดุดและความเสียหายเท่าที่จำเป็นการเข้าหาผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจนี้สามารถทำได้โดยผ่านทางผู้โปรดบาปโดยไม่มีการบ่งชื่อ

วรรค 3 หลังจากได้ฟื้นกลับสู่สภาพดีแล้ว ภาระเดียวกันนี้ที่ต้องเข้าหาผู้ใหญ่ผูกมัดผู้รับการอภัยตามกฎหมายมาตรา 976 จากโทษที่ถูกสั่งลงทัณฑ์ หรือถูกประกาศลงทัณฑ์ หรือที่สงวนไว้แก่สันตะสำนัก

มาตรา 1358 วรรค 1 การให้อภัยโทษ ไม่สามารถให้แก่ผู้ทำผิดได้เว้นแต่เขาจะได้ละจากความดื้อดึงนั้นแล้ว ตามกฎหมายมาตรา 1347 วรรค 2อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาละจากความดื้อดึงแล้ว การให้อภัยก็ไม่สามารถปฏิเสธได้

วรรค 2 ผู้ที่ให้อภัยโทษ สามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1348 หรือสามารถให้กิจใช้โทษได้ด้วย

มาตรา 1359 ถ้าใครต้องโทษหลายกระทงการให้อภัยโทษใช้ได้สำหรับกระทงที่ระบุชัดแจ้งในการให้อภัยโทษนั้นเท่านั้นส่วนการให้อภัยโทษทั่วไป ให้อภัยโทษทุกกระทงเว้นแต่โทษกระทงที่ผู้กระทำผิดได้ปิดบังด้วยใจไม่บริสุทธิ์ในคำขอ

มาตรา 1360 การให้อภัยโทษที่บีบบังคับเอาโดยความกลัวหนักไม่มีผลทางกฎหมาย

มาตรา 1361 วรรค 1 การให้อภัยโทษสามารถให้ได้แม้แก่บุคคลที่ไม่อยู่ต่อหน้า หรือโดยมีเงื่อนไข

วรรค 2 การให้อภัยโทษในขอบ เขตภายนอกต้องทำเป็นลายลักษณ์อักษร เว้นแต่เหตุผลสำคัญชี้นำให้ทำอย่างอื่น

วรรค 3 พึงระวังอย่าแพร่งพรายการขออภัยโทษ หรือการให้อภัยโทษนั้นเองเว้นแต่การปฏิบัติเช่นนั้นมีประโยชน์เพื่อป้องกันชื่อเสียงของผู้กระทำความผิดหรือจำเป็นเพื่อชดเชยการเป็นที่สะดุด

มาตรา 1362 วรรค 1 ความผิดทางอาญามีอายุความ 3 ปี เว้นแต่

1.       ความผิดที่สงวนไว้แก่กระทรวงเกี่ยวกับคำสอนข้อความเชื่อ

2.       ความผิดต่าง ๆ ที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1394, 1395, 1397, 1398 ซึ่งมีอายุความ 5 ปี

3.       ความผิดที่กฎหมายสากลไม่ ลงโทษ ซึ่งกฎหมายเฉพาะกำหนดอายุความไว้เป็นอย่างอื่น

วรรค 2 อายุความเริ่มนับจากวันกระทำความผิด หรือถ้าเป็นความผิด ต่อเนื่อง หรือที่เป็นประจำ ก็นับจากวันที่ความผิดนั้นหยุดลง

มาตรา 1363 วรรค 1 ภายในกำหนดอายุความที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1362 นับจากวันที่มีคำพิพากษาลงโทษแล้วถ้าคำสั่งลงโทษของผู้พิพากษาที่กล่าวไว้ใน กฎหมายมาตรา 1651 ไม่ถูกนำไปแจ้งแก่ผู้กระทำความผิดการดำเนินการลงโทษเป็นอันสิ้นสุดลงโดยอายุความ

วรรค 2 สิ่งเดียวกันนี้ใช้ได้ถ้ามีการลงโทษโดยคำสั่งนอกขบวนการพิจารณาความ ทั้งนี้โดยปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นต้องปฏิบัตินั้นเสียก่อน

ส่วนที่ 2 โทษสำหรับความผิดแต่ละชนิด

ลักษณะ 1 ความผิดต่อศาสนาและเอกภาพของพระศาสนจักร

มาตรา 1364 วรรค 1 ผู้ละทิ้งความเชื่อ ผู้ยึดถือความเชื่อผิดๆผู้แยกตัวออกจาก สันตะสำนัก ต้องโทษอัตโนมัติให้ตัดขาดจากพระศาสนจักรโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 194 วรรค 1 ข้อ 2 นอกนั้น ถ้าเป็นสมณะก็อาจต้องโทษที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1336 วรรค 1 ข้อ 1, 2 และ 3 ได้ด้วย

วรรค 2 ถ้าความดื้อดึงยืดเยื้อหรือความหนักหน่วงของการเป็นที่สะดุดเรียกร้อง ก็อาจเพิ่มโทษอื่นๆ เข้าอีกได้ รวมทั้งการขับออกจากสถานภาพสมณะ

มาตรา 1365 ผู้มีความผิดฐานมีส่วนร่วมที่ต้องห้ามในพิธีจารีตศักดิ์สิทธิ์ ต้องถูกทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1366 บิดามารดา หรือผู้อยู่ในตำแหน่งแทนบิดามารดาซึ่งมอบบุตรหลานให้รับศีลล้างบาปหรือรับการศึกษาอบรมในศาสนาที่มิใช่คาทอลิกต้องถูกทัณฑ์ด้วยโทษทางจิตหรือโทษอย่างอื่นที่เหมาะสม

มาตรา 1367 ผู้ใดโยนทิ้งแผ่นปังที่เสกแล้ว หรือนำไปหรือเก็บไว้เพื่อจุดประสงค์ทุราจารต้องโทษอัตโนมัติให้ตัดขาดจากพระศาสนจักร โทษนี้สงวนไว้แก่สันตะสำนักนอกนั้นถ้าเป็นสมณะสามารถถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษอื่นได้อีกรวมทั้งการถูกขับออกจากสถานภาพสมณะด้วย

มาตรา 1368 บุคคลซึ่งสาบานเท็จ โดยยืนยัน หรือสัญญาอะไรบางอย่างต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักร ต้องถูกทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1369 บุคคลซึ่งในสถานที่หรือการชุมนุม ในการเขียนพิมพ์โฆษณาหรือในการใช้สื่อสารมวลชนอื่น กล่าวคำผรุสวาททำร้ายศีลธรรมอันดีงามอย่างรุนแรง กล่าวร้ายหรือยุยงให้มีความเกลียดชังหรือการสบประมาทต่อศาสนา หรือต่อพระศาสนจักร ต้องถูกทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

 

ลักษณะ 2 ความผิดต่ออำนาจฝ่ายพระศาสนจักร และต่อเสรีภาพของพระศาสนจักร

มาตรา 1370 วรรค 1 ผู้ใดประทุษร้ายองค์สมเด็จพระสันตะปาปาด้วยกำลังทางกายภาพ ผู้นั้นต้องโทษอัตโนมัติตัดขาดจากพระศาสนจักรโทษนี้สงวนไว้แก่สันตะสำนัก ถ้าผู้กระทำความผิดเป็นสมณะต้องโทษอื่นเพิ่มอีกได้ตามความหนักเบาของความผิดรวมทั้งการขับออกจากสมณภาพด้วย

วรรค 2 ผู้ใดกระทำเช่นนี้ต่อบุคคลซึ่งได้รับการอภิเษกเป็นสังฆราชผู้นั้นต้องโทษเป็นผู้ต้องห้ามโดยอัตโนมัติ และถ้าเป็นสมณะก็ต้องโทษห้ามปฏิบัติหน้าที่สมณะโดยอัตโนมัติอีกด้วย

วรรค 3 ผู้ใดใช้กำลังทางกายภาพกระทำต่อสมณะหรือนักพรตเพื่อสบประมาทความเชื่อหรือพระศาสนจักรหรืออำนาจฝ่ายพระศาสนจักรหรือการให้บริการทางศาสนา ผู้นั้นต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1371 บุคคลต่อไปนี้ ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

1.       นอกเหนือจากกรณีที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1364 วรรค 1บุคคลที่สอนข้อความเชื่อ ซึ่งสมเด็จพระสันตะปาปา หรือสังคายนาสากลได้ประณามหรือบุคคลที่ปฏิเสธคำสอนซึ่งกล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 752 อย่างดื้อดึง และไม่ยอมถอนการปฏิเสธเมื่อได้รับคำเตือนจากสันตะสำนักหรือจากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจแล้ว

2.       บุคคล ซึ่งด้วยวิธีอื่น ไม่ นบนอบต่อสันตะสำนัก ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจหรือเจ้าอธิการที่สั่งหรือห้ามโดยชอบด้วยกฎหมายและหลังจากได้รับคำเตือนแล้ว ยังดื้อแพ่ง ไม่ยอมนบนอบอยู่ต่อไป

มาตรา 1372 บุคคลที่ร้องเรียนต่อสังคายนาสากลหรือคณะพระสังฆราชเพื่อคัดค้านกฤษฎีกาของสมเด็จพระสันตะปาปาต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษของพระศาสนจักร

าตรา 1373 บุคคลซึ่งปลุกปั่นอย่าง เปิดเผยให้ผู้อยู่ใต้การปกครองเป็นอริหรือเกลียดชังต่อสันตะสำนักหรือต่อผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ เพราะการใช้อำนาจและการให้บริการฝ่ายพระศาสนจักรหรือยุยงผู้อยู่ใต้ปกครองให้กระด้างกระเดื่องต่อท่านต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษเป็นผู้ต้องห้าม หรือโทษอื่นๆ ที่เหมาะสม

มาตรา 1374 บุคคลซึ่งเข้าร่วมสมาคมที่วางแผนร้ายต่อพระศาสนจักรต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสมส่วนบุคคลที่สนับสนุนหรือบริหารสมาคมดังกล่าวต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษเป็นผู้ต้องห้าม

มาตรา 1375 ผู้ใดขัดขวางเสรีภาพการให้บริการ หรือการเลือกตั้งหรือการใช้อำนาจฝ่ายพระศาสนจักร หรือขัดขวางการใช้ที่ชอบด้วยกฎหมายทรัพย์สิน ศักดิ์สิทธิ์ หรือทรัพย์สินอื่นๆ ฝ่ายพระศาสนจักรหรือข่มขู่ผู้เลือกตั้งหรือผู้ได้รับเลือกตั้ง หรือผู้ใช้อำนาจหรือให้บริการฝ่ายพระศาสนจักรผู้นั้นสามารถต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1376 ผู้ใดทำทุรจารสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่เคลื่อนที่ได้ หรือเคลื่อนที่ไม่ได้ ผู้นั้นต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1377 ผู้ใดจำหน่ายทรัพย์สินของพระศาสนจักร โดยไม่มีอนุญาตที่กำหนดไว้ ผู้นั้นต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่ เหมาะสม

 

ลักษณะ 3 การทำหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักรโดยพลการ และความผิดในการทำหน้าที่นั้น

มาตรา 1378 วรรค 1 พระสงฆ์ผู้ทำการขัดต่อข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 977 ต้องโทษถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรโดยอัตโนมัติ โทษนี้สงวนไว้แก่สันตะสำนัก

วรรค 2 บุคคลต่อไปนี้ ต้องโทษเป็นผู้ต้องห้ามโดยอัตโนมัติ หรือถ้าเป็นสมณะต้องโทษถูกแขวนโดยอัตโนมัติ

1.       บุคคลที่ยังไม่รับการบรรพชาเป็นสงฆ์ บังอาจประกอบพิธีบูชามิสซา

2.       บุคคลซึ่งนอกจากกรณีดังกล่าวในวรรค 1 บังอาจประกอบพิธีศีลอภัยบาป หรือรับฟังการสารภาพบาป ทั้งๆ ที่ไม่สามารถทำเช่นนั้นได้อย่างมีผล

วรรค 3 ในกรณีดังกล่าวในวรรค 2 โทษอื่นๆ รวมทั้งการถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร สามารถเพิ่มเข้าอีกได้ ตามความหนักเบาของความผิด

มาตรา 1379 นอกจากกรณีที่กล่าวในกฎหมายมาตรา 1378 บุคคลที่ทำทีเป็นผู้ให้บริการศีลศักดิ์สิทธิ์ ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1380 บุคคลที่ประกอบพิธีศีล ศักดิ์สิทธิ์หรือรับศีลศักดิ์สิทธิ์โดยการติดสินบนต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษเป็นผู้ต้องห้าม หรือถูกแขวน

มาตรา 1381 วรรค 1 ผู้ใดไม่ว่า ที่ทำหน้าที่ฝ่ายศาสนจักรโดยพลการ ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

วรรค 2 หลังจากถูกปลดออกจากหน้าที่ หรือพ้นจากหน้าที่แล้วการยึดเหนี่ยวหน้าที่นั้นไว้โดยมิชอบถือว่าเทียบเท่ากับการทำหน้าที่โดยพลการ

มาตรา 1382 พระสังฆราชที่บรรพชา ผู้หนึ่งผู้ใดเป็นสังฆราชโดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจของพระสันตะปาปา และเช่นเดียวกันผู้ที่รับการบรรพชาเป็นสังฆราชจากพระสังฆราชนั้นต้องโทษถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรโดยอัตโนมัติ โทษนี้สงวนไว้แก่สันตะสำนัก

มาตรา 1383 พระสังฆราชซึ่งบรรพชาผู้อยู่ใต้ปกครองของผู้อื่นขัดต่อข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1015โดยไม่มีหนังสือมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมายถูกห้ามทำการบรรพชาเป็นเวลาหนึ่งปี ส่วนบุคคลที่ได้รับการบรรพชาต้องโทษถูกแขวนจากศีลบรรพชาขั้นที่ได้รับนั้นโดยอัตโนมัติ

มาตรา 1384 นอกเหนือจากกรณีที่กล่าวในมาตรา 13781383 บุคคลซึ่งปฏิบัติหน้าที่สงฆ์ หรือให้บริการศักดิ์สิทธิ์อื่นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย สามารถต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1385 บุคคลที่ทำกำไรโดยมิชอบด้วยกฎหมายจากเงินทำบุญมิสซา ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษของพระศาสนจักร และโทษอื่นๆ ที่เหมาะสม

มาตรา 1386 บุคคลที่ให้หรือสัญญาบางสิ่งเพื่อให้บุคคลที่ทำหน้าที่ในพระศาสนจักรทำการหรือละเว้นทำการโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสมบุคคลที่รับของให้ หรือรับการสัญญาจะให้ ก็ต้องถูกลงทัณฑ์เช่นเดียวกัน

มาตรา 1387 พระสงฆ์ซึ่งในที่สารภาพบาปหรือในโอกาสหรือทำทีรับการสารภาพบาปชักชวนผู้สารภาพบาปให้ทำบาปผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 6 ต้องถูกลงทัณฑ์ตามความหนักเบาของความผิดด้วยโทษถูกแขวน ถูกห้ามและถูกตัดจากการรับผลประโยชน์ และในกรณีที่หนักขึ้นอีกต้องถูกขับให้พ้นสถานภาพสมณะ

มาตรา 1388 วรรค 1 ผู้รับฟังการสารภาพบาปซึ่งละเมิดความลับของศีลศักดิ์สิทธิ์โดยตรงต้องโทษถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรโดยอัตโนมัติ โทษนี้สงวนไว้แก่สันตะสำนักส่วนผู้ละเมิดความลับโดยอ้อมเท่านั้นต้องถูกลงทัณฑ์ตามความหนักเบาของความผิด

วรรค 2 ล่าม และคนอื่นๆ ที่กล่าวในกฎหมายมาตรา 938 วรรค 2ซึ่งละเมิดความลับดังกล่าว ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสมไม่เว้นโทษถูกตัดขาดจากพระศาสนจักร

มาตรา 1389 วรรค 1 บุคคล ผู้ใช้อำนาจหรือหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักรในทางที่ผิดต้องถูกลงทัณฑ์ตามความหนักเบาของการกระทำ หรือการละเว้นการกระทำไม่เว้นโทษถูกปลดจากหน้าที่ เว้นแต่โทษสำหรับการใช้อำนาจในทางที่ผิดนั้นได้ถูกกำหนดโดยกฎหมายหรือบัญญัติแล้ว

วรรค 2 อันว่าบุคคลซึ่งเพราะความเลินเล่อที่มีความผิดกระทำหรือละเว้นกระทำกิจการในการใช้อำนาจ หรือในการให้บริการหรือในการทำหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักรโดยมิชอบด้วยกฎหมายพร้อมทั้งเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

 

ลักษณะ 4 ความผิดฐานแจ้งเท็จ

มาตรา 1390 วรรค 1 บุคคลซึ่งกล่าวหาผู้รับฟังการสารภาพบาปต่อผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักร ด้วยข้อความอันเป็นเท็จถึงความผิดที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1387 ต้องโทษเป็นผู้ต้องห้ามโดยอัตโนมัติ และถ้าเป็นสมณะต้องโทษถูกแขวนด้วย

วรรค 2 บุคคลซึ่งกล่าวหาอย่างอื่นถึงความผิดด้วยข้อความที่เป็นการใส่ความต่อผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักร หรือทำลายชื่อเสียงดีงามของผู้อื่นด้วยวิธีอื่นสามารถต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม ไม่เว้นโทษของพระศาสนจักร

วรรค 3 ผู้ใส่ความ สามารถถูกบังคับให้ทำการชดใช้ความเสียหายที่เหมาะสมด้วย

มาตรา 1391 บุคคลต่อไปนี้สามารถต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม ตามความหนักเบาของความผิด

1.       1.บุคคลที่สร้างเอกสารปลอมสาธารณะฝ่ายพระศาสนจักร หรือเปลี่ยน ทำลายหรือซ่อนเร้นเอกสารจริง หรือใช้เอกสารเท็จ หรือที่ถูกสับเปลี่ยน

2.       บุคคลที่ใช้เอกสารอื่นที่เท็จ หรือที่ถูกสับเปลี่ยนในเรื่องฝ่ายพระ ศาสนจักร

3.       บุคคลซึ่งยืนยันความเท็จในเอกสารสาธารณะฝ่ายพระศาสนจักร

 

 

 

ลักษณะ 5 ความผิดต่อพันธกรณีพิเศษ

มาตรา 1392 สมณะหรือนักพรต ที่ทำการค้าหรือธุรกิจขัดต่อข้อกำหนดของกฎหมายพระศาสนจักร ต้องถูกลงทัณฑ์ตามความหนักเบาของความผิด

มาตรา 1393 บุคคลที่ฝ่าฝืนข้อผูกมัดซึ่งตนถูกบังคับเพราะการลงโทษ สามารถต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1394 วรรค 1 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 194 วรรค 1 ข้อ 3สมณะที่บังอาจแต่งงานแม้เพียงในทางบ้านเมืองเท่านั้นต้องโทษถูกแขวนโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าได้รับคำเตือนแล้วยังไม่ยอมกลับตัวและยังคงเป็นที่สะดุดต่อไป สามารถต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษถูกตัดการรับผลประโยชน์เป็นขั้นๆหรือแม้กระทั่งโทษถูกขับให้พ้นสถานภาพสมณะด้วย

วรรค 2 นักพรตซึ่งถวายตัวตลอดชีพแล้ว แต่มิได้เป็นสมณะบังอาจแต่งงานแม้เพียงในทางบ้านเมืองเท่านั้นต้องโทษเป็นผู้ต้องห้ามโดยอัตโนมัติ ทั้งนี้โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 694

มาตรา 1395 วรรค 1 นอกเหนือจากกรณีที่กล่าวไว้ในมาตรา 1394 สมณะที่เจริญชีวิตอยู่ในสภาพชู้สาว และสมณะที่คงอยู่ในสภาพบาปภายนอกอื่นผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 6 พร้อมกับการเป็นที่สะดุดต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษถูกแขวนถ้าหลังจากได้รับการเตือนแล้วยังคงอยู่ในความผิดนั้นต่อไป โทษอื่นๆ สามารถเพิ่มเข้าอีกทีละขั้น จนถึงโทษถูกขับให้พ้นสถานภาพสมณะในที่สุด

วรรค 2 สมณะซึ่งทำอย่างอื่นผิดต่อพระบัญญัติประการที่ 6 ถ้าความผิดนั้นทำโดยการข่มขืน หรือการข่มขู่ หรือทำอย่างเปิดเผยหรือทำต่อผู้เยาว์อายุต่ำกว่า 16 ปี ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสมไม่เว้นโทษถูกขับให้พ้นสถานภาพสมณะ ถ้ากรณีเรียกร้องให้ทำเช่นนั้น

มาตรา 1396 บุคคลที่ละเมิดอย่างหนักต่อข้อผูกมัดให้อยู่ประจำภูมิลำเนาซึ่งเขามีพันธะให้อยู่ที่นั่นเพราะตำแหน่งหน้าที่ฝ่ายพระศาสนจักรต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสม ไม่เว้นโทษถูกปลดออกจากตำแหน่งหน้าที่ด้วยหลังจากได้รับการเตือนแล้ว

 

ลักษณะ 6 ความผิดต่อชีวิตและเสรีภาพของมนุษย์

มาตรา 1397 บุคคลที่ทำการฆาตกรรม หรือลักพาคนด้วยกำลังหรือด้วยการล่อลวง หรือหน่วงเหนี่ยวกักขัง หรือทำให้เสียอวัยวะหรือทำให้บาดเจ็บสาหัส ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษถูกตัดจากผลประโยชน์และโทษถูกห้าม ซึ่งกล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1336 ตามความหนักเบาของความผิดส่วนการฆาตกรรมต่อบุคคลที่กล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1370 ต้องถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษตามที่กำหนดไว้แล้วในมาตรานั้น

มาตรา 1398 บุคคลใดจัดการให้มีการทำแท้งโดยมีผลสำเร็จตามมา ต้องโทษถูกตัดขาดจากพระศาสนจักรโดยอัตโนมัติ

ลักษณะ 7 กฎเกณฑ์ทั่วไป

มาตรา 1399 นอกเหนือจากกรณีที่กำหนดไว้ในกฎหมายฉบับนี้หรือกฎหมายฉบับอื่นการละเมิดภายนอกต่อกฎหมายพระเจ้า หรือกฎหมายพระศาสนจักรสามารถถูกลงทัณฑ์ด้วยโทษที่เหมาะสมเฉพาะเมื่อความหนักเบาพิเศษของความผิดเรียกร้องให้มีการลงโทษและความจำเป็นเร่งรัดให้มีการป้องกัน หรือชดเชยการเป็นที่สะดุดเท่านั้น

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บรรพ 7 กระบวนการพิจารณาคดี

ภาค 1 การพิจารณาความ

มาตรา 1400 วรรค 1 วัตถุประสงค์ของการพิจารณาความ คือ:

1.       เพื่อเรียกร้อง หรือทวงสิทธิของบุคคลธรรมชาติ หรือนิติบุคคล หรือประกาศนิติกรรม

2.       เพื่อกำหนดลงโทษ หรือประกาศโทษที่เนื่องมาจากความผิด

วรรค 2 อย่างไรก็ดี การโต้แย้งที่เกิดจากการใช้อำนาจบริหาร สามารถนำสู่การพิจารณาของผู้ใหญ่ หรือศาลปกครองเท่านั้น

มาตรา 1401 โดยสิทธิของตน และของตนเท่านั้น พระศาสนจักรพิจารณา:

1.       คดีที่เกี่ยวกับเรื่องฝ่ายวิญญาณหรือเกี่ยวโยงกับฝ่ายวิญญาณ;

2.       การละเมิดต่อกฎหมายพระศาสนจักร และในทุกกรณีที่มีเรื่องเกี่ยวกับบาปในส่วนที่เกี่ยวกับการกำหนดความผิด และกำหนดการลงโทษทางพระศาสนจักร

มาตรา 1402 โดยคงไว้ซึ่งกฎเกณฑ์ของศาลต่างๆ ของสันตะสำนัก ศาลทั้งหลายของพระศาสนจักร อยู่ภายใต้กฎหมายพระศาสนจักรที่ตามมา

มาตรา 1403 วรรค 1 กรณีต่างๆ เกี่ยวกับการแต่งตั้งผู้รับใช้พระเจ้าในทำเนียบนักบุญ อยู่ภายใต้กฎหมายเฉพาะของ สันตะสำนัก

วรรค 2 อย่างไรก็ดี ให้ใช้ประมวลกฎหมายนี้ สำหรับกรณีต่างๆ ดังกล่าวด้วยเมื่อใดก็ตามที่กฎหมายเฉพาะของ สันตะสำนักกำหนดให้ใช้กฎหมายสากลในประเด็นใดประเด็นหนึ่งหรือเมื่อเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่ใช้กับกรณีต่างๆ ดังกล่าวจากธรรมชาติของเรื่องเองด้วย

 

ลักษณะ 1 ศาลที่มีอำนาจ

มาตรา 1404 ไม่มีผู้ใด พิพากษาตำแหน่งสูงสุด (สมเด็จพระสันตะปาปา) ได้

มาตรา 1405 วรรค 1 สมเด็จพระสันตะปาปาผู้เดียวเท่านั้น มีสิทธิที่จะพิจารณาตัดสิน ในกรณีที่ได้ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1401

1.       บรรดาผู้มีตำแหน่งสูงสุดในประเทศ;

2.       บรรดาพระคาร์ดินัล;

3.       บรรดาสมณทูตของสันตะสำนัก และพระสังฆราชในกรณีที่เป็นคดีอาญา;

4.       กรณีอื่นๆ ที่พระสันตะปาปาได้ส่งนำมาให้พระองค์ตัดสินเอง

วรรค 2 ผู้พิพากษา หากมิได้รับมอบอำนาจมาก่อน ไม่สามารถทบทวนการตัดสินคดี หรือพยานหลักฐานที่พระสันตะปาปาได้ทรงรับรองโดยเฉพาะแล้ว

วรรค 3 กรณีต่อไปนี้ สงวนไว้สำหรับศาลสูงของสันตะสำนัก ที่จะตัดสิน

1.       พระสังฆราช ในคดีแพ่ง โดยคงไว้ซึ่งกฎหมายมาตรา 1419 วรรค 2

2.       อธิการฤษีสูงสุด หรืออธิการผู้ใหญ่ของคณะฤษี และอธิการสูงสุดของคณะนักบวชสิทธิสันตะสำนัก

3.       สังฆมณฑล หรือ บุคคลฝ่ายพระศาสนจักรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลโดยธรรมชาติ หรือนิติบุคคล

มาตรา 1406 วรรค 1 การกระทำ หรือการตัดสินใดๆ ที่ขัดต่อข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1404 ถือเป็นโมฆะ

วรรค 2 การขาดอำนาจของผู้พิพากษาอื่นๆ ในกรณีที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1405 เป็นชนิดเด็ดขาด

มาตรา 1407 วรรค 1 จะนำใครขึ้นศาลชั้นต้นไม่ได้ยกเว้นต่อหน้าผู้พิพากษาฝ่ายพระศาสนจักรที่มีอำนาจตามกฎหมายข้อใดข้อหนึ่งตามที่มีกำหนดไว้ในกฎหมายมาตรา 14081414

วรรค 2 การขาดอำนาจของผู้พิพากษาซึ่งไม่มีอำนาจตามกฎหมายเหล่านี้ข้อใดข้อหนึ่งเลยเป็นชนิดไม่เด็ดขาดวรรค 3 โจทก์ต้องขึ้นศาลของจำเลยถ้าจำเลยสามารถขึ้นศาลได้หลายศาล โจทก์สามารถเลือกศาลใดศาลหนึ่ง

มาตรา 1408 ใครไม่ว่า สามารถถูกนำขึ้นศาลของภูมิลำเนา หรือเสมือนภูมิลำเนาของผู้นั้น

มาตรา 1407 วรรค 1 ผู้ที่ไม่มีภูมิลำเนาถาวร ให้ขึ้นศาลที่ผู้นั้นอาศัยอยู่ในปัจจุบัน

วรรค 2 ผู้ที่ไม่ปรากฏภูมิลำเนา หรือเสมือนภูมิลำเนา หรือสถานที่อาศัยสามารถถูกนำขึ้นศาลของโจทก์ได้ ขอแต่ว่า ไม่มีศาลอื่นที่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 1410 โดยเหตุผลของสิ่งของที่ตั้งอยู่คู่ความสามารถถูกนำขึ้นศาลของสถานที่ ที่สิ่งของที่เป็นความตั้งอยู่เมื่อใดไม่ว่าคดีความเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิ่งของโดยตรงหรือเกี่ยวกับการทวงสิทธิในสิ่งของนั้นคืน

มาตรา 1411 วรรค 1 โดยเหตุผลของสัญญาคู่ความสามารถถูกนำขึ้นศาลของสถานที่ที่ทำสัญญา หรือที่ต้องทำตามสัญญาเว้นแต่ว่าคู่ความจะยินยอมเลือกศาลอื่น

วรรค 2 ถ้าคดีความเป็นเรื่องเกี่ยวกับภาระผูกพันที่มาจากเหตุผลอื่น คู่ความสามารถถูกนำขึ้นศาลของสถานที่ ที่ภาระผูกพันนั้นเกิดขึ้น หรือที่ต้องปฏิบัติตามภาระผูกพัน

มาตรา 1412 กรณีคดีอาญา จำเลยแม้จะไม่อยู่ ก็สามารถถูกนำขึ้นศาลของสถานที่ที่เกิดเหตุได้

มาตรา 1413 คู่ความ สามารถถูกนำขึ้นศาลได้:

1.       ในคดีที่เกี่ยวกับการบริหาร ให้ขึ้นศาลของสถานที่ที่ทำการบริหาร

2.       ในคดีที่เกี่ยวกับมรดก หรือพินัยกรรมให้ขึ้นศาลของสถานที่ที่มีภูมิลำเนา หรือที่เสมือนภูมิลำเนาหรือสถานที่อยู่อาศัยสุดท้ายของผู้เป็นเจ้าของมรดก หรือพินัยกรรมตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 14081409 เว้นแต่ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการปฏิบัติตามพินัยกรรมเท่านั้นซึ่งจะต้องพิจารณาปฏิบัติตามกฎหมายปกติของการมีอำนาจ

มาตรา 1414 โดยเหตุผลของความเกี่ยวพัน คดีหลายคดีที่เกี่ยวพันกันให้ศาลเดียวพิจารณา และดำเนินคดีในกระบวนการเดียวกันเว้นแต่มีอุปสรรคจากข้อกำหนดของกฎหมาย

มาตรา 1415 โดยเหตุผลของการดำเนินการก่อน ถ้าศาลสองศาลหรือมากกว่ามีอำนาจเท่าเทียมกัน ศาลที่มีหมายเรียกคู่ความโดยชอบด้วยกฎหมายก่อนมีสิทธิพิจารณาคดี

มาตรา 1416 ปัญหาขัดแย้ง เรื่องการมีอำนาจพิจารณาคดีระหว่างศาลที่ขึ้นกับศาลอุทธรณ์เดียวกัน ให้ศาลอุทธรณ์นั้นชี้ขาดแต่ถ้าไม่ขึ้นกับศาลอุทธรณ์เดียวกันให้ศาลสูงของสันตะสำนักเป็นผู้ชี้ขาดตัดสินขั้นสุดท้าย เว้นแต่เมื่อสันตะสำนัก

 

ลักษณะ 2 ชั้น และชนิดต่างๆของศาล

มาตรา 1417 วรรค 1 เนื่องจากพระสันตะปาปาทรงเป็นประมุขสูงสุดสัตบุรุษคนใดไม่ว่า มีสิทธิครบถ้วนที่จะส่งเรื่องหรือนำคดีขึ้นสู่สันตะสำนักเพื่อการพิจารณา ไม่ว่าเป็นคดีแพ่ง หรือคดีอาญาและไม่ว่าคดีนั้นจะอยู่ในชั้นใดของศาล หรือในขั้นใดของคดีความ

