เขาก็แค่คนเล่นกล ชอบทำตัววิปริต ท่องมนตร์บ่นงึมงำ เขาก็อีแค่พ่อมด คอยสะกดชาวบ้านให้หลงไหลไปด้วยรูปโฉมและการเป่าเสก ตั้งท่าจะหลอกลวงผู้คนด้วยคำพูดของประกาศกและสถาบันแห่งบรรพบุรุษของเรา
ใช่สิ เขาสั่งให้คนตายเป็นพยานแก่เขา ให้คูหาฝังศพที่ไร้สุ้มเสียงเป็นผู้ไปล่วงหน้า ให้มันเป็นฤทธิ์อำนาจของเขา
เขาจับพวกผู้หญิงในเยรูซาเลมและหญิงสาวตามบ้านนอกด้วยเล่ห์กล ดุจแมงมุมจับแมลงวัน และพวกนางก็ติดใยของเขาเสียอยู่หมัด
เพราะผู้หญิงนั้นอ่อนแอไร้สมอง พวกนางอาจตามผู้ชายคนไหนก็ได้ที่สามารถปลอบประโลมใจไม่รู้จักอิ่มของพวกนางด้วยคำพูดที่อ่อนหวาน แต่ที่เป็นเช่นนี้ อาจไม่ใช่เพราะพวกนางเองหรอก อาจเป็นเพราะจิตชั่วของเขาต่างหาก ที่ล่อลวงและครอบครองใจของพวกนาง ขอให้ชื่อของเขาถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของมนุษย์เถอะ
แล้วยังพวกหนุ่ม ๆ ที่ตามเขาไปอีกล่ะ?
คนพวกนั้นเหมือนฝูงสัตว์ที่ถูกเทียมแอกและถูกเหยียบย่ำ เพราะความขลาดเขลาทำให้คนพวกนั้นไม่เคยคิดอาจหาญ ขึ้นเสียงกับอาจารย์ของตนเลย เมื่ออาจารย์สัญญาจะให้ตำแหน่งสูง ๆ ในอาณาจักรที่มองไม่เห็นก็ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง เหมือนดินเหนียวที่โอนอ่อนแก่ช่างปั้นแต่โดยดี
ท่านไม่รู้อะไร บรรดาข้าทาสในความฝันของเขาจะเป็นเจ้านาย และผู้อ่อนแอจะเป็นเช่นจ้าวป่าได้หรือ?
แน่นอน ชาวกาลิลีคนนี้คือนักแสดงกลและคนขี้ฉ้อ เขายกโทษให้คนบาป เพื่อจะได้ฟังเสียง วันทา โฮซานนา จากปากที่เป็นมลทินของคนพวกนั้น เขาเลี้ยงดูใจกะปลกกะเปลี้ยของคนไร้หวังและคนเคราะห์ร้าย เพื่อจะได้มีหูมาสดับคำหวานและมีบริวารมาฟังคำสั่ง
เขาทำลายวันสับบาโต คนอื่นเลยเอาตามอย่าง จึงดูเหมือนเขาจะได้รับแรงสนับสนุนในการกระทำที่ไร้ขื่อแปเช่นนี้ นอกจากนั้นเขายังด่าพวกพระผู้ใหญ่อย่างเสีย ๆ หาย ๆ อีกด้วย การที่เขาชนะคดีในสภาสงฆ์ทำให้ชื่อเสียของเขายิ่งโด่งดังเข้าไปอีก
ข้าขอย้ำอีกหลาย ๆ ครั้งว่า ข้าเกลียดชายคนนี้ ใช่สิ! ข้าเกลียดเขายิ่งเสียกว่าพวกโรมที่มายึดบ้านยึดเมืองของเราเสียอีก เพราะเขามาจากนาซาเร็ธ เมืองที่ถูกบรรดาประกาศกสาปแช่ง เป็นกองมูลสัตว์ของพวกต่างชาติ และที่นั่น เราจะหาของดีทำยาไม่ได้เลย
แม้ มีเพียงไม่กี่คนที่มีความรู้เกี่ยวกับร่างกาย เกี่ยวกับส่วนประกอบและระบบการทำงานของมัน แต่ที่นาซาเร็ธ ก็มีหมอยาของพวกเขาเองด้วยเหมือนกัน
เขารับรักษาโรคที่แม้แต่พวกกรีกและพวกอียิปต์ก็ไม่รู้จัก มีคนว่ากันว่า เขาเคยเรียกคนตายให้ฟื้นขึ้นมา ไม่ว่ามันจะจริงหรือไม่ก็ตามเถอะ เรื่องนี้ได้เผยให้เราเห็นถึงอำนาจของเขาแล้ว เขาเป็นคนเดียวที่กระทำสิ่งยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยเล่าอ้างกันมา มีคนว่ากันว่า พระเยซูเคยไปอินเดียและแผ่นดินแห่งแม่น้ำสองสาย พวกพระที่นั่นสอนเขาให้เข้าใจถึงความลึกลับที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้เนื้อหนังของมนุษย์เรา
แต่เขาอาจได้รับความรู้นี้มาจากพระเจ้าโดยตรง ซึ่งไม่เกี่ยวอะไรกับพระพวกนั้นเลยก็ได้ เพราะสิ่งที่เป็นปริศนาสำหรับมนุษย์เรามาชั่วนาตาปีนั้น อาจเปิดเผยแก่ใครสักคนในชั่วพริบตาเดียว เช่นนี้อปอลโลก็ย่อมสามารถวางมือเหนือดวงใจที่หม่นเศร้าและปลุกเร้าให้มันสว่างสุกใสขึ้นมาอีกครั้งได้
มีทวารประตูมากมายเคยเปิดให้แก่ชาวไทระและชาว ธีบิตส์ แต่สำหรับชายคนนี้ ต่อให้ประตูที่ลั่นดาลแล้ว มันก็จะเปิดออก เขาคือผู้เปิดประตูวิหารแห่งวิญญาณ ซึ่งคือร่างกายของเรานั่นเอง เขาเห็นจิตชั่วกำลังคบคิดกันแข็งข้อต่อร่างกายของพวกเรา และจิตใฝ่ดีก็กำลังปั่นด้ายของมันอยู่
ข้าคิดว่า เขารักษาคนไข้ด้วยพลังที่ต่อต้านและตอบโต้ แต่บรรดาปราชญ์ของเราก็ไม่อาจทราบได้ว่าทำไมเป็นเช่นนั้น เขาสะกดความป่วยไข้ด้วยสัมผัสที่เย็นเยือก และมันก็ได้ล่าถอยจากไป เขาสะกดลำแขนแข็งแกร่งด้วยความสงบรำงับ มันยอมแพ้แก่เขา และสงบอยู่ในสันติ
แน่ละ เขารู้ดีว่า มีกระแสเลือดไหลหล่อเลี้ยงไปตามเส้นเลือดภายใต้เนื้อเยื่อ แต่ที่เขามีอำนาจเหนือมันด้วยปลายนิ้วได้อย่างไรนั้น ข้าไม่รู้ เขาย่อมทราบดีว่า สร้อยสนิมนั้นเกาะกินเนื้อเหล็กได้ แต่การที่เขาชักดาบออกจากฝัก และทำให้มันเปล่งประกายได้อย่างไรนั้น ไม่มีใครรู้
บางครั้งข้าคิดไปว่า เขาคงได้ยินเสียงครางคร่ำครวญของสรรพสัตว์ที่เติบโตภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ฉุดดึงสัตว์โลกเหล่านั้นให้ลุกขึ้น และช่วยเหลือพวกมัน ไม่เพียงแค่โดยพละกำลังของเขาเท่านั้น หากแต่โดยการเผยให้เห็นถึงพละกำลังของพวกมันเอง นำมันออกมา และรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
กระนั้นก็ดีเขาไม่เคยบอกสักครั้งว่า ตัวเองเป็นหมอยา เขาเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องศาสนา กับการเมืองของดินแดนนี้ สิ่งนี้แหละที่ทำให้ข้าเสียใจ เพราะสิ่งแรกที่เราควรจะใส่ใจคือเสียงร้องของร่างกายมิใช่หรือ
สำหรับชาวซีเรียนพวกนี้ เมื่อความป่วยไข้มาเยี่ยมเยือน พวกเขามักจะร้องหาการถกเถียงมากกว่าจะร้องหายา
เป็นเรื่องน่าเศร้าเหลือเกิน ที่หมอยาผู้ยิ่งใหญ่ของพวกเขาเลือกที่จะเป็นเพียงนักพูดธรรมดาตามหัวมุมตลาดเท่านั้น
จงขึ้นเพลงพิณเถอะ และฉันจะร้องเพลง
จงดีดเส้นสายทั้งสีเงินและสีทอง
เพราะฉันจะร้องเพลงถึงชายผู้กล้าหาญ
ต่อกรกับมังกรร้ายแห่งหุบเหว
และส่งสายตาแสนสงสาร
ไปยังมังกรที่ด่าวดิ้นสิ้นแล้วนั่น
จงขึ้นเพลงพิณเถอะ และร่วมร้องกับฉัน
ถึงต้นโอ๊กตระหง่านง้ำ
ถึงชายผู้ใจกว้างดังฟ้าและเอื้ออาทรดังมหานที
ผู้จุมพิตริมฝีปากผากเย็นของความตาย
และยังยืนหยัดอยู่ได้เหนือโอษฐ์อ้าแห่งชีวิต
ขึ้นเพลงพิณเถอะ และร่วมร้องด้วยกัน
ถึงนายพรานหาญกล้าแห่งหุบเขา
ผู้เล็งธนุไปยังสัตว์ร้าย พุ่งศรออกไปเร็วเร่ง
และนำเขาเขี้ยวเงี้ยวงา
มายังที่ราบ
ขึ้นเพลงพิณเถอะ แล้วร่วมร้องกับฉัน
ถึงมานพน้อยกล้าหาญ ผู้กำชัยเหนือหัวเมืองตามหุบเขา
บ้านเมืองบนพื้นราบจะดิ้นพล่านดุจงูร้ายบนพื้นทราย
เขาไม่คิดถือสากับลูกสมุนชั้นปลายแถว แต่จะจัดการกับจ้าวพ่อ
ผู้กินเนื้อและดื่มเลือดของเราอย่างตะกละตะกราม
เขาเป็นเฉกเช่นอินทรีสีทอง
ที่จะต่อสู้กับอินทรีด้วยกันเท่านั้น
เพราะปีกของเขากว้างและน่าคร้าม
ไม่เล็กน้อยไปกว่าปักษาอื่นเลย
จงขึ้นเพลงพิณเถอะ และร่วมร้องกับฉัน
เราจะร้องบทเพลงแห่งทะเลและโตรกผา
พระจอมปลอมทั้งหลายตายหมดแล้ว
พวกมันนอนอยู่นั่นไง
บนแก่งเกาะเล็ก ๆ ในทะเลที่ถูกลืม
และเขา-ผู้ปลิดชีพพวกมันก็นั่งบนบัลลังค์ของเขาเอง
เขายังเยาว์นัก
คราใบไม้ผลิแห่งชีวิตยังไม่ได้มอบหนวดเครารกครึ้ม
ฤดูร้อนยังหนุ่มแน่นอยู่ในทุ่งนา
จงขึ้นเพลงพิณเถอะ และร่วมร้องกับฉัน
ถึงลมหวู่หวิวในราวป่า
ที่บดขยี้ลำไม้แห้งและกิ่งก้านไร้ใบ
แต่ก็นำรากแห่งชีวิตให้อิงแอบอบอุ่นในอ้อมกอดของผืนโลก
ขึ้นเพลงพิณเถอะ แล้วร่วมร้องกับฉัน
ร้องบทเพลงที่ไม่มีวันตายของชายหนุ่มผู้เป็นที่รักของเรา
แต่อย่ากระนั้นเลย น้องสาวของฉัน วางมือเสียเถิด
เก็บพิณนั้นขึ้นเสียดีกว่า
เราไม่อาจร่ำร้องกับเขาได้ในยามนี้
เพลงกระซิบเลือนลางของเราไม่อาจเข้าถึงความยิ่งใหญ่ ของเขาได้แม้แต่น้อย
และไม่อาจแทงทะลุเข้าในคลังความเงียบของเขาได้เลย
วางพิณนั่นลงเถิด แล้วมานั่งใกล้ ๆ ฉันนี่
ฉันจะบอกเธอว่า เขาเคยว่ากระไร
และจะเล่าให้เธอฟังว่า เขาเคยทำอย่างไร