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม การเข้าพึ่งสันตะสำนักไม่มีผลให้แขวนการปฏิบัติตามอำนาจของผู้พิพากษาที่ได้เริ่มการพิจารณาคดีแล้ว เว้นแต่เป็นเรื่องของการอุทธรณ์; ด้วยเหตุนี้ผู้พิพากษาสามารถดำเนินการพิจารณาคดีต่อได้จนถึงการได้แจ้งต่อผู้พิพากษาว่าได้เรียกคดีนั้นมาตัดสินเองแล้ว

มาตรา 1418 ศาลใดไม่ว่า มีสิทธิที่จะขอให้ศาลอื่นมาช่วยเหลือในการสอบสวนคดี หรือส่งเอกสารต่างๆ

 

บท 1 ศาลชั้นต้น

ส่วน 1 ผู้พิพากษา

มาตรา 1419 วรรค 1 ในแต่ละสังฆมณฑลและสำหรับทุกคดีความที่ไม่ได้รับการยกเว้นอย่างแจ้งชัดจากกฎหมายผู้พิพากษาศาลชั้นต้น คือพระสังฆราชสังฆมณฑลซึ่งสามารถใช้อำนาจตุลาการโดยตนเอง หรือโดยผู้อื่นตามกฎหมายมาตราต่างๆที่ตามมา

วรรค 2 ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับสิทธิหรือทรัพย์สินฝ่ายโลกของนิติบุคคลที่พระสังฆราชผู้นั้นเป็นผู้รับผิดชอบให้ศาลอุทธรณ์เป็นผู้พิจารณาคดีในศาลชั้นต้น

มาตรา 1420 วรรค 1 พระสังฆราชสังฆมณฑลใดไม่ว่าต้องแต่งตั้งผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการหรือเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่พร้อมกับอำนาจปกติตามหน้าที่ในการตัดสินคดีซึ่งต้องแยกจากผู้เป็นผู้แทน

สังฆราชฝ่ายบริหารทั่วไป เว้นไว้แต่ว่า เห็นควรเป็นอย่างอื่นเพราะเป็นสังฆมณฑลเล็ก หรือมีคดีความจำนวนไม่มาก

วรรค 2 ผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการประกอบเป็นศาลเดียวกันกับพระสังฆราช แต่ไม่สามารถตัดสินคดีที่พระสังฆราชสงวนไว้สำหรับตนเอง

วรรค 3 ผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการ สามารถให้มีผู้ช่วยหลายคนซึ่งมีชื่อว่า ผู้ช่วยผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการหรือผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่

วรรค 4 ทั้งผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการและผู้ช่วยผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการต้องเป็นพระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงไม่ด่างพร้อยสำเร็จการศึกษาทางกฎหมายพระศาสนจักรในระดับปริญญาเอกหรือปริญญาโทเป็นอย่างน้อย และมีอายุไม่ต่ำกว่า 30 ปี

วรรค 5 เมื่อตำแหน่งพระสังฆราชว่างลง ผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการและผู้ช่วยยังต้องทำหน้าที่ต่อไปทั้งไม่สามารถถูกปลดออกจากหน้าที่โดยผู้บริหารสังฆมณฑล อย่างไรก็ตามเมื่อพระสังฆราชใหม่มา พวกเขาต้องได้รับการรับรองให้ทำหน้าที่ต่อไป

มาตรา 1421 วรรค 1 ในสังฆมณฑล พระสังฆราชต้องแต่งตั้งผู้พิพากษาสังฆมณฑล ซึ่งต้องเป็นพระสงฆ์

วรรค 2 สภาพระสังฆราช สามารถอนุญาติให้แต่งตั้งฆราวาสเป็นผู้พิพากษาด้วยและเมื่อเห็นว่าจำเป็น ก็สามารถเลือกผู้หนึ่งในบรรดาฆราวาสให้ประกอบขึ้นเป็นคณะผู้พิพากษา

วรรค 3 ผู้พิพากษาต้องเป็นผู้มีชื่อเสียงไม่ด่างพร้อย และได้รับปริญญาเอก หรือปริญญาโทเป็นอย่างน้อยในวิชากฎหมายพระศาสนจักร

มาตรา 1422 ผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการ ผู้ช่วยผู้แทนสังฆราชฝ่ายตุลาการและผู้พิพากษาอื่นๆ ต้องได้รับการแต่งตั้งโดยมีเวลากำหนดโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1420 วรรค 5; พวกเขาไม่สามารถถูกปลดจากหน้าที่ เว้นแต่มีเหตุผลที่ชอบด้วยกฎหมาย และหนัก

มาตรา 1423 วรรค 1 เมื่อได้รับการเห็นชอบจากสันตะสำนักพระสังฆราชสังฆมณฑลหลายองค์สามารถร่วมตกลงกันในการจัดตั้งศาลชั้นต้นเพียงศาลเดียวแทนศาลสังฆมณฑลดังที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 14191421; และในกรณีนี้คณะพระสังฆราชเอง หรือพระสังฆราชที่ได้รับเลือกจากคณะพระสังฆราชดังกล่าวมีอำนาจทั้งหมดซึ่งพระสังฆราชสังฆมณฑลมีในศาลของตนเอง

วรรค 2 ศาลที่จัดตั้งขึ้นตามวรรค 1 สามารถได้รับการจัดตั้งขึ้นสำหรับคดีทุกคดี หรือคดีบางประเภทเท่านั้น

มาตรา 1424 ในการพิจารณาคดีที่มีผู้พิพากษาเพียงผู้เดียวท่านสามารถใช้ผู้เชี่ยวชาญ 2 ท่าน เป็นที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทั้งสองอาจเป็นพระสงฆ์ หรือฆราวาสที่มีประวัติดี

มาตรา 1425 วรรค 1 คดีต่อไปนี้ สงวนไว้สำหรับศาลที่เป็นองค์คณะ ที่มีผู้พิพากษา 3 ท่าน โดยยกเลิกประเพณีตรงข้ามทั้งหมด

1.       คดีแพ่ง ก.) ที่เกี่ยวกับพันธะของศีลบวช; ข.) ที่เกี่ยวกับพันธะของการแต่งงาน โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของมาตรา 1686 และ 1688

2.       คดีอาญา ก.) เกี่ยวกับความผิดที่มีโทษให้พ้นจากสถานภาพสมณะ; ข.) เกี่ยวกับโทษขับออกจากพระศาสนจักร โดยการลงโทษ หรือโดยการประกาศโทษ

วรรค 2 พระสังฆราชสามารถมอบคดีที่ค่อนข้างยาก หรือค่อนข้างสำคัญแก่การตัดสินของผู้พิพากษา 3 หรือ 5 ท่าน

วรรค 3 เว้นไว้แต่ว่า พระสังฆราชจะได้กำหนดเป็นอย่างอื่นในแต่ละคดีผู้ช่วยพระสังฆราชด้านศาลต้องมอบให้ผู้พิพากษาพิจารณาคดีโดยหมุนเวียนไปตามลำดับ

วรรค 4 ในการพิจารณาคดีศาลชั้นต้นหากไม่สามารถตั้งผู้พิพากษาเป็นองค์คณะ และตลอดเวลาที่สภาพเช่นนี้ยังคงอยู่สภาพระสังฆราชสามารถอนุญาตให้พระสังฆราชมอบคดีให้ผู้พิพากษาคนเดียวที่เป็นสมณะ และถ้าเป็นไปได้ ให้มีผู้เชี่ยวชาญ และผู้สอบคดีร่วมพิจารณา

วรรค 5 เมื่อได้แต่งตั้งผู้พิพากษาแล้วผู้ช่วยพระสังฆราชด้านศาลต้องไม่แต่งตั้งผู้อื่นมาแทนเว้นแต่มีเหตุสำคัญมากที่สุด ซึ่งต้องเขียนไว้ในคำสั่ง

มาตรา 1426 วรรค 1 ศาลที่เป็นองค์คณะ ต้องพิจารณาคดีในรูปขององค์คณะ และตัดสินความโดยใช้เสียงข้างมาก

วรรค 2 ผู้ช่วยพระสังฆราชด้านศาล หรือรองผู้ช่วยพระสังฆราชด้านศาล ต้องเป็นประธานในศาลที่เป็นองค์คณะ เท่าที่เป็นไปได้

มาตรา 1427 วรรค 1 เมื่อมีเรื่องโต้แย้งระหว่างนักพรตหรือบ้านของสถาบันเดียวกันที่เป็นนักพรตสมณะสิทธิสันตะสำนักผู้พิพากษาศาลชั้นต้น คือ เจ้าคณะแขวง เว้นไว้แต่ว่าธรรมนูญกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น หรือในกรณีที่เป็นอารามเอกเทศต้องเป็นอธิการประจำสถานที่

วรรค 2 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดที่แตกต่างของธรรมนูญถ้าเกี่ยวกับเรื่องโต้แย้งระหว่าง 2 แขวง ในศาลชั้นต้นผู้ใหญ่สูงสุดเป็นผู้ตัดสินโดยตนเอง หรือโดยผู้แทน ถ้าระหว่างอารามนักพรต 2 แห่ง อธิการใหญ่ของคณะนักพรตเป็นผู้ตัดสิน

วรรค 3 ในที่สุด ถ้าการโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างนักพรตที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลของสถาบันนักพรตต่างสถาบันกันหรือแม้ระหว่างบุคคลของสถาบันเดียวกันที่เป็นสมณะสิทธิสังฆมณฑลหรือของสถาบันฆราวาสเดียวกัน หรือระหว่างบุคคลนักพรตกับบุคคลสมณะพื้นเมืองหรือกับฆราวาสหรือกับนิติบุคคลที่ไม่เป็นนักพรตเป็นศาลสังฆมณฑลตัดสินความในชั้นต้น

ส่วนที่ 2 ผู้สอบคดี และผู้ทำสำนวนคดี

มาตรา 1428 วรรค 1 ผู้พิพากษา หรือประธานของศาลที่เป็นองค์คณะสามารถแต่งตั้งผู้สอบคดีเพื่อทำคดี โดยเลือกจากคณะผู้พิพากษาท่านหนึ่งหรือจากบุคคลอื่นที่พระสังฆราชรับรองให้ปฏิบัติหน้าที่นี้ได้

วรรค 2 พระสังฆราชสามารถรับรองให้สมณะ หรือฆราวาสทำหน้าที่เป็นผู้สอบคดี แต่บุคคลนั้นต้องโดดเด่นในด้านความประพฤติที่ดีความรอบคอบ และวิชาการ

วรรค 3 ผู้สอบคดี มีหน้าที่เพียงรวบรวมหลักฐานตามคำสั่งของผู้พิพากษาและเมื่อรวบรวมแล้ว มอบให้ผู้พิพากษาเว้นไว้แต่ว่าผู้พิพากษามีคำสั่งเป็นอย่างอื่น เขาสามารถตัดสินใจเองว่าควรจะรวบรวมหลักฐานอะไรและอย่างไร ถ้าบังเอิญมีประเด็นอื่นในคดีนี้เกิดขึ้นขณะที่กำลังทำหน้าที่นี้อยู่

มาตรา 1429 ประธานศาลที่เป็นองค์คณะต้องแต่งตั้งท่านหนึ่งจากคณะผู้พิพากษาให้เป็นผู้เขียนคดี หรือผู้ทำสำนวนคดีซึ่งทำหน้าที่รายงานคดีแก่คณะผู้พิพากษาและเป็นผู้เขียนคำตัดสินเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อมีเหตุผลสมควรประธานศาลคนเดียวกันนั้นสามารถแต่งตั้งบุคคลอื่นมาทำหน้าที่แทนผู้เขียนคดีคนเดิม

ส่วนที่ 3 ผู้ผดุงความยุติธรรม, ผู้ปกป้องพันธะ และนายทะเบียนศาล

มาตรา 1430 ผู้ผดุงความยุติธรรม ต้องได้รับการแต่งตั้งในสังฆมณฑลสำหรับคดีแพ่ง ซึ่งในคดีเหล่านี้ ความดีส่วนรวมอาจตกในภาวะวิกฤตและสำหรับคดีอาญา ผู้ผดุงความยุติธรรมมีพันธะโดยหน้าที่เพื่อรักษาความดีส่วนรวม

มาตรา 1431 วรรค 1 ในคดีแพ่ง เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชสังฆมณฑลที่จะชี้ขาดว่า ความดีส่วนรวมตกอยู่ในภาวะวิกฤตหรือไม่ เว้นไว้แต่ว่าผู้ผดุงความยุติธรรมต้องเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะได้ระบุไว้หรือเพราะปรากฏชัดแจ้งว่า จำเป็นจากธรรมชาติของเรื่อง

วรรค 2 หากในศาลก่อนนั้น ผู้ผดุงความยุติธรรมได้เข้ามาเกี่ยวข้องแล้วให้สันนิษฐานว่าการเกี่ยวข้องของผู้ผดุงความยุติธรรมเป็นเรื่องจำเป็นในศาลถัดไป

มาตรา 1432 ผู้ปกป้องพันธะต้องได้รับการแต่งตั้งในสังฆมณฑลสำหรับคดีที่เกี่ยวกับความเป็นโมฆะของศีลบวช หรือความเป็นโมฆะ หรือการยกเลิกของการแต่งงานผู้ปกป้องพันธะมีหน้าที่เสนอและให้ความกระจ่างในทุกเรื่องที่สามารถหาเหตุผลคัดค้านความเป็นโมฆะและการยกเลิกดังกล่าว

มาตรา 1433 ในคดีที่จำเป็นต้องมีผู้ผดุงความยุติธรรมหรือผู้ปกป้องพันธะการพิจารณาคดีเป็นโมฆะหากพวกเขาไม่ได้รับเรียกให้อยู่ในการพิจารณาคดี เว้นไว้แต่ว่าแม้ไม่ได้รับเรียก แต่ในความเป็นจริงพวกเขาอยู่หรืออย่างน้อยพวกเขาสามารถปฏิบัติหน้าที่หลังจากตรวจสอบคดีความแล้วก่อนการตัดสินคดี

มาตรา 1434 เว้นแต่มีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

1.       เมื่อใดก็ตามที่กฎหมายกำหนดให้ผู้พิพากษาต้องฟังคู่ความหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ผู้ผดุงความยุติธรรมและผู้ปกป้องพันธะก็ต้องได้รับฟังด้วย หากพวกเขาอยู่ในการพิจารณาคดี

2.       เมื่อใดก็ตามที่ผู้พิพากษาต้องตัดสินบางสิ่งบางอย่างตามคำร้องขอของคู่ความคำร้องขอของผู้ผดุงความยุติธรรมและผู้ปกป้องพันธะมีน้ำหนักเช่นเดียวกันเมื่อพวกเขาอยู่ในการพิจารณคดี

มาตรา 1435 พระสังฆราชมีหน้าที่แต่งตั้งผู้ผดุงความยุติธรรมและผู้ปกป้องพันธะพวกเขาต้องเป็นพระสงฆ์หรือฆราวาสที่มีประวัติไม่ด่างพร้อยและมีวุฒิปริญญาเอก หรือปริญญาโททางกฎหมายพระศาสนจักร และมีความสุขุมรอบคอบและร้อนรนในความยุติธรรมอย่างแจ้งชัด

มาตรา 1436 วรรค 1 บุคคลเดียวกันสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ผดุงความยุติธรรม และผู้ปกป้องพันธะได้ แต่ต้องมิใช่ในคดีเดียวกัน

วรรค 2 ผู้ผดุงความยุติธรรม และผู้ปกป้องพันธะสามารถได้รับการแต่งตั้งสำหรับทุกคดี หรือสำหรับแต่ละคดี อย่างไรก็ตามพระสังฆราชสามารถปลดพวกเขาจากหน้าที่ได้ เมื่อมีเหตุผลสมควร

มาตรา 1437 วรรค 1 นายทะเบียนศาล ต้องอยู่ในขณะพิจารณาคดีทุกครั้ง โดยถือว่าเอกสารต่างๆ เป็นโมฆะ หากนายทะเบียนศาลมิได้ลงลายมือชื่อ

วรรค 2 เอกสารที่นายทะเบียนศาลทำขึ้น เป็นเอกสารที่ทำให้เชื่อถือได้ทางสาธารณะ

 

หมวด 2 ศาลชั้นที่สอง

มาตรา 1438 โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดมาตรา 1444 วรรค 1 ข้อ 1

1.       คดีจากศาลของพระสังฆราชสังฆมณฑลรอง ให้อุทธรณ์ต่อศาลสังฆมณฑลนคร โดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดมาตรา 1439

2.       คดีที่ดำเนินชั้นต้นในศาลสังฆมณฑลนคร ให้อุทธรณ์ต่อศาลที่ถูกกำหนดไว้อย่างถาวร โดยพระสันตะสำนักรับรอง

3.       สำหรับคดีที่ดำเนินต่อหน้าเจ้าคณะแขวง ศาลชั้นที่สอง คือศาลต่อหน้ามหาอธิการ สำหรับคดีที่ดำเนินต่อหน้าอธิการท้องถิ่น คือศาลต่อหน้าอธิการชั้นผู้ใหญ่ของคณะนักพรตฤษี

มาตรา 1439 วรรค 1 หากมีการตั้งศาลชั้นต้นเดียวสำหรับสังฆมณฑลหลายแห่งตามกฎเกณฑ์มาตรา 1423สภาพระสังฆราชต้องตั้งศาลชั้นที่สอง โดยความเห็นชอบของพระสันตะสำนักเว้นไว้แต่ว่า สังฆมณฑลเหล่านี้เป็นสังฆมณฑลรองทั้งหมดของอัครสังฆมณฑลเดียวกัน

วรรค 2 สภาพระสังฆราชสามารถตั้งศาลชั้นที่สองเดียว หรือหลายศาลก็ได้โดยความเห็นชอบของพระสันตะสำนัก แม้อยู่นอกกรณีที่ระบุไว้ในวรรค 1

วรรค 3 เกี่ยวกับศาลชั้นที่สองตามที่กล่าวไว้ในวรรค 1 และวรรค 2 สภาพระสังฆราช หรือพระสังฆราชองค์ใดองค์หนึ่งที่ได้รับแต่งตั้งจากสภาพระสังฆราช เป็นผู้มีอำนาจเต็มดั่งที่พระสังฆราชสังฆมณฑลมีอำนาจเหนือศาลของตน

มาตรา 1440 หากมิได้ปฏิบัติตามความมีอำนาจในเรื่องชั้นของศาล ตามข้อกำหนดมาตรา 1438 และ 1439 ให้ถือว่า ผู้พิพากษาไม่มีอำนาจใดๆ

มาตรา 1441 ศาลชั้นที่สองต้องปฏิบัติตามกระบวนการเดียวกันกับศาลชั้นต้นอย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นมีเพียงคนเดียว ตามมาตรา 1425 วรรค 4 ศาลชั้นที่สองต้องพิจารณาคดีเป็นองค์คณะ

 

หมวด 3 ศาลต่างๆ ของสันตะสำนัก

มาตรา 1442 สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเป็นผู้พิพากษาสูงสุดสำหรับโลกคาทอลิกทั้งหมดพระองค์ทรงตัดสินด้วยพระองค์เอง หรือโดยทางศาลปกติต่างๆ ของสันตะสำนักหรือโดยทางผู้พิพากษาที่ทรงแต่งตั้งให้เป็นผู้แทน

มาตรา 1443 ศาลปกติที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงตั้งขึ้น เพื่อรับการอุทธรณ์ต่างๆ คือ ศาลโรมันโรตา (Roman Rota)

มาตรา 1444 วรรค 1 ศาลโรมันโรตา พิจารณาคดี:

1.       ในศาลชั้นที่สอง สำหรับคดีที่ศาลปกติชั้นต้นได้ตัดสินแล้ว และได้นำขึ้นสู่สันตะสำนักโดยการอุทธรณ์ที่ชอบตามกฎหมาย

2.       ในศาลชั้นที่สาม และชั้นที่สูงขึ้นไป สำหรับคดีที่ศาลโรมันโรตาเองหรือศาลอื่นๆ ได้ดำเนินการแล้ว เว้นแต่คดีนั้นถือว่าถึงที่สุดแล้ว

วรรค 2 ศาลนี้ทำหน้าที่เป็นศาลชั้นต้นด้วยสำหรับคดีต่างๆตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1405 วรรค 3 และคดีอื่นๆที่สมเด็จพระสันตะปาปาทรงเรียกมาสู่ศาลของพระองค์ด้วยพระองค์เองหรือเมื่อคู่ความร้องขอและมอบให้ศาลโรมันโรตาและศาลโรมันโรตาตัดสินคดีเหล่านี้ในศาลชั้นที่สอง และชั้นที่สูงขึ้นไปด้วย เว้นแต่มีข้อกำหนดเป็นอย่างอื่น ในสารมอบหมายงาน

มาตรา 1445 วรรค 1 ศาลสูงสุด อาโปสโตลีกา ซียาตูรา (Apostolica Signatura) พิจารณาคดี:

1.       คำร้องค้านความเป็นโมฆะ คำร้องขอให้ชดใช้อย่างสาสมกับความเสียหาย และการร้องเรียนอื่นๆ คัดค้านการตัดสินของศาลโรมันโรตา

2.       การร้องเรียนในคดีเกี่ยวกับสถานภาพของบุคคล ซึ่งศาลโรมันโรตา ปฏิเสธที่จะพิจารณาคดีใหม่

3.       การคัดค้านด้วยเหตุสงสัย และด้วยเหตุอื่นๆ ต่อผู้สอบคดีของศาลโรมันโรตา จากการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่ของเขาเอง

4.       ข้อขัดแย้งต่างๆ เกี่ยวกับการมีอำนาจ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1416

วรรค 2 ศาลนี้เองพิจารณาข้อขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจบริหารแห่งพระศาสนจักรที่เสนอขึ้นมายังศาลนี้โดยชอบด้านกฎหมายและยังพิจารณาข้อขัดแย้งทางการบริหารอื่นๆที่สมเด็จพระสันตะปาปาหรือหน่วยงานต่างๆ ของโรมันคูเรียนำขึ้นมายังศาลนี้และยังพิจารณาข้อขัดแย้งเรื่องการมีอำนาจระหว่างหน่วยงานต่างๆ นี้

วรรค 3 นอกนั้น ศาลสูงสุดนี้ ยังมีหน้าที่:

1.       เฝ้าดูแลการบริหารความยุติธรรมให้ถูกต้อง และตักเตือนทนาย หรืออัยการ หากจำเป็น

2.       ขยายขอบข่ายการมีอำนาจของศาล

3.       ส่งเสริม และรับรองการจัดตั้งศาลต่างๆ ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1423 และ 1439

 

ลักษณะ 3 ระเบียบที่ต้องปฏิบัติในศาล

หมวด 1 หน้าที่ของผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ในศาล

มาตรา 1446 วรรค 1 คริสตชนทุกคน โดยเฉพาะพระสังฆราชต้องพยายามอย่างยิ่งที่จะหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องกัน ในหมู่ประชากรของพระเป็นเจ้าเท่าที่ทำได้และให้แก้ปัญหากันด้วยสันติวิธีโดยเร็วที่สุด

วรรค 2 ทันทีที่เริ่มเป็นความกันหรือ ณขั้นตอนใดก็ตามระหว่างการดำเนินคดีทุกครั้งที่เห็นทางออกที่ดีสำหรับคู่ความผู้พิพากษาอย่าได้ละเลยที่จะเตือน และช่วยคู่ความให้แสวงหาการแก้ข้อโต้แย้งอย่างเหมาะสม โดยการปรึกษาร่วมกัน และชี้ทางออกที่เหมาะสมกับปัญหานี้โดยอาศัยบุคคลที่น่านับถือช่วยไกล่เกลี่ยด้วย

วรรค 3 หากเป็นเรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนตัวของคู่ความผู้พิพากษาควรพิจารณาว่าจะมีวิธีแก้ข้อโต้แย้ง โดยการเจรจากันหรือใช้อนุญาโตตุลาการ ตามกฎเกณฑ์มาตรา 17131716

มาตรา 1447 ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในคดีใดคดีหนึ่ง ในฐานะผู้พิพากษาผู้ผดุงความยุติธรรม ผู้ปกป้องพันธะ อัยการ ทนาย พยาน หรือผู้เชี่ยวชาญหลังจากนั้น ไม่สามารถตัดสินความคดีเดียวกันในศาลชั้นอื่น ในฐานะผู้พิพากษาหรือผู้ช่วยผู้พิพากษา

มาตรา 1448 วรรค 1 ผู้พิพากษาต้องไม่รับพิจารณาคดีที่ผู้พิพากษานั้นมีส่วนได้ส่วนเสียเนื่องจากเป็นญาติสายโลหิต หรือเป็นสังคญาติไม่ว่าในขั้นใดของสายตรงและจนถึงขั้นที่สี่ของสายขนาน หรือเนื่องจากเป็นผู้ปกครองหรือผู้ดูแลผลประโยชน์หรือเนื่องจากความสนิทชิดเชื้อหรือความชิงชังอย่างมากหรือเพราะหวังผลประโยชน์ หรือหลีกเลี่ยงความเสียหาย

วรรค 2 ในกรณีดังกล่าว ผู้ผดุงความยุติธรรม ผู้ปกป้องพันธะ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้สอบคดี ต้องงดทำหน้าที่ของตน

มาตรา 1449 วรรค 1 ในกรณีดังกล่าวในมาตรา 1448 หากผู้พิพากษาไม่งดเว้นทำหน้าที่ของตน คู่ความสามารถคัดค้านเขาได้

วรรค 2 ผู้ช่วยพระสังฆราชด้านศาล ต้องจัดการเรื่องการคัดค้านนี้ หากเขาเองเป็นผู้ถูกคัดค้าน พระสังฆราชผู้รับผิดชอบศาล ต้องจัดการ

วรรค 3 หากพระสังฆราชเป็นผู้พิพากษาและถูกค้าน ท่านต้องงดจากการเป็นผู้พิพากษา

วรรค 4 หากเป็นการคัดค้านต่อผู้ผดุงความยุติธรรม ผู้ปกป้องพันธะหรือเจ้าหน้าที่อื่นๆ ในศาล ประธานของศาลที่เป็นองค์คณะ หรือผู้พิพากษาเองถ้าเป็นคนเดียว ต้องจัดการกับการคัดค้านนี้

มาตรา 1450 กรณีที่การค้านมีผล บุคคลต้องเปลี่ยนส่วนระดับชั้นศาลไม่เปลี่ยนมาตรา 1451 วรรค 1ปัญหาเรื่องการคัดค้านต้องแก้ไขโดยเร็วที่สุด โดยฟังคู่ความและฟังผู้ผดุงความยุติธรรม หรือผู้ปกป้องพันธะ หากพวกเขาอยู่ในศาลและไม่ถูกคัดค้านเอง

วรรค 2 สิ่งที่ผู้พิพากษาทำก่อนการคัดค้านมีผลตามกฎหมายสิ่งที่ทำหลังการยื่นการคัดค้านต้องถูกยกเลิก หากคู่ความยื่นคำร้องภายใน 10 วันนับจากวันที่ศาลรับการคัดค้าน

มาตรา 1542 วรรค 1 ในเรื่องที่เกี่ยวกับผลประโยชน์ส่วนบุคคลเท่านั้นผู้พิพากษาสามารถดำเนินคดีได้ เมื่อคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งขอร้องเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อมีการนำคดีขึ้นสู่ศาลอย่างถูกต้องแล้ว ในคดีอาญาหรือในคดีอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับความดีสาธารณะของพระศาสนจักรหรือความรอดของวิญญาณ ผู้พิพากษาสามารถและต้องดำเนินคดีโดยหน้าที่ด้วย

วรรค 2 ยิ่งกว่านั้น เพื่อทดแทนการละเลยของคู่คดีผู้พิพากษาสามารถจัดหาหลักฐานพิสูจน์ หรือข้อท้วงติงคัดค้านเมื่อเห็นว่าจำเป็น เพื่อหลีกเลี่ยงการตัดสินที่ไม่ยุติธรรมอย่างร้ายแรงโดยคงไว้ซึ่งกฎหมายมาตรา 1600

มาตรา 1453 โดยรักษาไว้ซึ่งความยุติธรรม ผู้พิพากษาและศาลต่างๆต้องเอาใจใส่ให้คดีทั้งหลายต้องปิดโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้สำหรับศาลชั้นต้นต้องปิดคดีภายใน 1 ปี และศาลชั้นที่สองภายใน 6 เดือน

มาตรา 1454 ทุกคนที่ประกอบขึ้นเป็นศาล หรือเจ้าหน้าที่ในศาล ต้องสาบานตนว่าจะปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง และซื่อสัตย์

มาตรา 1455 วรรค 1 ในคดีอาญา ผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ศาลจะต้องรักษาความลับของการปฏิบัติหน้าที่เสมอส่วนในคดีแพ่งก็ต้องรักษาความลับหากการเปิดเผยส่วนใดส่วนหนึ่งของขบวนการพิจารณาคดีสามารถมีผลให้คู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับความเสียหาย

วรรค 2 พวกเขายังต้องรักษาความลับเสมอเกี่ยวกับการปรึกษากันในคณะผู้พิพากษาในศาลองค์คณะก่อนการตัดสินและเรื่องที่เกี่ยวกับการลงคะแนนเสียงและความเห็นต่างๆ ขณะทำการปรึกษากันโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดตามมาตรา 1609 วรรค 4

วรรค 3 ยิ่งกว่านั้น เมื่อไดก็ตาม ที่รูปคดี หรือหลักฐานพิสูจน์เป็นไปในลักษณะที่ทำให้ผู้อื่นเสียชื่อเสียงโดยการเปิดเผยขบวนการพิจารณคดีหรือหลักฐาน หรือเป็นสาเหตุให้เกิดการแตกแยกหรือเป็นที่สะดุด หรือก่อให้เกิดความเสียหายในลักษณะเดียวกันผู้พิพากษาสามารถบังคับให้พยาน ผู้เชี่ยวชาญ คู่คดี และทนายหรือตัวแทนของคู่คดี ทำการสาบานตน เพื่อรักษาความลับ

มาตรา 1456 ห้ามผู้พิพากษา และเจ้าหน้าที่ศาลทุกคนรับของกำนัลใดๆ ในโอกาสปฏิบัติหน้าที่ในการทำคดี

มาตรา 1457 วรรค 1 ผู้พิพากษาที่มีอำนาจแน่นอนและชัดเจนแต่ปฏิเสธการพิจารณาคดี หรือผู้พิพากษาที่ไม่มีอำนาจทางกฎหมายแต่ประกาศว่ามีอำนาจ และทำการพิจารณา และตัดสินคดีหรือผู้พิพากษาที่ละเมิดกฎหมายรักษาความลับหรือก่อให้เกิดความเสียหายอื่นแก่คู่คดี โดยใช้เล่ห์เหลี่ยมหรือละเลยการปฏิบัติหน้าที่อย่างร้ายแรงสามารถถูกลงโทษโดยผู้ใหญ่ผู้มีอำนาจด้วยโทษที่เหมาะสมไม่เว้นแม้การถูกปลดจากหน้าที่ด้วย

วรรค 2 เจ้าหน้าที่ และบุคลากรในศาล ที่บกพร่องในหน้าที่ของตนดังกล่าวมาแล้ว ต้องโทษเดียวกัน ผู้พิพากษาสามารถลงโทษพวกเขาทุกคนด้วย

หมวด 2 ขั้นตอนการพิจารณาคดี

มาตรา 1458 คดีต่างๆ ต้องดำเนินตามลำดับที่ได้รับเรื่องไว้และบันทึกในทะเบียนคดี เว้นแต่บางคดีจากคดีต่างๆ เหล่านี้ต้องดำเนินอย่างเร่งด่วนมากกว่าคดีอื่นๆ ซึ่งต้องกำหนดไว้ด้วยคำสั่งพิเศษที่ระบุเหตุผลประกอบด้วย

มาตรา 1459 วรรค 1 ข้อบกพร่องใดๆ ที่มีผลทำให้การตัดสินเป็นโมฆะสามารถนำเข้าสู่ศาล ในฐานะเป็นข้อท้วงติงคัดค้านไม่ว่าในขั้นตอนใดหรือในชั้นใดของศาล เช่นเดียวกันผู้พิพากษาสามารถประกาศข้อบกพร่องนี้เองโดยหน้าที่

วรรค 2 นอกจากกรณีตามวรรค 1 แล้ว ข้อท้วงติงที่ประวิงเวลาเป็นต้นที่เกี่ยวกับบุคคล หรือวิธีการดำเนินคดีต้องเสนอก่อนการกำหนดประเด็นปัญหา ยกเว้นข้อท้วงติงนั้นเพิ่งเกิดหลังการกำหนดประเด็นปัญหาแล้วและต้องจัดการเกี่ยวกับข้อท้วงติงเหล่านี้โดยเร็วที่สุด

มาตรา 1460 วรรค 1 หากข้อท้วงติงเป็นเรื่องเกี่ยวกับอำนาจของผู้พิพากษา ให้ผู้พิพากษานั้นจัดการ

วรรค 2 ในกรณีที่ข้อท้วงติงเกี่ยวกับความไม่มีอำนาจที่ไม่เด็ดขาด และหากผู้พิพากษายืนยันว่ามีอำนาจจะอุทธรณ์ต่อการตัดสินใจของผู้พิพากษาไม่ได้ อย่างไรก็ตามไม่ห้ามการร้องเรียนเรื่องความเป็นโมฆะ และเรื่องการกลับคืนสู่สถานภาพเดิมอย่างครบถ้วน

วรรค 3 แต่ถ้าผู้พิพากษาประกาศว่าตนเองไม่มีอำนาจ คู่คดีที่คิดว่าตัวเองได้รับความเสียหาย สามารถอุทธรณ์ต่อศาลได้ภายใน 15 วันทำงาน

มาตรา 1461 ผู้พิพากษาที่รู้ว่าว่าตนเองไม่มีอำนาจอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าในขั้นตอนใดของการพิจารณาคดี ต้องประกาศถึงความไม่มีอำนาจของตน

มาตรา 1462 วรรค 1 ข้อท้วงติงในเรื่องที่ตัดสินแล้วหรือในเรื่องที่ตกลงกันแล้ว และในเรื่องอื่นๆ ที่ปิดคดีแล้วซึ่งเรียกว่าข้อท้วงติงคดีที่ตัดสินแล้ว (litis finitae) ต้องถูกเสนอและต้องได้รับการตรวจสอบก่อนการกำหนดประเด็นปัญหาผู้ที่เสนอข้อท้วงติงเหล่านี้ภายหลังจะต้องไม่ถูกปฏิเสธแต่ต้องถูกปรับเสียค่าใช้จ่าย เว้นไว้แต่ว่ามีข้อพิสูจน์ว่าการเสนอดังกล่าวไม่ได้เป็นการประวิงเวลาโดยมีเจตนาไม่ดี

วรรค 2 ข้อท้วงติงที่เด็ดขาดอื่นๆต้องเสนอเข้ามาในระหว่างการกำหนดประเด็นปัญหาและต้องได้รับการพิจารณาในเวลาที่เหมาะสมตามกฎระเบียบที่เกี่ยวกับปัญหาแทรกโดยเฉพาะ

มาตรา 1463 วรรค 1 การฟ้องกลับไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เว้นแต่เมื่อทำภายใน 30 วันนับจากวันกำหนดประเด็นปัญหา

วรรค 2 อย่างไรก็ตามการฟ้องกลับต้องได้รับการพิจารณาพร้อมกับสำนวนการฟ้องเดิม กล่าวคือต้องกระทำในศาลชั้นเดียวกัน เว้นแต่มีความจำเป็นที่ต้องพิจารณาแยกกันหรือเมื่อผู้พิพากษาเห็นควรว่าการพิจารณาแยกกันเหมาะกว่า

มาตรา 1464 ปัญหาใด ๆที่เกี่ยวกับการวางเงินมัดจำสำหรับค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีหรือการให้ความช่วยเหลือทางศาลโดยไม่คิดเงินเมื่อมีการร้องขอตั้งแต่เริ่มฟ้องคดี และปัญหาอื่นๆ เช่นนี้ โดยปกติต้องพิจารณาก่อนการกำหนดประเด็นปัญหา

 

หมวด 3 การกำหนดเวลา และการขยายเวลา

มาตรา 1465 วรรค 1 ชะตากรรมกฎหมาย (fatalia legis) กล่าวคือเวลาที่กำหนดไว้โดยกฎหมาย เพื่อทำให้สิทธิตามกฎหมายสิ้นสุดลงและไม่สามารถขยายหรือตัดทอนอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้ เว้นแต่คู่คดีร้องขอ

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ก่อนที่กำหนดเวลาตามกฎหมายหรือที่ตกลงกันจะสิ้นสุดลงผู้พิพากษาสามารถขยายกำหนดเวลาใหม่ได้เมื่อมีเหตุอันสมควรหลังจากได้ฟังคู่คดีแล้ว หรือเมื่อคู่คดีขอร้อง อย่างไรก็ดีกำหนดเวลาดังกล่าวต้องไม่สามารถทำให้สั้นลงอย่างถูกต้องตามกฎหมายได้เว้นแต่คู่คดียินยอม

วรรค 3 นอกจากนั้น ผู้พิพากษาต้องพิจารณาด้วยว่า คดีจะไม่ยืดเยื้อเกินไป เพราะสาเหตุการขยายเวลาดังกล่าว

มาตรา 1466 กรณีที่กฎหมายไม่ได้กำหนดระยะเวลาการดำเนินคดีผู้พิพากษาต้องกำหนดเอง โดยพิจารณาธรรมชาติของการดำเนินคดีแต่ละขั้นตอน

มาตรา 1467 หากศาลปิดทำการในวันครบกำหนด ให้ขยายเวลาไปยังวันทำการถัดไป ซึ่งไม่ตรงกับวันหยุด

 

หมวด 4 สถานที่พิจารณาคดี

มาตรา 1468 เท่าที่เป็นไปได้ ศาลแต่ละแห่งต้องมีสถานที่แน่นอน และเปิดทำการตามเวลาที่กำหนด

มาตรา 1469 วรรค 1 ผู้พิพากษาที่ถูกใช้กำลังบังคับให้ออกจากเขตแดนของตนหรือถูกห้ามใช้อำนาจในที่นั้น สามารถใช้อำนาจของตนและให้คำตัดสินนอกเขตแดนของตนได้ อย่างไรก็ตามผู้พิพากษานั้นควรแจ้งเรื่องให้พระสังฆราชสังฆมณฑลทราบ

วรรค 2 นอกจากกรณีดังกล่าวตามวรรค 1 แล้ว เมื่อมีเหตุสมควรและหลังจากฟังคู่คดีแล้ว ผู้พิพากษาสามารถเดินทางออกนอกเขตแดนของตนได้เพื่อหาหลักฐานพิสูจน์โดยได้รับอนุญาตจากพระสังฆราชสังฆมณฑลของสถานที่ซึ่งเขาเข้าไป และในสถานที่ที่พระสังฆราชระบุไว้

 

หมวด 5 ผู้ที่สามารถเข้าฟังการพิจารณาคดี และวิธีการรวบรวม และเก็บรักษาเอกสาร

มาตรา 1470 วรรค 1 นอกจากกฎหมายเฉพาะระบุไว้เป็นอย่างอื่นขณะที่คดีกำลังดำเนินการอยู่ ณ ศาลใด เฉพาะบุคคลเหล่านั้น ซึ่งกฎหมายหรือผู้พิพากษาตัดสินว่าจำเป็นเพื่อให้คดีดำเนินไป ต้องอยู่ในศาล

วรรค 2 เจ้าหน้าที่ทุกคนที่ช่วยในศาลที่ขาดความคารวะและความนอบน้อมที่ควรมีต่อศาลอย่างร้ายแรงผู้พิพากษาสามารถลงโทษด้วยโทษที่เหมาะสมให้กลับไปทำหน้าที่ นอกนั้นผู้พิพากษาสามารถสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ของทนายและอัยการได้ ในศาลต่างๆของพระศาสนจักร

มาตรา 1471 หากผู้ถูกไต่สวน ไม่พูดภาษาที่ผู้พิพากษาหรือคู่คดีรู้จักให้ใช้ล่ามที่สาบานตน และผู้พิพากษาแต่งตั้ง อย่างไรก็ตามให้จดบันทึกคำให้การตามภาษาเดิม และเพิ่มคำแปลด้วย เช่นเดียวกันถ้าคนหูหนวก หรือคนใบ้ ต้องถูกไต่สวน ให้ใช้ล่ามด้วย เว้นไว้แต่ว่าบังเอิญผู้พิพากษาชอบมากกว่าให้ผู้นั้นตอบคำถามที่เขาถามโดยการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 1472 วรรค 1 เอกสารทางศาล ทั้งสำนวนคดี กล่าวคือเรื่องที่เกี่ยวกับผลของการสอบสวน ทั้งขบวนการศาล กล่าวคือเรื่องที่เกี่ยวกับขั้นตอนการดำเนินงานศาล ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร

วรรค 2 เอกสารคดีแต่ละแผ่น ต้องใส่หมายเลข และประทับตรา

มาตรา 1473 เมื่อใดก็ตาม ที่ต้องลงลายมือชื่อของคู่คดีหรือของพยานในเอกสารทางศาล หากคู่คดีหรือพยานไม่สามารถหรือไม่ลงลายมือชื่อให้บันทึกเรื่องนี้ไว้ในเอกสารด้วย ขณะเดียวกันทั้งผู้พิพากษาและนายทะเบียนศาลต้องยืนยันว่าได้อ่านสำนวนคดีแบบคำต่อคำให้คู่คดีหรือพยานฟังแล้ว และคู่คดีหรือพยาน ไม่สามารถ หรือไม่ยอมลงลายมือชื่อ

มาตรา 1474 วรรค 1 ในกรณีการอุทธรณ์ ต้องส่งสำเนาเอกสารคดีที่มีการรับรองความถูกต้อง โดยนายทะเบียนศาลไปยังศาลสูงถัดไป

วรรค 2 หากเอกสารคดีเขียนเป็นภาษาที่ศาลสูงถัดไปไม่รู้จักต้องแปลเป็นภาษาที่ศาลรู้จักและมีการรับรองว่าการแปลนั้นตรงตามเอกสารคดีอย่างถูกต้องโดยใช้ความระมัดระวังแล้ว

มาตรา 1475 วรรค 1 เมื่อคดีความสิ้นสุดแล้ว ให้คืนเอกสารต่างๆ ที่เป็นของแต่ละบุคคล โดยทำสำเนาเก็บไว้ 1 ชุด

 

ลักษณะ 4 คู่คดีในคดีความ

หมวด 1 โจทก์ และจำเลย

มาตรา 1476 บุคคลใดไม่ว่า ที่ได้รับศีลล้างบาปหรือไม่ก็ตามมีสิทธิในการฟ้องร้องคดี อย่างไรก็ดี บุคคลที่ถูกหมายศาลเรียกตัวโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องมาให้การ

มาตรา 1477 แม้ว่าโจทก์ หรือจำเลยสามารถแต่งตั้งผู้แทนหรือทนายของตนได้ แต่ตัวเขาเองต้องมาขึ้นศาลเสมอตามคำสั่งของกฎหมายหรือผู้พิพากษา

มาตรา 1478 วรรค 1 ผู้เยาว์ และผู้ที่ไม่สามารถใช้เหตุผลด้วยตนเองได้ขึ้นศาลโดยทางบิดามารดา ผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาลเท่านั้นโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของวรรค 3

วรรค 2 หากผู้พิพากษาเห็นว่าสิทธิของผู้เยาว์ขัดกับสิทธิของบิดามารดาผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาลหรือเห็นว่าบุคคลดังกล่าวไม่สามารถพิทักษ์สิทธิของผู้เยาว์ได้อย่างเพียงพอให้ผู้พิพากษาแต่งตั้งผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาลทำหน้าที่แทนในศาล

วรรค 3 แต่สำหรับคดีฝ่ายวิญญาณหรือคดีที่เกี่ยวพันกับฝ่ายวิญญาณหากผู้เยาว์รู้ความแล้ว ก็สามารถขึ้นศาลชี้แจงหรือตอบคำถามเองได้โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากบิดามารดา หรือผู้พิทักษ์ เมื่อพวกเขามีอายุครบ14 ปี พวกเขาสามารถขึ้นศาลได้เอง มิฉะนั้น ให้ขึ้นศาลโดยทางผู้อนุบาลที่ได้รับการแต่งตั้งจากผู้พิพากษา

วรรค 4 ผู้ที่ถูกถอนสิทธิในการจัดการทรัพย์สินของตน และผู้ที่พิการทางสมองสามารถขึ้นศาลได้เพื่อตอบคำถามที่เกี่ยวกับความผิดของตนเองเท่านั้นหรือเมื่อผู้พิพากษาสั่งสำหรับคดีอื่นๆ พวกเขาต้องให้การและตอบคำถามโดยทางผู้อนุบาล

มาตรา 1479 เมื่อใดก็ตามที่มีผู้พิทักษ์หรือผู้อนุบาลได้รับการแต่งตั้งโดยอำนาจฝ่ายบ้านเมืองผู้พิพากษาฝ่ายพระศาสนจักรสามารถยอมรับบุคคลผู้นั้นได้หากเป็นไปได้หลังจากได้ปรึกษากับพระสังฆราชสังฆมณฑลของบุคคลที่มีผู้พิทักษ์หรือผู้อนุบาลแล้ว แต่ถ้าไม่มีผู้พิทักษ์ หรือผู้อนุบาลหรือไม่เห็นว่าควรรับ ผู้พิพากษาจะแต่งตั้งผู้พิทักษ์หรือผู้อนุบาลสำหรับคดีนั้นเอง

มาตรา 1480 วรรค 1 นิติบุคคลขึ้นศาลโดยตัวแทนที่ชอบด้วยกฎหมาย

วรรค 2 ในกรณีที่ไม่มีตัวแทน หรือตัวแทนเพิกเฉย ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเอง สามารถขึ้นศาลด้วยตนเอง หรือโดยผู้อื่นในนามของนิติบุคคล ซึ่งอยู่ใต้อำนาจปกครองของท่าน

 

หมวด 2 ตัวแทน และทนาย

มาตรา 1481 วรรค 1 คู่คดีสามารถแต่งตั้งทนายหรือตัวแทนของตนได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม ยกเว้นคดีที่ระบุไว้ในวรรค 2 และวรรค 3คู่คดีสามารถยื่นคำร้องหรือตอบคำถามเองได้เว้นแต่เมื่อผู้พิพากษาเห็นว่ามีความจำเป็นต้องใช้ตัวแทน หรือทนาย

วรรค 2 ผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา ต้องมีทนายเสมอ ไม่ว่าจะแต่งตั้งโดยตนเอง หรือผู้พิพากษาจัดหาให้

วรรค 3 สำหรับคดีแพ่งที่เกี่ยวพันถึงผู้เยาว์ หรือความดีสาธารณะผู้พิพากษาโดยตำแหน่ง ต้องแต่งตั้งผู้ปกป้องให้แก่ฝ่ายที่ยังไม่มียกเว้นคดีแต่งงาน

มาตรา 1482 วรรค 1 บุคคลใดก็ตาม สามารถแต่งตั้งตัวแทนได้เพียงคนเดียวตัวแทนนี้ไม่สามารถแต่งตั้งผู้อื่นแทนตนได้ เว้นแต่ได้รับอำนาจอย่างแจ้งชัด

วรรค 2 แต่หากคู่คดีแต่งตั้งตัวแทนหลายคน โดยมีเหตุผลสมควรพวกเขาต้องได้รับการระบุในลักษณะที่ว่า เมื่อคนหนึ่งทำหน้าที่คนอื่นไม่ต้องทำ

วรรค 3 อย่างไรก็ตาม ทนายหลายคนสามารถได้รับการแต่งตั้งพร้อมกันได้

มาตรา 1483 ตัวแทน และทนาย อย่างน้อยต้องเป็นผู้บรรลุนิติภาวะและมีประวัติดี ยิ่งไปกว่านั้น ทนายต้องเป็นคาทอลิก เว้นไว้แต่ว่าพระสังฆราชสังฆมณฑลอนุญาตให้เป็นอย่างอื่นและต้องได้รับปริญญาเอกทางกฎหมายพระศาสนจักรหรือมิฉะนั้นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญจริง และได้รับการรับรองโดยพระสังฆราชองค์เดียวกัน

มาตรา 1484 วรรค 1 ก่อนปฏิบัติหน้าที่ของตน ตัวแทน และทนาย ต้องมอบใบแต่งตั้งที่แท้จริงต่อศาล

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม เพื่อป้องกันการเสียสิทธิผู้พิพากษาสามารถให้ตัวแทนทำหน้าที่ แม้ยังไม่แสดงใบแต่งตั้งทั้งนี้ต้องมีมาตรการป้องกันที่เหมาะสม ถ้าจำเป็น อย่างไรก็ตามทุกสิ่งที่ทำไม่มีผลบังคับใดๆ ถ้าตัวแทนไม่แสดงใบแต่งตั้งภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างเด็ดขาด ตามที่ผู้พิพากษาระบุไว้

มาตรา 1485 หากไม่ได้รับใบแต่งตั้งพิเศษแล้วตัวแทนไม่สามารถทำอย่างถูกต้องตามกฎหมาย กล่าวคือ บอกเลิกคดี ขั้นตอนหรือขบวนการทางศาลทั้งหลาย ทั้งไม่สามารถทำการประนีประนอม ตั้งข้อต่อรองให้อนุญาโตตุลาการไกล่เกลี่ย และกล่าวโดยรวม การกระทำใดๆ ก็ตามที่กฎหมายเรียกร้องใบแต่งตั้งพิเศษ

มาตรา 1486 วรรค 1 เพื่อให้การถอดถอนตัวแทน หรือทนายมีผลจำเป็นต้องแจ้งให้พวกเขาทราบ ถ้าการกำหนดประเด็นปัญหาได้เกิดขึ้นแล้วต้องแจ้งการถอดถอนให้ผู้พิพากษา และคู่คดีอีกฝ่ายหนึ่งทราบด้วย

วรรค 2 เมื่อการตัดสินสิ้นสุดแล้ว สิทธิและหน้าที่ในการอุทธรณ์ยังเป็นของตัวแทน ถ้าผู้มอบอำนาจไม่ปฏิเสธ

มาตรา 1487 เมื่อมีเหตุผลสำคัญ ผู้พิพากษาโดยตำแหน่ง หรือเมื่อได้รับการร้องขอจากคู่คดี สามารถออกหมายสั่งปลดตัวแทนหรือทนายได้

มาตรา 1488 วรรค 1 ห้ามทั้งตัวแทนและทนายรับสินบนหรือเรียกร้องสินจ้างเกินควรหรือเรียกร้องส่วนแบ่งในทรัพย์สินที่เป็นความกัน หากพวกเขาทำเช่นนั้นข้อตกลงที่ทำขึ้นถือเป็นโมฆะ และผู้พิพากษาสามารถปรับสินไหมพวกเขาได้ยิ่งไปกว่านั้นพระสังฆราชที่รับผิดชอบศาลนั้นสามารถสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ของทนายดังกล่าวและลบชื่อออกจากรายชื่อทนายได้ หากเรื่องเกิดขึ้นอีก

วรรค 2 ทนาย และตัวแทนสามารถถูกโทษเดียวกันหากพวกเขาถอนคดีจากศาลที่มีอำนาจโดยใช้เล่ห์เหลี่ยมทางกฎหมายและให้ศาลอื่นตัดสินที่ให้ประโยชน์มากกว่า

มาตรา 1489 ทนาย และตัวแทนซึ่งทรยศต่อหน้าที่เพราะเห็นแก่อามิสสินจ้าง หรือคำสัญญา หรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตามต้องถูกพักการปฏิบัติหน้าที่ และถูกปรับสินไหม หรือต้องโทษด้วยโทษที่เหมาะสม

มาตรา 1490 เท่าที่ทำได้ ในศาลแต่ละแห่ง ต้องแต่งตั้งผู้ปกป้องถาวรโดยได้รับเงินเดือนจากศาล เพื่อปฏิบัติหน้าที่เป็นทนายหรือตัวแทนแก่คู่คดีซึ่งปรารถนาเลือกพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดีแต่งงาน

 

ลักษณะ 5 การดำเนินคดี และการคัดค้าน

หมวด 1 การดำเนินคดี และการคัดค้านทั่วไป

มาตรา 1491 สิทธิใดก็ตามได้รับการปกป้องไว้มิเพียงเฉพาะโดยการดำเนินคดีเท่านั้น แต่โดยการคัดค้านด้วยเว้นไว้แต่ว่ามีกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นอย่างชัดแจ้ง

มาตรา 1492 วรรค 1 การดำเนินคดีทุกครั้งสิ้นสุดลงโดยข้อกำหนดตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายหรือโดยวิธีอื่นที่ชอบด้วยกฎหมายยกเว้นการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลผู้ซึ่งไม่มีการสิ้นสุดเลย

วรรค 2 การคัดค้านทำได้เสมอ และถาวรโดยธรรมชาติของมันเอง โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา

มาตรา 1473 โจทก์สามารถฟ้องจำเลยได้หลายข้อหาในเวลาเดียวกันโดยจากเป็นเรื่องเดียวกัน หรือหลายเรื่องก็ได้แต่ข้อหาเหล่านั้นต้องไม่ขัดแย้งกันเอง และต้องไม่เป็นเรื่องนอกอำนาจของศาลที่ยื่นฟ้อง

มาตรา 1494 วรรค 1 จำเลยสามารถฟ้องแย้งโจทก์ได้ต่อผู้พิพากษาคนเดียวกันและในศาลเดียวกันไม่ว่าเพราะความเกี่ยวพันของกรณีกับการดำเนินคดีหลักหรือเพื่อทำให้การฟ้องของโจทก์ตกไป หรือลดความรุนแรงลง

วรรค 2 ศาลไม่รับการฟ้องแย้ง ต่อการฟ้องแย้ง

มาตรา 1495 การฟ้องแย้งต้องยื่นแก่ผู้พิพากษาผู้ซึ่งได้รับการยื่นฟ้องครั้งแรกแม้ว่าผู้พิพากษานั้นรับมอบอำนาจให้ทำคดีเพียงคดีเดียวเท่านั้นหรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้พิพากษาที่ไม่มีอำนาจแบบไม่เด็ดขาด

 

หมวด 2 การดำเนินคดี และการคัดค้านเฉพาะ

มาตรา 1496 วรรค 1 บุคคลผู้ซึ่งอย่างน้อยอ้างเหตุผลที่เป็นไปได้เพื่อแสดงสิทธิเหนือสิ่งที่ผู้อื่นครอบครองอยู่และเพื่อชี้อันตรายที่จวนจะเกิดขึ้นต่อสิ่งนั้น ถ้าไม่ได้รับการเก็บรักษามีสิทธิขอให้ผู้พิพากษาอายัดสิ่งนั้นได้

วรรค 2 ในสถานการณ์คล้ายกัน บุคคลหนึ่งสามารถขอคำสั่งเพื่อมิให้บุคคลอื่นใช้สิทธิได้

มาตรา 1497 วรรค 1 การอายัดสิ่งของกระทำได้เช่นกัน เพื่อเป็นหลักประกันหนี้ ขอแต่ให้สิทธิของเจ้าหนี้ปรากฏชัดอย่างเพียงพอ

วรรค 2 การอายัดสามารถครอบคลุมไปถึงทรัพย์สินของลูกหนี้ซึ่งอยู่ในครอบครองของผู้อื่น ไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตามและยังคงเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้อยู่

มาตรา 1498 การอายัดสิ่งของ และการห้ามใช้สิทธิไม่สามารถออกเป็นคำสั่งได้หากอันตรายที่เกรงว่าจะเกิดต่อทรัพย์นั้นสามารถซ่อมแซมได้และมีหลักประกันที่เหมาะสมว่าจะสามารถซ่อมแซมได้

มาตรา 1499 ผู้พิพากษาผู้ซึ่งให้มีการอายัดสิ่งของหรือให้มีการห้ามใช้สิทธิสามารถกำหนดเงื่อนไขให้บุคคลผู้ขอการอายัดมีหน้าที่แรกที่จะต้องชดใช้ความเสียหาย หากว่าสิทธิของเขาพิสูจน์ไม่ได้

มาตรา 1500 ในเรื่องเกี่ยวกับธรรมชาติและอำนาจของการดำเนินคดีเพื่อการครอบครองต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายบ้านเมืองของสถานที่ที่สิ่งของที่ถูกครอบครองนั้นตั้งอยู่

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาค 2 คดีแพ่ง

 

ตอน 1 คดีแพ่งธรรมดา

ลักษณะ 1 การเริ่มคดี

หมวด 1 หนังสือฟ้องร้องเพื่อเริ่มคดีความ

มาตรา 1501 ผู้พิพากษาไม่สามารถพิจารณาคดีใดๆ ได้ เว้นไว้แต่ว่าคู่คดีที่เกี่ยวข้อง หรือผู้ผดุงความยุติธรรมได้ยื่นคำร้องขึ้นสู่ศาลตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพระศาสนจักร

มาตรา 1502 บุคคลผู้ที่ประสงค์จะฟ้องผู้อื่นต้องเสนอหนังสือฟ้องร้องต่อผู้พิพากษาที่มีอำนาจ ในหนังสือฟ้องนั้น ต้องอธิบายข้อขัดแย้งและขอให้ผู้พิพากษาตัดสินความ

มาตรา 1503 วรรค 1 ผู้พิพากษาอาจรับคำฟ้องด้วยวาจาได้เมื่อโจทก์ถูกขัดขวางไม่ให้เสนอหนังสือฟ้องร้อง หรือเมื่อเป็นคดีที่สามารถสืบสวนได้ง่าย หรือมิใช่เป็นคดีที่สำคัญ

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ในทั้งสองกรณีผู้พิพากษาจะต้องให้นายทะเบียนศาลบันทึกคำฟ้องไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและต้องอ่านให้โจทก์ฟัง และรับรองคำฟ้องนั้นและสิ่งนี้ใช้แทนคำฟ้องที่เขียนโดยโจทก์ และมีผลทั้งหมดตามกฎหมาย

มาตรา 1504 หนังสือฟ้องร้องที่เริ่มคดีความ ต้อง:

1.       ระบุว่าจะฟ้องคดีนั้นกับผู้พิพากษาคนใด ฟ้องเรื่องอะไร และใครเป็นผู้ฟ้อง

2.       ระบุพื้นฐานของสิทธิของโจทก์ และอย่างน้อยระบุข้อเท็จจริง และหลักฐานทั่วๆ ไปที่ใช้พิสูจน์เรื่องที่กล่าวหา

3.       มีโจทก์ หรืออัยการ ลงนามรับรอง พร้อมกับระบุวัน เดือน และปีเช่นเดียวกัน ที่อยู่ของโจทก์ หรือของอัยการหรือสถานที่ที่เขาบอกว่าเขาอาศัยอยู่เพื่อรับหมายศาลด้วย

4.       ระบุภูมิลำเนา หรือกึ่งภูมิลำเนาของจำเลย

มาตรา 1505 วรรค 1 เมื่อผู้พิพากษาเดี่ยวหรือประธานผู้พิพากษาที่เป็นองค์คณะได้เห็นว่าทั้งเรื่องนั้นอยู่ในอำนาจของตนและโจทก์ไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายในการขึ้นศาล ผู้พิพากษานั้นต้องรับหรือปฏิเสธหนังสือฟ้องร้องด้วยคำสั่งของตนโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

วรรค 2 หนังสือฟ้องร้อง สามารถถูกปฏิเสธได้ เฉพาะเมื่อ

1.       ผู้พิพากษา หรือศาลนั้นไม่มีอำนาจ

2.       เป็นที่แน่ชัดโดยไม่มีข้อสงสัยว่า โจทก์ขาดคุณสมบัติตามกฎหมายในการขึ้นศาล

3.       ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1504 ข้อ 1-3

4.       เป็นที่ชัดแจ้งว่า หนังสือฟ้องร้องนั้นไม่มีมูลใดๆ และเป็นไปไม่ได้ ที่จะให้มีมูลขึ้นมาจากกระบวนการพิจารณาคดี

วรรค 3 หากหนังสือฟ้องร้องถูกปฏิเสธเพราะข้อบกพร่องซึ่งสามารถแก้ไขได้โจทก์ก็สามารถเขียนหนังสือฟ้องร้องใหม่ให้ถูกต้องและยื่นต่อผู้พิพากษาคนเดิมได้อีก

วรรค 4 คู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง มีสิทธิเสมอภายในเวลา 10 วันทำงานเพื่อเสนอคำร้องขอที่มีเหตุผลด้านการปฏิเสธหนังสือฟ้องร้องต่อศาลอุธรณ์หรือต่อศาลที่เป็นองค์คณะหากหนังสือฟ้องร้องนั้นได้ถูกปฏิเสธโดยประธานศาลที่เป็นองค์คณะนั้นปัญหาเรื่องการปฏิเสธนั้นจะต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้

มาตรา 1506 หากภายในเวลา 1 เดือนนับจากวันยื่นหนังสือฟ้องร้อง ผู้พิพากษาไม่ออกหมายศาลว่าจะรับหรือปฏิเสธหนังสือฟ้องร้องนั้น ตามข้อกำหนดของกฎหมาย มาตรา 1505 คู่คดีที่เกี่ยวข้อง สามารถเรียกร้องให้ผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไรก็ตาม หากผู้พิพากษายังคงเงียบเฉยอีกเป็นเวลา 10 วันหลังการเรียกร้องของคู่คดี ให้ถือว่าผู้พิพากษารับหนังสือฟ้องแล้ว

 

หมวด 2 หมายศาล และการประกาศหมายศาล

มาตรา 1507 วรรค 1 ในคำสั่งที่ศาลตอบรับหนังสือฟ้องร้องของโจทก์ผู้พิพากษา หรือประธานคณะผู้พิพากษาต้องเรียกหรือออกหมายศาลให้คู่ความอื่นๆ มาที่ศาลเพื่อระบุประเด็นปัญหาโดยกำหนดว่าคู่ความนั้นต้องตอบเป็นลายลักษณ์อักษรหรือต้องมาปรากฏตัวต่อหน้าศาลด้วยตนเอง เพื่อระบุประเด็นปัญหาเว้นแต่เมื่อดูคำตอบที่เป็นลายลักษณ์อักษรแล้วผู้พิพากษาเห็นว่าจำเป็นต้องเรียกคู่คดีทั้งสองฝ่ายมาพบกันผู้พิพากษาก็สามารถทำได้โดยใช้คำสั่งใหม่

วรรค 2 ถ้าหนังสือฟ้องร้องถูกถือว่าได้รับแล้วตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1506 ผู้พิพากษาต้องออกคำสั่งเรียกให้มาขึ้นศาลภายในเวลา 20 วันนับจากวันร้องเรียนของโจทก์ ให้กระทำการตามที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรานั้น