เพราะเสียงสะท้อนของเขาลึกล้ำด่ำดื่มยิ่งกว่าความปรารถนาของเรามากนัก
บทเทศนาบนภูเขา
วันหนึ่งในฤดูเก็บเกี่ยวพระเยซูเรียกพวกเราและหมู่มิตรของเขาขึ้นไปบนภูเขา ผืนแผ่นดินส่งกลิ่นหอม ดังธิดาสาวของพระราชากำลังร่วมในพิธีสมรสของเธอ เธอสวมเพชรพลอยวูบวับ มีท้องฟ้าเป็นดังเจ้าบ่าวของเธอ
เมื่อพวกเราขึ้นไปถึงยอดเขา พระเยซูก็ยืนสง่าอยู่กลางละเมาะไม้ เขากล่าวขึ้น
“ให้เราพักผ่อนที่นี่เถิด พักความคิดและเปิดใจออก ฉันมีเรื่องอยากจะบอกพวกเธอ”
พวกเราจึงเอนกายลงบนหญ้า ดวงดอกไม้แห่งฤดูร้อนรายล้อมพวกเราไว้ ส่วนพระเยซูนั่งอยู่กลางกลุ่มพวกเรา
พระเยซูกล่าวขึ้นดังนี้:
“ใครรู้สึกสงบใจก็เป็นสุข”
“ใครไม่ยึดติดกับข้าวของก็เป็นสุข เพราะเขาจะเป็นอิสระ”
“ใครตกทุกข์ได้ยากก็เป็นสุข เพราะในความทุกข์ยากนั้นมีความชื่นบานรอคอยเขาอยู่”
“ใครกระหายหาความงามและความจริงก็เป็นสุข เพราะเขาจะได้รับขนมปังดับหิว และน้ำเย็นดับกระหาย”
“ใครมีใจกรุณาก็เป็นสุข ด้วยว่าเขาจะได้รับความกรุณาตอบ”
“ใครมีใจสะอาดก็เป็นสุข เพราะเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า”
“ใครมีใจเมตตาก็เป็นสุข เพราะความเมตตาจะเป็นส่วนหนึ่งของเขา”
“ใครเป็นผู้สร้างสันติก็เป็นสุข เพราะใจของเขาจะอยู่เหนือการต่อสู้ล้างผลาญ เขาจะเปลี่ยนลานของช่างปั้นให้เป็นสวนดอกไม้”
“ใครถูกเบียดเบียนไล่ล่าก็เป็นสุข เพราะเขาจะมีฝีเท้าเร็วดังติดปีก”
“จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะพวกเธอได้พบอาณาจักรสวรรค์ในตัวเองแล้ว นักขับร้องแห่งอดีตกาลถูกปลิดชีพ เพราะเขาร้องเพลงที่กล่าวถึงอาณาจักรแห่งนั้น พวกเธอก็จะถูกปลิดชีพเช่นกัน แต่เพราะการปลิดชีพนี้แหละ พวกเธอจะได้รับเกียรติ และได้รับรางวัล”
“พวกเธอคือเกลือของแผ่นดิน ถ้าเกลือหมดรสเค็มเสียแล้ว จะใช้ปรุงรสอาหารได้อย่างไรเล่า?”
“พวกเธอคือแสงสว่างของโลก อย่าจุดไฟแล้วเอาถังครอบไว้ แต่จงตั้งไว้บนเชิงตะเกียง ให้แสงส่องสว่างแก่ผู้ที่กำลังค้นหาอาณาจักรของพระเจ้า”
“อย่าคิดว่าฉันมาเพื่อล้มล้างกฎของธรรมาจารย์และฟาริ-สี เพราะเวลาแห่งชีวิตของฉันถูกกำหนดไว้แล้ว คำพูดของฉันก็มีบันทึกไว้หมด ฉันมาที่นี่เพื่อเผยให้พวกเธอเห็นกฎใหม่และ พันธสัญญาใหม่”
“พวกเธอรู้ดีว่า มีกฎเขียนไว้ว่า อย่าฆ่าคน แต่ฉันขอบอกว่า อย่าโกรธเคืองใครอย่างไร้เหตุผล”
“พวกเธอถูกสอนมาแต่โบราณว่า ให้นำลูกวัว ลูกแกะ และนกเขาไปยังวิหาร และฆ่ามันบนแท่นบูชา เพื่อนาสิกของพระเจ้าจะได้รับกลิ่นไหม้ของสัตว์พวกนั้น แล้วพวกเธอจะได้รับการอภัยบาป”
“แต่ฉันขอบอกพวกเธอว่า พวกเธอจะมอบสิ่งที่เป็นของพระองค์ให้แก่พระองค์ได้หรือ? พวกเธอจะเอาใจพระองค์ผู้อยู่เหนือความเงียบทั้งมวล และผู้ที่เอามือหมุนจักรวาล ได้อย่างไร?”
“เอาเถิด จงไปหาพี่น้องและขอโทษเขาก่อนเข้าสู่วิหาร จงแสดงความรักต่อเพื่อนบ้าน เพราะในความรักนี้พระเจ้าได้สร้างวิหารซึ่งไม่อาจทำลายลงได้ และในใจรักนั้น พระองค์ได้สร้างแท่นบูชาที่ไม่มีวันพังทลายเอาไว้”
“เขาสอนพวกเธอว่า ตาต่อตา ฟันต่อฟัน แต่ฉันขอบอกว่า อย่าต่อสู้กับความชั่ว เพราะการต่อสู้เท่ากับการให้อาหารบำรุงเลี้ยงมัน มีแต่ความอ่อนแอเท่านั้นที่จะแก้แค้นมันได้ วิญญาณแข็งแกร่งซึ่งยกโทษนั้นไม่ได้ล้ำค่ากว่าวิญญาณบาดเจ็บที่ยก โทษเลย”
“มีแต่ต้นไม้ได้ผลเท่านั้น ที่คนเขาปาหินและเขย่าต้นเพื่อเอาลูก”
“อย่าวาดหวังถึงพรุ่งนี้ จงอาศัยอยู่แต่เพียงวันนี้ เพราะความยุ่งยากในแต่ละวันก็ถือเป็นเรื่องอัศจรรย์มากพออยู่แล้ว”
“อย่าคิดมากเมื่อให้ของใครไป จงคิดแต่เรื่องที่จำเป็นเท่านั้น เพราะผู้ที่ให้ย่อมได้รับจากพระบิดาอยู่แล้ว และสิ่งที่พระองค์ให้นั้นก็อุดมสมบูรณ์เหลือเกิน”
“จงให้ตามแต่ที่เธอเห็นว่าเหมาะว่าควร เพราะพระบิดาไม่ให้เกลือแก่ผู้ร้องขอน้ำ ไม่ให้ก้อนหินแก่ผู้หิวโหย หรือให้นมแก่เด็กที่หย่านมแล้ว”
“อย่าให้สิ่งสูงค่าแก่หมา อย่าโยนไข่มุกให้หมู เพราะมันจะเหยียบย่ำของดี ๆ เหล่านั้น และแว้งมากัดเธอได้”
“อย่าสะสมข้าวของที่อาจสูญหายหรือถูกขโมยไปได้ แต่จงแสวงหาสมบัติที่ไม่มีวันสูญหายหรือถูกขโมยไปได้เถิด ยามมีใครมาจดจ้อง เธอจะหวงแหนสิ่งนั้นดุจหวงคนรัก เพราะทรัพย์สมบัติของเธออยู่ที่ใด หัวใจของเธอก็อยู่ที่นั่นด้วย”
“เขาบอกพวกเธอว่า ฆาตกรต้องตายด้วยดาบ หัวขโมยต้องถูกตรึงกางเขน และหญิงแพศยาต้องถูกหินทุ่ม แต่ฉันขอบอกพวกเธอว่า หากพวกเธอยังผูกพันธะกับการกระทำแบบฆาตกร แบบหัวขโมย หรือแบบหญิงแพศยาล่ะก็ พวกเธอก็กำลังลงโทษตัวเอง และใจของพวกเธอจะกระด่างดำไปด้วย”
“แท้จริงแล้ว ไม่มีความผิดใดที่กระทำโดยชายหรือหญิงเพียงคนเดียว บาปทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะทุกคน ผู้ต้องโทษจะฉีกทึ้งสายโซ่ที่ร้อยรัดข้อเท้าของเขา บางทีเขาต้องถูกปรับโทษด้วยความโศกเศร้า เพื่อแลกกับความชื่นบานที่กำลังจะผ่านไป”
พระเยซูพูดดังที่ว่ามานี้ ทำให้ข้าอยากจะคุกเข่าลงแทบเท้าและกราบนมัสการเขา แต่ทว่าข้ายังรู้สึกเขินอายอยู่ จึงไม่อาจเคลื่อนกายหรือเอ่ยวาจาใด
แต่ท้ายที่สุด ข้าก็กล่าวขึ้น “ข้าปรารถนาจะภาวนาในเวลานี้ แต่ลิ้นของข้านั้นหนักเหลือเกิน โปรดสอนให้ข้าภาวนาด้วยเถอะ”
พระเยซูจึงกล่าว “เมื่อเธอจะภาวนา จงให้ความปรารถนาของเธอได้เปล่งวาจาออกมา ความปรารถนาของฉันในเวลานี้ร่ำร้องภาวนาว่า:
“ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย
พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ
ขอให้ทุกสิ่งเป็นไปตามน้ำพระทัยในแผ่นดินดังในสวรรค์
ขอประทานอาหารประจำวันแก่เราในวันนี้
โปรดยกโทษแก่เรา เหมือนเรายกให้เขาอื่น
โปรดนำเราและประคับประคองเราในที่มืด
เพราะพระองค์คืออาณาจักรสวรรค์
ในพระองค์คือพละกำลังและความครบครันของเรา”
เวลานั้นยังไม่เย็นย่ำแต่อย่างใด พระเยซูดำเนินลงมาจากภูเขา พวกเราทั้งหลายเดินตามลงมาด้วย ในขณะที่เดินไปนั้น ข้าพยายามทบทวนบทภาวนาของเขา เฝ้าครุ่นคิดถึงสิ่งที่เขาพูด เพราะข้าทราบดีว่า คำพูดเหล่านี้ร่วงหล่นลงมาดังเกล็ดหิมะ แสงยามกลางวันจะกลั่นกรองมันจนเป็นเหมือนแก้วใส คำพูดของเขาเป็นดังปีกมากมายที่กระพืดพัดอยู่เหนือหัวเรา และดังว่าจะเหยีบย่ำพื้นโลกของเราเหมือนเป็นเกือกม้า
ใช่! ข้าเคยไปฟังเขาพูดมาแล้ว มีคำพูดผลุดพรูจากริมปากเขาเสมอล่ะ
แต่ข้านิยมชมชอบเขาในฐานะที่เป็นปุถุชนธรรมดา ไม่ใช่ในฐานะผู้นำ เขาเทศน์สอนถึงสิ่งที่เหนือไปกว่าความพอใจของข้า บางทีอาจเกินเลยเหตุผลที่ข้าเข้าใจด้วยซ้ำ เรื่องทำนองนี้อาจเป็นเพราะแต่ก่อนไม่เคยมีใครเทศน์สอนข้ามาเลยก็เป็นได้
ข้าติดตามแต่น้ำเสียงและท่าทาง แต่ไม่เคยจับจดกับเนื้อหาสาระในคำพูดของเขาเลย เขาพูดอย่างจับใจ แต่ไม่ได้คิดหว่านล้อม ดูเขาช่างลึกลับ คลุมเครือและห่างไกลจากความคิดของข้า
ข้าไม่เคยเห็นมนุษย์คนใดเป็นเช่นเขา ผู้คนมีทั้งมั่นคงและอ่อนไหว ทุกคนพูดจาด้วยวาทะเก่งกล้าสามารถ โน้มน้าวความคิดและเรียกหูเราให้สดับ แต่ไม่เคยจับใจเราได้เลย
น่าสงสารอะไรเช่นนี้ คนที่คิดสู้และชวนตีกับเขา ไม่มีประโยชน์อันใดเลย ข้าเชื่อว่าความมุ่งร้ายหมายขวัญของคนพวกนั้นรังแต่จะทำให้ภูมิธรรมของเขาสูงเด่น และพละกำลังแก่กล้าขึ้นไปอีก
ไม่แปลกใจใช่ไหม ที่การคิดร้ายต่อเขายิ่งเท่ากับเป็นการเสริมกำลังแก่เขา? และถ้ามัดมือมัดเท้าเขาก็เท่ากับติดปีกให้เขา?