วรรค 3 ถ้าคู่คดีทั้งสองฝ่ายมาปรากฏตัวต่อหน้าผู้พิพากษาเพื่อดำเนินคดีแล้ว ไม่จำเป็นต้องออกหมายศาลอย่างไรก็ตามนายทะเบียนศาลต้องบันทึกไว้ในสำนวนคดีว่าคู่คดีได้มาขึ้นศาลแล้ว

มาตรา 1508 วรรค 1 คำสั่งเรียกมาขึ้นศาลต้องแจ้งทันทีแก่จำเลย และในเวลาเดียวกัน แก่บุคคลอื่นที่ต้องมาปรากฏตัว

วรรค 2 หนังสือฟ้องร้องเริ่มคดีความต้องแจ้งพร้อมกับหมายศาลเว้นไว้แต่ว่าเมื่อมีเหตุผลสำคัญผู้พิพากษาพิจารณาว่าไม่ต้องแจ้งหนังสือฟ้องร้องให้จำเลยทราบก่อนที่จำเลยจะให้การในศาล

วรรค 3 ถ้าคดีความเป็นการฟ้องผู้ที่ไม่สามารถใช้สิทธิของตนได้อย่างเสรีหรือไม่สามารถจัดการเรื่องขัดแย้งได้อย่างเสรีหมายศาลต้องถูกแจ้งไปยังผู้พิทักษ์ ผู้อภิบาลหรือผู้ปกป้องพิเศษแล้วแต่กรณี หรือแก่บุคคลที่ต้องขึ้นศาลในนามของจำเลยตามข้อกำหนดของกฎหมาย

มาตรา 1509 วรรค 1 การประกาศหมายศาล คำสั่งศาลคำพิพากษาและกิจกรรมทางศาลอื่นๆต้องกระทำตามกฎเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในกฎหมายเฉพาะโดยอาศัยการบริการทางไปรษณีย์สาธารณะ หรือโดยวิธีการอื่นที่ปลอดภัยที่สุด

วรรค 2 ข้อเท็จจริง และวิธีการแจ้งหมายศาล ต้องแสดงไว้ในสำนวนคดี

มาตรา 1510 จำเลยที่ปฏิเสธการรับเอกสารหมายศาล หรือขัดขวางไม่ให้หมายศาลมาถึงตน ให้ถือว่าได้รับหมายศาลโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว

มาตรา 1511 หากมิได้มีการแจ้งหมายศาลโดยชอบด้วยกฎหมายแล้วให้ถือว่าการกระทำของขบวนการพิจารณาเป็นโมฆะโดยคงไว้ซึ่งข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1507 วรรค 3

มาตรา 1512 เมื่อมีการแจ้งหมายศาลโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว หรือคู่คดีได้มาปรากฏตัวต่อหน้าผู้พิพากษาเพื่อดำเนินคดีแล้ว

1.       เรื่องหยุด เพื่อให้เป็น “เรื่องครบถ้วน

2.       คดีนั้นเป็นเรื่องเฉพาะของผู้พิพากษาผู้นั้น หรือของศาลนั้น ซึ่งคดีถูกยื่นฟ้อง และเป็นศาลที่มีอำนาจในด้านอื่นๆ

3.       อำนาจทางกฎหมายของผู้พิพากษาที่ได้รับมอบอำนาจ เป็นแบบมั่นคงจนว่าไม่จบลง แม้ว่าสิทธิของผู้มอบอำนาจจะสิ้นสุดลงก็ตาม

 

ลักษณะ 2 การระบุประเด็นปัญหา

มาตรา 1513 วรรค 1 การระบุประเด็นปัญหาเกิดขึ้นเมื่อคำสั่งของผู้พิพากษากำหนดข้อความของการถกเถียงที่ได้มาจากคำร้องและคำตอบของคู่คดี

วรรค 2 คำร้องและคำตอบของคู่คดี นอกจากเป็นเรื่องในหนังสือฟ้องร้องแล้วยังสามารถแสดงออกทั้งในคำตอบต่อหมายศาลหรือในการให้การด้วยวาจาต่อหน้าผู้พิพากษา อย่างไรก็ตามในคดีที่ซับซ้อนกว่า ผู้พิพากษาสามารถเรียกคู่คดีมาพบกัน เพื่อกำหนดปัญหาหรือปัญหาต่างๆ ที่จะต้องตอบในการตัดสิน

วรรค 3 คำสั่งของผู้พิพากษาต้องแจ้งให้คู่คดีทราบ เว้นไว้แต่ว่าพวกเขาตกลงประเด็นปัญหากันได้แล้ว พวกเขาสามารถร้องขอเพื่อให้ผู้พิพากษาเปลี่ยนคำสั่งได้อีก ภายในเวลา 10 วัน อย่างไรก็ตามปัญหานี้ต้องได้รับการแก้ไขโดยเร็วที่สุด โดยคำสั่งของผู้พิพากษานั้น

มาตรา 1514 เมื่อได้กำหนดข้อความของการถกเถียงแล้วข้อความนั้นไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้อีกอย่างถูกต้อง เว้นแต่มีเหตุผลสำคัญผู้พิพากษาต้องออกคำสั่งใหม่ตามคำร้องขอของคู่คดีฝ่ายหนึ่งและหลังจากได้ฟังคู่คดีอื่นๆ และได้พิจารณาเหตุผลของพวกเขาแล้ว

มาตรา 1515 เมื่อการระบุประเด็นปัญหาเกิดขึ้นแล้วผู้ครอบครองทรัพย์สินของผู้อื่นหยุดการครอบครองด้วยเจตนาดี ดังนั้นถ้าผู้ครอบครองถูกตัดสินให้คืนทรัพย์สินนั้น ผลประโยชน์ใดๆไม่ว่าที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่กำหนดประเด็นปัญหา ต้องมอบคืนด้วยและต้องชดใช้ถ้าเกิดความเสียหาย

มาตรา 1516 เมื่อการระบุประเด็นปัญหาเกิดขึ้นแล้ว ผู้พิพากษาต้องให้เวลาที่เหมาะสมแก่คู่คดี เพื่อส่งมอบและทำให้หลักฐานครบถ้วน

 

ลักษณะที่ 3 การดำเนินคดี

มาตรา 1517 การดำเนินคดีเริ่มจากการออกหมายศาลการสิ้นสุดคดีมิใช่จบลงด้วยการประกาศคำตัดสินที่เด็ดขาดแล้วเท่านั้นแต่ยังจบได้โดยวิธีอื่นๆ ที่กฎหมายกำหนด

มาตรา 1518 ถ้าคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงแก่กรรม หรือเปลี่ยนสถานภาพหรือสิ้นสุดจากหน้าที่ ซึ่งในนามของหน้าที่นั้น การฟ้องร้องได้ทำขึ้น

1.       หากคดียังไม่สรุป การดำเนินคดีจะพักไว้ จนกว่าทายาทของผู้ตาย ผู้สืบทอดตำแหน่ง หรือผู้มีส่วนได้เสียมาดำเนินคดีต่อ

2.       หากคดีสรุปแล้ว ผู้พิพากษาต้องดำเนินการต่อจนจบ โดยเรียกผู้ปกป้องถ้าเขาอยู่ มิฉะนั้นให้เรียกทายาท หรือผู้สืบตำแหน่งของผู้ตาย

มาตรา 1519 วรรค 1 ถ้าผู้พิทักษ์ ผู้อภิบาล หรือผู้ปกป้องซึ่งจำเป็นต้องมีตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1481 วรรค 1 และวรรค 3หยุดปฏิบัติหน้าที่ของตน ให้พักการดำเนินคดีไว้ก่อนระหว่างนั้น

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาต้องแต่งตั้งผู้พิทักษ์หรือผู้อภิบาลอื่นโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ผู้พิพากษาสามารถแต่งตั้งผู้ปกป้องเฉพาะคดีได้ถ้าคู่คดีละเลยที่จะจัดหาภายในระยะเวลาสั้นๆ ที่ผู้พิพากษาเองกำหนด

มาตรา 1520 ถ้ามิได้มีการดำเนินคดี ทั้งที่ไม่มีอุปสรรคขัดขวางเป็นเวลา 6 เดือน ให้ถือว่า การดำเนินคดีนั้นสิ้นสุดลงกฎหมายพิเศษอาจกำหนดระยะเวลาการสิ้นสุดคดีเป็นอย่างอื่นได้

มาตรา 1521 การสิ้นสุดคดีมีผลตามกฎหมายต่อทุกคนรวมทั้งผู้เยาว์และผู้เสมือนผู้เยาว์ และต้องประกาศอย่างเป็นทางการโดยคำนึงถึงสิทธิการร้องขอค่าชดใช้ต่างๆ จากผู้พิทักษ์ ผู้อภิบาล ผู้จัดการหรือผู้ปกป้อง ผู้ซึ่งไม่ได้พิสูจน์ว่าพวกเขาเองไม่ผิด

มาตรา 1522 การสิ้นสุด ทำให้ขบวนการต่างๆ ทางศาลสิ้นสุดลงด้วยแต่สำนวนคดียังไม่สิ้นสุด ยิ่งกว่านั้นยังสามารถใช้ดำเนินการได้ในศาลชั้นอื่นขอแต่ให้คดีนั้นเกี่ยวข้องกับบุคคลเดียวกัน และเป็นเรื่องเดียวกันส่วนบุคคลภายนอก สำนวนคดีดังกล่าวมีค่าไม่มากกว่าเป็นเพียงเอกสารเท่านั้น

มาตรา 1523 เมื่อมีการล้มเลิกคดี คู่คดีแต่ละฝ่ายต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เขาก่อขึ้น

มาตรา 1524 วรรค 1 โจทก์สามารถถอนฟ้องคดีได้ ไม่ว่าในขั้นใดหรือในชั้นใดของ ศาล ในทำนองเดียวกัน ทั้งโจทก์และจำเลยสามารถยกเลิกสำนวนคดีทั้งหมดหรือบางส่วนได้

วรรค 2 เพื่อสามารถถอนฟ้องคดีได้ ผู้พิทักษ์และผู้บริหารของนิติบุคคลต้องปรึกษาหรือได้รับการยินยอมจากผู้เกี่ยวข้องกับการฟ้องร้อง ซึ่งการถอนฟ้องนี้อยู่นอกเหนือขอบเขตของการบริหารปกติ

วรรค 3 เพื่อให้การเลิกล้มคดีถูกต้อง จำเป็นต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรและลงนามโดยคู่คดี หรือโดยผู้ปกป้องของคู่คดีพร้อมกับคำสั่งเฉพาะให้ทำเช่นนั้น จากนั้นต้องแจ้งให้คู่คดีอีกฝ่ายหนึ่งทราบ และเขาต้องยินยอมหรืออย่างน้อยก็ไม่คัดค้าน และผู้พิพากษาต้องรับรอง

มาตรา 1525 การเลิกล้มคดี ที่ถูกรับโดยผู้พิพากษามีผลอย่างเดียวกันกับการถอนฟ้อง คือ เป็นการสิ้นสุดคดีและบังคับให้ฝ่ายเลิกล้มคดีจ่ายค่าใช้จ่ายสำหรับการดำเนินคดีทั้งหมด

 

ลักษณะ 4 หลักฐานพิสูจน์

มาตรา 1526 วรรค 1 ผู้กล่าวหา มีหน้าที่หาหลักฐานพิสูจน์

วรรค 2 เรื่องต่อไปนี้ ไม่ต้องการหลักฐานพิสูจน์

1.       เรื่องสันนิษฐานที่กฎหมายเองยอมรับ

2.       เรื่องที่ถูกกล่าวหาโดยคู่คดีฝ่ายหนึ่ง และอีกฝ่ายหนึ่งยอมรับ เว้นไว้แต่ว่ากฎหมาย หรือผู้พิพากษายังสั่งให้หาหลักฐานพิสูจน์

มาตรา 1527 วรรค 1 หลักฐานพิสูจน์ชนิดใดไม่ว่า ที่เห็นว่ามีประโยชน์ในการพิจารณาคดี และที่ชอบด้วยกฎหมายสามารถใช้อ้างอิงได้

วรรค 2 หากคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยืนยันให้รับหลักฐานที่ผู้พิพากษาปฏิเสธ ผู้พิพากษานั้นจะต้องตัดสินใจเรื่องนี้โดยเร็วที่สุด

มาตรา 1528 หากคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือพยานปฏิเสธการขึ้นศาลเพื่อให้การอนุญาตให้ผู้พิพากษาแต่งตั้งฆราวาสคนหนึ่งฟังเรื่องของผู้นั้นได้ หรือขอให้ผู้นั้นทำการให้การต่อหน้านายทะเบียนทางการหรือใช้วิธีการอื่นที่ชอบด้วยกฎหมาย

มาตรา 1529 ผู้พิพากษาต้องไม่ดำเนินการรวบรวมหลักฐานพิสูจน์ ก่อนการกำหนดประเด็นปัญหา เว้นไว้แต่ว่ามีเหตุผลหนัก

 

 

หมวด 1 การให้การของคู่คดี

มาตรา 1530 ผู้พิพากษาสามารถสอบสวนคู่คดีได้เสมอเพื่อจะได้เปิดเผยความจริงอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อันที่จริงผู้พิพากษาต้องทำเช่นนั้น เมื่อได้รับการขอร้องโดยคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ต้องเป็นที่ยอมรับ โดยไม่มีข้อสงสัยเพราะเห็นแก่ประโยชน์สาธารณะ

มาตรา 1531 วรรค 1 คู่คดีที่ถูกถามโดยชอบด้วยกฎหมาย ต้องตอบ และบอกความจริงทั้งหมด

วรรค 2 หากคู่คดีฝ่ายหนึ่งปฏิเสธที่จะตอบมันเป็นเรื่องของผู้พิพากษาที่จะต้องประเมินว่าอะไรสามารถนำมาใช้จากการปฏิเสธที่เกี่ยวกับหลักฐานพิสูจน์ของข้อเท็จจริง

มาตรา 1532 เว้นไว้แต่ว่ามีเหตุผลหนักเสนอให้ทำอย่างอื่นในกรณีที่เกี่ยวกับความดีสาธารณะผู้พิพากษาต้องจัดการให้คู่คดีสาบานว่าจะพูดความจริงหรืออย่างน้อยยืนยันว่าสิ่งที่ได้พูดนั้นเป็นความจริง ในกรณีอื่นๆผู้พิพากษาสามารถจัดการแบบเดียวกันตามการพิจารณาอย่างรอบคอบของตน

มาตรา 1533 คู่คดีผู้ผดุงความยุติธรรมและผู้ปกป้องพันธะสามารถเสนอเรื่องที่คู่คดีต้องถูกสอบถาม ต่อผู้พิพากษา

มาตรา 1534 ข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1543 วรรค 2 ข้อ 1 มาตรา 1552 และ 15581565 ที่เกี่ยวกับพยานต้องถือปฏิบัติในการสอบถามคู่คดีด้วยวิธีการที่เหมาะสม

มาตรา 1535 การสารภาพทางกฎหมาย คือการยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรหรือโดยปากเปล่าต่อต้านตนเองที่ทำโดยคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องที่กำลังไตร่สวนในศาล และที่ทำต่อหน้าผู้พิพากษาผู้มีอำนาจ ไม่ว่าทำด้วยตนเองหรือในการตอบคำถามของผู้พิพากษา

มาตรา 1536 วรรค 1 หากเป็นเรื่องส่วนตัวและไม่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความดีสาธารณะการสารภาพทางกฎหมายของคู่คดีฝ่ายหนึ่งปลดปล่อยคู่คดีฝ่ายอื่นจากภาระของการพิสูจน์

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่เกี่ยวกับความดีสาธารณะการสารภาพทางกฎหมาย และการประกาศของคู่คดีที่ไม่ใช่การสารภาพสามารถมีผลบังคับที่ใช้ได้เพื่อให้ผู้พิพากษานำไปประเมินค่าพร้อมกับกรณีแวดล้อมอื่นๆ ของคดีแต่ผลบังคับที่ใช้ได้อย่างสมบูรณ์ ไม่อาจถือว่าเป็นการสารภาพเว้นไว้แต่ว่ามีองค์ประกอบอื่นที่สนับสนุนการสารภาพนั้นอย่างสมบูรณ์

มาตรา 1537 หลังจากพิจารณากรณีแวดล้อมทั้งหมดแล้ว ผู้พิพากษาต้องประเมินค่าของการสารภาพทางกฎหมายพิเศษ ที่ถูกนำเข้ามาในการไต่สวน

มาตรา 1538 การสารภาพ หรือการประกาศอื่นใดของคู่คดีฝ่ายหนึ่งขาดผลบังคับที่ใช้ได้ทั้งหมดหากพิสูจน์ได้ว่ามันเกิดขึ้นจากความผิดพลาดของข้อเท็จจริงหรือถูกข่มขู่ด้วยกำลัง หรือด้วยความกลัวอันหนัก

 

หมวด 2 หลักฐานพิสูจน์ที่เป็นเอกสาร

มาตรา 1539 หลักฐานพิสูจน์ทั้งที่เป็นเอกสารสาธารณะ และที่เป็นส่วนตัวสามารถใช้ได้ในการไต่สวนทุกแบบ

ส่วน 1 ชนิด และความน่าเชื่อถือของเอกสาร

มาตรา 1540 วรรค 1 เอกสารพระศาสนจักรสาธารณะคือเอกสารที่บุคคลทางการได้จัดทำขึ้นในการปฏิบัติหน้าที่ของตนในพระศาสนจักรโดยทำตามระเบียบแบบแผนที่กฎหมายระบุไว้

วรรค 2 เอกสารฝ่ายบ้านเมืองสาธารณะ คือเอกสารที่ถูกถือว่าถูกต้องตามกฎหมาย แบบที่เป็นไปตามกฎหมายของสถานที่แต่ละแห่ง

วรรค 3 เอกสารอื่นๆ เป็นเอกสารส่วนบุคคล

มาตรา 1541 เอกสารสาธารณะสามารถเชื่อถือได้เกี่ยวกับทุกเรื่องที่ถูกยืนยันในเอกสารนั้นโดยตรงและโดยส่วนสำคัญ เว้นไว้แต่ว่า มีข้อโต้แย้งตรงข้ามและแจ้งชัดเป็นอย่างอื่น

มาตรา 1542 เอกสารส่วนตัว ไม่ว่าถูกรับรู้โดยคู่คดีหรือถูกยอมรับโดยผู้พิพากษามีผลบังคับใช้ได้เช่นเดียวกับการสารภาพทางกฎหมายแบบพิเศษ ต่อต้านผู้เขียนหรือผู้ลงนามของมัน และต่อต้านบุคคลซึ่งคดีของเขาขึ้นอยู่กับเอกสารของผู้เขียนหรือผู้ลงนามเอกสารนี้ผลบังคับแบบเดียวกัน ต่อต้านบุคคลอื่น เหมือนการประกาศของคู่คดีที่ไม่ใช่การสารภาพตามข้อกำหนดของกฎหมาย มาตรา 1536 วรรค 2

มาตรา 1543 หากเอกสารแสดงว่ามีการลบ การแก้ไข การเพิ่มเติมข้อความหรือได้รับผลกระทบจากข้อบกพร่องอื่นๆ เช่นนั้นผู้พิพากษาต้องประเมินว่าเอกสารดังกล่าวมีคุณค่าอยู่หรือไม่ และมากน้อยเพียงใด

ส่วน 2 การยื่นเสนอเอกสาร

มาตรา 1544 เอกสารไม่มีผลบังคับใช้ในการไต่สวน เว้นไว้แต่ว่ามันถูกยื่นเป็นเอกสารต้นฉบับ หรือเป็นสำเนาแท้และถูกมอบในสำนักงานศาลเพื่อให้ผู้พิพากษา และคู่คดีฝ่ายตรงข้ามสามารถตรวจสอบได้

มาตรา 1545 ผู้พิพากษาสามารถสั่งให้แสดงเอกสารร่วมของคู่คดีทั้งสองฝ่าย ในกระบวนการพิจารณาคดี

มาตรา 1546 วรรค 1 แม้ว่ามันเป็นเอกสารร่วมแต่ก็ไม่มีการบังคับให้เปิดเผยเอกสารนั้นที่ไม่สามารถบอกแจ้งโดยไม่มีการเสี่ยงต่อความเสียหายที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1548 วรรค 2 ข้อ 2 หรือไม่มีการเสี่ยงต่อการละเมิดความลับที่ต้องถือ

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม อย่างน้อยถ้าบางข้อความของเอกสารสามารถถูกคัดลอกและสามารถถูกยื่นในรูปแบบสำเนาโดยไม่มีผลเสียหายดังกล่าวแล้วผู้พิพากษาสามารถสั่งให้ทำเช่นนั้นได้

 

หมวด 3 พยานบุคคล และพยานเอกสาร

มาตรา 1547 หลักฐานพิสูจน์ด้วยวิธีการใช้พยานบุคคล เป็นที่ยอมรับในคดีทุกชนิดภายใต้การควบคุมดูแลของผู้พิพากษา

มาตรา 1548 วรรค 1 พยานบุคคลต้องพูดความจริง เมื่อผู้พิพากษาถามอย่างชอบด้วยกฎหมาย

วรรค 2 ยกเว้นข้อกำหนดตามกฎหมาย มาตรา 1550 วรรค 2 ข้อ 2 บุคคลต่อไปนี้ ได้รับการยกเว้นจากพันธะให้ตอบคำถาม

1.       บรรดาสมณะ ในเรื่องต่างๆ ที่เปิดเผยแก่พวกเขาโดยเหตุผลของการปฏิบัติหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์ บรรดาเจ้าหน้าที่ฝ่ายบ้านเมืองแพทย์ สูติแพทย์ ทนายความ เจ้าหน้าที่ทะเบียนศาล และบุคคลอื่นๆที่ต้องรักษาความลับของวิชาชีพ ที่เกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ภายใต้ความลับนี้แม้แต่จะเป็นการให้คำแนะนำก็ตาม

2.       บุคคลที่จากการให้ของเขากลัวว่า การเสียชื่อเสียงการรบกวนที่เป็นอันตราย หรือภัยที่รุนแรงอื่นๆ จะเกิดขึ้นกับตนเองหรือคู่สมรส หรือผู้เกี่ยวข้องโดยทางสายโลหิต หรือผู้เกี่ยวดองโดยการสมรส

ส่วน 1 ผู้ที่สามารถเป็นพยาน

มาตรา 1549 ทุกคนสามารถเป็นพยานได้ เว้นแต่ กฎหมายห้ามไว้อย่างชัดแจ้ง ไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดก็ตาม

มาตรา 1550 วรรค 1 ห้ามรับผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีและผู้พิการทางสมองเป็นพยาน อย่างไรก็ตาม พวกเขาสามารถให้การได้เมื่อผู้พิพากษาสั่ง เพราะเห็นว่าเหมาะสมที่จะทำเช่นนั้น

วรรค 2 บุคคลต่อไปนี้ เป็นผู้ไร้ความสามารถเป็นพยาน:

๑.      ผู้ที่เป็นคู่คดีของคดีความนั้นหรือผู้แทนของคู่คดีระหว่างการไต่สวนคดี ผู้พิพากษา และผู้ช่วย ทนายความและบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วน หรือได้มีส่วนในการทำคดีนั้น

๒.      พระสงฆ์ ในทุกเรื่องที่เขาได้รู้จากการสารภาพ ในศีลอภัยบาป แม้ว่าผู้สารภาพขอให้เปิดเผยเรื่องเหล่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องใดก็ตามที่ได้รับฟังในโอกาสศีลอภัยบาป ไม่ว่าจะรับฟังโดยใครหรือโดยวิธีใด ไม่สามารถรับเป็นตัวบ่งชี้ความจริงได้

ส่วน 2 การนำพยานเข้า และการคัดออก

มาตรา 1551 คู่คดีที่นำพยานเข้ามาสามารถปฏิเสธการตรวจสอบพยานนั้นแต่อย่างไรก็ตาม อีกฝ่ายหนึ่งสามารถเรียกร้องให้ตรวจสอบพยานผู้นั้นได้

มาตรา 1552 วรรค 1 เมื่อขอให้มีการพิสูจน์โดยใช้พยาน ต้องให้ชื่อ และที่อยู่ของพยานแก่ศาล

วรรค 2 ต้องกำหนดประเด็นข้อถกเถียงที่จะต้องสอบถามพยาน และยื่นภายในเวลาที่ผู้พิพากษากำหนด มิฉะนั้น ถือว่าคำร้องนั้นตกไป

มาตรา 1553 ผู้พิพากษา มีหน้าที่จำกัดจำนวนพยานที่มีมากเกินไป

มาตรา 1554 ต้องมีการแจ้งชื่อพยานแก่คู่คดีก่อนการสอบถามพยาน ถ้าหากตามความเห็นที่รอบคอบของผู้พิพากษา การแจ้งชื่อนั้นไม่สามารถทำได้เพราะมีอุปสรรคที่สำคัญ อย่างน้อยก็ให้แจ้งชื่อก่อนการประกาศคำให้การเป็นพยาน

มาตรา 1555 โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมาย มาตรา 1550 คู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถขอให้คัดพยานคนใดคนหนึ่งออกได้ โดยมีข้อแม้ว่าสาเหตุอันชอบของการคัดออกต้องถูกแสดงก่อนการสอบถามพยานคนนั้น

มาตรา 1556 หมายเรียกพยาน มีผลโดยคำสั่งของผู้พิพากษา เมื่อได้แจ้งให้พยานผู้นั้นทราบตามกฎหมาย

มาตรา 1557 พยานที่ได้รับหมายเรียกอย่างถูกต้อง ต้องมาปรากฏตัวที่ศาล หรือต้องแจ้งให้ผู้พิพากษาทราบถึงสาเหตุที่ไม่ปรากฏตัว

ส่วน 3 การสอบถามพยาน

มาตรา 1558 วรรค 1 การสอบถามพยานต้องทำที่ศาลนั้นเอง เว้นไว้แต่ว่า ผู้พิพากษามีความเห็นเป็นอย่างอื่น

วรรค 2 พระคาร์ดินัล พระอัยกา พระสังฆราช และบุคคลที่กฎหมายบ้านเมืองของตนให้สิทธิพิเศษเช่นเดียวกัน ต้องถูกรับฟังในสถานที่ที่พวกท่านเลือกเอง

วรรค 3 ผู้พิพากษาต้องตัดสินว่า บรรดาพยานต้องให้การที่ใดหากมีปัญหาเรื่องระยะทาง การเจ็บป่วย หรืออุปสรรคอื่นที่พยานไม่สามารถหรือมีความลำบากในการมาศาล ทั้งนี้โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมาย มาตรา 1418 และ 1469 วรรค 2

มาตรา 1559 คู่คดีไม่สามารถอยู่ในการสอบถามพยานได้ เว้นไว้แต่ว่าผู้พิพากษาเห็นว่าพวกเขาต้องอยู่โดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความดีส่วนตัว อย่างไรก็ตาม ทนายหรือผู้แทนอาจอยู่ได้ เว้นไว้แต่ว่าผู้พิพากษาเห็นว่าการพิจารณานี้ต้องทำอย่างลับโดยเหตุของสภาพแวดล้อมของเรื่อง และของบุคคล

มาตรา 1560 วรรค 1 พยานต้องถูกสอบถามทีละคน และแยกกัน

วรรค 2 หากพยานขัดแย้งกันเอง หรือกับฝ่ายหนึ่งของคู่คดีในเรื่องที่สำคัญ ผู้พิพากษาสามารถนำพยานมาพบกัน หรือทำให้มาตกลงกันโดยขจัดการทะเลาะกันเอง หรือการเป็นที่สะดุด เท่าที่ทำได้

มาตรา 1561 การสอบถามพยานทำโดยผู้พิพากษา ผู้แทนผู้พิพากษาหรือผู้สอบคดี ซึ่งต้องมีนายทะเบียนศาลอยู่ด้วย เพราะฉะนั้น คู่คดีหรือผู้ผดุงความยุติธรรม หรือผู้ปกป้องพันธะหรือทนายที่อยู่ในการสอบถามพยาน หากมีคำถามเพิ่มเติมที่จะถามพยานเขาต้องไม่ถามพยานโดยตรง แต่ต้องตั้งคำถามเหล่านี้ผ่านไปยังผู้พิพากษาหรือผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนผู้พิพากษา ซึ่งต้องถามพยานเองเว้นไว้แต่ว่ากฎหมายเฉพาะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 1562 วรรค 1 ผู้พิพากษา ต้องเตือนพยานถึงข้อผูกมัดอันหนักที่จะต้องพูดความจริงทั้งหมด และพูดแต่ความจริงเท่านั้น

วรรค 2 ผู้พิพากษา ต้องจัดให้พยานทำการสาบานตนตามกฎหมาย มาตรา 1532 อย่างไรก็ตาม ถ้าพยานปฏิเสธการสาบานตน เขาก็ยังเป็นพยานได้โดยไม่ต้องสาบาน

มาตรา 1563 ในการสอบถามพยานนั้น ก่อนอื่นผู้พิพากษาต้องตรวจสอบหลักฐานของพยานผู้พิพากษาควรตรวจสอบความเกี่ยวพันของพยานกับคู่คดีและเมื่อตั้งคำถามพิเศษเฉพาะต่อพยานเกี่ยวกับคดีความผู้พิพากษาต้องสอบถามเกี่ยวกับแหล่งที่มาของความรู้ของพยานและเวลาที่แน่นอนในเรื่องที่พยานยืนยัน

มาตรา 1564 คำถามต้องสั้น และเหมาะสมกับสติปัญญาของผู้ถูกถามและไม่ครอบคลุมหลายประเด็นในการถามแต่ละครั้งต้องไม่เป็นคำถามที่เป็นการวางกับดัก หรือไม่เป็นกลลวง หรือไม่เป็นคำถามนำทั้งต้องไม่เป็นคำถามแบบยั่วยุแต่ต้องเป็นคำถามเกี่ยวกับคดีที่กำลังดำเนินอยู่มาตรา 1565 วรรค 1 ต้องไม่แจ้งคำถามให้พยานทราบล่วงหน้า

วรรค 2 อย่างไรก็ตามหากเรื่องที่ต้องให้การเป็นพยานเป็นเรื่องที่พยานจำไม่ค่อยได้ซึ่งเขาไม่สามารถยืนยันอย่างแน่ชัด เว้นไว้แต่ว่าจะมีการทบทวนเรื่องเดิมนั้นเสียก่อนกรณีนี้ผู้พิพากษาอาจแนะนำเกี่ยวกับบางแง่มุมของเรื่องให้พยานทราบล่วงหน้าได้ เมื่อเห็นว่าการกระทำเช่นนี้ไม่เป็นอันตราย

มาตรา 1566 พยานต้องให้การโดยวาจา การให้การต้องไม่อ่านจากบันทึกเว้นไว้แต่ว่า เมื่อเป็นเรื่องเกี่ยวกับการคำนวณและบัญชี ในกรณีเช่นนี้พยานอาจอ่านบันทึกที่นำมาด้วยได้

มาตรา 1567 วรรค 1 คำตอบที่ได้จากพยานต้องบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรทันทีโดยนายทะเบียนศาลซึ่งต้องบันทึกคำให้การเป็นพยานนั้นเองอย่างน้อยในเรื่องที่เกี่ยวโดยตรงกับเรื่องที่เป็นความกัน

วรรค 2 อนุญาตให้ใช้เทปบันทึกคำพูดได้ แต่หลังจากนั้นต้องนำคำตอบไปเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร และหากทำได้ให้พยานที่ให้การลงลายมือชื่อ

มาตรา 1568 นายทะเบียนศาล ต้องระบุไว้ในสำนวนคดีว่า มีการสาบานตน หรือการละเว้น หรือการปฏิเสธการสาบานตน

หรือไม่ และระบุการอยู่ของคู่คดี และของบุคคลอื่นทั้งระบุคำถามที่เพิ่มเติมจากผู้พิพากษา และโดยทั่วไประบุทุกสิ่งทุกอย่างที่ควรค่าแก่การบันทึกที่อาจเกิดขึ้นในขณะที่พยานถูกสอบถาม