ข้าไม่รู้จักศัตรูของเขาหรอก แต่ข้ามั่นใจว่า พวกนั้นยังเกรงกลัวชายไร้พิษสงคนนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกมันให้ชายคนนี้ยืมกำลังและทำให้เขาเป็นตัวอันตรายเองแท้ ๆ
ฉัน พบเขาครั้งแรกในเดือนมิถุนายน ขณะนั้นเขากำลังเดินอยู่ในทุ่งสาลี ฉันเดินผ่านไปกับบรรดาสาวใช้ แลเห็นเขาดำเนินมาเดียวดาย
จังหวะก้าวของเขาแตกต่างไปจากคนอื่น การเคลื่อนไหวของเขาดูว่างเปล่า ฉันไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน
มนุษย์ไม่ก้าวย่างด้วยท่วงท่าเช่นนั้น และจนเดี๋ยวนี้ฉันยังไม่ทราบแน่ว่าเขาเดินช้าหรือเร็ว
สาวใช้ชักชวนชี้ไปที่เขา กล่าวกระซิบแก่กันอย่างเอียงอาย ฉันชะลอฝีเท้าและยกมือขึ้นไหว้คารวะ แต่เขาไม่ได้หันมา เขาไม่มองฉัน ฉันรู้สึกเกลียดเขา ใจฉันกระวนกระวาย รู้สึกหนาวเยือกราวกับตกอยู่ท่ามกลางหิมะ ตัวฉันสั่นสะท้าน
คืนนั้นฉันได้พบกับเขาอีกครั้งในความฝัน แต่คนอื่นบอกฉันในภายหลังว่า เป็นเพราะฉันตื่นกลัวและเหน็ดเหนื่อยเกินไป
ต่อมาในเดือนสิงหาคม ฉันได้พบกับเขาอีกครั้ง วันนั้นฉันมองจากหน้าต่างลงไป เห็นเขานั่งนิ่งอยู่ใต้ร่มไซปรัสตรงข้ามกับสวนของฉัน เขาแน่นิ่งราวรูปสลักจากอันติโอกหรือแถบหัวเมืองทางเหนือ
คนใช้ชาวอียิปต์เข้ามากล่าวกับฉัน “ชายคนนั้นมาอีกแล้ว เขานั่งอยู่ตรงข้ามสวนนี่เอง”
ฉันหันออกไปมองเขาอีก วิญญาณฉันสั่นไหว เขาช่างงดงามเหลือเกิน
รูปร่างของเขาสมส่วน ทุกส่วนกลมกลึงเป็นหนึ่งเดียว
ฉันแต่งองค์ด้วยภูษาจากดามัสกัส เดินออกจากเรือนไปพบเขา
เป็นความเปล่าเปลี่ยวของฉันหรือกลิ่นหอมจากเรือนกายของเขากันหนอ ที่ดึงดูดฉันเข้าไปหาเขา? เป็นดวงตาฉันที่โหยหาความสง่างามหรือเพราะความงดงามของเขาอาบฉายในดวงตาของฉันกันแน่?
จนบัดนี้ฉันยังไม่อาจรู้ได้
ฉันเดินเข้าไปหาเขาด้วยอาภรณ์กรุ่นหอมและรองเท้าแตะทองคู่ที่นายร้อยโรมันได้กำนัลให้ ฉันเดินเข้าไปใกล้เขา แล้วกล่าวขึ้น “สันติสุขจงมีแด่ท่าน”
เขากล่าว “สันติสุขจงมีแด่เธอ มิเรียม”
เขาจ้องมองมายังฉัน ดวงตาดำสนิทที่มองมาไม่เหมือนกับที่ชายอื่นชะม้ายมอง ในเวลานั้นเองฉันรู้สึกประหนึ่งกำลังเปลือยเปล่า ฉันสะท้านอาย
เขากล่าวขึ้นอีกครั้ง “สันติสุขจงมีแด่เธอ”
ฉันจึงถามเขา “ท่านจะไม่เข้าไปในเรือนของฉันหรือ?”
เขาย้อน “แล้วนี่ฉันยังไม่ได้อยู่ในเขตเรือนของเธอดอกหรือ?”
ตอนนั้นฉันไม่ทราบว่าเขาหมายความว่ากระไร แต่บัดนี้ฉันทราบแล้ว
ฉันเอ่ยขึ้นอีก “ท่านจะไม่ร่วมทานขนมปัง และเหล้าองุ่นกับฉันหน่อยหรือ?”
เขาตอบ “แน่นอน มิเรียม แต่ไม่ใช่เวลานี้”
ไม่ใช่เวลานี้ ไม่ใช่เวลานี้เหมือนมีเสียงคลื่นซัดสาดและเสียงลมกรูกราวกลางหมู่ไม้ดังกัวงานอยู่ในสองประโยคนี้ เมื่อเขากล่าวเช่นนี้กับฉัน ชีวิตก็ร้องรับกับความตาย
ขอเตือนท่าน สหายเอ๋ย ฉันได้ตายไปแล้ว ฉันคือหญิงผู้หย่าร้างกับวิญญาณ ฉันใช้ชีวิตแปลกแยกจากที่ท่านเห็นในขณะนี้ ฉันเป็นของชายทุกคนหรืออาจไม่ใช่ของใครเลย ทุกคนเรียกฉันว่า นังแพศยา เป็นหญิงที่ผีร้ายเจ็ดตนสิงอยู่ ฉันถูกผู้คนสาปแช่ง แต่ก็เป็นที่อิจฉาของใคร ๆ
แต่เมื่อดวงตาแห่งยามย่ำรุ่งของเขาจ้องมายังตาของฉัน ดวงดาวแห่งยามค่ำของฉันก็ปลาสไป ฉันกลายเป็นแต่มิเรียม มิ-เรียมเท่านั้น หญิงผู้สาบสูญไปจากโลกที่นางรู้จัก และพบตนเองยืนอยู่ในอีกโลกที่แปลกหน้า
ฉันกล่าวกับเขาอีกครั้ง “เชิญมาในเรือนก่อนเถิด มาร่วมทานขนมปังและดื่มเหล้าองุ่นด้วยกัน”
แต่เขากล่าว “ทำไมเธอจึงอยากให้ฉันเป็นแขกของเธอ?”
ฉันตอบ “ฉันขอท่าน โปรดเข้ามาในเรือนเถิด” นั่นคือทุกสิ่งทุกอย่างในใจของฉัน ความรู้สึกทั้งหลายทั้งมวลร่ำร้องแต่เขา
เขามองมายังฉัน แสงแดดยามเที่ยงในดวงตาของเขาส่องมาที่ฉัน เขากล่าวขึ้น “เธอมีคู่รักมากมาย แต่มีฉันคนเดียวที่รักเธอ ชายอื่นรักตัวเขาเองเมื่อได้อยู่ใกล้เธอ แต่ฉันรักเธอในตัวของเธอเอง ชายอื่นเห็นเพียงความงามที่มีวันเหี่ยวแห้งในตัวเธอ แต่ฉันมองเห็นความงามที่ไม่มีวันเหี่ยวแห้งเลย และแม้เมื่อฤดูใบไม้ร่วงแห่งชีวิตมาถึง ความงามนั้นก็ไม่หวาดหวั่นเมื่อมองดูตัวเองในกระจก เพราะมันไม่มีวันด้อยค่าลงไปแม้แต่น้อยนิด
“มีเพียงฉันที่รักสิ่งที่มองไม่เห็นในตัวเธอ”
เขากล่าวต่อไปด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ไปเถิด หากต้นไซปรัสนี้เป็นของเธอ และเธอไม่อนุญาตให้ฉันนั่งใต้ร่มพฤกษ์ของมัน ฉันจะไปตามทางของฉัน”
ฉันร้องวิงวอนต่อเขา “นายคะ โปรดเข้ามาในบ้านของฉันก่อนเถิด มีธูปหอมพร้อมเผาเพื่อท่าน มีอ่างดินให้ท่านล้างเท้า ท่านเป็นคนแปลกหน้าแต่ขณะเดียวกันก็ไม่ใช่ ฉันวิงวอนท่าน โปรดเข้ามาในชายคานี้เถิด”
แต่เขาลุกขึ้น จ้องมองฉันดุจฤดูกาลมองไปยังท้องทุ่ง เขายิ้มแย้มและเอ่ยขึ้น
“ทุกคนรักเธอเพื่อตัวเขาเอง แต่ฉันรักเธอเพื่อตัวเธอ”
จากนั้นเขาจึงดำเนินห่างไป
ไม่มีมนุษย์คนไหนเดินเหินเช่นที่เขาเดิน เป็นลมหายใจแห่งสวนสวยของฉันหรือ ที่ระบายลมฆานไปทางทิศตะวันออก? หรือเป็นพายุที่พัดกระหน่ำสิ่งต่าง ๆ อย่างถึงแก่นของมันกันแน่?
ฉันไม่รู้ แต่วันนั้นแสงสุกใสในดวงตาของเขาได้กำราบมารร้ายในตัวฉันลง ฉันกลับกลายเป็นเพียงหญิงนางหนึ่ง เป็นเพียงมิเรียม-มิเรียมแห่งมิจเดล
ปากน้อยของเขาคล้ายเมล็ดในของทับทิม ร่มเงาในดวงตาของเขาก็ล้ำลึก
เขาช่างสุภาพ ดังชายผู้สำรวมในพละกำลังของตน
ในความฝัน ฉันมองเห็นราชาของแผ่นดินยืนสั่นริกอยู่ต่อหน้าเขา
ฉันอยากพูดถึงใบหน้าของเขา แต่ฉันจะกล่าวอย่างไรดีเล่า?