มาตรา 1569 วรรค 1 เมื่อจบการสอบถามแล้วต้องอ่านสิ่งที่นายทะเบียนศาลบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษรจากการให้การให้พยานฟัง หรือให้พยานมีโอกาสฟังเทปที่บันทึกการให้การของตนโดยพยานสามารถเพิ่มเติม ตัด แก้ไข หรือเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่บันทึกนั้นได้

วรรค 2 ที่สุด พยาน ผู้พิพากษา และนายทะเบียนศาล ต้องลงลายมือชื่อในบันทึกนั้น

มาตรา 1570 แม้ว่าพยานได้ให้การเรียบร้อยแล้วพยานดังกล่าวอาจถูกเรียกตัวมาสอบถามใหม่ได้ เมื่อคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือผู้พิพากษาโดยตำแหน่งขอร้อง แต่ต้องกระทำก่อนการประกาศสำนวนคดีหรือคำให้การเป็นพยาน การกระทำเช่นนี้อาจทำได้ หากผู้พิพากษาเห็นว่าจำเป็นหรือเป็นประโยชน์ ขอเพียงแต่ ต้องไม่มีอันตรายของการสมรู้ร่วมคิดหรือการติดสินบนใดๆ

มาตรา 1571 พยานต้องได้รับค่าตอบแทนสำหรับรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นและรายได้ที่อาจเสียไปเพราะการเป็นพยานทั้งนี้ให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้พิพากษา

ส่วน 4 ความน่าเชื่อถือของคำให้การ

มาตรา 1572 ในการประเมินค่าคำให้การหลังจากที่ได้รับหนังสือบันทึกคำให้การแล้ว ถ้าจำเป็น ผู้พิพากษาต้องพิจารณา

1.       สถานะภาพ และความเที่ยงธรรมของพยาน

2.       ว่าคำให้การมาจากความรู้ของตนเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สิ่งที่ได้เห็นและได้ยินด้วยตนเอง หรือเป็นเพียงความคิดเห็นของตนเอง หรือเป็นข่าวลือหรือเป็นเรื่องที่ได้ฟังมาจากผู้อื่น

3.       ว่าพยานเป็นผู้น่าเชื่อถือ และมีใจมั่นคง หรือเป็นคนไม่มั่นคง ไม่แน่นอน หรือรวนเร

4.       ว่ามีความสอดคล้องของคำให้การ และมีหลักฐานยืนยันจากแหล่งอื่น หรือไม่

มาตรา 1573 คำให้การของพยานเพียงผู้เดียวไม่สามารถเป็นหลักฐานพิสูจน์ได้ครบ เว้นไว้แต่ว่า เป็นพยานที่มีคุณสมบัติซึ่งให้การเกี่ยวกับเรื่องที่ได้ปฏิบัติโดยตำแหน่ง หรือเว้นไว้แต่ว่าสภาพแวดล้อมของเรื่อง และของบุคคลชี้ชวนให้เห็นเป็นอย่างอื่น

 

หมวด 4 ผู้เชี่ยวชาญ

มาตรา 1574 ต้องใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญ เมื่อการตรวจสอบและความคิดเห็น ของเขา ที่อิงอยู่กับศิลปะหรือวิชาการ เป็นที่ต้องการเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริงบางอย่าง หรือให้ความกระจ่างชัดเกี่ยวกับสภาพ
ธรรมชาติแท้จริงของเรื่องบางเรื่อง ทั้งนี้ ตามข้อกำหนดของกฎหมาย หรือคำสั่งของผู้พิพากษา

มาตรา 1575 ผู้พิพากษาเป็นผู้แต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญหรือถ้ากรณีเป็นเช่นนี้ คือเมื่อได้ปรึกษาคู่คดี หรือคู่คดีเสนอผู้พิพากษาเป็นผู้รับรายงานที่ทำแล้ว โดยผู้เชี่ยวชาญอื่น

มาตรา 1576 ผู้เชี่ยวชาญสามารถถูกกันออก หรือถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเดียวกัน เหมือนเรื่องเกี่ยวกับพยาน

มาตรา 1577 วรรค 1 เมื่อได้พิจารณาประเด็นต่างๆ ที่คู่คดีนำเสนอแล้วผู้พิพากษาต้องออกคำสั่งระบุประเด็นแต่ละประเด็น ที่ผู้เชี่ยวชาญต้องศึกษา

วรรค 2 ต้องมอบสำนวนคดี เอกสารต่างๆและความช่วยเหลืออื่นแก่ผู้เชี่ยวชาญที่เขาอาจต้องการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสม และเที่ยงตรงวรรค 3 ผู้พิพากษา เมื่อได้ฟังความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญแล้วต้องกำหนดเวลาสิ้นสุดของการตรวจสอบ และการยื่นส่งรายงาน

มาตรา 1578 วรรค 1 ผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนต้องเขียนรายงานที่แยกจากของคนอื่น เว้นไว้แต่ว่าผู้พิพากษาสั่งให้เขียนรายงานชิ้นเดียว และให้แต่ละคนลงลายมือชื่อในกรณีเช่นนี้ ถ้ามีความเห็นต่างกัน ต้องบันทึกอย่างระมัดระวัง

วรรค 2 ผู้เชี่ยวชาญต้องระบุอย่างชัดแจ้งถึงเอกสารหรือเครื่องมือที่เหมาะสมอื่นๆซึ่งพวกเขาใช้พิสูจน์สถานะภาพของบุคคล สิ่งของ หรือสถานที่ และพวกเขายังต้องกำหนดแนวทางใดหรือวิธีการใดที่พวกเขาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย และระบุว่าบนพื้นฐานอะไรที่ผลสรุปส่วนใหญ่ของพวกเขาอิงอยู่

วรรค 3 หากเห็นว่าจำเป็น ผู้พิพากษาสามารถเรียกผู้เชี่ยวชาญมาให้คำอธิบายเพิ่มเติมได้

มาตรา 1579 วรรค 1 ผู้พิพากษา ต้องประเมินอย่างรอบคอบไม่เพียงแต่ผลสรุปต่างๆ ของผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น แม้ว่าผลสรุปจะตรงกันก็ตามแต่ยังต้องประเมินสภาพแวดล้อมอื่นๆ ของคดีด้วยวรรค 2ในการให้เหตุผลการตัดสินใจนั้น ผู้พิพากษาต้องแสดงว่าบนพื้นฐานใดที่เขารับหรือปฏิเสธ ผลสรุปต่าง ๆ ของผู้เชี่ยวชาญ

มาตรา 1580 ผู้พิพากษาต้องกำหนดค่าใช้จ่ายและค่าจ้าง ที่ยุติธรรมและเหมาะสม แก่ผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงกฎหมายเฉพาะ

มาตรา 1581 วรรค 1 คู่คดีอาจกำหนดผู้เชี่ยวชาญของตนเองได้ ซึ่งต้องได้รับการยอมรับจากผู้พิพากษา

วรรค 2 หากผู้พิพากษายอมรับ บรรดาผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้สามารถตรวจสอบสำนวนคดี ถ้าจำเป็นและพวกเขาสามารถอยู่ในขณะที่ผู้เชี่ยวชาญของศาลปฏิบัติหน้าที่ ยิ่งกว่านั้นพวกเขาสามารถเสนอรายงานของตนได้เสมอ

 

หมวด 5 การเข้าถึง และการตรวจสอบทางศาล

มาตรา 1582 เพื่อตัดสินคดี หลังจากได้ฟังคู่คดีแล้วหากผู้พิพากษาพิจารณาว่าควรที่จะไปดูสถานที่บางแห่ง หรือตรวจดูบางสิ่งเรื่องนี้ ผู้พิพากษาต้องระบุไว้ในหนังสือคำสั่งที่บรรยายอย่างสรุปถึงเรื่องที่ต้องทำ เพื่อการไปดูนั้นเกิดประโยชน์


มาตรา 1583 ต้องทำรายงานเรื่องที่ได้ตรวจสอบแล้ว

 

 

หมวด 6 ข้อสันนิษฐาน

มาตรา 1584 การสันนิษฐาน คือการคาดคะเนความน่าจะเป็นเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่แน่นอน ข้อสันนิษฐานทางกฎหมายเป็นข้อสันนิษฐานที่กำหนดไว้ในกฎหมาย ข้อสันนิษฐานแบบมนุษย์เป็นข้อสันนิษฐานที่ทำโดยผู้พิพากษา

มาตรา 1585 ผู้ที่มีการสันนิษฐานทางกฎหมายเข้าข้างตนเอง พ้นพันธะจากการพิสูจน์ พันธะนี้ตกไปยังฝ่ายตรงข้าม

มาตรา 1586 ผู้พิพากษาต้องไม่ทำการสันนิษฐานที่กฎหมายมิได้ระบุไว้เว้นไว้แต่ว่า การสันนิษฐานเกิดจากข้อเท็จจริงที่แน่นอน และที่กำหนดไว้แล้วซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับเรื่องที่เป็นความกันอยู่

 

ลักษณะ 5 เรื่องแทรกซ้อน

มาตรา 1587 เรื่องแทรกซ้อนเกิดขึ้นได้หลังจากมีหมายเรียกให้คู่คดีขึ้นศาลแล้วปรากฏว่ามีปัญหาอื่นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับคดีนั้นเกิดขึ้นบ่อยๆ ต้องได้รับการแก้ไขก่อนปัญหาหลัก แม้ว่าปัญหานั้นมิได้ระบุไว้อย่างชัดแจ้งในสำนวนฟ้อง เพื่อเริ่มคดีก็ตาม

มาตรา 1588 เรื่องแทรกซ้อน ต้องเสนอเป็นลายลักษณ์อักษรหรือด้วยวาจาต่อหน้าผู้พิพากษา ผู้มีอำนาจตัดสินคดีหลักโดยระบุความเกี่ยวข้องระหว่างเรื่องแทรกซ้อนกับคดีหลัก

มาตรา 1589 วรรค 1 เมื่อผู้พิพากษาได้รับคำร้องหรือได้ฟังคู่คดีแจ้งเกี่ยวกับเรื่องแทรกซ้อนแล้วผู้พิพากษาต้องตัดสินใจทันทีว่าปัญหาที่แทรกขึ้นมานี้มีมูล และเกี่ยวข้องกับประเด็นหลักหรือไม่หรือจะต้องปฏิเสธเรื่องแทรกซ้อนนั้น หากผู้พิพากษายอมรับเขาต้องตัดสินเรื่องแทรกซ้อนนี้ว่าเป็นเรื่องหนักที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยการตัดสินด้วยวาจา หรือโดยคำสั่ง

วรรค 2 ในทางตรงกันข้าม หากผู้พิพากษาตัดสินว่าปัญหาแทรกซ้อนนี้ไม่ต้องแก้ไขก่อนการตัดสินคดีผู้พิพากษาต้องออกคำสั่งว่าปัญหาแทรกซ้อนนี้จะได้รับการพิจารณาเมื่อคดีหลักได้รับการตัดสินแล้ว

มาตรา 1590 วรรค 1 หากเรื่องแทรกซ้อนต้องรับการแก้ไขโดยการตัดสินจะต้องถือตามตามกฎเกณฑ์ของการดำเนินคดีด้วยวาจา เว้นไว้แต่ว่าผู้พิพากษาจะตัดสินเป็นอย่างอื่น เพราะความหนักเบาของเรื่อง

วรรค 2 หากเรื่องแทรกซ้อน ต้องได้รับการแก้ไขโดยคำสั่ง ศาลอาจมอบเรื่องให้ผู้สอบคดี หรือประธานคณะผู้พิพากษา

มาตรา 1591 ก่อนปิดคดีหลัก หากมีเหตุอันชอบ ผู้พิพากษาหรือศาลสามารถเรียกคืน หรือแก้ไขคำสั่ง หรือคำตัดสินด้วยวาจาได้ทั้งโดยการขอของคู่คดีฝ่ายหนึ่ง หรือโดยหน้าที่ หลังจากได้รับฟังคู่คดีแล้ว

 

หมวด 1 การไม่ปรากฏตัวของคู่คดี

มาตรา 1592 วรรค 1 หากจำเลย ที่ได้รับหมายเรียกแล้ว ไม่มาปรากฏตัวหรือมิได้แสดงข้อแก้ตัวที่เหมาะสมในการไม่มาหรือไม่ตอบตามที่ระบุไว้ในกฎหมาย มาตรา 1507 วรรค 1 ผู้พิพากษาต้องประกาศว่า จำเลยขาดการมาให้การ และต้องออกคำสั่งให้คดีนั้นดำเนินต่อไปได้จนถึงการตัดสินขั้นสมบูรณ์ และดำเนินการโดยรักษากฎเกณฑ์เฉพาะที่ต้องปฏิบัติ

วรรค 2 ก่อนออกคำสั่ง ตามวรรค 1 ผู้พิพากษาต้องแน่ใจว่าหมายเรียกอันชอบด้วยกฎหมาย ได้ไปถึงจำเลยจริงตามเวลาที่กฎหมายกำหนด และหากจำเป็น ต้องออกหมายเรียกใหม่

มาตรา 1593 วรรค 1 หากต่อมา จำเลยมาปรากฏตัว หรือแจ้งตอบก่อนการปิดคดีจำเลยสามารถนำผลสรุป และข้อพิสูจน์ต่างๆ มาเสนอได้โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมาย มาตรา 1600 อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาต้องระวังมิให้การตัดสินยืดเยื้ออย่างจงใจ และชะงักชักช้าโดยไม่จำเป็น

วรรค 2 แม้ว่าจำเลยไม่ได้มาปรากฏตัว หรือแจ้งตอบก่อนการปิดคดีก็ตามจำเลยสามารถคัดค้านคำตัดสินของผู้พิพากษาได้ หากจำเลยพิสูจน์ว่าตนมีข้อขัดข้องที่ถูกต้องตามกฎหมาย และไม่สามารถแจ้งให้ทราบก่อนได้โดยไม่ใช่ความผิดของตนจำเลยสามารถร้องขอให้เป็นโมฆะได้

มาตรา 1594 หากโจทก์ไม่มาปรากฏตัว ตามวันและเวลา เพื่อกำหนดประเด็นปัญหา และมิได้ให้ข้อแก้ตัวที่เหมาะสม

1.       ผู้พิพากษา ต้องเรียกโจทก์อีกครั้งหนึ่ง

2.       หากโจทก์ไม่เคารพการเรียกครั้งใหม่ ให้สันนิษฐานว่า ได้ทิ้งคดีตามกฎหมายมาตรา 15241525

3.       หากภายหลัง โจทก์ต้องการเข้ามาแทรกในกระบวนการพิจารณา ให้ปฏิบัติตามกฎหมาย มาตรา 1593

มาตรา 1595 วรรค 1 คู่คดีที่ไม่ได้มาศาล ไม่ว่าเป็นโจทก์หรือจำเลย และไม่แสดงข้อขัดขวางที่ถูกต้อง มีพันธะต้องเสียค่าใช้จ่ายในคดีที่เกิดขึ้นเพราะการไม่มาศาล และหากจำเป็นต้องเสียค่าชดเชยให้อีกฝ่ายหนึ่งด้วย

วรรค 2 หากทั้งโจทก์ และจำเลยไม่มาศาล พวกเขามีพันธะร่วมกัน ที่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายของคดี

 

หมวด 2 การเข้าแทรกของบุคคลที่สามในคดี

มาตรา 1596 วรรค 1 บุคคลใดก็ตามที่มีส่วนได้เสียตามกฎหมายได้รับอนุญาตให้เข้าแทรกในคดี ในขั้นตอนใดก็ได้ของคดีทั้งในฐานะผู้ปกป้องสิทธิของตนเอง หรือในฐานะผู้ร่วมมือเพื่อช่วยเหลือคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม เพื่อจะได้รับเข้า บุคคลผู้มีส่วนได้เสียนั้นต้องยื่นคำร้องที่บรรยายสิทธิในการเข้าแทรกอย่างย่อต่อผู้พิพากษาก่อนการสรุปคดี

วรรค 3 บุคคล ผู้เข้าแทรกในคดี ต้องถูกรับเข้า ณ ขั้นตอนที่คดีมาถึงถ้าคดีมาถึงขั้นพิสูจน์ ต้องระบุกรอบเวลาที่สั้นและแน่นอนเพื่อนำเสนอข้อพิสูจน์

มาตรา 1597 หลังจากได้ฟังคู่คดีแล้ว ผู้พิพากษาต้องเรียกฝ่ายที่สามมาสู่การพิจารณาคดี เมื่อเห็นว่าการเข้าแทรกของเขาจำเป็น

 

ลักษณะ 6 การประกาศสำนวนคดี การสรุปคดี การโต้แย้งคดี

มาตรา 1598 วรรค 1 เมื่อได้รวบรวมหลักฐานพิสูจน์แล้ว โดยคำสั่งผู้พิพากษาต้องอนุญาตให้คู่คดี และทนายของพวกเขาตรวจสำนวนคดีที่ยังไม่รู้ที่สำนักงานศาล ถ้าไม่ทำเช่นนั้นถือว่าเป็นโมฆะสำเนาสำนวนคดีสามารถให้แก่ทนายได้ด้วย ถ้าเขาร้องขอ อย่างไรก็ตามในคดีที่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนรวม เพื่อหลีกเลี่ยงอันตรายร้ายแรงผู้พิพากษาสามารถออกคำสั่งห้ามเปิดเผยสำเนาสำนวนคดีแก่ผู้ใด อย่างไรก็ตามผู้พิพากษาต้องสำนึกว่าสิทธิการป้องกันตัวยังคงอยู่เหมือนเดิมเสมอ

วรรค 2 คู่คดีอาจนำเสนอหลักฐานพิสูจน์เพิ่มเติมให้สมบูรณ์แก่ผู้พิพากษาได้อีก; เมื่อหลักฐานพิสูจน์ถูกรวบรวมแล้ว ผู้พิพากษายังมีโอกาสออกคำสั่งตามวรรค 1 ซ้ำได้อีก ถ้าเขาเห็นว่ามันจำเป็น

มาตรา 1599 วรรค 1 เมื่อทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการหาข้อพิสูจน์ครบถ้วนแล้ว ก็ถึงเวลาสรุปคดี

วรรค 2 การสรุปคดีเกิดขึ้นเมื่อคู่คดีประกาศว่าพวกเขาไม่มีอะไรจะเพิ่มเติมอีกหรือเวลาที่ผู้พิพากษาได้กำหนดให้ยื่นหลักฐานพิสูจน์สิ้นสุดลงหรือผู้พิพากษาประกาศว่าคดีมีข้อมูลเพียงพอแล้ว

วรรค 3 ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม ที่คดีได้มาถึงข้อสรุปของมัน ผู้พิพากษาต้องออกคำสั่งประกาศสรุปคดี

มาตรา 1600 วรรค 1 หลังจากการสรุปคดีแล้วผู้พิพากษายังสามารถเรียกพยานคนเดิมหรือคนอื่น หรือจัดหาหลักฐานอื่นๆ ซึ่งยังมิได้ขอมาก่อน เฉพาะเมื่อ

1.       ในคดีที่เกี่ยวกับเฉพาะเรื่องประโยชน์ส่วนตัวของคู่คดี และถ้าคู่คดีทุกฝ่ายให้การยินยอม

2.       ในคดีอื่นๆ หลังจากได้ฟังคู่คดีแล้ว และมีเหตุผลหนัก และเมื่อได้ขจัดอันตรายของการหลอกลวง หรือการตกอยู่ใต้อำนาจออกไปแล้ว

3.       ในทุกคดี เมื่อเห็นว่า ถ้าหากหลักฐานใหม่ไม่ถูกรับเข้ามาคำพิพากษาอาจออกมาอย่างไม่เป็นธรรม เพราะเหตุผลต่างๆ ที่มีอยู่ในกฎหมายมาตรา 1645 วรรค 2 ข้อ 1 ถึง ข้อ 3

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาสามารถสั่งหรืออนุญาตให้มีการเปิดเผยเอกสารซึ่งอาจเป็นเอกสารที่ไม่อาจเปิดเผยก่อนหน้านั้นได้โดยมิใช่ความผิดของคู่คดีที่ได้รับประโยชน์

วรรค 3 หลักฐานใหม่ต้องมีการประกาศ โดยได้ถือปฏิบัติตามกฎหมายมาตรา 1598 วรรค 1 แล้ว

มาตรา 1601 เมื่อสรุปคดีแล้ว ผู้พิพากษาต้องกำหนดระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อยื่นการแก้ฟ้อง หรือข้อสังเกต

มาตรา 1602 วรรค 1 การแก้ฟ้องและข้อสังเกต ต้องเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรเว้นไว้แต่ว่า ผู้พิพากษา โดยการยินยอมของคู่คดีตัดสินว่าการถกเถียงโดยวาจาต่อหน้าศาลเป็นการเพียงพอแล้ว

วรรค 2 ถ้าหากต้องมีการพิมพ์การแก้ฟ้องพร้อมกับเอกสารหลักต้องได้รับอนุญาตจากผู้พิพากษาเสียก่อนแต่ต้องถือปฏิบัติข้อบังคับเรื่องความลับ ถ้าหากมี

วรรค 3 ต้องรักษาระเบียบการของศาลเกี่ยวกับความยาวของคำแก้ฟ้อง จำนวนสำเนาเอกสาร และสิ่งอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน

มาตรา 1603 วรรค 1 หลังจากได้แลกเปลี่ยนการแก้ฟ้องและข้อสังเกตแก่กัน และกันแล้วอนุญาตให้คู่คดีทั้งสองฝ่ายตอบภายในเวลาสั้นๆ ที่ผู้พิพากษากำหนด

วรรค 2 สิทธินี้ ผู้พิพากษาจะให้แก่คู่คดีเพียงครั้งเดียว เว้นไว้แต่ว่าผู้พิพากษาเห็นว่าต้องให้อีกเป็นครั้งที่สองเมื่อมีเหตุผลหนักอย่างไรก็ตาม ในกรณีเช่นว่านี้ ถ้าหากให้คู่คดีฝ่ายหนึ่งจะต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งด้วย

วรรค 3 ผู้ผดุงความยุติธรรม และผู้ปกป้องพันธะ มีสิทธิ์ตอบคำตอบของคู่คดีอีกครั้งหนึ่ง

มาตรา 1604 วรรค 1 ห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้การให้ข้อมูลที่ให้แก่ผู้พิพากษา โดยคู่คดี หรือโดยทนายความหรือโดยบุคคลอื่น อยู่นอกสำนวนคดี

วรรค 2 ถ้าการถกเถียงได้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรแล้ว ผู้พิพากษาสามารถกำหนดให้ทำการโต้เถียงกันโดยวาจาแบบพอประมาณต่อหน้าศาลได้เพื่อคลี่คลายปัญหาบางประการ

มาตรา1605 นายทะเบียนศาลต้องอยู่ในการโต้เถียงโดยวาจาที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1602 วรรค 1 และ 1604 วรรค 2 เพื่อว่าถ้าผู้พิพากษาสั่ง หรือถ้าคู่คดีร้องขอ และผู้พิพากษายินยอมนายทะเบียนสามารถจดบันทึกเรื่องที่ถกเถียงกัน และข้อสรุปได้ทันที

มาตรา 1606หากคู่คดีเพิกเฉยต่อการเตรียมการแก้ฟ้องภายในเวลาที่กำหนดให้เขาหรือถ้าพวกเขามอบตัวเขาไว้ในความรู้ และมโนธรรมของผู้พิพากษาผู้พิพากษาสามารถประกาศคำตัดสินได้ทันทีหลังจากได้ขอข้อสังเกตจากผู้ผดุงความยุติธรรม และผู้ปกป้องพันธะเมื่อพวกเขามีส่วนในขบวนการพิจารณาคดีถ้าเรื่องเป็นที่ประจักษ์แจ้งจากสำนวนคดี และจากหลักฐานพิสูจน์

 

 

 

ลักษณะ 7 การประกาศคำตัดสินของผู้พิพากษา

มาตรา 1607 หลังจากคดีได้มีการไต่สวนตามกฎหมายแล้ว ถ้าเป็นคดีหลักผู้พิพากษาต้องตัดสินด้วยคำตัดสินอย่างเด็ดขาดถ้าเป็นคดีแทรกซ้อนให้ตัดสินด้วยวาจา โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1589 วรรค 1

มาตรา 1608 วรรค 1 ในการประกาศคำตัดสินใดๆ ผู้พิพากษาต้องมีความแน่ใจตามหลักจริยธรรม เกี่ยวกับเรื่องที่ต้องกำหนดด้วยการตัดสิน

วรรค 2 ผู้พิพากษาต้องเอาความแน่นอนนี้มาจากสำนวนคดี และจากหลักฐานพิสูจน์

วรรค 3 อย่างไรก็ตาม ผู้พิพากษาต้องประเมินหลักฐานจากมโนธรรมของตนเองโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายที่เกี่ยวกับความมีประสิทธิภาพของหลักฐานพิสูจน์บางประการ

วรรค 4 ผู้พิพากษาซึ่งไม่มาถึงความแน่ใจเช่นนี้ ผู้พิพากษาต้องประกาศว่าสิทธิของผู้ฟ้องไม่มีอยู่ และต้องให้จำเลยพ้นจากข้อกล่าวหา เว้นไว้แต่ว่ามีปัญหาของคดีที่ได้รับการสนับสนุนจากข้อกฎหมายในกรณีเช่นนี้ต้องตัดสินเข้าข้างคดีนั้น

มาตรา 1609 วรรค 1 ถ้าเป็นศาลองค์คณะประธานผู้พิพากษาต้องกำหนดวัน และเวลาที่คณะผู้พิพากษาต้องมารวมกันเพื่อการปรึกษาหารือกัน และการประชุมต้องทำที่ศาลเท่านั้น เว้นไว้แต่ว่ามีเหตุผลพิเศษชักนำให้ทำเป็นอย่างอื่น

วรรค 2 ในวันนัดประชุมผู้พิพากษาแต่ละคนต้องยื่นข้อสรุปความถูกผิดของคดีและเหตุผลของตนเป็นลายลักษณ์อักษร ทั้งในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงซึ่งต้องผนวกเข้ากับสำนวนคดี และต้องเก็บไว้เป็นความลับ

วรรค 3 หลังจากได้เรียกขานพระนามของพระเป็นเจ้าแล้วผู้พิพากษาแต่ละคนต้องให้ข้อสรุปของตนตามลำดับความสำคัญแต่ต้องเริ่มต้นด้วยผู้สอบคดีหรือผู้ทำสำนวนก่อนเสมอและต้องมีการอภิปรายให้เหตุผลภายใต้การนำของประธานผู้พิพากษาโดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องตัดสินว่าอะไรต้องถูกกำหนดในแนวทางของคำตัดสิน

วรรค 4 อย่างไรก็ตาม ในการอภิปรายให้เหตุผลผู้พิพากษาแต่ละคนมีสิทธิ์ถอนข้อสรุปเดิมของตนส่วนผู้พิพากษาผู้ไม่พึงประสงค์จะเห็นด้วยกับคำตัดสินของคนอื่นสามารถเรียกร้องให้ส่งข้อสรุปของตนไปยังศาลที่สูงกว่า ถ้ามีการอุทธรณ์

วรรค 5 แต่ถ้าคณะผู้พิพากษาไม่ประสงค์ หรือไม่สามารถทำการตัดสินในการอภิปรายให้เหตุผลในครั้งแรกได้ การตัดสินสามารถเลื่อนไปในการประชุมครั้งใหม่ แต่ว่าไม่เกินหนึ่งสัปดาห์เว้นไว้แต่ว่า การสอบคดีต้องทำให้สำเร็จตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1600

มาตรา 1610 วรรค 1 หากมีผู้พิพากษาเพียงคนเดียว ผู้พิพากษาคนนั้นจะเป็นผู้เขียนคำตัดสินเอง

วรรค 2 ในศาลที่เป็นองค์คณะเป็นหน้าที่ของผู้สอบคดีหรือผู้ทำสำนวนที่จะเขียนคำตัดสินโดยคัดเลือกเหตุผลจากเหตุผลต่างๆ ที่ผู้พิพากษาแต่ละคนนำเสนอในการอภิปรายให้เหตุผล เว้นไว้แต่ว่าผู้พิพากษาส่วนใหญ่ได้กำหนดเหตุผลที่ต้องใช้ไว้ก่อนแล้วจากนั้นต้องมอบคำตัดสินเพื่อให้ผู้พิพากษาแต่ละคนรับรอง

วรรค 3 ต้องส่งคำตัดสินในเวลาไม่เกิดหนึ่งเดือนนับจากวันที่ตัดสินคดีเว้นไว้แต่ว่า ในศาลที่เป็นองค์คณะ คณะผู้พิพากษากำหนดระยะเวลานานกว่าเพราะมีเหตุผลหนัก

มาตรา 1611 คำตัดสินต้อง:

1.       ยุติข้อพิพาทที่ได้ฟ้องร้องในศาล โดยให้คำตอบที่เหมาะสมแก่ปัญหาแต่ละข้อ

2.       กำหนดข้อบังคับบางประการใดที่เกิดขึ้นแก่คู่คดีจากการดำเนินคดี และกำหนดว่าข้อบังคับเหล่านี้ต้องทำให้สำเร็จได้อย่างไร

3.       ให้เหตุผลหรือเหตุจูงใจทั้งในแง่กฎหมายและในข้อเท็จจริงว่าแนวทางของคำตัดสินนี้ มีพื้นฐานบนเหตุผลหรือเหตุจูงใจประการใด

4.       กำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี

มาตรา 1612 วรรค 1 หลังจากได้เรียกขานพระนามของพระเป็นเจ้าแล้วคำตัดสินต้องประกาศตามลำดับว่า ใครเป็นผู้พิพากษาหรือเป็นศาลใดใครเป็นโจทก์ จำเลย ตัวแทน พร้อมกับระบุชื่อและภูมิลำเนาที่ถูกต้องผู้ผดุงความยุติธรรม และผู้ปกป้องพันธะ ถ้าหากพวกเขามีส่วนในการดำเนินคดี

วรรค 2 ลำดับต่อไป รายงานข้อเท็จจริงโดยสังเขป พร้อมกับข้อสรุปของคู่คดีและระบุข้อปัญหา

วรรค 3 ต่อจากนั้นเป็นแนวทางของคำตัดสินที่นำด้วยเหตุผลซึ่งเป็นพื้นฐานของคำตัดสิน

วรรค 4 คำพิพากษาต้องจบด้วยการระบุวันเดือนปี และสถานที่ที่ทำการตัดสินพร้อมกับลายมือชื่อของผู้พิพากษาผู้นั้น หรือถ้าเป็นศาลที่เป็นองค์คณะต้องมีลายมือชื่อของผู้พิพากษาทุกคน และของนายทะเบียนศาล

มาตรา 1613 ระเบียบที่กล่าวมาข้างต้นเกี่ยวกับคำตัดสินที่เด็ดขาด และให้นำมาปรับใช้กับการตัดสินด้วยวาจา

มาตรา 1614 คำตัดสินต้องปิดประกาศโดยเร็วที่สุดเท่าที่ทำได้พร้อมกับระบุวิธีการคัดค้านไว้คำตัดสินไม่มีผลบังคับแต่ประการใดก่อนการปิดประกาศถึงแม้ว่าผู้พิพากษาได้อนุญาตให้คู่คดีทราบถึงแนวทางของคำตัดสินแล้วก็ตาม

มาตรา 1615 การปิดประกาศ หรือการแจ้งให้ทราบคำตัดสินสามารถทำได้โดยทั้งวิธีให้สำเนาคำตัดสินแก่คู่คดี หรือแก่ตัวแทนของคู่คดีหรือโดยการส่งสำเนาไปยังพวกเขา ตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1509