มันเป็นเช่นค่ำคืนที่ปราศจากความมืด เหมือนเที่ยงวันที่ปราศจากสรรพเสียงใด ๆ ทั้งสิ้น
เป็นดวงหน้าที่เศร้าซึ้ง แต่ก็เปี่ยมสุข
ฉันจำได้ว่า ยามเขาเหยียดมือไปเบื้องบนฟ้า เรียวนิ้วของเขาคลับคล้ายกับกิ่งก้านของต้นเอล์ม
ฉันจำครั้งที่เขาเดินเล่นในยามเย็นได้ เขาไม่ได้อยู่ในทีท่าแห่งการเดินเลย เขาเป็นราวทางสายหนึ่ง ซึ่งทาทาบอยู่เหนือทางที่เขาดำเนินอยู่ เป็นดังเมฆฝนบนฟ้าที่หลั่งความชุ่มชื่นแก่ผืนโลก
แต่เมื่อฉันมายืนต่อหน้าเขา และเอื้อนเอ่ยกับเขา ดวงหน้าของเขากลับเปี่ยมพลัง เขากล่าวแก่ฉัน “เธอต้องการอันใดหรือ มิเรียม?”
ฉันไม่อาจตอบเขาได้ ปีกน้อยโอบกอดความลับเอาไว้ ฉันรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด
และเพราะฉันไม่สามารถทานทนต่อความรุ่งโรจน์ของเขาได้สักน้อยนิด ฉันจึงหันกลับและผละออกมา ไม่ใช่เพราะอับอาย หากเพราะเอียงอาย ยามนี้ฉันอยู่เพียงลำพัง และนิ้วงามของเขากำลังกรีดสายแห่งใจของฉันอยู่
ท่านถามข้าว่า สนใจเรื่องอัศจรรย์ของคนที่ชื่อเยซูบ้างหรือเปล่าเรอะ
ทุก ๆ รอบหมื่นปี พระอาทิตย์ ดวงจันทร์ โลกของเรา และเหล่าดาวพี่น้องจะเรียงประจบกันเป็นเส้นตรง เพื่ออยู่ใกล้ชิดกันสักชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง
จากนั้น พวกมันจึงค่อยละจากกันอย่างช้า ๆ และรอคอยรอบหมื่นปีข้างหน้าที่จะมาถึง
ในฤดูกาลต่าง ๆ นั้นไม่มีอัศจรรย์อะไรเลย อาจเป็นเพราะทั้งท่านและข้ายังไม่มีความเข้าใจในฤดูกาลมากนัก แล้วฤดูกาลเหล่านี้จะเผยอะไรเป็นรูปเป็นร่างเหมือนอย่างมนุษย์ได้เล่า?
ชายชื่อเยซูนั้นเกิดขึ้นจากส่วนประกอบระหว่างสิ่งที่จับต้องได้และความฝัน ทั้งสองสิ่งรวมตัวกันตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติ และทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ตลอดกาลก็ได้สยบลงต่อหน้าเขา
มีคนว่ากันว่า เขาทำให้คนตาบอดมองเห็น คนง่อยเปลี้ยเดินได้ และขับผีร้ายออกจากคนบ้า
บางทีความมืดบอดนั้นอาจเป็นเพียงความคิดมืดมนที่ต้องใช้ปัญญาเข้าเอาชนะ แขนขาเล็กลีบอาจเป็นแต่ความคิดอ่านที่ต้องถูกกระตุ้นด้วยกำลังกาย บางทีผีร้ายอาจเป็นส่วนที่ไม่ยอมพักผ่อนในกายเรา ซึ่งต้องใช้สันติและความสงบรำงับเข้าครอบ ครอง
มีคนว่ากันว่า เขาปลุกคนตายให้ฟื้นคืน แต่ถ้าท่านบอกข้าได้ว่า อะไรคือตาย ข้าก็จะบอกท่านว่า อะไรคือเป็น
ในทุ่งนา ข้ามองเห็นลูกไม้ผลหนึ่งลอยนิ่งและดูไม่มีค่าอะไรเลย แต่คราฤดูใบไม้ผลิ ข้าก็เห็นลูกไม้นั้นหยั่งรากลงดินและงอกงามขึ้น การเริ่มต้นของไม้โอ๊กก็เริ่มขึ้นจากจุดเล็ก ๆ ที่ว่านี้
แน่ละ ท่านอาจเห็นว่านั่นก็เป็นการอัศจรรย์อย่างหนึ่ง แต่อัศจรรย์ทำนองนี้เกิดขึ้นนับพันนับหมื่นครั้งในทุกฤดูใบไม้ร่วงอันเซื่องซึม และในทุกคราใบไม้ผลิที่ชวนหลงใหล
เรื่องดังว่านี้จะไม่เกิดในใจมนุษย์บ้างหรือ? ฤดูกาลจะไม่บรรจบพบพานในมือหรือบนริมฝีปากของชายที่ถูกเจิมคนนั้นบ้างหรือไร?
ถ้าพระเจ้าของเรายอมให้ผืนโลกกกกอดเมล็ดพันธุ์ไว้ ทั้งที่เมล็ดพันธุ์นั้นดูเหมือนจะแห้งตายไปแล้ว ทำไมพระองค์จะไม่ให้คนหนึ่งระบายลมฆานชีวิตไปยังคนที่ตายไปแล้วบ้างเล่า?
อัศจรรย์ที่ข้าพูดถึงนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยในบรรดาอัศ- จรรย์ใหญ่โตมากมายที่ชายคนนี้ทำ นักเดินทางผู้เปลี่ยนขี้เหล็กให้เป็นทอง ผู้สอนให้ข้ารักคนที่เกลียดชังข้า ซึ่งเมื่อข้าทำดังที่เขาว่าแล้ว ใจข้ารู้สึกเป็นสุข และความฝันอันอ่อนหวานก็มาเยี่ยมเยือนนิทรารมณ์ของข้า
นี่คืออัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตของข้าเอง
วิญญาณข้าเคยมืดบอด วิญญาณข้าเคยง่อยเปลี้ย กายข้าเคยถูกครอบครองด้วยวิญญาณที่เหนื่อยอ่อน ข้าเคยเป็นดั่งคนตาย
แต่เวลานี้ข้าเห็นแจ้งแล้ว ข้าเดินตรงอีกครั้ง สงบอยู่ในสันติ และมีชีวิตอยู่เพื่อเป็นพยานและประกาศการดำรงอยู่ของข้าเองตลอดทุกเวลานาที
ข้าไม่ได้เป็นผู้ติดตามของเขา ข้าเป็นแต่คนดูดาวแก่ๆ ที่ไปเยี่ยมเยียนท้องทุ่งแห่งอวกาศตามเวลา และเชื่อว่าสิ่งที่ข้าเห็นเป็นทั้งกฎธรรมชาติและอัศจรรย์ในเวลาเดียวกัน
ข้าตกอยู่ในยามสายัณห์แห่งชีวิตเสียแล้ว และเมื่อข้าคิดจะหารุ่งอรุณของมัน ข้าก็พบในวัยเยาว์ของชายชื่อเยซูคนนั้น
วันเวลายังเสาะค้นวัยเยาว์อยู่ตลอดกาล และข้าก็ประจักษ์แจ้งว่า ความรู้ทั้งสิ้นคือภาพฝันที่ข้าได้เห็นนั่นเอง
ข้าไม่อาจนั่งใบ้ในหลุมสกปรกเยี่ยงนี้ได้ ในเมื่อเสียงของพระเยซูยังดังก้องสมรภูมิรบอยู่เช่นนั้น ข้าจะไม่อดทนและเก็บตัวเช่นนี้ ขณะที่เขายังอยู่ข้างนอกอย่างเปิดเผย
มีคนบอกข้าว่า อสรพิษกำลังเลื้อยรัดอยู่ที่เอวเขาแล้ว ข้าจึงตอบไป: เส้นอสรพิษจะสะบั้นลงด้วยกำลังของเขา เขาจะเหยียบมันให้บี้แบนด้วยส้นเท้า
ข้าเป็นเพียงพายุสำหรับสายฟ้าฟาดของเขา เมื่อข้าเอ่ยปาก เขาก็เป็นคำพูด เป็นจุดมุ่งหมายทั้งมวล
พวกมันจับข้าโดยไม่ให้รู้ตัวเสียก่อน และบางทีพวกมันอาจจะจับเขาด้วย แต่ยังก่อน เขายังต้องประกาศวาจาของเขาให้เสร็จสมบูรณ์เสียก่อน และเขาจะชนะพวกมัน
รถศึกของเขาจะแล่นทับพวกมัน เกือกม้าจะเหยียบย่ำพวกมัน เขาจะได้รับชัยชนะ
พวกมันประดังกันเข้ามาด้วยหอกและดาบ แต่เขาจะเล่นงานพวกมันด้วยอำนาจของพระวิญญาณ
เลือดของเขาจะอาบเอ่อแผ่นดิน แต่พวกมันก็ต้องลิ้มรสบาดแผลและความเจ็บปวดเช่นกัน พวกมันจะถูกล้างด้วยน้ำตาของมันเอง จนกว่าจะสะอาดจากบาปที่มันได้ทำ
ไพร่พลของพวกมันยาตราเข้ามาในเมืองของเขาพร้อมด้วยไม้ทุ้งและเหล็กแหลม แต่ระหว่างทางพวกมันจะจมลงในแม่น้ำจอร์แดน
หอคอยและกำแพงของเขาสูงใหญ่กว่าเดิม และหลุมหลบภัยของกองทหารก็ส่องสุกใสอยู่ในแสงอาทิตย์
มีคนว่า ข้าเป็นพวกเดียวกับเขา เพราะเราได้กระตุ้นประ-ชาชนให้ลุกฮือขึ้นแข็งข้อต่อยูเดีย
ข้าผู้เป็นเพียงเปลวไฟที่ส่องให้เห็นพระวาจา จะตอบมันไปว่า พวกเอ็งคล้ายอยากจะขุดหลุมแห่งเล่ห์กลลวงเหลือเกิน ถ้าอย่างนั้นก็ล่ออาณาจักรของพวกเอ็งให้มันสิ้นซากไปเลยสิ จะได้ไม่มีอะไรหลงเหลืออีก ให้มันเป็นเหมือนโซดอมและโกโมราห์ ให้มันเป็นชนชาติที่พระเจ้าหลงลืม ให้แผ่นดินของมันเหลือแต่เถ้าธุลี
ใช่สิ แม้เบื้องหลังกำแพงคุก ข้าก็ยังมีสายสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเยซูแห่งนาซาเร็ธ เขาจะเป็นผู้นำกองทัพ ทั้งทัพม้าและพลรบ ส่วนข้าเป็นแค่นายร้อยคนหนึ่ง ซึ่งไม่อาจเอื้อมพอจะแก้เชือกรองเท้าของเขาด้วยซ้ำไป
ไปอยู่กับเขาเถอะ และบอกเขาถึงสิ่งที่ข้าบอกเอ็ง และเพื่อระลึกถึงข้า ขอคำอวยชัยให้พรของเขาแก่ข้าด้วย
ข้าอยู่ที่นี่อีกไม่นานแล้ว ในกลางดึก ระหว่างความตื่นและความตื่นนั้น ข้ารู้สึกเหมือนมีเท้าหนัก ๆ ย่ำอยู่บนตัวข้า และเมื่อข้าลองสดับ ข้าก็ได้ยินเสียงสายฝนกระหน่ำอยู่เหนือหลุมศพของข้า
ไปหาเยซูเถอะ บอกเขาด้วยว่า ยอห์นแห่งเคดรอนนั้น ตอนนี้กำลังตกอยู่กลางเงามืดและเป็นคนเปล่าประโยชน์ไปเสียแล้ว ภาวนาเพื่อเขาด้วย ขณะนี้สัปเหร่อเข้ามายืนใกล้ ๆ แล้ว และเพชฌฆาตกำลังเงื้อดาบเพื่อค่าจ้างของตน
ท่าน อาจจะงงอยู่บ้างที่บางคนในพวกเราเรียกพระเยซูว่า พระคริสต์ บ้างก็ว่าเป็น พระวจนาตถ์ บางคน เรียก หนุ่มนาซาเร็ธ บ้างก็เรียก บุตรมนุษย์
ข้าจะพยายามทำความเข้าใจกับชื่อเหล่านี้ให้กระจ่างขึ้น
พระคริสต์ คือผู้ที่ดำรงชนม์มาแต่อดีตกาล พระองค์เป็นเปลวไฟของพระเจ้าที่ประทับอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์ พระองค์คือลมฆานแห่งชีวิตซึ่งดำเนินมาเยี่ยมเยียนเรา และกระทำตนเหมือนกับพวกเรา
พระองค์คือน้ำพระทัยของพระเจ้า
พระองค์คือวาจาแรก ซึ่งเปล่งออกมาโดยเสียงของเรา แล้วเข้าไปประทับตรึงในหูของเรา เราจะเอาใจใส่และเข้าใจในวาจานี้
พระวาจาของพระเจ้าได้สร้างเรือนแห่งเลือดเนื้อและไขกระดูก ซึ่งเป็นมนุษย์แบบเรา ๆ ท่าน ๆ นี่แหละ
แต่เราย่อมไม่อาจได้ยินบทเพลงของสายลมที่ไม่มีตัวตน อีกทั้งไม่อาจเห็นตัวตนที่แท้จริงของเรา ซึ่งดุ่มเดินอยู่กลางสายหมอก
หลายครั้งหลายคราที่พระองค์ดำเนินมายังโลก พระองค์ย่ำเดินไปหลายดินแดน และหลายครั้งพระองค์ก็เป็นเช่นคนแปลกหน้าและคนบ้าในสายตาของเรา
วาจาที่พระองค์เปล่งออกมานั้นยังคงว่างเปล่า เพราะความทรงจำของมนุษย์มักเก็บงำแต่เรื่องที่ใจเขาไม่สำมะหานำพาเท่านั้น
และนั่นคือ พระคริสต์ ผู้สถิตอยู่ภายในและอยู่สูงสุด ผู้เดินไปสู่ความเป็นนิรันดร์พร้อมกับมนุษย์
ท่านไม่เคยได้ยินเรื่องของพระองค์ตามหว่างทางไปสู่อินเดียบ้างหรือ? แล้วในดินแดนแห่งปราชญ์บูรพา หรือบนเนินทรายในอียิปต์ล่ะ?
ณ.ที่นี้ ในแถบชนบททางเหนือ มีเพลงกวีเก่าแก่ของโพมีเธ-อุส ผู้ขโมยไฟมาเติมเต็มความหวังของมนุษย์ เหมือนดังจะมาปลดปล่อยคนคุกให้เป็นอิสระ ยังมีเพลงของออร์ฟีอุส ผู้มาพร้อมกับเพลงไพเราะและพิณที่เคยแต่ปลุกเร้าวิญญาณของคนและส่ำสัตว์
ท่านยังไม่รู้จักราชาแห่งมิธรา ประกาศกแห่งโสโรเอส-เตอร์และเปอร์เซีย ผู้ตื่นขึ้นจากหลับไหลอันยาวนาน และมาหยุดยืนอยู่ที่หัวเตียงแห่งความฝันของเราละหรือ?
พวกเราได้กลายเป็นผู้รับเจิม เมื่อเราพบกับวิหารที่ไม่อาจมองเห็น วิหารนี้ปรากฏขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในรอบพันปี เวลานั้นท่านผู้หนึ่งจะปรากฏมา ขณะที่ท่านกำลังจะปรากฏมานั้น ความเงียบของเราจะกลับกลายเป็นเสียงเพลง
แต่ยัง ยังก่อน หูของเรายังไม่ได้ยินอะไร และตาของเราจะยังไม่เห็นอะไร
พระเยซูแห่งนาซาเร็ธเกิดและโตมาเหมือนพวกเรา แม่และพ่อของเขาก็เหมือนแม่และพ่อของเรา เขาเป็นแต่มนุษย์คนหนึ่ง
แต่พระคริสต์ องค์วจนาตถ์นั้น ถือกำเนิดมาแต่เริ่มต้น พระวิญญาณผู้ให้ชีวิตแก่เราอย่างเต็มเปี่ยมได้กลายมาเป็นชายคนนี้ และเข้ามาประทับในตัวเขา
พระจิต คือกวีประจำราชสำนักของพระเจ้า และพระเยซู คือมือพิณ
พระจิตเป็นเนื้อร้อง พระเยซูเป็นทำนอง
พระเยซู หนุ่มนาซาเร็ธกลายเป็นเจ้าบ้านและปากเสียงของพระคริสต์ เป็นผู้เดินไปพร้อมกับเราภายใต้ดวงอาทิตย์ และเรียกเราว่า เพื่อน
ในวันเวลาเหล่านั้น เนินเขาแห่งกาลิลี และหมู่บ้านของนางไม่เคยสดับต่อเสียงอื่นใดนอกจากเสียงของเขา เวลานั้นข้ายังเยาว์นัก ข้าตามเขาไป ด้วยการเหยียบย่ำตามรอยเท้าของเขา
ข้าประทับรอยเท้าบนรอยเท้าเดิมของเขา ก็เพื่อจะฟังดำรัสของพระคริสต์ที่ตรัสผ่านทางปากของพระเยซูแห่ง นาซาเร็ธคนนี้
เดี๋ยวนี้ข้ารู้แล้วล่ะว่า เหตุใดบางคนจึงเรียกเขาว่า บุตรแห่งมนุษย์
เพราะตัวเขาเองก็ปรารถนาให้คนอื่นเรียกเขาเช่นนั้น เขายังรู้หิวรู้กระหายเหมือนคนทั่วไป เขาเห็นว่า ผู้คนยังไขว่คว้าต้องการตัวตนที่แท้ในตัวเขาอยู่
บุตรแห่งมนุษย์คือพระคริสต์ผู้ประเสริฐ ซึ่งสถิตกับพวกเราเสมอ
พระองค์ คือ เยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้นำบรรดาพี่น้องไปสู่ผู้ที่ได้รับการเจิม ไปสู่พระวจนาตถ์ ซึ่งดำรงอยู่กับพระเจ้ามาแต่เริ่มต้น
ในใจข้ามีแต่เรื่องพระเยซูชาวกาลิลี บุรุษเหนือบุรุษทั้งหลาย เขาเป็นกวีผู้รจนาบทกลอนให้กับพวกเรา เขาเป็นพระวิญญาณ ผู้มาเคาะประตู ปลุกเราให้ตื่นขึ้น เพื่อลุกเดินออกมาพบกับความจริงที่เปลือยเปล่า และไม่มีสิ่งใดมาบดบังสายตาของเราได้อีกต่อไป
คืนหนึ่งในเดือนสิงหาคม เราอยู่กับอาจารย์ในทุ่งแห่งหนึ่งไม่ไกลจากทะเลสาบมากนัก ทุ่งแห่งนี้เรียกตามภาษาโบราณว่า ทุ่งหญ้าหัวกระโหลก
พระเยซูเอนกายบนพื้นหญ้า เบิ่งตามองหาดาว
เวลานั้นเอง มีสองร่างตรงเข้ามาหาเราอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียง ทั้งสองดูเป็นทุกข์ พวกเขาทรุดตัวลงอ่อนโรยแทบเท้าพระเยซู
พระเยซูยืนขึ้น เอ่ยถาม “พวกเธอมาจากไหนกัน?”
คนหนึ่งตอบ “มาจากมาเชรีอุสครับท่าน”
พระเยซูมองเขา ท่าทางสงสัย กล่าวถามอีก “ยอห์นเป็นอย่างไรบ้าง?”
ชายนั้นตอบ “เขาเพิ่งถูกฆ่าวันนี้ เขาถูกตัดหัวในห้องขัง”
พระเยซูเงยหน้าขึ้น เดินออกห่างจากพวกเราไปเล็กน้อย แล้วกลับมายืนท่ามกลางพวกเรา
เขากล่าว “วันนี้พระราชาได้ฆ่าประกาศกของเราเสียแล้ว เป็นความจริงที่พระราชาทำตามแต่อำเภอใจของตน แม้ราชาสมัยก่อนก็มิได้รอช้าที่จะส่งศีรษะของประกาศกให้แก่หัวหน้าเพชฌฆาต
“ฉันไม่ได้เสียใจเรื่องของยอห์น แต่เสียใจเรื่องเฮโรดที่สั่งให้ลงดาบ ราชาที่น่าสงสาร เขาเป็นเหมือนสัตว์ที่ถูกจับมาใส่ปลอกคอและล่ามเชือก
“พวกผู้ปกครองที่น่าสงสารกำลังหลงทางในความมืดมนของตนเอง พวกเขาจะต้องล้มลุกคลุกคลานอยู่เรื่อยไป แล้วพวกเธอเล่า พวกเธอจะได้อะไรในน้ำนิ่ง นอกจากปลาตาย?