มาตรา 1616 วรรค 1 หากในตันฉบับของคำตัดสินมีข้อผิดพลาดในเรื่องของการคำนวณเกิดขึ้นหรือมีข้อผิดพลาดในเรื่องเนื้อหาในการคัดลอกแนวทางคำตัดสินหรือในรายงานข้อเท็จจริง หรือในคำฟ้องร้องของคู่คดีหรือสิ่งที่กำหนดตามกฎหมายมาตรา 1612 วรรค 4 ถูกละเลยศาลที่ออกคำตัดสินนั้นต้องแก้ไข หรือทำให้คำตัดสินนั้นสมบูรณ์โดยการร้องขอของคู่คดี หรือโดยหน้าที่แต่ต้องฟังคู่คดีก่อนและต้องออกคำสั่งผนวกใต้คำตัดสินเสมอ

วรรค 2 หากคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งคัดค้าน ต้องออกคำสั่งจัดการกับปัญหาแทรกซ้อนนั้น

มาตรา 1617 การประกาศอื่นๆ ของผู้พิพากษานอกเหนือคำตัดสิน เป็นคำสั่งถ้ามันไม่เป็นการปฏิบัติในกระบวนการทางศาลจริงๆ ก็ไม่มีผลบังคับเว้นไว้แต่ว่า อย่างน้อยมันแสดงเหตุผลแบบสั้นๆหรือเกี่ยวโยงกับเหตุผลที่แสดงออกในการกระทำอื่นๆ

มาตรา 1618 คำตัดสินด้วยวาจาหรือคำสั่งมีผลบังคับของคำตัดสินอย่างเด็ดขาดถ้ามันทำให้ขบวนการพิจารณาหยุด หรือมันทำให้ขบวนการพิจารณาหรือขั้นตอนการพิจารณาจบ อย่างน้อยเกี่ยวข้องกับแม้แต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งในคดี

 

ลักษณะ 8 การคัดค้านคำตัดสิน

หมวด 1 คำร้องขอให้คำตัดสินเป็นโมฆะ

มาตรา 1619 โดยคำนึงถึงกฎหมายมาตรา 1622 และ 1623 เมื่อใดก็ตามเมื่อคดีเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนบุคคลคดีที่เป็นโมฆะเพราะการกำหนดของกฎหมาย ถูกทำให้ถูกต้องโดยคำตัดสินเองถ้าหากคู่คดีที่ร้องขอรู้ถึงความเป็นโมฆะแต่ไม่ได้ยกปัญหาความเป็นโมฆะต่อผู้พิพากษาก่อนคำตัดสิน

มาตรา 1620 คำตัดสินเป็นโมฆะที่ไม่มีทางแก้ไขได้ เมื่อ:

1.       คำตัดสินที่ตัดสิน โดยผู้พิพากษาที่ไม่มีอำนาจเลย

2.       คำตัดสิน โดยบุคคลที่ขาดอำนาจของการตัดสินในศาลที่คดีได้รับการตัดสิน

3.       ผู้พิพากษาออกคำตัดสิน เพราะถูกบังคับโดยกำลัง หรือความกลัวอย่างหนัก

4.       การพิจารณาเกิดขึ้น โดยขาดคำร้องตามกระบวนการทางศาลที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1501 หรือไม่มีการ กล่าวหาจำเลยคนใดเลย

5.       เป็นคำตัดสินระหว่างคู่คดี ที่อย่างน้อยคู่คดีคนใดคนหนึ่งไม่ได้เคยมาศาลเลย

6.       บุคคลใดบุคคลหนึ่งกระทำการใดๆ ในนามของอีกคนหนึ่ง โดยปราศจากการมอบอำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย

7.       สิทธิของการป้องกันถูกปฏิเสธแก่ฝ่ายหนึ่ง หรือแก่อีกฝ่ายหนึ่ง

8.       คำตัดสินนั้นมิได้ยุติข้อพิพาท แม้แต่บางส่วน

มาตรา 1621 คำร้องขอให้เป็นโมฆะที่ระบุในกฎหมายมาตรา 1620 สามารถยื่นได้เสมอ โดยวิธีการคัดค้านและโดยการฟ้องต่อผู้พิพากษาซึ่งได้ประกาศคำตัดสินนั้น ภายในกำหนดเวลา 10 ปีนับจากวันปิดประกาศคำตัดสิน

มาตรา 1622 คำตัดสินที่เป็นโมฆะ แต่มีทางแก้ไขได้ เมื่อ:

1.       คำตัดสินที่ตัดสินโดยผู้พิพากษาซึ่งมีจำนวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งขัดต่อข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1425 วรรค 1

2.       คำตัดสินที่ไม่มีเหตุจูงใจ หรือเหตุผลของการตัดสินใจ

3.       คำตัดสินที่ขาดลายมือชื่อที่กำหนดโดยกฎหมาย

4.       คำตัดสินที่ไม่ลงวัน เดือน ปี หรือสถานที่ที่ประกาศคำตัดสิน

5.       คำตัดสินมีพื้นฐานบนกระบวนการพิจารณาที่เป็นโมฆะ และความเป็นโมฆะนั้นไม่สามารถแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1619

6.       คำตัดสินที่ตัดสินต่อต้านคู่คดีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งไม่ได้อยู่โดยชอบด้วยกฎหมาย ตามที่มีกล่าวไว้ในกฎหมายมาตรา 1593 วรรค 2

มาตรา 1623 คำร้องขอให้เป็นโมฆะในคดีที่กล่าวถึงในมาตรา 1622 สามารถเสนอได้ภายในเวลา 3 เดือนนับจากวันที่ได้รับแจ้งการปิดประกาศของคำตัดสินมาตรา 1624 ผู้พิพากษาซึ่งได้ประกาศคำตัดสิน ตรวจสอบคำร้องขอให้เป็นโมฆะแต่ถ้าหากคู่คดีเกรงกลัวว่า ผู้พิพากษาซึ่งได้ประกาศคำตัดสินกำลังถูกคัดค้านโดยคำร้องขอให้เป็นโมฆะ อาจมีอคติและเป็นผลให้ผู้พิพากษากลายเป็นผู้ต้องสงสัยคู่คดีสามารถเรียกร้องให้มีผู้พิพากษาคนอื่นทำหน้าที่แทนได้ตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1450

มาตรา 1625 คำร้องขอให้เป็นโมฆะ สามารถเสนอพร้อมกับคำอุทธรณ์ภายในเวลาที่กำหนดไว้สำหรับการอุทธรณ์

มาตรา 1626 วรรค 1 ไม่เพียงแต่คู่คดีที่รู้สึกว่าตนเองเสียหายเท่านั้นสามารถร้องขอให้เป็นโมฆะแต่ผู้ผดุงความยุติธรรม หรือผู้ปกป้องพันธะสามารถร้องขอให้เป็นโมฆะได้ด้วยเมื่อพวกเขามีสิทธิ์ในการเข้าเกี่ยวข้อง

วรรค 2 ผู้พิพากษาเอง โดยหน้าที่สามารถถอนหรือแก้ไขคำตัดสินที่เป็นโมฆะที่เขาได้ประกาศไปแล้วภายในกำหนดเวลาเพื่อกระทำการนี้ตามที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1623 เว้นไว้แต่ว่าเวลานั้นคำอุทธรณ์พร้อมกับคำร้องขอให้เป็นโมฆะได้ถูกยื่นไปแล้วหรือเว้นไว้แต่ว่าความเป็นโมฆะได้รับการแก้ไขแล้วในระหว่างช่วงเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายมาตรา1623

มาตรา 1627 คดีต่างๆ รวมถึงคำร้องให้เป็นโมฆะ สามารถได้รับการพิจารณาตามกฎเกณฑ์สำหรับกระบวนการพิจารณาข้อขัดแย้งด้วยวาจา

 

หมวด 2 การอุทธรณ์

มาตรา 1628 คู่คดีที่รู้สึกว่าตนเองได้รับความเสียหายเพราะคำตัดสิน และเช่นเดียวกันผู้ผดุงความยุติธรรม และผู้ปกป้องพันธะในคดีซึ่งในคดีนี้พวกเขาถูกเรียกร้องให้อยู่ด้วยมีสิทธิ์ในการยื่นอุทธรณ์คำตัดสินไปยังผู้พิพากษาที่สูงกว่าโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1629

มาตรา 1629 ไม่มีช่องสำหรับการอุทธรณ์:

1.       อุทธรณ์คำตัดสินของสมเด็จพระสันตะปาปาเอง หรือของศาลสูงสุดของสมเด็จพระสันตะปาปา

2.       อุทธรณ์คำตัดสินที่เป็นโมฆะเว้นไว้แต่ว่า คำตัดสินนั้นถูกรวมเข้ากับคำร้องขอให้เป็นโมฆะตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1625

3.       อุทธรณ์คำตัดสินที่สิ้นสุดแล้ว

4.       อุทธรณ์คำสั่งของผู้พิพากษา หรือคำตัดสินด้วยวาจาที่ไม่มีผลบังคับของเด็ดขาด

5.       อุทธรณ์คำตัดสินหรือคำสั่งในคดีที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อยุติเรื่องราวแบบเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

มาตรา 1630 วรรค 1 การอุทธรณ์ต้องยื่นต่อผู้พิพากษาที่ประกาศคำตัดสินภายในระยะเวลาที่กำหนด 15วันทำการ นับจากการแจ้งการปิดประกาศคำตัดสิน

วรรค 2 ถ้าอุทธรณ์โดยวาจา นายทะเบียนศาลต้องจดบันทึกต่อหน้าผู้ยื่นอุทธรณ์

มาตรา 1631 ถ้าหากมีปัญหาเกิดขึ้นเกี่ยวกับสิทธิของการอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ควรตรวจสอบคำอุทธรณ์โดยเร็วที่สุดเท่าที่สามารถทำได้ตามกฎเกณฑ์ของกระบวนการพิจารณาข้อขัดแย้งด้วยวาจา

มาตรา 1632 วรรค 1 หากในการอุทธรณ์ไม่มีการกำหนดว่าศาลใดที่จะส่งคำอุทธรณ์ไป ให้สันนิษฐานว่าต้องทำการอุทธรณ์ที่ศาล ที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1438 และ 1439

วรรค 2 หากคู่คดีฝ่ายอื่นร้องขอต่อศาลอุทธรณ์อื่น ให้ศาลลำดับชั้นสูงกว่าตรวจสอบคดี โดยคำนึงถึงกฎหมายมาตรา 1415

มาตรา 1633 การอุทธรณ์ต้องดำเนินการต่อหน้าผู้พิพากษา อุทธรณ์ภายในเวลา 1 เดือน นับจากวันที่รับเรื่องอุทธรณ์เว้นไว้แต่ว่า ผู้พิพากษารับเรื่องอุทธรณ์จะกำหนดระยะเวลาที่นานกว่าสำหรับคู่คดีเพื่อดำเนินการ

มาตรา 1634 วรรค 1 เพื่อดำเนินการอุทธรณ์ เป็นการจำเป็นและเพียงพอให้คู่คดีอุทธรณ์ไปยังผู้พิพากษาในลำดับชั้นสูงกว่าเพื่อการแก้ไขคำตัดสินเดิม ให้ผนวกสำเนาคำตัดสิน และให้ระบุเหตุผลของการอุทธรณ์

วรรค 2 หากฝ่ายอุทธรณ์ไม่สามารถหาสำเนาคำตัดสินเดิมจากศาลที่ตัดสินคดีภายในเวลาทำการ ในระหว่างนั้น กำหนดเวลาทำการดังกล่าวต้องสะดุดหยุดอยู่ และต้องระบุข้อขัดขวางต่อผู้พิพากษาอุทธรณ์ซึ่งต้องติดต่อผู้พิพากษาของศาลเดิมด้วยคำสั่งให้ปฏิบัติหน้าที่ของเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่สามารถ

วรรค 3 ขณะเดียวกัน ผู้พิพากษาของศาลเดิมต้องส่งสำเนาคดีไปยังศาลอุทธรณ์ ตามกฎหมายมาตรา 1474

มาตรา 1635 ให้ถือว่าการอุทธรณ์ถูกละทิ้งหากกำหนดเวลาสำหรับการอุทธรณ์ทั้งต่อผู้พิพากษาเดิมหรือผู้พิพากษาอุทธรณ์สิ้นสุดลงโดยไม่ได้ทำอะไร

มาตรา 1636 วรรค 1 ผู้พิพากษาอุทธรณ์สามารถยกเลิกการอุทธรณ์ โดยมีเหตุผลตามที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1525

วรรค 2 หากการอุทธรณ์กระทำโดยผู้ปกป้องพันธะ หรือผู้ผดุงความยุติธรรมก็ให้ผู้ปกป้องพันธะหรือผู้ผดุงความยุติธรรมของศาลอุทธรณ์เป็นผู้บอกเลิกการอุทธรณ์นั้น เว้นไว้แต่ว่า กฎหมายกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

มาตรา 1637 วรรค 1 การอุทธรณ์ของโจทก์ให้ประโยชน์แก่จำเลยฉันใด ในทางกลับกันการอุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นประโยชน์แก่โจทก์ด้วยฉันนั้น

วรรค 2 หากมีจำเลยหรือโจทก์หลายคนและหากคำตัดสินถูกคัดค้านโดยคนเดียวเท่านั้นหรือคัดค้านต่อเพียงคนเดียวเท่านั้นของพวกเขาการคัดค้านนั้นให้ถือว่าทำโดยพวกเขาทุกคน และต่อพวกเขาทุกคน เมื่อไรก็ตามเมื่อเรื่องที่คัดค้านนั้นไม่สามารถแบ่งแยกได้ หรือมันเป็นข้อผูกมัดร่วมกัน

วรรค 3 หากการอุทธรณ์ทำโดยคู่คดีฝ่ายหนึ่งต่อส่วนหนึ่งของคำตัดสินคู่คดีอีกฝ่ายสามารถอุทธรณ์แทรกเกี่ยวกับส่วนอื่น ภายในกำหนดเวลา 15 วันนับจากวันที่รับการอุทธรณ์หลักถึงแม้ว่าวันกำหนดเวลาเพื่อการอุทธรณ์ได้สิ้นสุดลงแล้ว

วรรค 4 เว้นไว้แต่ว่า มีหลักฐานตรงกันข้าม ให้สันนิษฐานว่า การอุทธรณ์ได้ทำต่อทุกส่วนของคำตัดสิน

มาตรา 1638 การอุทธรณ์ยับยั้งการปฏิบัติตามคำตัดสิน

มาตรา 1639 วรรค 1 โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1638ไม่ให้ศาลอุทธรณ์รับมูลฟ้องใหม่ไม่แม้แต่โดยวิธีการเพิ่มมูลฟ้องที่เป็นประโยชน์ เพราะฉะนั้นการกำหนดประเด็นปัญหาสามารถมุ่งไปยังเฉพาะว่าคำตัดสินเดิมจะถูกรับรองหรือแก้ไขไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน

วรรค 2 ยิ่งไปกว่านั้น สามารถรับข้อหลักฐานพิสูจน์อันใหม่ได้ โดยเฉพาะตามกฎหมายมาตรา 1600

มาตรา 1640 กระบวนการศาลในระดับศาลอุทธรณ์ให้เป็นเหมือนกับศาลชั้นต้นโดยมีการปรับเปลี่ยนที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามทันทีหลังจากได้กำหนดประเด็นปัญหาตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1513 วรรค 1 และ1639 วรรค 1 แล้ว ต้องมีการอภิปรายให้เหตุผลเกี่ยวกับคดีและต้องออกคำตัดสิน เว้นไว้แต่ว่าบางครั้งต้องให้มีหลักฐานพิสูจน์ครบถ้วนเสียก่อน

ลักษณะ 9 คดีที่ถึงที่สุดแล้ว และการกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสิน

 

หมวด 1 คดีที่ถึงที่สุดแล้ว

มาตรา 1641 โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1643 คดีที่ถึงที่สุดแล้วมีผลเมื่อ :

1.       หากมีคำตัดสิน ทั้งสองครั้งเหมือนกันระหว่างคู่คดีเกี่ยวกับคำร้องขอเดียวกัน และเกิดขึ้นจากมูลฟ้องอันเดียวกัน

2.       หากมิได้ทำการอุทธรณ์คำตัดสินภายในระยะเวลาที่กำหนด

3.       หากระงับหรือละทิ้งคดีในศาลอุทธรณ์

4.       หากจากคำตัดสินที่เด็ดขาด ไม่อนุญาตให้อุทธรณ์ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1629

มาตรา 1642 วรรค 1 คดีที่ถึงที่สุดแล้ว ให้ถือว่ากฎหมายให้ความคุ้มครอง และไม่สามารถคัดค้านอย่างโดยตรงได้ ยกเว้นเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา1645 วรรค 1

วรรค 2 คดีที่ถึงที่สุดแล้ว มีผลตามกฎหมายระหว่างคู่คดี และให้สิทธิปฏิบัติตามคดีที่ถึงที่สุด และให้สิทธิของการยกเว้นของคดีที่ถึงที่สุดแล้วซึ่งผู้พิพากษาสามารถประกาศอย่างเป็นทางการเพื่อป้องกันการนำคดีเดียวกันนี้มาฟ้องร้องอีก

มาตรา 1643 คดีที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลไม่เคยกลายเป็นคดีที่ถึงที่สุดเลย ไม่ยกเว้นแม้แต่คดีที่เกี่ยวกับการแยกทางกันของคู่สมรส

มาตรา 1644 วรรค 1 หากมีคำตัดสินสองครั้งเหมือนกันถูกประกาศในคดีที่เกี่ยวกับสถานภาพของบุคคลคำตัดสินนั้นสามารถนำสู่ศาลอุทธรณ์ได้ทุกเวลาถ้านำหลักฐานพิสูจน์หรือข้อถกเถียงที่ใหม่มาภายในระยะเวลากำหนด 30 วันนับจากวันที่เสนอคำคัดค้าน อย่างไรก็ตาม ภายใน 30 วันนับจากวันที่เสนอหลักฐานพิสูจน์และข้อถกเถียงใหม่ศาลอุทธรณ์ต้องประกาศโดยคำสั่งว่าจะรับการยื่นครั้งใหม่ของคดีนี้หรือไม่รับ

วรรค 2 การอุทธรณ์ไปยังศาลที่สูงกว่าเพื่อจะมีการเสนอคดีใหม่ไม่ขัดขวางการปฏิบัติตามคำตัดสิน เว้นไว้แต่ว่าไม่ว่ากฎหมายจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่นหรือศาลอุทธรณ์ออกคำสั่งการยับยั้งนั้นตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1650 วรรค 3

 

หมวด 2 การกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสิน

มาตรา 1645 วรรค 1 เพื่อให้การกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสินการคัดค้านคำตัดสินที่กลายเป็นคดีที่ถึงที่สุดแล้วสามารถทำให้กลับสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสินขอแต่ให้เห็นประจักษ์ชัดว่าคำตัดสินนั้นไม่เป็นธรรม

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม หลักฐานพิสูจน์ที่แจ้งชัดถึงความอยุติธรรมเป็นจริง เฉพาะเมื่อ :

1.       คำตัดสินนั้นมีมูลเหตุบนหลักฐานพิสูจน์ที่ปรากฎภายหลังว่าเป็นเท็จดังนั้นโดยปราศจากหลักฐานพิสูจน์เหล่านั้นแนวทางคำตัดสินเช่นนั้นจะไม่มีขึ้น

2.       หลังจากที่ได้พบเอกสารต่างๆ ที่พิสูจน์อย่างไม่มีข้อสงสัยถึงข้อเท็จจริงใหม่ ซึ่งเรียกร้องการตัดสินตรงกันข้าม

3.       การประกาศคำตัดสินเกิดขึ้นเพราะการหลอกลวงของคู่คดีฝ่ายหนึ่ง ซึ่งทำร้ายคู่คดีอีกฝ่าย

4.       ข้อกำหนดของกฎหมาย ซึ่งไม่ใช่แต่ขั้นตอนดำเนินการทางศาลถูกเมินเฉยอย่างแจ้งชัด

5.       คำตัดสินตรงกันข้ามกับคำตัดสินก่อนหน้านั้น ซึ่งได้กลายเป็นคำตัดสินที่สิ้นสุดแล้ว

มาตรา 1646 วรรค 1 การกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสินเนื่องจากเหตุผลตามที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1645 วรรค 2 ข้อ 1 ถึงข้อ 3 ต้องร้องขอต่อผู้พิพากษาที่ได้ออกคำตัดสินนั้น ภายในเวลา 3เดือนนับจากวันที่เหตุผลเหล่านั้นกลายเป็นที่รู้จัก

วรรค 2 การกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสิน กฎหมายมาตรา 1645 วรรค 2 ข้อ 4 และ 5 ต้องร้องขอต่อศาลอุทธรณ์ภายใน 3 เดือนนับจากการแจ้งปิดประกาศคำตัดสินแต่หากว่าเป็นกรณีที่ระบุไว้ในกฎหมายมาตรา 1645 วรรค 2 ข้อ 5 ว่าการแจ้งคำตัดสินครั้งก่อนเป็นที่รู้จักช้ากว่าการนับเวลากำหนดเริ่มต้นจากการแจ้งนี้

วรรค 3 การนับเวลากำหนดที่กล่าวข้างบนสะดุดหยุดอยู่ตราบเท่าที่ผู้ได้รับความเสียหายเป็นผู้เยาว์

มาตรา 1647 วรรค 1 การขอให้กลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสินยับยั้งการปฏิบัติตามคำตัดสิน ถ้าการปฏิบัตินั้นยังไม่ได้เริ่ม

วรรค 2 อย่างไรก็ตาม หากมีการบ่งชี้ที่น่าจะเป็นไปได้สงสัยว่าคำร้องขอทำขึ้นเพื่อยืดการปฏิบัติตามคำตัดสินนั้นออกไปผู้พิพากษาสามารถออกคำสั่งให้ปฏิบัติตามคำตัดสินนั้นแต่ต้องเอาใจใส่เรื่องการชดเชยค่าเสียหายแก่บุคคลที่ขอการกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสิน ถ้ามันได้รับการอนุมัติ

มาตรา 1648 หากได้รับการกลับคืนสู่สภาพเดิมทั้งหมดก่อนประกาศคำตัดสินผู้พิพากษาต้องประกาศเหตุผลที่ให้กลับคืนสู่สภาพเดิม

 

ลักษณะ 10 ค่าใช้จ่ายศาล และความช่วยเหลือทางกฎหมายโดยไม่คิดมูลค่า

มาตรา 1649 วรรค 1 พระสังฆราชผู้รับผิดชอบดูแลศาล ต้องกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับ :

1.       คู่คดีต้องรับผิดชอบจ่ายหรือชดเชยสำหรับค่าใช้จ่ายทางศาล

2.       ค่าตอบแทนของตัวแทน ทนายความ ผู้เชี่ยวชาญ และผู้แปล และค่าใช้จ่ายของพยาน

3.       การให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายโดยไม่คิดมูลค่า หรือการลดหย่อนค่าใช้จ่ายต่างๆ

4.       การชดเชยความเสียหายที่เป็นหนี้โดยบุคคลที่ไม่เพียงแต่แพ้คดี แต่ได้เข้าสู่คดีอย่างไม่รอบคอบ

5.       การวางมัดจำเงิน หรือการทำหลักประกันเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ และความเสียหายที่ต้องได้รับการชดเชย

วรรค 2 ไม่ให้มีการร้องขอแยกกันจากการประกาศเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายค่าตอบแทน ค่าชดเชยความเสียหาย แต่คู่คดีสามารถร้องขอต่อผู้พิพากษาคนเดิมที่สามารถเปลี่ยนแปลงการกำหนดค่าใช้จ่ายภายในเวลา 15 วัน

 

ลักษณะ 11 การประกาศคำพิพากษา

มาตรา 1650 วรรค 1 คำพิพากษาที่มีผลให้คดีถึงที่สุดแล้ว สามารถนำไปปฏิบัติได้ โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของมาตรา 1647

วรรค 2 ผู้พิพากษาที่ตัดสินและผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ด้วยถ้าได้ยื่นการอุทธรณ์ไปแล้วโดยหน้าที่หรือโดยคำขอของคู่คดีสามารถสั่งให้ปฏิบัติตามคำตัดสินที่ยังไม่เป็นคำตัดสินที่ถึงที่สุดแล้วไปก่อนได้ ถ้าเป็นกรณีที่ทำได้หลังจากจัดให้มีหลักประกันที่เหมาะสมแล้วสำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับการครองชีพ และสำหรับเหตุผลอื่นที่เร่งด่วน

วรรค 3 หากมีการคัดค้านคำตัดสินคดีตามที่ระบุไว้ในข้อ 2 และผู้พิพากษาเห็นว่าคำคัดค้านนั้นมีมูลและอาจมีผลเสียที่ไม่อาจเรียกคืนได้ในภายหลัง ผู้พิพากษานั้นก็สามารถระงับผลการตัดสินไว้ก่อนได้มาตรา 1651 ห้ามปฏิบัติตามคำพิพากษาก่อนที่ผู้พิพากษาจะออกคำสั่งให้ปฏิบัติซึ่งในคำสั่งนั้นจะต้องระบุให้ต้องปฏิบัติตามคำตัดสินคำสั่งนี้ต้องรวมอยู่ในเอกสารคำตัดสินหรือสั่งแยกต่างหากตามชนิดที่แตกต่างกันของคดี

มาตรา 1652 ถ้าหากว่าการปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นเรียกร้องให้มีการแสดงเหตุผลก่อนคำเรียกร้องนี้เป็นเรื่องแทรกซ้อนที่ผู้พิพากษาผู้ที่ออกคำสั่งให้ปฏิบัติตามคำตัดสินนั้นต้องชี้ขาดให้หมดไป

มาตรา 1653 วรรค 1 พระสังฆราชของสังฆมณฑลที่มีการออกคำพิพากษาในศาลชั้นต้นนั้นต้องสั่งให้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยตนเอง หรือโดยผู้อื่นเว้นไว้แต่ว่ามีกฎหมายเฉพาะระบุไว้เป็นเรื่องอื่น

วรรค 2 ถ้าพระสังฆราชองค์นี้ปฏิเสธหรือเพิกเฉยที่จะกระทำการดังกล่าวการปฏิบัติตามคำพิพากษานั้นตกเป็นหน้าที่ของศาลอุทธรณ์ตามข้อกำหนด ของมาตรา 1439 วรรค 3 ตามคำร้องของคู่กรณีที่มีส่วนได้เสียหรือแม้กระทั่งโดยหน้าที่

วรรค 3 ในระหว่างนักบวชการปฏิบัติตามคำพิพากษาเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ผู้ออกคำสั่งให้ออกปฏิบัติตามคำพิพากษาหรือผู้ใหญ่ที่มอบอำนาจให้กับผู้พิพากษา

มาตรา 1654 วรรค 1 ผู้ปฏิบัติจะต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาตามความหมายที่ชัดแจ้งของคำเว้นไว้แต่ว่าเอกสารคำตัดสินมอบให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้ปฏิบัติตามคำพิพากษา

วรรค 2 ผู้ปฏิบัติตามคำพิพากษาอาจจะพิจารณายกเว้น วิธีการและอำนาจบังคับการปฏิบัติแต่ไม่เกี่ยวกับเหตุผลของคดีแต่ถ้าพบว่าหากทราบจากแหล่งอื่นว่าคำพิพากษาเป็นโมฆะหรือไม่ยุติธรรมอย่างแจ้งชัด ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1620, 1622, 1645 ผู้ปฏิบัติตามคำพิพากษาต้องหยุดปฏิบัติการ และให้ส่งเรื่องไปให้ศาลซึ่งได้ออกคำพิพากษาพร้อมกับแจ้งให้คู่กรณีทราบ

มาตรา 1655 วรรค 1 สำหรับคดีที่เกี่ยวกับทรัพย์เมื่อพิพากษาว่าทรัพย์นั้นเป็นของโจทก์ต้องคืนให้แก่โจทก์ทันทีที่คดีถึงที่สุดวรรค 2 อย่างไรก็ตามหากเป็นคดีที่เกี่ยวกับบุคคล เมื่อจำเลยถูกพิพากษาให้จัดหาสังหาริมทรัพย์ ให้จ่ายเงินหรือให้ของบางอย่าง หรือให้ทำบางอย่างผู้พิพากษาในคำตัดสินนั้นหรือผู้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยมีความระมัดระวัง และโดยความสุขุมรอบคอบของตนเอง ต้องกำหนดเวลาเพื่อปฏิบัติตามพันธะดังกล่าวกำหนดเวลานี้ต้องไม่น้อยกว่า 15 วัน และไม่มากกว่า 6 เดือน

 

 

ตอน 2 ขบวนการพิจารณาคดีด้วยวาจา

มาตรา 1656 วรรค 1 คดีทั้งหลายที่กฎหมายไม่กันออกไปสามารถนำมาพิจารณาในขบวนการพิจารณาด้วยวาจาที่กล่าวถึงในตอนนี้เว้นไว้แต่ว่าคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งร้องขอให้พิจารณาแบบปกติ

วรรค 2 ถ้าขบวนการพิจารณาด้วยวาจานำไปใช้นอกเหนือจากกรณีที่กฎหมายอนุญาตการพิจารณาคดีนั้นถือเป็นโมฆะ

มาตรา 1657 ขบวนการพิจารณาคดีด้วยวาจาทำได้ในศาลชั้นต้นต่อหน้าผู้พิพากษาเดี่ยว ตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1424

มาตรา 1658 วรรค 1 นอกเหนือจากเรื่องที่ระบุไว้ในมาตรา 1504 แล้วสำนวนฟ้อง

ที่นำมาสู่ขบวนการพิจารณาต้อง :

1.       แสดงข้อเท็จจริงที่เป็นพื้นฐานตามคำขอของโจทก์ อย่างสั้น อย่างครบถ้วน และอย่างชัดเจน

2.       ระบุหลักฐานพิสูจน์ในลักษณะที่ผู้พิพากษาสามารถรวบรวมหลักฐานเหล่านั้นได้ทันที ข้อพิสูจน์เหล่านั้นเป็นข้อพิสูจน์ที่โจทก์ตั้งใจนำมาแสดงข้อเท็จจริงแต่ว่าไม่สามารถนำมาแสดงได้พร้อมกัน

วรรค 2 เอกสารที่เป็นพื้นฐานของคำขอ ต้องแนบติดกับหนังสือฟ้องอย่างน้อยในแบบสำเนาที่แท้จริง

มาตรา 1659 วรรค 1 ถ้าความพยายามไกล่เกลี่ยตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1646 วรรค 2 ไม่เกิดผล ถ้าผู้พิพากษาเชื่อว่าคำฟ้องนั้นมีมูลเขาต้องออกคำสั่งภายใน 3 วัน ด้วยหนังสือคำสั่งที่ห้อยท้ายสำนวนฟ้องนั้นสั่งเพื่อให้ส่งสำเนาคำขอไปยังจำเลยโดยให้สิทธิแก่จำเลยที่จะส่งคำตอบเป็นลายลักษณ์อักษรไปยังเจ้าหน้าที่ศาลภายใน 15 วัน

วรรค 2 การแจ้งนี้มีผลเท่ากับการแจ้งหมายศาลตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1512

มาตรา 1660 ถ้าการคัดค้านของจำเลยเรียกร้อง ผู้พิพากษาต้องกำหนดเวลาให้โจทก์ตอบเพื่อทำให้เรื่องที่ถกเถียงกันกระจ่างขึ้นจากจุดที่แต่ละฝ่ายยกขึ้นมา

มาตรา 1661 วรรค 1 เมื่อครบกำหนดเวลาตามมาตรา 1659 และ 1660 ผู้พิพากษาหลังจากได้ตรวจสำนวนฟ้องทั้งหมดแล้วต้องกำหนดสิ่งที่เป็นปัญหากันอยู่ :จากนั้นผู้พิพากษาต้องเรียกทุกคนที่มีส่วนได้เสียให้มาฟังภายใน 30 วัน :ผู้พิพากษาต้องเพิ่มสิ่งที่ยังเป็นปัญหากันอยู่ในหมายเรียกสำหรับคู่คดี

วรรค 2 ในหมายเรียกนั้นต้องแจ้งคู่คดีว่าเขาสามารถยื่นข้อเขียนแบบสั้นๆ เพื่อสนับสนุนคำกล่าวอ้างของตนแก่ศาลได้อย่างน้อย 3 วันก่อนการมาฟัง

มาตรา 1662 ในการฟังก่อนอื่นต้องพูดถึงปัญหาทุกอย่างที่ระบุไว้ในมาตรา 14591464

มาตรา 1663 วรรค 1 หลักฐานพิสูจน์ทั้งหลายถูกรวบรวมที่การฟังโดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1418

วรรค 2 คู่คดีและทนายของตนสามารถอยู่ในการสอบถามของคู่คดีอีกฝ่ายหนึ่งของพยาน และของผู้เชี่ยวชาญ

มาตรา 1664 คำตอบของคู่คดี ของพยาน ของผู้เชี่ยวชาญ และคำขอและคำค้านของทนาย ต้องจดเป็นลายลักษณ์อักษรแบบย่อโดยนายทะเบียนศาล และจดแต่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับเนื้อหาของเรื่องที่ถกเถียงกันเท่านั้นและให้ผู้ที่ให้ปากคำลงลายมือชื่อ

มาตรา 1665 ผู้พิพากษาสามารถรับหลักฐานพิสูจน์ที่มิได้ถูกนำเข้ามาหรือมิได้ถูกขอในคำขอ หรือในคำโต้ตอบได้ เฉพาะตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1452 เท่านั้น อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้ฟังพยานเพียงคนเดียวผู้พิพากษาสามารถตัดสินใจรับหลักฐานพิสูจน์ใหม่ได้เฉพาะตามกำเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1600

มาตรา 1666 หากไม่สามารถนำหลักฐานพิสูจน์ต่าง ๆ ทั้งหมดมาในการฟังครั้งแรกก็ให้มีการนัดฟังครั้งที่สอง

มาตรา 1667 เมื่อรวบรวมหลักฐานพิสูจน์ทั้งหลายแล้วการถกเถียงด้วยวาจาที่เกิดขึ้นที่การฟังนั้นเอง

มาตรา 1668 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่าจากการถกเถียงนั้นมีการพบว่าต้องเพิ่มเติมบางอย่างในสำนวนคดีหรือมีบางอย่างที่ขัดขวางการประกาศคำตัดสินอย่างถูกต้อง ทันทีผู้พิพากษาต้องตัดสินคดีในส่วนของตนเมื่อการฟังได้ทำครบถ้วนแล้วต้องอ่านแนวทางการตัดสินทันทีต่อหน้าคู่คดี

วรรค 2 อย่างไรก็ตามศาลสามารถเลื่อนคำตัดสินได้ จนถึงวันทำการที่ 5 เพราะความยุ่งยากของคดีหรือเพราะเหตุผลอันควรอย่างอื่น

วรรค 3 คำพิพากษาทั้งหมดพร้อมทั้งเหตุผลประกอบ จะต้องแจ้งให้คู่คดีทั้งสองฝ่ายทราบโดยเร็วที่สุด ปกติไม่เกิน 15 วัน

มาตรา 1669 หากศาลอุทธรณ์พบว่าในศาลชั้นรองลงไปใช้วิธีกระบวนการพิจารณาคดีด้วยวาจาในคดีที่กฎหมายกันออกไปศาลอุทธรณ์ต้องประกาศว่าคำตัดสินเป็นโมฆะ และส่งคดีไปยังศาลที่ผ่านคำตัดสินนี้มา

มาตรา 1670 ในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับวิธีการพิจารณาคดีต้องถือตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายพระศาสนจักรของการพิจารณาแบบปกติอย่างไรก็ตามศาลโดยคำสั่งที่ให้เหตุผล สามารถออกจากกฎเกณฑ์พิจารณาคดีที่ไม่กำหนดไว้เพื่อความถูกต้องทั้งนี้เพื่อให้เรื่องเร็วขึ้นโดยคำนึงถึงความยุติธรรม

 

 

 

 

ภาค 3 ขบวนการพิจารณาแบบพิเศษ

ลักษณะ 1 ขบวนการพิจารณาเกี่ยวกับแต่งงาน

บท 1 คดีเพื่อการประกาศความเป็นโมฆะของการแต่งงาน

ส่วนที่ 1 ศาลที่มีอำนาจ

มาตรา 1671 คดีเกี่ยวกับการแต่งงานของผู้รับศีลล้างบาปขึ้นต่อผู้พิพากษาฝ่ายพระศาสนจักรโดยสิทธิเฉพาะ

มาตรา 1672 คดีที่เกี่ยวกับผลฝ่ายบ้านเมืองเท่านั้นของการแต่งงานขึ้นกับอำนาจฝ่ายบ้านเมือง เว้นไว้แต่ว่ามีกฎหมายเฉพาะกำหนดว่าคดีเหล่านี้สามารถพิจารณา และตัดสินได้โดยผู้พิพากษาฝ่ายพระศาสนจักร เมื่อเป็นคดีที่แทรกซ้อน และผนวกเข้ามา

มาตรา 1673 คดีเกี่ยวกับความเป็นโมฆะของการแต่งงาน ที่มิได้สงวนไว้สำหรับสันตะสำนัก ศาลต่อไปนี้มีอำนาจ

1.       ศาลของสถานที่ที่มีการแต่งงาน

2.       ศาลของสถานที่ที่จำเลยมีภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนา

3.       ศาลของสถานที่ที่โจทก์มีภูมิลำเนาขอแต่ให้คู่คดีทั้งสองอาศัยอยู่ในเขตของสภาพระสังฆราชเดียวกันและผู้แทนพระสังฆราชฝ่ายตุลาการของภูมิลำเนาของจำเลยยินยอมหลังจากได้ฟังจำเลยแล้ว

4.       ศาลของสถานที่ซึ่งตามความเป็นจริงต้องรวบรวมหลักฐานพิสูจน์ส่วนใหญ่ที่นั่นขอแต่ให้ผู้แทนพระสังฆรการยินยอมโดยเขาต้องถามว่าจำเลยมีข้อคัดค้านหรือไม่ก่อนที่เขาจะให้คำยินยอมาชฝ่ายตุลาการของภูมิลำเนาของจำเลยให้

 

ส่วน 2 สิทธิในการต่อสู้เรื่องการแต่งงาน

มาตรา 1674 บุคคลต่อไปนี้สามารถต่อสู้เรื่องการแต่งงาน

1.       คู่สมรส

2.       ผู้ผดุงความยุติธรรมเมื่อความเป็นโมฆะเป็นที่รู้แก่สาธารณะ ถ้าการแต่งงานไม่สามารถทำให้ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมที่จะทำให้ถูกต้อง

มาตรา 1675 วรรค 1 การแต่งงานที่ไม่ได้นำมาต่อสู้ระหว่างที่คู่สมรสทั้งสองยังมีชีวิตอยู่ไม่สามารถนำมาต่อสู้หลังความตายของฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่าย เว้นไว้แต่ว่าปัญหาเรื่องความถูกต้องได้รับการตัดสินก่อนเพื่อแก้ไขความขัดแย้งอีกอันหนึ่ง ไม่ว่าในศาลพระศาสนจักรหรือศาลบ้านเมือง

วรรค 2 อย่างไรก็ตามหากคู่สมรสฝ่ายหนึ่งเสียชีวิตขณะดำเนินคดีอยู่ ต้องถือตามมาตรา 1518

มาตรา 1676 ก่อนที่จะรับคดีและเมื่อใดก็ตามที่มีความหวังจะพบทางออกที่ดีผู้พิพากษาจะต้องใช้วิธีการอภิบาลถ้าเป็นไปได้เพื่อนำคู่สมรสมาให้ทำการแต่งงานอย่างถูกต้อง และเพื่อฟื้นชีวิตคู่

มาตรา 1677 วรรค 1 เมื่อรับหนังสือฟ้องแล้วประธานผู้พิพากษาหรือผู้เขียนคดีต้องดำเนินการแจ้งคำสั่งหมายเรียกตามกฎเกฎฑ์ของกฎหมายพระศาสนจักร มาตรา 1508

วรรค 2 เว้นไว้แต่ว่าคู่กรณีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้ขอให้มีการระบุประเด็นปัญหาเมื่อเวลา 15 วันผ่านไปหลังจากที่ได้ส่งหมายเรียกประธานผู้พิพากษาหรือผู้เขียนคดีต้องกำหนดข้อความของข้อสงสัยหรือข้อสงสัยทั้งหลายภายใน 10 วันโดยคำสั่งตามหน้าที่ และแจ้งให้คู่กรณีทราบ

วรรค 3 ข้อความของข้อสงสัยไม่เพียงแต่ต้องถามว่ามีหลักฐานพิสูจน์ของความเป็นโมฆะในคดีหรือไม่แต่ต้องกำหนดด้วยว่าอะไรเป็นพื้นฐานหรือพื้นฐานทั้งหลายที่นำมาฟ้องร้องกันเกี่ยวกับความถูกต้องของการแต่งงาน

วรรค 4 หลังจากได้แจ้งคำสั่งแล้ว 10 วัน ประธานผู้พิพากษาหรือผู้เขียนคดีต้องจัดการเพื่อทำคดี โดยออกคำสั่งใหม่ถ้าคู่คดีไม่คัดค้าน

 

ส่วน 4 หลักฐานพิสูจน์

มาตรา 1678 วรรค 1 ผู้ปกป้องพันธะ ทนายของทั้งสองฝ่าย และผู้ผดุงความยุติธรรมถ้าเข้ามาเกี่ยวข้องกับขบวนการฟ้องร้องเขามีสิทธิ์

1.       อยู่ในคู่คดีขณะการสอบปากคำพยาน และผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1559

2.       ตรวจสอบสำนวนคดีแม้ที่ยังมิได้ปิดประกาศ และทบทวนเอกสารที่คู่คดีทำขึ้น

วรรค 2 คู่คดีไม่สามารถอยู่ในขณะสอบปากคำตามระบุไว้ในวรรค 1 ข้อ 1

มาตรา 1679 เว้นไว้แต่ว่ามีหลักฐานพิสูจน์ครบถ้วนจากแห่งอื่นในการประเมินคำให้การของคู่คดีตามกฎหมายมาตรา 1536 ผู้พิพากษาต้องใช้พยานเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของคู่คดีถ้าเป็นไปได้ต้องใช้ตัวบ่งชี้และเครื่องช่วยอื่นๆ ด้วย

มาตรา 1680 ในคดีที่เกี่ยวกับการไร้สมรรถภาพทางเพศหรือที่เกี่ยวกับความบกพร่องของการให้การยินยอมเนื่องจากความป่วยทางจิตผู้พิพากษาต้องใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญหนึ่งท่านหรือมากกว่าเว้นไว้แต่ว่าเป็นที่แจ้งชัดจากสภาพแวดล้อมทั้งหลายว่าสิ่งนี้ไม่เป็นประโยชน์ ในกรณีอื่นๆ ให้ถือตามข้อกำหนดกฎหมายมาตรา 1574

 

 

ส่วน 5 คำพิพากษาและการอุทธรณ์

มาตรา 1681 ระหว่างการพิจารณาคดีเมื่อใดก็ตามที่ความสงสัยที่เป็นได้อย่างมากเกิดขึ้นเกี่ยวกับการแต่งงานที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ หลังจากให้หยุดคดีความเป็นโมฆะโดยการยินยอมของคู่คดีศาลสามารถพิจารณาคดีให้เสร็จเพื่อการยกเว้นจากการแต่งงานที่ได้ทำถูกต้องแล้ว และให้ส่งสำนวนไปยังสันตะสำนักพร้อมคำขอยกเว้นจากคู่คดีฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายพร้อมกับความเห็นของศาล และของพระสังฆราชมาตรา 1682 วรรค 1 คำพิพากษาซึ่งครั้งแรกได้ประกาศความเป็นโมฆะของการแต่งงานพร้อมกับคำอุทธรณ์ถ้ามี และการกระทำอื่น ๆ ของการพิจารณาคดีต้องส่งโดยหน้าที่ไปยังศาลอุทธรณ์ภายในเวลา 20 วัน จากวันปิดประกาศคำตัดสิน

วรรค 2 ถ้าคำตัดสินออกมาว่าการแต่งงานเป็นโมฆะในการพิจารณาของศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ต้องยืนยันด้วยคำตัดสินด้วยคำสั่งของตนทันทีหรือรับคดีให้เข้าพิจารณาตามปกติของศาลชั้นใหม่หลังจากได้พิจารณาข้อสังเกตของผู้ปกป้องพันธะและของคู่กรณีถ้ามี

มาตรา 1683 หากในศาลอุทธรณ์มีการเสนอพื้นฐานใหม่ของความเป็นโมฆะของการแต่งงาน ศาลสามารถรับและตัดสินเหมือนศาลชั้นต้น

มาตรา 1684 วรรค 1 หลังจากคำพิพากษาซึ่งครั้งแรกประกาศความเป็นโมฆะของการแต่งงานได้รับการยืนยัน ณ ศาลอุทธรณ์ จะโดยคำสั่งหรือโดยคำตัดสินอันอื่นบุคคลทั้งหลายที่การแต่งงานของเขาได้รับการประกาศเป็นโมฆะ สามารถ

วรรค 2 ต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1644 แม้ว่าคำตัดสินที่ประกาศความเป็นโมฆะของการแต่งงานไม่ได้รับการยืนยันโดยการตัดสินอีกอันหนึ่งแต่ได้รับการยืนยันโดยคำสั่ง

มาตรา 1685 ทันทีหลังจากที่ได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาแล้วผู้แทนพระสังฆราชฝ่ายตุลาการต้องแจ้งให้ผู้ทรงอำนาจของสถานที่ทำการแต่งงานทราบผู้ทรงอำนาจนั้นต้องเอาใจใส่ให้มีการบันทึกทันทีในหนังสือทะเบียนศีลกล่าวและศีลล้างบาปเกี่ยวกับการเป็นโมฆะของการแต่งงาน และข้อห้ามใดใดที่อาจมีกำหนดไว้

 

ส่วน 6 ขบวนการพิจารณาทางเอกสาร

มาตรา 1686 เมื่อได้รับคำร้องตามมาตรา 1677 แล้วตัวผู้แทนพระสังฆราชฝ่ายตุลาการหรือผู้พิพากษาที่เขาแต่งตั้งโดยละเว้นรูปแบบการพิจารณาคดีแบบปกติแต่ได้อ้างคู่คดีและพร้อมกับการเข้าแทรกแซงของผู้ปกป้องพันธะ สามารถประกาศความเป็นโมฆะของการแต่งงานโดยคำตัดสินได้ถ้าจากเอกสารที่ไม่เป็นประเด็นให้โต้แย้งหรือคัดค้านมีหลักฐานพิสูจน์แน่นอนของการมีอยู่ของข้อขัดขวางที่ทำให้ศีลกล่าวเป็นโมฆะหรือข้อบกพร่องของรูปแบบที่ถูกต้องตามกฎหมายขอแต่ว่ามันชัดเจนด้วยความแน่ใจที่เท่าเทียมกันว่าจะไม่ได้รับการยกเว้นการประกาศเป็นโมฆะ สามารถทำได้ด้วยถ้ามีหลักฐานพิสูจน์แน่ชัดถึงข้อบกพร่องของการมอบอำนาจที่ชอบของตัวแทน

มาตรา 1687 วรรค 1 ถ้าผู้ปกป้องพันธะคิดอย่างรอบคอบว่าทั้งช่องโหว่ที่พูดถึงในมาตรา 1686 หรือขาดการยกเว้นเป็นการไม่แน่นอนผู้ปกป้องพันธะต้องอุทธรณ์ ค้านคำประกาศนี้ ต่อผู้พิพากษาของศาลอุทธรณ์ซึ่งเอกสารจะต้องส่งไปถึงเขาและเขาจะต้องได้รับการแนะนำเป็นลายลักษณ์อักษรว่ามันเป็นปัญหาเกี่ยวกับขบวนการทางเอกสาร

วรรค 2 คู่คดีผู้ซึ่งรู้สึกว่าไม่สมหวังยังคงสิทธิอุทธรณ์ได้

มาตรา 1688 ผู้พิพากษาในศาลชั้นอุทธรณ์โดยการเข้าแทรกแซงของผู้ปกป้องพันธะเมื่อได้ฟังคู่คดีแล้วจะออกคำสั่งในทางเดียวกันเหมือนในมาตรา 1686 ว่าคำตัดสินจะได้รับการยืนยันหรือว่าคดีต้องได้รับการพิจารณาตามกระบวนการปกติของกฎหมาย และในกรณีเช่นนั้นให้ผู้พิพากษาส่งคดีคืนไปยังศาลชั้นต้น

 

ส่วน 7 กฎเกณฑ์ทั่วไป

มาตรา 1689 ในคำตัดสินคู่คดีต้องได้รับการตักเตือนเกี่ยวกับข้อผูกมัดทางศีลธรรมหรือแม้แต่ข้อผูกมัดทางฝ่ายบ้านเมืองที่เขาอาจมีต่อกันและกัน และต่อบุตรของตนเกี่ยวกับการเลี้ยงดู และการศึกษาของบุตร

มาตรา 1690 คดีที่ประกาศความเป็นโมฆะของการแต่งงานนั้นไม่สามารถดำเนินการในแบบการพิจารณาคดีด้วยวาจา

มาตรา 1691 ในเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับขบวนการดำเนินการคดีมาตราเกี่ยวกับการพิจารณาความทั่วไปและมาตราเกี่ยวกับการพิจารณาเกี่ยวกับคดีธรรมดาต้องนำมาใช้เว้นไว้แต่ว่าธรรมชาติของเรื่องไม่ให้ใช้วิธีการดังกล่าวอย่างไรก็ตามต้องนำกฎเกณฑ์พิเศษเรื่องคดีเกี่ยวกับสถานะของบุคคลเรื่องคดีที่มีผลต่อความดีสาธารณะมาใช้

 

บท 2 คดีเรื่องการแยกกันของคู่สมรส

มาตรา 1692 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่ามีการกำหนดอันชอบด้วยกำหมายไว้เป็นอย่างอื่นสำหรับบางสถานที่โดยเฉพาะการแยกกันอยู่ของคู่สมรสที่ได้รับศีลล้างบาปสามารถถูกกำหนดโดยคำสั่งของพระสังฆราชสังฆมณฑลหรือโดยคำตัดสินของผู้พิพากษาตามกฎหมายมาตราต่อไปนี้

วรรค 2 ในที่ๆ คำตัดสินของพระศาสนจักรไม่มีผลทางบ้านเมืองหรือถ้าเห็นได้ก่อนว่าคำตัดสินของบ้านเมืองไม่ขัดกับกฎของพระเจ้าพระสังฆราชของสังฆมณฑลที่คู่สมรสมีถิ่นที่อยู่สามารถอนุญาตให้พวกเขาขึ้นศาลฝ่ายบ้านเมืองได้ หลังจากได้พิจารณาสภาพแวดล้อมเฉพาะนั้นแล้ว

วรรค 3 เช่นเดียวกันถ้าเป็นคดีเกี่ยวกับผลทางฝ่ายบ้านเมืองของการแต่งงานเท่านั้นผู้พิพากษาสามารถกำหนดว่าเป็นการเพียงพอที่จะส่งมอบคดีต่อไปยังศาลบ้านเมืองตั้งแต่เริ่มต้น ทั้งนี้โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของวรรค 2

มาตรา 1693 วรรค 1 ต้องใช้ขบวนการพิจารณาด้วยวาจา เว้นไว้แต่ว่าคู่คดีฝ่ายหนึ่ง หรือผู้ผดุงความยุติธรรมขอให้ใช้ขบวนการพิจารณาปกติ

วรรค 2 ถ้าได้ใช้วิธีการพิจารณาปกติ และได้มีการยื่นการอุทธรณ์ ต้องดำเนินการตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1682 วรรค 2 โดยปฏิบัติทุกอย่างที่ต้องปฏิบัติ

มาตรา 1694 ให้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1673 เกี่ยวกับเรื่องอำนาจศาล

มาตรา 1695 ก่อนรับฟ้องคดีหรือเมื่อใดก็ตามที่เห็นว่ามีความหวังในผลสำเร็จที่จะออกมาผู้พิพากษาต้องใช้วิธีอภิบาลเพื่อให้คู่สมรสคืนดีกันและนำเขาให้ฟื้นการอยู่กินฉันท์สามีภรรยา

มาตรา 1696 คดีที่เกี่ยวกับการแยกกันอยู่ของคู่สมรสเป็นเรื่องเกี่ยวกับความดีสาธารณะด้วย ดังนั้นผู้ผดุงความยุติธรรมต้องเข้าแทรกแซงด้วยเสมอตามกฎเกณฑ์ของกฎหมายมาตรา 1433

 

บท 3 ขบวนการขอยกเว้นการแต่งงานที่ถูกต้อง และยังไม่สมบูรณ์

มาตรา 1697 คู่สมรสเท่านั้นหรือคู่สมรสฝ่ายหนึ่งแม้ว่าอีกฝ่ายไม่เห็นด้วยมีสิทธิ์ขอการยกเว้นจากการแต่งงานที่ถูกต้องและยังไม่สมบูรณ์

มาตรา 1698 วรรค 1 สันตะสำนักเท่านั้นตัดสินเรื่องข้อเท็จจริงของความไม่สมบูรณ์ของการสมรสและเรื่องการมีอยู่ของเหตุผลอันชอบเพื่อให้การยกเว้น

วรรค 2 อย่างไรก็ตามพระสันตะปาปาแต่ผู้เดียวเท่านั้นให้การยกเว้นนี้

มาตรา 1699 วรรค 1 ผู้มีอำนาจรับหนังสือฟ้องเพื่อขอการยกเว้นคือพระสังฆราชสังฆมณฑลที่ผู้ขอมีภูมิลำเนาหรือกึ่งภูมิลำเนาท่านต้องจัดขั้นตอนกระบวนการพิจารณา ถ้าท่านแน่ใจถึงพื้นฐานของคำขอ

วรรค 2 แต่หากคดีที่เสนอมานั้นมีความยุ่งยากพิเศษ ด้านกฎหมายหรือด้านจริยธรรม พระสังฆราชสังฆมณฑลต้องปรึกษาสันตะสำนัก

วรรค 3 ให้ร้องเรียนต่อสันตะสำนักได้ หากพระสังฆราชมีคำสั่งไม่รับหนังสือฟ้อง

มาตรา 1700 วรรค 1 โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของกฎหมายมาตรา 1681 พระสังฆราชต้องมอบขั้นตอนของขบวนการพิจารณานี้จะโดยแบบถาวรหรือแบบเป็นคดีๆ ไปให้แก่ศาลของตน ศาลของสังฆมณฑลอื่นหรือพระสงฆ์ที่เหมาะสม

วรรค 2 แต่ถ้าคำขอให้ตัดสินได้ถูกนำเข้ามา เพื่อการประกาศเป็นโมฆะของคดีเดียวกันนี้ ศาลเดียวกันต้องรับเรื่องไปดำเนินการ

มาตรา 1701 วรรค 1 ผู้ปกป้องพันธะต้องอยู่ในการพิจารณาคดีเสมอ

วรรค 2 ไม่ให้มีตัวแทนด้านกฎหมาย แต่เพราะความยุ่งยากของคดี พระสังฆราชสามารถอนุญาตให้โจทก์หรือจำเลยมีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายช่วยได้

มาตรา 1702 เท่าที่จะเป็นไปได้ต้องฟังคู่สมรสแต่ละฝ่ายระหว่างการดำเนินคดี และต้องปฏิบัติตามกฎหมายที่ว่าด้วยการรวบรวมหลักฐานพิสูจน์ในกระบวนการพิจารณาแบบปกติ และในคดีความเป็นโมฆะของการแต่งงานขอแต่ให้กฎหมายมาตราเหล่านี้สามารถปรับใช้ได้กับธรรมชาติของกระบวนการพิจารณาเหล่านี้

มาตรา 1703 วรรค 1 ไม่มีการปิดประกาศสำนวนคดีอย่างไรก็ตามเมื่อผู้พิพากษาเห็นว่าจากหลักฐานพิสูจน์ที่นำมาเกิดมีข้อขัดขวางหนักต่อคำขอของโจทก์หรือต่อคำคัดค้านของจำเลยผู้พิพากษาต้องเปิดเผยเรื่องนี้อย่างรอบคอบแก่ฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้อง

วรรค 2 ผู้พิพากษาสามารถแสดงเอกสารที่นำมาหรือสามารถแสดงหลักฐานที่ได้รับแก่คู่คดีที่เกี่ยวข้องซึ่งขอมาและกำหนดเวลาให้แสดงข้อสังเกตมาตรา 1704 วรรค 1 หลังจากที่ได้ดำเนินการตามขบวนการแล้วผู้พิพากษาที่ดำเนินการต้องส่งมอบสำนวนทั้งหมดพร้อมกับคำรายงานที่เหมาะสมแก่พระสังฆราชท่านต้องเตรียมให้ความเห็นของท่านเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของเรื่องทั้งที่เกี่ยวกับความไม่สมบูรณ์ของการแต่งงานและทั้งเหตุผลอันชอบที่ขอยกเว้น และความเหมาะสมที่จะให้การยกเว้นนั้น

วรรค 2 ถ้าการดำเนินคดีได้มอบให้แก่ศาลอื่นตามมาตรา 1700 แล้วข้อสังเกตที่เข้าข้างพันธะผูกพันธ์จะต้องทำที่ศาลเดียวกันแต่ความเห็นที่กล่าวในวรรค 1 เป็นหน้าที่ของพระสังฆราชที่ได้มอบเรื่องนี้ผู้ดำเนินเรื่องต้องส่งสำนวนคดีพร้อมกับคำรายงานที่เหมาะสมแก่ท่าน

มาตรา 1705 วรรค 1 พระสังฆราชต้องส่งสำนวนคดีทั้งหมดพร้อมกับความเห็นของท่าน และข้อสังเกตของผู้ปกป้องพันธะแก่สันตะสำนัก

วรรค 2 ถ้าสันตะสำนักตัดสินว่าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อดำเนินเรื่องพระสังฆราชจะได้รับการแจ้งเกี่ยวกับส่วนประกอบสำคัญที่ต้องทำเพื่อให้การดำเนินเรื่องนี้ครบถ้วน

วรรค 3 ถ้าสันตะสำนักตอบว่าการแต่งงานที่ไม่สมบูรณ์ไม่ได้รับการพิสูจน์โดยข้อมูลที่ยื่นไป ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตามที่ระบุไว้ในมาตรา 1701 วรรค 2 สามารถทบทวนคดีแต่ไม่ต้องทบทวนความเห็นของพระสังฆราช ที่ศาลนั้นเองเพื่อดูว่ามีเหตุผลหนักที่สามารถนำมาเพื่อยื่นขอใหม่

มาตรา 1706 สันตะสำนักส่งคำตอบการยกเว้นแก่พระสังฆราชพระสังฆราชจะแจ้งคำตอบนั้นแก่คู่คดี และโดยเร็วเท่าที่เป็นไปได้พระสังฆราชสั่งให้เจ้าอาวาสของสถานที่ที่มีการแต่งงาน และเจ้าอาวาสของสถานที่ที่ได้รับศีลล้างบาปเพื่อบันทึกในหนังสือทะเบียนศีลสมรสและศีลล้างบาปเรื่องการยกเว้นที่ได้รับนั้น

 

 

บท 4 ขบวนการพิจารณาการสันนิษฐานเรื่องความตายของคู่สมรส

มาตรา 1707 วรรค 1 เมื่อใดก็ตามที่ไม่สามารถพิสูจน์ถึงความตายของคู่สมรสด้วยเอกสารที่แท้จริงของพระศาสนจักรหรือของบ้านเมืองคู่สมรสอีกฝ่ายยังไม่ถูกถือว่าพ้นจากพันธะของการสมรสจนกระทั่งหลังจากมีคำประกาศถึงการสันนิษฐานว่าตาย โดยพระสังฆราชสังฆมณฑล

วรรค 2 พระสังฆราชสังฆมณฑลสามารถทำการประกาศตามที่ระบุไว้ในวรรค 1 ได้เฉพาะเมื่อได้สอบสวนอย่างเหมาะสมจนทำให้ท่านบรรลุถึงความแน่ใจตามหลักจริยธรรม ถึงความตายของคู่สมรส จากการให้การของพยาน จากข่าวลือหรือจากเครื่องบ่งชี้ทั้งหลาย เพียงการไม่ปรากฏตัวของคู่สมรสเท่านั้นแม้ว่าจะยาวนาน ยังไม่เพียงพอ

วรรค 3 พระสังฆราชต้องปรึกษาสันตะสำนักเกี่ยวกับคดีที่ไม่ชัดเจนและยุ่งยากซับซ้อน

ลักษณะ 2 คดีเพื่อการประกาศความเป็นโมฆะของศีลบรรพชา

มาตรา 1708 ตัวสมณะเอง พระสังฆราชที่สมณะขึ้นต่อหรือพระสังฆราชของสังฆมณฑลที่สมณะได้รับการบวชมีสิทธิต่อสู้เรื่องความถูกต้องของศีลบรรพชา

มาตรา 1709 วรรค 1 ต้องส่งหนังสือคำร้องไปยังกระทรวงที่มีอำนาจซึ่งจะตัดสินว่าคดีต้องดำเนินเรื่องโดยกระทรวงของศูนย์สำนักงานแห่งโรมหรือโดยศาลใดที่ศูนย์สำนักงานแห่งโรมกำหนด

วรรค 2 เมื่อได้ส่งคำร้องแล้ว สมณะผู้นั้นถูกห้ามปฏิบัติหน้าที่โดยตัวกฎหมายเอง

มาตรา 1710 ถ้ากระทรวงนั้นส่งคดีกลับมายังศาลใดศาลหนึ่งต้องใช้กฎหมายมาตราที่เกี่ยวกับการพิจารณาแบบทั่วไป และที่เกี่ยวกับการพิจารณาแบบปกติเว้นแต่ว่า ธรรมชาติของเรื่องขัดขวางการทำเช่นนี้โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของลักษณะนี้

มาตรา 1711 ในกรณีเหล่านี้ผู้ปกป้องพันธะมีสิทธิ์เช่นเดียวกัน และถูกผูกมัดโดยหน้าที่อันเดียวกัน เหมือนกับผู้ปกป้องพันธะการแต่งงาน

มาตรา 1712 หลังจากการตัดสินครั้งที่ 2 ที่ได้ยืนยันความเป็นโมฆะของศีลบรรพชาสมณะผู้นั้นสูญเสียสิทธิทั้งหมดที่เป็นเฉพาะของสถานภาพของสมณะและเป็นอิสระจากข้อผูกมัดทั้งปวง

ลักษณะ 3 วิธีหลีกเลี่ยงการพิจารณาคดี

มาตรา 1713ให้ใช้การตกลงหรือการไกล่เกลี่ยเพื่อหลีกเลี่ยงการต่อสู้ทางกฎหมายหรือสามารถมอบให้อนุญาโตตุลาการผู้หนึ่งหรือมากกว่าเป็นผู้ตัดสินการโต้เถียงนั้น

มาตรา 1714 ต้องใช้กฎเกณฑ์ที่คู่คดีเลือกในการทำการตกลง การประนี ประนอมหรือการตัดสินโดยอนุญาโต ตุลาการหรือถ้าคู่คดีไม่เลือกกฎเกณฑ์ใดเลยให้ใช้กฎหมายที่สภาพระสังฆราชได้ตราไว้ถ้าหากมีหรือใช้กฎหมายบ้านเมืองที่ยังมีผลบังคับใช้ในสถานที่นั้นที่การตกลงเกิดขึ้น

มาตรา 1715 วรรค 1 การตกลงหรือการประนีประนอมไม่สามารถทำได้อย่างถูกต้องในเรื่องที่เกี่ยวกับความดีสาธารณะและในเรื่องที่คู่คดีไม่สามารถทำได้โดยเสรี

วรรค 2 ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์ฝ่ายโลกของพระศาสนจักรเมื่อใดก็ตามที่เรื่องเรียกร้องสิ่งนี้คือระเบียบแบบแผนที่กฎหมายกำหนดไว้เพื่อการโอนทรัพย์สินพระศาสนจักรต้องถูกนำมาใช้

มาตรา 1716 วรรค 1 ถ้ากฎหมายบ้านเมืองไม่ยอมรับอำนาจบังคับของการตัดสินแบบอนุญาโตตุลาการเว้นไว้แต่ว่ามันได้รับการยืนยันโดยผู้พิพากษาคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการในการถกเถียงแบบพระศาสนจักรต้องการการยืนยันของผู้ตัดสินฝ่ายพระศาสนจักรของสถานที่ที่มีการตัดสินเพื่อให้มีผลบังคับในศาลพระศาสนจักร

วรรค 2 อย่างไรก็ตามถ้ากฎหมายบ้านเมืองยอมรับการต่อสู้ของการตัดสินแบบอนุญาโตตุลาการต่อ่หน้าผู้พิพากษาฝ่ายบ้านเมือง การต่อสู้แบบเดียวกันนี้สามารถยื่นในศาลพระศาสนจักรต่อหน้าผู้พิพากษาฝ่ายพระศาสนจักรผู้มีอำนาจตัดสินการโต้แย้งในศาลชั้นต้น

 

ภาค 4 วิธีพิจารณาความอาญา

บท 1 การสอบสวนเบื้องต้น

มาตรา 1717 วรรค1เมื่อใดก็ตามที่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจได้รับแจ้งเรื่องที่อย่างน้อยดูเหมือนว่ามีการกระทำผิดจริง ท่านต้องสอบสวนด้วยความระมัดระวังโดยตนเองหรือโดยผู้เหมาะสมคนอื่นเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและสภาพแวดล้อมและเกี่ยวกันสภาพที่ต้องรับผิด เว้นไว้แต่ว่าการสอบสวนนั้นดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นจริงๆ

วรรค 2 ต้องมีความระมัดระวังระหว่างการสอบสวนนี้ เพื่อมิให้ชื่อเสียงดีของผู้เกี่ยวข้องต้องมัวหมอง

วรรค 3 ผู้ทำการสอบสวนนี้มีอำนาจและพันธะเช่นเดียวกับผู้สอบคดีในขบวนพิจารณาคดีบุคคลนี้ไม่สามารถเป็นผู้พิพากษาในเรื่องนี้ได้หากภายหลังมีการดำเนินการทางศาลเกิดขึ้น

มาตรา 1718 วรรค 1 เมื่อปรากฏว่ามีการรวบรวมหลักฐานเพียงพอแล้ว ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจต้องตัดสินว่า

1.       สามารถจะเริ่มขบวนการลงโทษหรือประกาศโทษได้หรือไม่

2.       เหมาะสมจะดำเนินคดี ตามมาตรา 1341 ได้หรือไม่

3.       ต้องใช้ขบวนการทางศาลหรือไม่ หรือถ้าหากกฎหมายไม่ห้าม ท่านต้องดำเนินการโดยออกคำสั่งโดยไม่ต้องดำเนินขบวนการทางศาล

วรรค 2 ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจต้องเลิกหรือเปลี่ยนคำสั่ง ตามวรรค 1 เมื่อท่านเห็นจากข้อเท็จจริงใหม่ที่ทำให้ท่านต้องตัดสินเป็นอย่างอื่น

วรรค 3 ในการออกคำสั่งตามวรรค 1 และวรรค 2 เมื่อผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจเห็นว่าเพื่อความรอบคอบ ท่านต้องฟังผู้พิพากษา 2ท่าน หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายคนอื่นๆ

วรรค 4 เพื่อหลีกเลี่ยงขบวนการพิจารณาทางศาลที่ไม่จำเป็นก่อนที่ผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจจะตัดสินตามวรรค 1ท่านต้องพิจารณาว่าเหมาะสมหรือไม่ที่ท่านเองหรือผู้สอบสวนต้องตัดสินปัญหาเกี่ยวกับความเสียหายตามหลักความดีและความเป็นธรรม โดยคู่คดีให้การยินยอม

มาตรา 1719 สำนวนการสอบสวน คำสั่งต่างๆของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจในเรื่องการเปิดและการปิดการสอบสวนและเรื่องอื่นๆที่มาก่อนการสอบสวน ต้องเก็บไว้ในห้องเอกสารลับของสำนักงานสังฆมณฑลถ้ามันไม่จำเป็นสำหรับการดำเนินการทางอาญา

 

บท 2 ขั้นตอนการดำเนินคดี

มาตรา 1720 หากผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจตัดสินว่า ท่านต้องดำเนินการโดยออกคำสั่งนอกขบวนการพิจารณาความทางศาล

1.       ท่านต้องแจ้งงๆ โดยให้ผู้ถูกกล่าวหานั้นมีโอกาสแก้ข้อกล่าวหาและฐานพิสูจน์ต่างๆ โดยให้ผู้ถูกกล่าวหาเพิกเฉยการมาขึ้นศาลหลังจากได้รับการเรียกตัวอย่างถูกต้องแล้ว

2.       ท่านต้องพิจารณาหลักฐานพิสูจน์ และข้อโต้แย้งทุกอย่างอย่างรอบคอบกับผู้เชี่ยวชาญอีก 2 ท่าน

3.       ถ้าความผิดถูกพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งและยังไม่หมดอายุความทางอาญาท่านต้องออกคำสั่งตามกฎหมายมาตรา 13421350 โดยระบุเหตุผลตามข้อกฎหมายและตามข้อเท็จจริงอย่างน้อยอย่างสั้นๆ

มาตรา 1721 วรรค 1 ถ้าผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจออกคำสั่งให้มีการดำเนินการคดีอาญาได้ท่านต้องมอบสำนวนการสอบสวนคดีแก่ผู้ผดุงความยุติธรรมซึ่งต้องเสนอหนังสือฟ้องแก่ผู้พิพากษาตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1502 และมาตรา 1504 วรรค 2 ผู้ผดุงความยุติธรรมที่ได้รับการแต่งตั้งโดยศาลลำดับที่สูงกว่าจะทำหน้าที่เป็นโจทก์ในศาลนั้น

มาตรา 1722 เพื่อป้องกันการเป็นที่สะดุด เพื่อปกป้องเสรีภาพของพยานบุคคลและเพื่อพิทักษ์ความยุติธรรม หลังจากได้ฟังผู้ผดุงความยุติธรรมและได้เรียกผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ไม่ว่าในขั้นตอนใดของการพิจารณาคดีผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถห้ามผู้ถูกล่าวหาทำหน้าที่ศักดิ์สิทธิ์หรือห้ามปฏิบัติหน้าที่ และตำแหน่งทางพระศาสนจักรผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจสามารถกำหนดที่อยู่หรือห้ามไม่ให้อยู่ในสถานที่หรือในเขตที่กำหนดนั้นๆ หรือแม้ห้ามร่วมพิธีอย่างเปิดเผยในพิธีบูชาขอบพระคุณอย่างไรก็ตาม ถ้าเหตุผลนี้สิ้นสุดลง ข้อจำกัดเหล่านี้ถูกยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้สิ้นสุดตามกฎหมายทันทีที่ขบวนการพิจารณาคดีทางอาญาสิ้นสุดลง

มาตรา 1723 วรรค 1 เมื่อผู้พิพากษาเรียกผู้ถูกกล่าวหาผู้พิพากษาต้องแนะผู้ถูกกล่าวหาให้แต่งตั้งทนายสำหรับตัวเองตามกฎเกณฑ์มาตรา 1481 วรรค 1 แต่ต้องอยู่ภายในระยะเวลาที่ผู้พิพากษากำหนด

วรรค 2 แต่ถ้าผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้จัดการเรื่องนี้ผู้พิพากษาต้องแต่งตั้งทนายให้ ก่อนการกำหนดประเด็นปัญหาและทนายผู้นี้จะปฏิบัติหน้าที่ตราบเท่าที่ผู้ถูกกล่าวหายังมิได้แต่งตั้งทนายของตนขึ้น

มาตรา 1724 วรรค 1 ไม่ว่าในชั้นใดของขบวนการพิจารณาคดีผู้ผดุงความยุติธรรมสามารถบอกเลิกการฟ้องร้องไม่ว่าตามคำสั่งหรือด้วยความยินยอมของผู้ใหญ่ผู้ทรงอำนาจ ซึ่งเป็นผู้ได้เริ่มต้นการพิจารณาคดี

วรรค 2 เพื่อให้มีผลตามกฎหมายการบอกเลิกต้องได้รับการยอมรับจากผู้ถูกกล่าวหาเว้นไว้แต่ว่ามีการประกาศว่าผู้ถูกกล่าวหาไม่อยู่ในการพิจารณาคดี

มาตรา 1725 ในการถกคดีไม่ว่าจะทำโดยการบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรหรือโดยวาจาผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิเสมอที่จะเขียนหรือพูดเป็นคนสุดท้ายด้วยตัวเขาเองหรือโดยผ่านทางทนาย หรือตัวแทน

มาตรา 1726 ไม่ว่าในชั้นใดหรือขั้นตอนใดของการพิจารณาคดีความอาญาถ้าปรากฏชัดเจนว่าความผิดมิได้ถูกกระทำโดยผู้ถูกกล่าวหาผู้พิพากษาต้องประกาศเรื่องนี้ในคำพิพากษา และปล่อยผู้ถูกกล่าวหาให้พ้นผิดแม้ว่าในเวลาเดียวกันนั้นเป็นที่ชัดแจ้งว่าอายุความของการกระทำผิดทางอาญาได้สิ้นสุดลงแล้วก็ตาม

มาตรา 1727 วรรค 1 ผู้ถูกกล่าวหาสามารถยื่นอุทธรณ์ได้แม้ว่ามีคำพิพากษาให้ปล่อยตัวแล้วเพียงเพราะว่าการลงโทษเป็นแบบเลือกลงโทษหรือไม่ลงโทษก็ได้หรือเพราะว่าผู้พิพากษาได้ใช้อำนาจตามระบุไว้ในมาตรา 1344 และ 1345

วรรค 2 ผู้ผดุงความยุติธรรมสามารถอุทธรณ์ได้ เมื่อเขาเห็นว่าการชดเชยการเป็นที่สะดุด หรือการชดใช้ตามความยุติธรรมยังจัดให้ไม่เพียงพอ

มาตรา 1728 วรรค 1 โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของมาตราทั้งหลายของลักษณะนี้เว้นไว้แต่ว่า ธรรมชาติของเรื่องเรียกร้องเป็นอย่างอื่นในขบวนการพิจารณาความอาญาผู้พิพากษาต้องใช้มาตราเกี่ยวกับวิธีพิจารณาความแพ่งธรรมดา และกฎเกณฑ์พิเศษที่เกี่ยวกับคดีที่เกี่ยวข้องกับความดีสาธารณะ

วรรค 2 ผู้ถูกกล่าวหาไม่ถูกบังคับให้ยอมรับความผิด และไม่อาจถูกบังคับให้สาบาน

 

บท 3 การชดใช้ความเสียหาย

มาตรา 1729 วรรค 1 ตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1596 คู่คดีฝ่ายที่เสียหายสามารถฟ้องในคดีแพ่งสำหรับความเสียหายที่เกิดจากคามผิดทางอาญานั้น

วรรค 2 การแทรกแซงของคู่คดีที่เสียหายที่ระบุตามวรรค 1 ไม่สามารถรับเข้ามาได้ถ้าการแทรกแซงนั้นมิได้กระทำในขั้นตอนแรกของขบวนการพิจารณาความอาญา

วรรค 3 การอุทธรณ์ในคดีเกี่ยวกับความเสียหาย ให้ทำตามมาตรา 16281640 แม้ว่าการอุทธรณ์ไม่สามารถทำได้ในคดีอาญาเอง อย่างไรก็ตามถ้ามีการยื่นอุทธรณ์ทั้งสองแม้โดยคู่คดีฝ่ายต่างๆต้องมีการพิจารณาการอุทธรณ์อันเดียว โดยคำนึงถึงข้อกำหนดของมาตรา 1720

มาตรา 1730 วรรค 1 เพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าเกินควรในขบวนการพิจารณาคดีความอาญาผู้พิพากษาสามารถเลื่อนการพิจารณาคดีเกี่ยวกับความเสียหายจนกว่าเขาจะออกคำตัดสินเด็ดขาดในการพิจารณาความอาญานั้นแล้ว

วรรค 2 เมื่อผู้พิพากษาปฏิบัติเช่นนี้ ต้องรับทราบเรื่องความเสียหายหลังจากที่ได้ออกคำตัดสินในขบวนการพิจารณาความอาญาแม้ว่าการพิจารณาความอาญายังแขวนอยู่เพราะการคัดค้านที่ยื่นเข้ามาหรือถ้าผู้ถูกกล่าวหาได้รับการปล่อยตัวแล้วเพราะการปล่อยตัวไปไม่ได้ยกเว้นข้อผูกมัดการชดใช้ค่าเสียหาย

มาตรา 1731 คำตัดสินที่ให้ในขบวนการพิจารณาความอาญาแม้ว่ามันเป็นคำตัดสินที่ถึงที่สิ้นสุดแล้วคู่คดีที่ได้รับความเสียหายไม่มีสิทธิอันใด เว้นไว้แต่ว่าคู่คดีฝ่ายนี้ได้ทำการแทรกแซง ตามมาตรา 1729

 

ภาค 5 ขบวนการร้องเรียนอำนาจบริหาร และการปลด หรือการย้ายเจ้าอาวาส

ตอน 1 การร้องเรียนสู้คำสั่งฝ่ายบริหาร

มาตรา 1732 สิ่งที่กำหนดเกี่ยวกับคำสั่งในมาตราต่างๆ ของตอนนี้ให้ปรับใช้กับการกระทำทั้งหมดของฝ่ายบริหารที่ประกาศออกมานอกเหนือจากการพิจารณาคดีทางศาล โดยยกเว้นเรื่องที่ให้โดยพระสันตะปาปาเองหรือโดยสภาสังคายนาสากล

มาตรา 1733 วรรค 1 เมื่อผู้ใดรู้สึกตนได้รับความเสียหายจากคำสั่งเป็นการปรารถนาอย่างยิ่งให้หลีกเลี่ยงการโต้แย้งระหว่างบุคคลนั้นกับผู้มีอำนาจออกคำสั่งแต่ให้เอาใจใส่ให้บรรลุถึงการแก้ไขที่เที่ยงธรรมโดยการปรึกษาร่วมกันอาจทำได้โดยใช้ความช่วยเหลือของผู้รอบรู้ที่เป็นคนกลางช่วยพิจารณาและศึกษาปัญหาด้วยวิธีนี้ข้อโต้แย้งอาจได้รับการหลีกเลี่ยงหรือนำไปสู่ข้อสรุปโดยวิธีการอันเหมาะสมบางประการ

วรรค 2 สภาพระสังฆราชสามารถกำหนดให้แต่ละสังฆมณฑล ตั้งสำนักงานถาวรหรือตั้งสภาที่มีหน้าที่ตามกฎเกณฑ์ที่ออกโดยสภาพระสังฆราชเพื่อแสวงหาและแนะนำข้อแก้ไขที่ชอบธรรม แม้ว่าสภาพระสังฆราชไม่ได้สั่งพระสังฆราชอาจตั้งสำนักงานหรือสภาดังกล่าวได้

วรรค 3 สำนักงานหรือสภาที่กล่าวในวรรค 2 ต้องเอาใจใส่ในงานของตนโดยเฉพาะเมื่อมีการร้องขอให้ยกเลิกคำสั่งตามมาตรา 1734 และเวลากำหนดสำหรับการร้องขอยังไม่สิ้นสุดถ้าการร้องขอเป็นการยื่นคัดค้านคำสั่งเมื่อใดก็ตามเมื่อผู้ใหญ่มองเห็นว่ามีความหวังของทางออกที่ดีผู้ใหญ่ผู้ที่ได้ตรวจคำร้องเรียนต้องกระตุ้นเตือนทั้งผู้ร้องเรียนและผู้ออกคำสั่งให้แสวงหาทางออกแบบนี้

มาตรา 1734 วรรค 1 ก่อนการยื่นคำร้องเรียนบุคคลผู้นี้ต้องเขียนขอให้มีการถอนหรือแก้ไขคำสั่งจากผู้ออกคำสั่งเมื่อยื่นคำขอดังกล่าวก็ถือเป็นที่เข้าใจว่าการระงับการปฏิบัติตามคำสั่งถูกขอด้วย

วรรค 2 การร้องขอต้องกระทำภายในระยะเวลา 10 วันทำการ นับจากได้รับคำสั่งตามกฎหมายแล้ว

วรรค 3 กฎเกณฑ์ของวรรค 1 และวรรค 2 นำมาใช้ไม่ได้เมื่อ :

1.       เกี่ยวกับการยื่นคำร้องเรียนต่อพระสังฆราช เพื่อคัดค้านคำสั่งที่ออกโดยอำนาจที่ขึ้นกับท่าน

2.       เกี่ยวกับการยื่นคำร้องเรียนคัดค้านคำสั่งซึ่งโดยคำสั่งนี้คำร้องเรียนตามฐานันดรถูกตัดสินแล้ว เว้นไว้แต่ว่าคำตัดสินนั้นเป็นของพระสังฆราชเอง

3.       เกี่ยวกับการร้องเรียนตามมาตรา 57 และมาตรา 1735

มาตรา 1735 ถ้าภายใน 30 วัน นับจากวันที่คำร้องที่ระบุในมาตรา 1734 มาถึงผู้ออกคำสั่งผู้ออกคำสั่งแจ้งคำสั่งใหม่ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขคำสั่งเดิมหรือออกคำสั่งให้คำร้องขอตกไปกำหนดเวลาร้องเรียนให้นับจากวันแจ้งคำสั่งใหม่ อย่างไรก็ตามถ้าผู้ออกคำสั่งไม่ออกคำสั่งใดๆ ภายใน 30 วัน กำหนดเวลาเริ่มนับจากวันที่30

มาตรา 1736 วรรค 1 ในกรณีของการร้องเรียนตามฐานันดรที่ระงับการปฏิบัติคำสั่ง คำร้องขอที่ระบุในมาตรา 1734 มีผลบังคับเช่นกัน

วรรค 2 ในกรณีอื่น หากภายใน 10 วันของการได้รับคำร้องตามที่ระบุในมาตรา 1734 ผู้ออกคำสั่งมิได้ออกคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติการระงับการปฏิบัติชั่วคราวสามารถขอจากผู้ใหญ่ตามฐานันดรของผู้ออกคำสั่งได้ผู้ใหญ่ผู้นี้สามารถออกคำสั่งได้เฉพาะเมื่อมีเหตุผลหนักเท่านั้นและต้องคำนึงเสมอที่จะไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อความรอดของวิญญาณในทางใดๆ

วรรค 3 เมื่อมีการระงับการปฏิบัติตามคำสั่งตามวรรค 2หากในภายหลังมีการร้องเรียนผู้ต้องตรวจคำร้องเรียนตามมาตรา 1737 วรรค 3 ต้องกำหนดว่า จะยืนยันหรือยกเลิกการระงับนั้น

วรรค 4 หากไม่มีการยื่นคำร้องเรียนสู้คำสั่งภายในระเวลากำหนด การระงับการปฏิบัติที่มีผลแบบชั่วคราวตามวรรค 1 และวรรค 2 ก็เป็นอันตกไป

มาตรา 1737 วรรค 1 บุคคลใดที่รู้สึกว่าตนเองได้รับความเสียหายจากคำสั่งสามารถทำการร้องเรียนด้วยเหตุผลที่ชอบธรรมใดๆต่อผู้ใหญ่ตามฐานันดรของผู้ออกคำสั่งคำร้องเรียนนี้สามารถยื่นต่อผู้ออกคำสั่งซึ่งต้องส่งคำร้องเรียนต่อไปยังผู้ใหญ่ตามฐานนันดรผู้ทรงอำนาจโดยทันที

วรรค 2 การร้องเรียนต้องยื่นภายในกำหนดเวลาเด็ดขาดของ 15 วันทำการในกรณีที่ระบุตามมาตรา 1734 วรรค 3ระยะเวลากำหนดเริ่มนับจากวันที่ได้รับแจ้งคำสั่ง ในกรณีอื่นๆระยะเวลากำหนดเริ่มนับตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1735

วรรค 3 แม้ในบรรดากรณีซึ่งการร้องเรียนมิได้ระงับการปฏิบัติตามคำสั่งโดยตัวกฎหมายเอง หรือในกรณีที่การระงับได้ออกเป็นคำสั่งตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1736 วรรค 2 ผู้ใหญ่ด้วยเหตุผลอันหนักสามารถออกคำสั่งให้ระงับการปฏิบัติแต่ต้องระวังเสมอไม่ก่อให้เกิดผลเสียต่อความรอดของวิญญาณในทางใดๆ

มาตรา 1738 ผู้ทำการร้องเรียนมีสิทธิ์มีทนายหรือตัวแทนได้เสมอเพื่อหลีกเลี่ยงความล่าช้าโดยไม่จำเป็นยิ่งกว่านั้นต้องตั้งทนายทางการหากผู้ร้องไม่มีทนายและผู้ใหญ่เห็นว่าจำเป็นกระนั้นก็ดีผู้ใหญ่สามารถสั่งให้ผู้ร้องเรียนมาปรากฏตัวเพื่อให้ปากคำได้เสมอ

มาตรา 1739 เท่าที่กรณีเรียกร้องอนุญาตให้ผู้ใหญ่ซึ่งตรวจสอบคำร้องเรียนไม่เพียงแต่ยืนยันคำสั่งหรือประกาศให้คำสั่งเป็นโมฆะเท่านั้นแต่ยังสามารถยกเลิก

เพิกถอน หรือถ้าผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า ท่านสามารถแก้ไข ออกใหม่ หรือออกคำสั่งที่ตรงกันข้าม

 

ตอน 2 กระบวนการปลด และโยกย้ายเจ้าอาวาส

บท 1 วิธีการดำเนินการปลดเจ้าอาวาส

มาตรา 1740 เมื่อการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอาวาสองค์ใดก่อให้เกิดผลเสียหายหรืออย่างน้อยไม่มีประสิทธิภาพด้วยเหตุผลบางประการแม้ว่าไม่ได้เป็นความผิดหนักของท่านเองท่านสามารถถูกปลดจากวัดโดยพระสังฆราชสังฆมณฑล

มาตรา 1741 เหตุผลที่สามารถปลดเจ้าอาวาสโดยชอบด้วยกฎหมายจากวัดของท่าน มีดังต่อไปนี้

1.       วิธีปฏิบัติที่ก่อให้เกิดผลเสียร้ายแรง หรือก่อให้เกิดความไม่สงบต่อชุมชนพระศาสนจักร

2.       ขาดความสามารถ หรือเจ็บป่วยทางจิตหรือทางกายแบบถาวร ซึ่งทำให้เจ้าอาวาสไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่อย่างมีประสิทธิผล

3.       การเสียชื่อเสียงที่ดีท่ามกลางสัตบุรุษที่ดีและศรัทธา หรือมีความไม่พอใจต่อเจ้าอาวาส ซึ่งคาดการว่าจะไม่จบลงในเวลาอันสั้น

4.       มีการละเลยหรือละเมิดอย่างร้ายแรงต่อหน้าที่เจ้าอาวาส และยังเป็นเช่นนั้นหลังจากได้รับการเตือนแล้ว

5.       บริหารทรัพย์สินไม่ดี ก่อให้เกิดความเสียร้ายแรงต่อพระศาสนจักรที่ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยวิธีอื่นใด

มาตรา 1742 วรรค 1 หากการสอบสวนแสดงว่ามีเหตุผลตามที่ระบุมาตรา 1740 พระสังฆราชต้องถกเรื่องนี้กับพระสงฆ์เจ้าอาวาส 2องค์ที่เลือกจากกลุ่มที่ตั้งขึ้นอย่างถาวรโดยสภาสงฆ์ตามข้อเสนอของพระสังฆราชเพื่อการนี้ถ้าพระสังฆราชเห็นว่าท่านต้องดำเนินการปลดเพื่อความถูกต้องพระสังฆราชต้องชี้แจงเหตุผลและข้อพิสูจน์แก่เจ้าอาวาสและขอร้องเจ้าอาวาสเยี่ยงบิดาให้ลาออกจากวัดภายใน 15 วัน

วรรค 2 ข้อกำหนดของมาตรา 682 วรรค 2 ต้องนำมาใช้กับเจ้าอาวาสที่เป็นสมาชิกของสถาบันนักพรต หรือของคณะชีวิตแพร่ธรรม

มาตรา 1743 พระสงฆ์เจ้าอาวาสยื่นการลาออกไม่เพียงแต่แบบบริสุทธิ์และแบบธรรมดาเท่านั้น แต่เป็นแบบมีเงื่อนไขได้ด้วยขอเพียงแต่พระสังฆราชสามารถรับเงื่อนไขได้โดยชอบด้วยกฎหมายและท่านก็รับจริงๆ

มาตรา 1744 วรรค 1 หากพระสงฆ์เจ้าอาวาสไม่ได้ตอบภายในเวลาที่กำหนด พระสังฆราชต้องย้ำการขอร้องของท่าน โดยขยายเวลาสำหรับการตอบ

วรรค 2 หากเป็นที่ชัดแจ้งแก่พระสังฆราชว่าพระสงฆ์เจ้าอาวาสได้รับคำขอร้องครั้งที่สองแต่ไม่ได้ตอบแม้ไม่มีข้อขัดขวางใดเป็นอุปสรรคให้ทำดังกล่าวหรือหากพระสงฆ์เจ้าอาวาสปฏิเสธที่จะลาออกและไม่ให้เหตุผลพระสังฆราชต้องออกคำสั่งปลด

มาตรา 1745 อย่างไรก็ตามหากพระสงฆ์เจ้าอาวาสคัดค้านสาเหตุการปลดและเหตุผลในการปลดโดยเหตุผลซึ่งปรากฏว่าไม่มีน้ำหนักต่อพระสังฆราชเพื่อพระสังฆราชจะปฏิบัติอย่างถูกต้อง ท่านต้อง :

1.       เชิญพระสงฆ์ให้มาตรวจสอบคดี เพื่อเขียนคำคัดค้านการปลดเป็นลายลักษณ์อักษร และยิ่งกว่านั้นให้หลักฐานพิสูจน์แย้ง หากมี

2.       หลังจากนั้นให้สรุปคดีหากจำเป็นและพิจารณาเรื่องพร้อมกับพระสงฆ์เจ้าอาวาส 2 คนเดิม ดังระบุในมาตรา 1742 วรรค 1 เว้นไว้แต่ว่าพระสงฆ์อื่นต้องได้รับการแต่งตั้งเหตุเพราะความไม่สามารถของเจ้าอาวาส 2 คนเดิม

3.       ในที่สุดต้องตัดสินใจว่า ต้องปลดพระสงฆ์เจ้าอาวาสหรือไม่ และออกคำสั่งเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยไม่ชักช้า

มาตรา 1746 เมื่อพระสงฆ์เจ้าอาวาสถูกปลดแล้วพระสังฆราชต้องมอบหน้าที่อื่นให้ หากเขาเหมาะสมกับหน้าที่นั้นหรือให้พักจากหน้าที่ตามที่กรณีอนุญาตให้ทำ

มาตรา 1747 วรรค 1 พระสงฆ์เจ้าอาวาสที่ถูกปลดต้องหยุดจากการปฏิบัติหน้าที่เจ้าอาวาสให้ออกจากบ้านพักพระสงฆ์โดยเร็วเท่าที่จะทำได้และมอบทุกสิ่งที่เป็นของวัดแก่พระสงฆ์ที่พระสังฆราชได้มอบวัดให้

วรรค 2 กระนั้นก็ดีหากมีปัญหาว่าเจ้าอาวาสผู้นั้นป่วยจนไม่สามารถย้ายจากบ้านพักพระสงฆ์ไปอยู่ที่อื่นโดยสะดวกได้พระสังฆราชต้องปล่อยให้เขาใช้บ้านพักพระสงฆ์นานเท่าที่ยังมีความจำเป็นอยู่แม้เป็นการใช้เพื่อเขาเองโดยเฉพาะ

วรรค 3 ขณะที่การร้องเรียนสู้คำสั่งปลดยังไม่สิ้นสุดพระสังฆราชไม่สามารถแต่งตั้งเจ้าอาวาสใหม่แต่ในระหว่างนั้นท่านต้องจัดให้มีผู้บริหารวัด

 

บท 2 ขบวนการย้ายพระสงฆ์เจ้าอาวาส

                                                          

มาตรา 1748 หากเพื่อความดีของวิญญาณ หรือความจำเป็นหรือผลประโยชน์ของพระศาสนจักรเรียกร้องให้ต้องย้ายเจ้าอาวาสจากวัดซึ่งเขาได้ปกครองอย่างเกิดประโยชน์ ไปยังวัดอีกแห่งหนึ่งหรือไปปฏิบัติหน้าที่อื่นพระสังฆราชต้องเสนอการย้ายแก่เขาเป็นลายลักษณ์อักษร และชักชวนให้เห็นด้วยเพื่อความรักของพระเจ้าและของวิญญาณ

มาตรา 1749 หากพระสงฆ์เจ้าอาวาสผู้นั้นไม่ยินยอมทำตามคำแนะนำ และคำชักชวนของพระสังฆราช เขาต้องให้เหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษร

มาตรา 1750 แม้ว่าได้ให้เหตุผลอธิบายแล้วหากพระสังฆราชตัดสินว่ายังคงไม่เปลี่ยนความตั้งใจในกรณีนี้ท่านต้องถกเหตุผลที่สนับสนุนหรือขัอแย้งการย้ายกับเจ้าอาวาส 2องค์ที่ได้รับเลือกตามกฎเกณฑ์ของมาตรา 1742 วรรค 1 หากท่านยังตัดสินว่ายังต้องมีการย้ายท่านต้องย้ำคำเตือนเยี่ยงบิดาต่อเจ้าอาวาสนั้น

มาตรา 1751 วรรค 1 เมื่อได้ปฏิบัติสิ่งเหล่านี้แล้ว พระสงฆ์เจ้าอาวาสยังคงปฏิเสธ และพระสังฆราชยังคิดว่าจำเป็นต้องย้าย ท่านต้องออกคำสั่งย้าย โดยระบุว่าวัดจะต้องว่างลงหลังจากเวลาที่กำหนดไว้สิ้นสุดลง

วรรค 2 หากเวลากำหนดสิ้นสุดลงโดยไม่เกิดผลอะไร ท่านต้องประกาศให้วัดว่างลง

มาตรา 1752 ในกรณีการย้าย ให้นำข้อกำหนดของมาตรา 1747 มาปรับใช้โดยคำนึงถึงความชอบธรรมของกฎหมายพระศาสนจักรและโดยคำนึงถึงความรอดของวิญญาณซึ่งเสมอไปต้องเป็นกฎหมายสูงสุดของพระศาสนจักร