“ฉันไม่ได้รังเกียจพวกผู้ปกครองเลย ให้พวกเขาปกครองประชาชนต่อไปเถอะ หากพวกเขาหลักแหลมกว่าประ-ชาชน”
อาจารย์มองไปยังใบหน้าอมทุกข์ของคนทั้งสอง และหันมามองพวกเรา พร้อมกับกล่าวขึ้นอีกครั้ง “ยอห์นได้รับบาดแผลแล้ว เลือดไหลหลั่งออกมาพร้อมกับคำพูดของเขา เขาคือ อิสรภาพที่ยังไม่เป็นอิสระจากตัวของมันเอง อิสรภาพชนิดนี้เพียรทนต่อคนซื่อตรงและผู้ชอบธรรมเท่านั้น
“เป็นความจริงที่เสียงของเขาร่ำร้องในดินแดนที่ใบ้บอด แต่ฉันก็รักเขา รักในความปวดร้าวและความโดดเดี่ยวของเขายิ่งนัก
“ฉันรักความทระนงของเขา ที่กล้ายื่นคอให้คมดาบ ก่อนที่มันจะกลิ้งลงไปคลุกฝุ่น
“แท้จริง ฉันขอบอกพวกเธอว่า ยอห์น บุตรเศคาริยาห์ คือคนสุดท้ายในตระกูลของเขา เขาถูกฆ่าตรงระหว่างประตูโบสถ์และพระแท่นเหมือนกับบรรพบุรุษของเขา”
แล้วพระเยซูก็เดินออกห่างจากพวกเราไปอีก
เมื่อกลับมา เขากล่าว “เป็นเช่นนี้ตลอดกาล ที่ราชาแห่งโมงยามจะเข่นฆ่าราชาแห่งขวบปี เขาจะกล่าวโทษและป้ายความผิดให้แก่บุรุษที่ยังไม่เกิดมา เขาจะตัดสินให้บุรุษนั้นต้องตายตั้งแต่ยังไม่ได้กระทำผิดอันใด
“บุตรของเศคาริยาห์จะอยู่กับฉันในอาณาจักรของฉัน วันเวลาของเขาจะยืนยาว”
เขาหันหน้าไปหาลูกศิษย์ของยอห์น และกล่าว “การกระ-ทำทุกอย่างมีวันพรุ่งนี้ของมันอยู่แล้ว ฉันจะเป็นวันพรุ่งนี้สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น กลับไปอยู่กับพวกพ้องของเพื่อนฉันเถิด บอกพวกเขาว่า ฉันอยู่กับพวกเขาเสมอ”
แล้วทั้งสองจึงจากพวกเราไป ดูพวกเขาเบาใจกว่าเมื่อแรกเดินทางมามากนัก
พระเยซูเอนกายบนพื้นหญ้าอีกครั้ง เขากางแขนออก และเบิ่งตามองไปยังดวงดาว
ตอนนั้นดึกมากแล้ว ข้านอนไม่ห่างจากเขาสักเท่าไร รู้สึกง่วงเหลือกำลัง แต่มีมือหนึ่งคอยเคาะที่ประตูแห่งความหลับของข้าตลอดเวลา ข้าจึงต้องนอนลืมตาเช่นนั้นจนพระเยซูและรุ่งอรุณร้องเรียกข้าให้ออกเดินทางอีกครั้ง
เรื่อง นี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะเป็นที่รู้จักของพวกชาวบ้าน
ตอนนั้นฉันกำลังเดินดูดอกกุหลาบอยู่ในสวนของคุณแม่ เห็นเขามาหยุดยืนที่ประตู
เขากล่าวแก่ฉัน “ฉันกระหายน้ำเหลือเกิน โปรดให้ฉันดื่มจากบ่อของแม่นางจะได้ไหม?”
ฉันวิ่งไป แล้วนำถ้วยเงินใส่น้ำมาให้เขา ฉันเหยาะกลิ่นมะลิลงไปด้วย
เขารับไปดื่มอย่างกระหาย ดูเขาพึงพอใจ
เขามองมาในตาของฉัน กล่าวขึ้น “ฉันขออวยพรแก่แม่นาง”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น ฉันรู้สึกราวลมหอบหนึ่งกำลังพัดผ่านสรรพางค์กายของฉันไป และฉันไม่รู้จักขวยอายอีกเลย ฉันกล่าวแก่เขา “ท่านคะ ฉันเป็นคู่หมั้นของหนุ่มเมืองคานาแห่งกาลิลี ฉันจะเข้าพิธีสมรสในวันที่สี่ของอาทิตย์ที่จะถึงนี้ ท่านจะไม่มาร่วมงานและอวยพรแก่งานแต่งงานของฉันดอกหรือคะ?”
เขาตอบฉัน “ฉันจะมาแน่ เด็กน้อย”
ท่านคิดเอาเถิด เขากล่าว “เด็กน้อย” ทั้งที่เขายังหนุ่ม แน่นอย่างนั้น และฉันก็จวนเจียนจะยี่สิบปีอยู่แล้ว
กล่าวเสร็จ เขาจึงออกเดินไปตามถนน
ฉันยืนที่ประตูนั้น จนกระทั้งแม่ของฉันร้องเรียกให้เข้าเรือน
แล้ววันที่สี่ของอาทิตย์นั้นก็มาถึง ฉันไปยังเรือนของเจ้าบ่าวเพื่อร่วมพิธีสมรส
เยซูก็มาด้วย เขามาพร้อมกับแม่ของเขาและเจมส์ น้องชาย
พวกเขาเข้ามานั่งร่วมโต๊ะกับแขกอื่นขณะที่เพื่อนเจ้าสาวของฉันกำลังร้องเพลงมงคลของกษัตริย์ซาโลมอน เยซูทานอาหารและดื่มเหล้าองุ่นของเรา เขายิ้มแย้มให้ฉันและแขกทุกคน เขาใส่ใจกับเนื้อเพลงทุกท่อนถ้อย ดังที่มีบอกว่าชายหนุ่มกำลังนำคนรักของเขาเข้าไปในกระโจมพัก คนงานในไร่องุ่นผู้หลงรักลูกสาวเจ้าของสวน เขาพาเธอไปพำนักของในเรือนของมารดาตน และยังมีเจ้าชายผู้ผ่านมาพบหญิงขอทาน จึงแบ่ง อาณาจักรและสวมมงกุฎราชินีให้แก่เธอ
ในขณะที่เขากำลังรื่นรมย์กับบทเพลงเหล่านั้น ฉันกลับรู้สึกคล้ายไม่ได้ยินเสียงอันใดเลย
เมื่ออาทิตย์ลาลับ บิดาของเจ้าบ่าวเดินเข้าไปหามารดาของเยซู กระซิบบอกเธอ “เรามีเหล้าองุ่นไม่เพียงพอกับแขกเหรื่อ และงานเลี้ยงยังไม่อาจเลิกราได้”
เยซูได้ยินดังนั้น เขาจึงกล่าว “บอกให้ผู้ที่ถือถ้วยทราบเถิดว่า เหล้าองุ่นยังมีอีกมากนัก”
และมันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ แขกเหรื่อเพิ่งรู้สึกว่า พวกเขาได้ดื่มเหล้าองุ่นชนิดดีมาตลอดงาน
ณ.เวลานั้นเยซูจึงเริ่มเอื้อนเอ่ยวาจากับเรา เขาพูดถึงความมหัศจรรย์ของสวรรค์และแผ่นดิน ดอกไม้แห่งท้องฟ้าจะเบ่งบานในยามที่ค่ำคืนปกคลุมผืนโลก และดอกไม้แห่งแผ่นดินจะเบ่งบานเมื่อกลางวันได้ซุกซ่อนดวงดาวเอาไว้
เขาเล่าเรื่องและนิทานเปรียบเทียบให้เราฟัง น้ำเสียงของเขาสะกดพวกเราเหมือนดังต้องมนตร์ เรามองไปยังเขาราวกับเห็นภาพนิมิต และลืมเลือนถ้วยเหล้าและจานเนื้อของตนเสียสิ้น
ในขณะที่ฟังเขาพูด ฉันรู้สึกราวตกอยู่ในดินแดนห่างไกลที่ไม่รู้จัก
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง แขกคนหนึ่งเข้ามาบอกกับบิดาเจ้าบ่าว “ท่านเก็บเหล้าองุ่นชนิดดีไว้จนบัดนี้หรือ เจ้าภาพอื่น ๆ ไม่เคยทำเช่นนี้เลย”
หลายคนเชื่อว่าเยซูได้ทำอัศจรรย์ ทำให้พวกเขามีเหล้าองุ่นชนิดที่ดีกว่าของตอนเริ่มงานเสียอีก
ฉันคิดว่า เยซูคงเติมเหล้าองุ่นลงไป และฉันไม่ได้ประหลาดใจอันใดนัก โปรดให้เขากล่าวมาเถิด ฉันพร้อมจะรับฟังเรื่องอัศจรรย์จากปากของเขาแล้ว
นับแต่นั้นมา น้ำเสียงของเขาได้วนเวียนรายรอบใจของฉัน แม้เวลาที่ฉันให้กำเนิดลูกชายหัวปี เสียงนั้นก็คงดังอยู่
และจนเดี๋ยวนี้ คนในหมู่บ้านเราและหมู่บ้านข้างเคียงยังจดจำคำพูดของพวกแขกได้ดี
พวกเขากล่าวแก่กัน “พลังของเยซูชาวนาซาเร็ธคือเหล้าองุ่นชนิดที่เก่าที่สุดและดีที่สุด”
บ่อยครั้งที่ฉันสงสัยว่า พระเยซูคือมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อดังเราท่าน หรือเป็นความรู้สึกนึกคิดที่มาเยี่ยมเยือนตัวตนของมนุษย์กันแน่
บ่อยครั้งฉันรู้สึกดังว่า เขาเป็นเพียงความฝันที่ชายหญิงทั้งหลายพร้อมเพรียงกันฝันถึงในคราวหลับสนิทนอน และเช้าวันใหม่ของพวกเขาก็สงบเงียบยิ่งกว่าเช้าไหน ๆ
ฉันรู้สึกว่า ในฝันนั้นเราแต่ละคนต่างเกี่ยวพันต่อกัน เราเริ่มรู้สึกว่า มันคือความจริงที่มาเพื่อลาจาก เราหาตัวตนให้กับความคิดฟุ้งซ่านนี้ หาตัวตนให้กับเสียงแห่งความปรารถนา และกำหนดคุณค่าแก่มันตามที่ใจเรานึก
แต่อันที่จริงแล้ว เขาหาใช่ความฝันไม่ เรารู้จักเขามาสามปี เราเห็นเขาอย่างแจ่มชัดเหมือนอยู่กลางแสงแดดยามเที่ยง
เราสัมผัสมือของเขา และติดตามเขาจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ฟังสิ่งที่เขาสอน และเป็นพยานถึงสิ่งที่เขาทำ แล้วท่านยังคิดว่า เราเพียงแต่ฟุ้งฝันไปครู่หนึ่ง หรือฝันไปเพียงตอนหนึ่งละหรือ?
เหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่คล้ายจะแปลกหน้าต่อชีวิตประจำวันของเรา แต่เนื้อหาของมันก็มาจากรากเดียวกันกับธรรมชาติของเรา แม้มันจะผ่านมาแล้วก็ผ่านไป แต่เรื่องราวของมันจะถูกเล่าทอดสืบสาวกันไปไม่สิ้นสุดเลย
พระเยซูแห่งนาซาเร็ธคือเหตุกาณ์ที่ยิ่งใหญ่ในตัวเองอยู่แล้ว ชายซึ่งพ่อแม่พี่น้องของเขารู้จักมักคุ้นกับเราเป็นอย่างดีคืออัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในยูเดีย ใช่แล้ว แม้เอาอัศจรรย์ที่เขาเคยทำมาวางไว้แทบเท้าของเขา มันก็ไม่ได้สูงเกินกว่าตาตุ่มของเขาเลย
แม่น้ำทุกสายและขวบปีทั้งหลายก็ไม่อาจพรากความทรงจำที่เรามีต่อเขาไปได้
เขาคือภูเขาที่ลุกเพลิงในยามค่ำ แต่ก็เป็นแสงมัวซัวในหมู่เนินเขา เขาคือเมฆครึ้มใหญ่บนท้องฟ้า แต่ก็เป็นหมอกเลือนรางยามกลางวัน
เขาคือกระแสน้ำเชี่ยว ไหลจากที่สูงลงมายังที่ราบ กวาดทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เขาก็มีเสียงหัวร่อดุจเด็ก ๆ ทุก ๆ ปีฉันเฝ้าคอยฤดูใบไม้ผลิ เพื่อจะมาเยือนยังหุบเขาแห่งนี้ ฉันรอคอยวันที่พลับพลึงและแพงพวยจะผุดผาดขึ้น ทุก ๆ ปีวิญญาณของฉันเศร้าซึ้งอยู่ภายใน เพราะแม้ฉันปรารถนาจะชื่นชมกับฤดูใบไม้ผลิ แต่ฉันยังไม่อาจได้สัมผัสมันแม้สักครั้ง
แต่เมื่อพระเยซูก้าวเข้ามาในชีวิตของฉัน เขาก็เป็นฤดูใบไม้ผลิ ในตัวเขามีดอกแพงพวยเบ่งบานอยู่ทั้งปี เขาเติมใจฉันด้วยความชื่นบาน และดอกต้อยติ่งด้อยค่าที่ฉันบรรจงปลูกก็เอียงอายอยู่กลางแสงสว่างของเขา
มาบัดนี้ ฤดูอันแปรปรวนของโลกก็ไม่อาจทำให้เราลบเลือนความสง่างามของเขาไปจากโลกของเราได้
ไม่ใช่ พระเยซูไม่ใช่เพียงภาพฝัน หรือวลีงามในบทกวี เขาเป็นมนุษย์ดังเราท่านนี่แหละ แต่เขาไม่เพียงรู้สัมผัส รู้เห็น หรือได้ยินเท่านั้น เขายังมีบางสิ่งบางอย่างที่มากกว่าพวกเรา
เขาเห็นภาพนิมิตที่เราไม่อาจเห็น ได้ยินเสียงที่เราไม่อาจได้ยิน เขากล่าวราวจะกล่าวกับฝูงชนที่เรามองไม่เห็น และบ่อยครั้ง เขายังกล่าวดังว่าเราคือมนุษย์ที่ยังไม่ได้เกิดมาฉะนั้น
เขารักพวกเราด้วยความรักอันอ่อนหวาน ใจของเขาเป็นดังเครื่องหีบองุ่น ที่ท่านและฉันสามารถเอาถ้วยไปรองรับ และดื่มกินจากที่นั่น
ขณะนั้น มีอยู่ประการหนึ่งที่ฉันไม่เข้าใจในตัวพระเยซู นั่นคือ: เขาชอบพูดคุยกับชาวบ้าน เล่าเรื่องตลก เล่นผวนคำ แล้วหัวเราะเสียยกใหญ่ ทั้งที่สายตาของเขายังครุ่นคิดและน้ำเสียงก็แสนเศร้า แต่ก่อนฉันยังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ฉันเข้าใจดีแล้ว
ฉันคิดอยู่เสมอว่า โลกเรานี้เป็นเหมือนมารดาที่กังวลกับลูกหัวปีของนาง เมื่อพระเยซูถือกำเนิดมา เขาก็เป็นลูกหัวปี และเมื่อเขาตาย เขาก็เป็นคนแรกที่ตาย
ท่านจะไม่รับรู้ได้หรือว่า แผ่นดินยังยืนหยัดอยู่ ณ.วันศุกร์ที่มืดมนนั้น และท้องฟ้ากำลังทำสงครามปั่นปวนต่อกัน?
ท่านจะไม่รู้สึกได้หรือไร เมื่อดวงหน้าของเขาหายไปจากคลองจักษุของเรา ประหนึ่งว่าเรากลายเป็นคนไร้ค่า ที่เหลืออยู่มีเพียงความทรงจำอันเลือนรางเท่านั้น?
เขาคือกวี เขามองแทนตาและฟังแทนหูของเรา คำ กล่าวอันเงียบงำอยู่บนริมฝีปากของเขา นิ้วของเขาสัมผัสกับสิ่งที่เราไม่อาจรู้สึกได้
จากส่วนลึกในใจของเขา มีนกร้องเพลงบินไปทั้งทางเหนือและใต้ ดอกไม้น้อยริมเนินนอนให้เขาเหยียบเดินขึ้นไปยังฟากฟ้า
หลายครามาแล้วที่ข้าเห็นเขาก้มลงแตะที่ใบหญ้า ใจข้าได้ยินเขากล่าว “หญ้าน้อยใบเขียวเอ๋ย เธอจะอยู่พร้อมกับฉันในพระอาณาจักร เหมือนไม้โอ๊กแห่งบีซาน และสนซีดาร์แห่งเลบา-นอน”
เขาหลงรักใคร่ในทุกสิ่ง ไม่ว่าจะแก้มแดงของเด็กน้อย หรือกำยานและมดยอบจากเมืองใต้
เขารักผลทับทิมและถ้วยเหล้าที่คนหยิบยื่นให้ โดยไม่ใส่ใจว่า เป็นของคนแปลกหน้าในโรงเตี๊ยมหรือเจ้าภาพผู้ร่ำรวย
เขาหลงรักพุ่มอามันด์ด้วย ข้าเคยเห็นเขาถือช่ออามันด์ไว้ในมือ บนใบหน้าพราวด้วยกลีบดอกไม้ ดังว่าเขาได้มอบความรักให้กับต้นไม้ทุกต้นในโลกแล้วกระนั้น
เขารู้จักทะเลและท้องฟ้า เขาพูดถึงไข่มุกที่ส่งแสงเป็นประกายพิลาส และดวงดาวพราวฟ้าในค่ำคืนของเรา
เขารู้จักภูเขาพอ ๆ กับที่นกอินทรีรู้จัก และชอบพอกับหุบเขาเท่า ๆ กับที่ธารน้ำชอบพอ มีทะเลทรายอยู่แห่งหนึ่งในความเงียบของเขา และมีสวนดอกไม้อีกแห่งในคำพูดของเขา
ใช่แล้ว เขาคือกวี ผู้มีดวงใจพำนักอยู่ในซุ้มดอกไม้บนเขาสูง เพลงของเขายังร่ำร้องเพื่อประสาทโสตของเราและของทุกคน ร่ำร้องให้แก่ผู้มาจากดินแดนที่ชีวิตคือความหนุ่มแน่น นิรันดร และมีกาลเวลาเป็นยามเช้าอยู่เสมอ
ครั้งหนึ่งข้าเคยสำคัญตนว่าเป็นกวี แต่เมื่อข้ามาพบเขาที่บ้านเบธานี ข้าจึงทราบว่าข้าถือเครื่องสายเพียงชิ้นเดียวต่อหน้าวาทยากรผู้คุมเครื่องดนตรีทั้งวง น้ำเสียงของเขามีเสียงหัวร่อของพายุ มีน้ำตาของสายฝน และต้นไม้กำลังเต้นไหวเบิกบานเมื่อต้องลม
นับแต่นั้น ข้าจึงทราบว่าพิณของข้าขึ้นสายเพียงเส้นเดียว และเสียงของข้าไม่ได้ถักทอความทรงจำของวันวานหรือความหวังของพรุ่งนี้แต่อย่างใดเลย ข้าเพียงนั่งถือพิณ และนิ่งงันอยู่เช่นนั้น จวบจนยามสายัณห์มาเยือน ข้าจึงจะได้ฟังร่ายไพเราะของกวี--ผู้เป็นจ้าวแห่งกวีทั้งหลาย
พระ เยซูรังเกียจและขยะแขยงพวกหน้าซื่อใจคด อารมณ์พลุ่งพล่านของเขาประดังใส่ราวจะโบยตีพวกมัน เสียงของเขาราวพายุซัดเข้าหูพวกมัน เขาขู่พวกมันจนหัวหดกันหมด
แต่ในความกลัวที่มีต่อเขานี้ พวกมันกำลังหาทางฆ่าเขา เหมือนตัวตุ่นขุดดินที่ทำงานอยู่ใต้เท้า แต่เขาก็ไม่เคยตกลงในกับดักของพวกมันสักครั้ง
เขาหัวเราะใส่พวกมัน เพราะเขาทราบดีว่า วิญญาณที่แท้ จะไม่ถูกเยาะเย้ยไยไพ และไม่ตกในกับดัก
เขาถือกระจกไว้ในมือ ในนั้นเขามองเห็นพวกสันหลังยาว คนอ่อนแอ และคนเมา นอนเรี่ยราดอยู่ริมทางขึ้นสู่ยอดเขา
มองแล้วให้เกิดความสงสาร เขาจึงแบกคนพวกนั้นขึ้นบ่า และแบกแอกของพวกเขาไปด้วย ไม่สิ พูดให้ถูกคือ เขาแบกความอ่อนแอของพวกนั้นด้วยกำลังของเขาคนเดียวเท่านั้น
เขาไม่กล่าวโทษคนขี้ฮก หัวขโมย หรือฆาตกร แต่เขากล่าวโทษพวกหน้าซื่อใจคดที่ยังใส่หน้ากากและสวมถุงมือ
บ่อยครั้ง ข้ารู้สึกสงสารพวกคนสิ้นหวังจากแผ่นดินรกร้าง ที่ต้องการเข้าสู่สถานสักการโอ่อ่าน่าเคารพ แต่พวกหน้าซื่อใจคดกลับปกปิดและบิดเบือนมันเสีย
วันหนึ่งเรากำลังพักผ่อนกับเขาอยู่ในสวนทับทิม ข้าบอกกับเขา “อาจารย์ ท่านยกโทษและปลอบโยนคนบาป ผู้อ่อนแอ ผู้ทุพพลภาพ และปล่อยให้พวกหน้าซื่อใจคดต้องอยู่ตามลำพัง”
เขากล่าว “เธอพูดถูก เมื่อฉันเรียกคนบาปที่อ่อนแอและทุพพลภาพ ฉันก็ได้ยกโทษพวกเขาทั้งกายและใจ เพราะสิ่งบกพร่องที่เกิดแก่เขานี้ หาใช่เพราะเขาเลว แต่เพราะปู่ย่าตายายและเพื่อนพี่น้องที่เห็นแก่ตัวของเขาตะหาก
“แต่ฉันจะไม่ทนกับไอ้พวกหน้าซื่อใจคด พวกมันวางแอกบนบ่าของชาวบ้านที่ไม่รู้ประสีประสาให้ทนแบกไป
“คนอ่อนแอ ฉันเรียกคนบาปเช่นนี้ พวกเขาเหมือนนกหนุ่มยังไม่ผลัดขนที่ตกลงจากรวงรัง และไอ้พวกหน้าซื่อใจคดก็เป็นแร้งกาที่คอนตัวบนก้อนหิน คอยแต่จดจ้องมองหาเหยื่อ
“คนอ่อนแอทั้งหลายหลงทางไปในทะเลทราย แต่พวกหน้าซื่อใจคดไม่เคยหลง มันรู้หนทางเป็นอย่างดี และยังยืนหัวเราะอยู่ระหว่างเนินทรายและสายลม
“และเพราะเหตุนี้แหละ ฉันจึงไม่ยอมรับพวกมัน”
ตอนที่อาจารย์กล่าวนั้น ข้ายังไม่เข้าใจ แต่ตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว
อย่างไรก็ดี พวกหน้าซื่อใจคดก็บีบเขาในกำมือ พวกมันตัดสินเขา โดยเห็นพ้องต้องกันว่า เขาสมควรตาย พวกมันอ้างกฎของโมเสสในสภาสงฆ์ พร้อมทั้งสร้างหลักฐานและพยานเท็จมัดตัวเขา
ทั้งที่พวกมันแอบฝ่าฝืนกฎในตอนเช้า และฝ่าฝืนอีกครั้งหลังตะวันตกดิน มันกลับใช้กฎนี้เองทำให้เขาต้องตกตายไป
ศีรษะ ของเขาตั้งตรงดูสง่า เปลวไฟแห่งพระเจ้าลุกโพลงในดวงตาของเขา
บ่อยครั้งเขาดูซึมเศร้า แต่ความเศร้าของเขากลับเป็นความอ่อนหวานที่ปรากฏแก่คนทุกข์ และเป็นน้ำมิตรให้แก่คนเปล่าเปลี่ยว
คราเขายิ้ม รอยยิ้มของเขาเหมือนดังคนโซที่รอคอยต่อหน้าผู้ที่ตนไม่รู้จัก เป็นดังละอองดาวที่ตกลงในเปลือกตาของเด็ก น้อย เป็นคล้ายเศษขนมปังที่ฝืดในลำคอ
เขาเป็นคนเศร้า แต่ความเศร้านั้นแหละที่เผยอแย้มริมฝีปากให้กลายเป็นรอยยิ้มแช่มชื่น
เหมือนดังผ้าม่านสีทองที่กางกั้นในราวป่า เมื่อยามฤดูใบไม้ร่วงคลี่ออกคลุมผืนโลก และบางครั้งมันก็เหมือนเดือนเพ็ญที่ขึ้นทาทาบริมฝั่งทะเลสาบ
เขายิ้มแย้มราวกับว่าริมฝีปากของเขาจะร้องบทเพลงแห่งพิธีวิวาหะ
แต่อย่างไรเขาก็เป็นคนเศร้าคนหนึ่ง ความเศร้านี้เองที่ทำให้เขาไม่อาจโดดเด่นขึ้นเหนือหมู่มิตรทั้งหลายได้
*ในบรรดาสตรีใจศรัทธาที่ติดตามพระเยซูเจ้าเมื่อครั้งที่พระองค์ออกเทศนานั้น มีหลายคนที่ชื่อ มารี อาทิเช่น มารี มักดาเลนา และมารี เคลโอปัส เป็นต้น
เยซู ลูกชายของลูกสาวฉันเกิดที่นาซาเร็ธในเดือนมกราคม คืนที่เยซูเกิดนั้น มีเหล่าบุรุษจากทิศตะวันออกมาเยี่ยมเรา พวกเขาเป็นชาวเปอร์เซียมาจากเอสเดียลอน มาพร้อมกับกองคาราวานของพวกมีเดียนจะเดินทางต่อไปยังอียิปต์ พวกเขาหาห้องว่างไม่ได้เลย จึงมาขออาศัยในบ้านของเรา
ฉันกล่าวต้อนรับ และบอกกับพวกเขา “ลูกสาวฉันเพิ่งให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งเมื่อค่ำนี้ พวกท่านต้องยกโทษให้อิฉันนะคะ หากอิฉันต้อนรับท่านไม่สมฐานะเจ้าบ้านนัก”
พวกเขากล่าวขอบคุณฉันที่เอื้อเฟื้อที่พักหลับนอนและหลังจากที่ทานอาหารกันเรียบร้อย พวกเขาจึงกล่าวกับฉัน
“ให้พวกเราไปดูเด็กหน่อยได้ไหม”
ลูกชายของมารีกำลังน่ารักน่าชัง และมารีก็งามเปล่งปลั่ง
เมื่อชายชาวเปอร์เซียเห็นมารีและลูกชาย พวกเขาก็ควักเอาเหรียญทองเหรียญเงินออกจากกระเป๋า อีกทั้งกำยานและ มดยอบ ออกมาวางไว้แทบเท้าทารก
พลางโค้งกายลง กล่าวอธิษฐานด้วยภาษาแปลก ๆ ที่เราไม่อาจเข้าใจได้
พอฉันพาพวกเขาไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ พวกเขาก็เดินตามมาด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย คล้ายหวาดกลัวต่อบางสิ่งบางอย่างที่ได้เห็น
เมื่อรุ่งเช้ามาถึง พวกเขาจึงกล่าวอำลา เพื่อมุ่งหน้าไปยังอียิปต์
และนี่คือสิ่งที่พวกเขาบอกกับฉัน:
“เด็กนี้อายุเพียงหนึ่งวัน แต่เรามองเห็นแสงของพระเจ้าของเราในดวงตาของเขา มีรอยยิ้มของพระเจ้าของเรา ประทับที่ริมฝีปากของเขา
“เราขอให้แม่นางดูแลเขาให้ดี เพราะเขาจะดูแลปกป้องครอบครัวของแม่นางทั้งหมด”
กล่าวจบ พวกเขาจึงขึ้นอูฐไป และพวกเราไม่เห็นเขาอีกเลย
เวลานั้นดูเหมือนมารีไม่ได้ชื่นชมยินดีในลูกชายคนนี้เท่าใดนัก หากมีแต่ความประหลาดใจและสงสัย
เธอมองดูที่ทารก และหันออกไปที่หน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดังว่าเธอกำลังเห็นภาพนิมิตที่เบื้องบนนั้น
มีหุบเหวกั้นกลางระหว่างใจของมารีและของฉัน
เด็กน้อยเติบโตขึ้นทั้งกายและใจ เขาแตกต่างไปจากเด็กอื่น ๆ เขาชอบอยู่ตามลำพัง ท่าทางหัวดื้อ และฉันไม่มีอำนาจใดเหนือตัวเขาเลย
แต่เขาก็เป็นที่รักของทุกคนในนาซาเร็ธ ในใจลึก ๆ ฉันทราบดีว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
หลายครั้งที่เขานำอาหารของเราไปปันแก่คนเดินทางผ่านมา เขาเอาเนื้อหวานที่ฉันให้เขา ไปให้แก่เพื่อน ๆ กิน ก่อนที่เขาจะรับรู้รสของมันด้วยลิ้นของตัวเองด้วยซ้ำ
เขาชอบปืนต้นไม้ในสวนของฉัน เพื่อเก็บผลไม้ ทั้งที่ไม่เคยลิ้มรสของมัน
เขาชอบวิ่งแข่งกับเพื่อน ๆ แต่เพราะเขาฝีเท้าจัด เขาจึงแกล้งทำเป็นเชื่องช้าให้คนอื่นเข้าเส้นชัยไปก่อนตน
และบางครั้งเมื่อฉันพาเขาไปที่เตียง เขาจะกล่าวแก่ฉัน “บอกแม่และคนอื่น ๆ ด้วยนะครับว่า แม้กายของผมจะหลับ แต่ใจของผมจะอยู่กับพวกเขาจนกระทั่งใจของเขามาสู่ยามเช้าของผมนั่นเลยทีเดียว”
มีคำพูดแปลก ๆ มากมายที่เขาเคยกล่าวออกมาตอนเป็นเด็ก แต่ฉันก็แก่เกินกว่าจะจดจำมันได้
ตอนนี้มีคนบอกฉันว่า ฉันไม่อาจจะพบเขาได้อีกแล้ว แต่ฉันจะไปเชื่อได้อย่างไรกัน?
ฉันยังคงได้ยินเสียงหัวเราะของเขา เสียงฝีเท้าของเขาวิ่งวนอยู่รอบบ้าน และเมื่อฉันจูบที่แก้มของลูกสาว กลิ่นหอมหวลของเขาก็กลับมาสู่ใจฉัน คล้ายดังว่าร่างของเขายังซุนซุกอยู่ในอ้อมกอดของฉันเสมอ
แต่มันไม่น่าแปลกละหรือ ที่ลูกสาวของฉันไม่พูดถึงลูกชายของเธอให้ฉันฟังเลย?
บางทีมันเหมือนกับว่า ความปรารถนาของฉันที่มีต่อเขาอาจจะมากกว่าของมารีด้วยซ้ำไป เธอยังคงยืนหยัดแน่นิ่งดังรูปปั้นสัมฤทธิ์ ในขณะที่ใจของฉันหลอมละลายและไหลไปกับกระแสธารเสียแล้ว
บางที เธออาจรู้ในสิ่งที่ฉันไม่รู้ แต่เธอก็ควรจะบอกฉันรู้ด้วยมิใช่หรือ
มันแปลกหน้าอยู่ท่ามกลางพวกเรา และชีวิตของมันก็ซ่อนพรางอยู่หลังม่านหม่น
มันไม่ดำเนินในวิถีแห่งพระเจ้า หากมีแต่ทำเสื่อมทรามและเสื่อมเสีย
ตอนเป็นเด็ก มันดื้อด้าน มันปัดนมหวานแบบบ้านนอกของพวกเราทิ้ง
วัยหนุ่มของมันมอดไหม้เหมือนฟางแห้งที่ลุกโพลงในตอนดึก
พอมันใหญ่มันโตแล้ว มันก็หันมาสู้พวกเรา
มีอยู่หลายคนกำเนิดมากลางกระแสน้ำมิตรระหว่างเพื่อนมนุษย์ เกิดมากลางกระแสปั่นป่วน และในความปั่นป่วนนั้นเอง มันก็มีชีวิตอยู่ได้แค่วันหนึ่งแล้วตกตายไปตลอดกาล
เอ็งจำไม่ได้หรือ ไอ้เด็กอวดดีนี่แหละที่ริอ่านมาขึ้นเสียงกับพระผู้ใหญ่ และหัวเราะเยาะบรรดาศักดิ์ของพระท่าน?
จำตอนมันเป็นเด็กประหลาด นั่งขลุกอยู่กับเครื่องมือช่างได้ไหม? มันไม่ยอมมาเล่นกับลูกสาวลูกชายของเราในวันพระ แต่กลับเดินไปคนเดียว
มันไม่เคยกลับมาเอ่ยอวยพรคนเฒ่าคนแก่ที่เคยให้พร มัน แต่ช่างเถอะ ตอนนี้มันเป็นใหญ่เหนือพวกเราแล้วนี่
ครั้งหนึ่งข้าเคยพบมันในทุ่งนา เลยกล่าวอวยพรมัน มันเพียงยิ้มรับเท่านั้น ในรอยยิ้มของมัน ข้าเหลือบเห็นแววยโสหมิ่นแคลน
อีกครั้งหนึ่ง ลูกสาวข้าไปเก็บองุ่นกับเพื่อน ๆ ในไร่ นางพูดกับมัน มันกลับไม่ตอบนาง
แต่หันไปพูดกับทุกคนที่มาร่วมเก็บองุ่นด้วยกัน มันทำยังกับว่า ลูกสาวข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นอย่างงั้นแหละ
เวลามันทิ้งผู้ติดตามไปขลุกอยู่กับคนจรจัด ดูมันไร้ค่า เป็นแค่คนพูดพล่ามเท่านั้นเอง เสียงของมันราวกรงเล็บจะขยุ้มเนื้อเถือหนังของเรา เสียงของมันยังโหยหวนในสำนึกของพวกเราเสมอมา
มันพล่ามแต่เรื่องความชั่วของเรา ของพ่อเรา ของปู่เรา ลิ้นของมันแทงทะลุใส่เราราวธนูพิษ
มันนั่นแหละ เยซู
ถ้ามันเป็นลูกข้าล่ะก็ ข้าจะขายมันให้ทหารโรมที่อารเบีย จะขอให้หัวหน้ากองจัดมันไว้ที่ทัพหน้า พลธนูฝ่ายตรงข้ามจะได้เล็งใส่มัน และข้าจะได้เป็นอิสระจากความโอหังของมันเสียที
แต่ว่าข้าไม่มีลูกชายเลย บางทีอาจเป็นการดีแล้วที่ข้าไม่มีลูกชาย เพราะถ้าลูกชายข้ากลับมาเป็นศัตรูกับญาติ ๆ อย่างนี้ ข้าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนกัน?