Skip to main content

เยซู ลูกชายของลูกสาวฉันเกิดที่นาซาเร็ธในเดือนมกราคม คืนที่เยซูเกิดนั้น มีเหล่าบุรุษจากทิศตะวันออกมาเยี่ยมเรา  พวกเขาเป็นชาวเปอร์เซียมาจากเอสเดียลอน มาพร้อมกับกองคาราวานของพวกมีเดียนจะเดินทางต่อไปยังอียิปต์  พวกเขาหาห้องว่างไม่ได้เลย จึงมาขออาศัยในบ้านของเรา

          ฉันกล่าวต้อนรับ และบอกกับพวกเขา “ลูกสาวฉันเพิ่งให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่งเมื่อค่ำนี้  พวกท่านต้องยกโทษให้อิฉันนะคะ หากอิฉันต้อนรับท่านไม่สมฐานะเจ้าบ้านนัก”

          พวกเขากล่าวขอบคุณฉันที่เอื้อเฟื้อที่พักหลับนอนและหลังจากที่ทานอาหารกันเรียบร้อย  พวกเขาจึงกล่าวกับฉัน

          “ให้พวกเราไปดูเด็กหน่อยได้ไหม”

          ลูกชายของมารีกำลังน่ารักน่าชัง    และมารีก็งามเปล่งปลั่ง

          เมื่อชายชาวเปอร์เซียเห็นมารีและลูกชาย พวกเขาก็ควักเอาเหรียญทองเหรียญเงินออกจากกระเป๋า อีกทั้งกำยานและ มดยอบ ออกมาวางไว้แทบเท้าทารก

          พลางโค้งกายลง กล่าวอธิษฐานด้วยภาษาแปลก ๆ ที่เราไม่อาจเข้าใจได้

          พอฉันพาพวกเขาไปยังห้องพักที่จัดเตรียมไว้ พวกเขาก็เดินตามมาด้วยอาการประหม่าเล็กน้อย คล้ายหวาดกลัวต่อบางสิ่งบางอย่างที่ได้เห็น 

          เมื่อรุ่งเช้ามาถึง พวกเขาจึงกล่าวอำลา เพื่อมุ่งหน้าไปยังอียิปต์

          และนี่คือสิ่งที่พวกเขาบอกกับฉัน:

          “เด็กนี้อายุเพียงหนึ่งวัน แต่เรามองเห็นแสงของพระเจ้าของเราในดวงตาของเขา มีรอยยิ้มของพระเจ้าของเรา ประทับที่ริมฝีปากของเขา

          “เราขอให้แม่นางดูแลเขาให้ดี เพราะเขาจะดูแลปกป้องครอบครัวของแม่นางทั้งหมด”

          กล่าวจบ พวกเขาจึงขึ้นอูฐไป  และพวกเราไม่เห็นเขาอีกเลย

          เวลานั้นดูเหมือนมารีไม่ได้ชื่นชมยินดีในลูกชายคนนี้เท่าใดนัก หากมีแต่ความประหลาดใจและสงสัย

          เธอมองดูที่ทารก และหันออกไปที่หน้าต่าง มองขึ้นไปบนท้องฟ้า ดังว่าเธอกำลังเห็นภาพนิมิตที่เบื้องบนนั้น

          มีหุบเหวกั้นกลางระหว่างใจของมารีและของฉัน

          เด็กน้อยเติบโตขึ้นทั้งกายและใจ เขาแตกต่างไปจากเด็กอื่น ๆ เขาชอบอยู่ตามลำพัง ท่าทางหัวดื้อ และฉันไม่มีอำนาจใดเหนือตัวเขาเลย

          แต่เขาก็เป็นที่รักของทุกคนในนาซาเร็ธ ในใจลึก ๆ ฉันทราบดีว่า ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

          หลายครั้งที่เขานำอาหารของเราไปปันแก่คนเดินทางผ่านมา เขาเอาเนื้อหวานที่ฉันให้เขา ไปให้แก่เพื่อน ๆ กิน ก่อนที่เขาจะรับรู้รสของมันด้วยลิ้นของตัวเองด้วยซ้ำ

          เขาชอบปืนต้นไม้ในสวนของฉัน เพื่อเก็บผลไม้ ทั้งที่ไม่เคยลิ้มรสของมัน

          เขาชอบวิ่งแข่งกับเพื่อน ๆ  แต่เพราะเขาฝีเท้าจัด เขาจึงแกล้งทำเป็นเชื่องช้าให้คนอื่นเข้าเส้นชัยไปก่อนตน

          และบางครั้งเมื่อฉันพาเขาไปที่เตียง เขาจะกล่าวแก่ฉัน “บอกแม่และคนอื่น ๆ ด้วยนะครับว่า แม้กายของผมจะหลับ แต่ใจของผมจะอยู่กับพวกเขาจนกระทั่งใจของเขามาสู่ยามเช้าของผมนั่นเลยทีเดียว”

          มีคำพูดแปลก ๆ มากมายที่เขาเคยกล่าวออกมาตอนเป็นเด็ก แต่ฉันก็แก่เกินกว่าจะจดจำมันได้ 

          ตอนนี้มีคนบอกฉันว่า ฉันไม่อาจจะพบเขาได้อีกแล้ว แต่ฉันจะไปเชื่อได้อย่างไรกัน?

          ฉันยังคงได้ยินเสียงหัวเราะของเขา เสียงฝีเท้าของเขาวิ่งวนอยู่รอบบ้าน และเมื่อฉันจูบที่แก้มของลูกสาว กลิ่นหอมหวลของเขาก็กลับมาสู่ใจฉัน คล้ายดังว่าร่างของเขายังซุนซุกอยู่ในอ้อมกอดของฉันเสมอ

          แต่มันไม่น่าแปลกละหรือ ที่ลูกสาวของฉันไม่พูดถึงลูกชายของเธอให้ฉันฟังเลย?

          บางทีมันเหมือนกับว่า ความปรารถนาของฉันที่มีต่อเขาอาจจะมากกว่าของมารีด้วยซ้ำไป เธอยังคงยืนหยัดแน่นิ่งดังรูปปั้นสัมฤทธิ์   ในขณะที่ใจของฉันหลอมละลายและไหลไปกับกระแสธารเสียแล้ว

          บางที เธออาจรู้ในสิ่งที่ฉันไม่รู้ แต่เธอก็ควรจะบอกฉันรู้ด้วยมิใช่หรือ

มันแปลกหน้าอยู่ท่ามกลางพวกเรา และชีวิตของมันก็ซ่อนพรางอยู่หลังม่านหม่น

          มันไม่ดำเนินในวิถีแห่งพระเจ้า หากมีแต่ทำเสื่อมทรามและเสื่อมเสีย

          ตอนเป็นเด็ก มันดื้อด้าน มันปัดนมหวานแบบบ้านนอกของพวกเราทิ้ง

     วัยหนุ่มของมันมอดไหม้เหมือนฟางแห้งที่ลุกโพลงในตอนดึก

          พอมันใหญ่มันโตแล้ว มันก็หันมาสู้พวกเรา

          มีอยู่หลายคนกำเนิดมากลางกระแสน้ำมิตรระหว่างเพื่อนมนุษย์ เกิดมากลางกระแสปั่นป่วน และในความปั่นป่วนนั้นเอง มันก็มีชีวิตอยู่ได้แค่วันหนึ่งแล้วตกตายไปตลอดกาล

          เอ็งจำไม่ได้หรือ ไอ้เด็กอวดดีนี่แหละที่ริอ่านมาขึ้นเสียงกับพระผู้ใหญ่ และหัวเราะเยาะบรรดาศักดิ์ของพระท่าน?

          จำตอนมันเป็นเด็กประหลาด นั่งขลุกอยู่กับเครื่องมือช่างได้ไหม? มันไม่ยอมมาเล่นกับลูกสาวลูกชายของเราในวันพระ แต่กลับเดินไปคนเดียว

          มันไม่เคยกลับมาเอ่ยอวยพรคนเฒ่าคนแก่ที่เคยให้พร มัน แต่ช่างเถอะ ตอนนี้มันเป็นใหญ่เหนือพวกเราแล้วนี่

          ครั้งหนึ่งข้าเคยพบมันในทุ่งนา เลยกล่าวอวยพรมัน มันเพียงยิ้มรับเท่านั้น ในรอยยิ้มของมัน ข้าเหลือบเห็นแววยโสหมิ่นแคลน

          อีกครั้งหนึ่ง ลูกสาวข้าไปเก็บองุ่นกับเพื่อน ๆ ในไร่ นางพูดกับมัน มันกลับไม่ตอบนาง

          แต่หันไปพูดกับทุกคนที่มาร่วมเก็บองุ่นด้วยกัน มันทำยังกับว่า ลูกสาวข้าไม่ได้อยู่ตรงนั้นอย่างงั้นแหละ

          เวลามันทิ้งผู้ติดตามไปขลุกอยู่กับคนจรจัด ดูมันไร้ค่า เป็นแค่คนพูดพล่ามเท่านั้นเอง  เสียงของมันราวกรงเล็บจะขยุ้มเนื้อเถือหนังของเรา  เสียงของมันยังโหยหวนในสำนึกของพวกเราเสมอมา

          มันพล่ามแต่เรื่องความชั่วของเรา ของพ่อเรา ของปู่เรา ลิ้นของมันแทงทะลุใส่เราราวธนูพิษ

          มันนั่นแหละ เยซู

          ถ้ามันเป็นลูกข้าล่ะก็  ข้าจะขายมันให้ทหารโรมที่อารเบีย จะขอให้หัวหน้ากองจัดมันไว้ที่ทัพหน้า พลธนูฝ่ายตรงข้ามจะได้เล็งใส่มัน และข้าจะได้เป็นอิสระจากความโอหังของมันเสียที

          แต่ว่าข้าไม่มีลูกชายเลย บางทีอาจเป็นการดีแล้วที่ข้าไม่มีลูกชาย เพราะถ้าลูกชายข้ากลับมาเป็นศัตรูกับญาติ ๆ อย่างนี้ ข้าจะเอาหน้าไปซุกไว้ที่ไหนกัน?

เมื่อเยซูจะพูด โลกทั้งโลกก็หยุดฟัง คำพูดของเขาไม่ใช่สำหรับหูของเรา แต่เป็นของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้กอปรขึ้นมาเป็นโลกนี้

    เขากล่าวกับทะเล—มารดายิ่งใหญ่ผู้ให้กำเนิดเรา เขากล่าวแก่ภูเขา—พี่ชายคนโต ผู้มียอดสูงเป็นความใฝ่ฝันของเรา

     เขากล่าวกับเหล่าเทวดาแห่งท้องทะเลและภูเขา ผู้ทำให้เราเชื่อในความฝันที่ว่า แต่ก่อนเกิด กายเราคือดินเหนียว และมันแห้งแข็งด้วยแสงจากดวงอาทิตย์

          คำกล่าวของเขาแว่วหวานอยู่ในอกเรา เหมือนเพลงรักที่ลืมเลือนไปแล้วครึ่งท่อน และบางครั้งมันได้เผาผลาญตัวเองอยู่ในความทรงจำของเรา

          คำพูดของเขาง่ายดายและเบิกบาน นิ้วเรียวของเขาคล้ายน้ำเย็นในดินแดนร้อนผาก

          ครั้งหนึ่ง เขาเหยียดมือขึ้นบนฟ้า นิ้วเรียวราวพุ่มใบมะเดื่อ เขากล่าวด้วยเสียงอันดัง:

          “สิ่งที่ประกาศกแห่งโบราณกาลเคยพูดกับเธอจะทำให้ หูของเธอตันตื้นไป แต่ที่ฉันพูดกับเธอจะทำให้หูของเธอว่างเปล่าจากทุกสิ่งที่เคยได้ยินมา”

          ที่เขากล่าว “แต่ที่ฉันพูดกับเธอ” ยังไม่เคยมีใครในโลกของเราเคยกล่าวเช่นนี้เลย มันน่าจะเป็นคำกล่าวของเจ้าแห่ง เซราฟิม ผู้ดำเนินมาเหนือฟากฟ้าแห่งยูเดียตะหาก

          หลายต่อหลายครั้งเมื่อเขาอ้างถึงกฎและประกาศก เขาจะกล่าว “แต่ที่ฉันพูดกับเธอ”

          อา เป็นคำกล่าวที่เร่าร้อนอะไรเช่นนั้น คลื่นลมจากทะเลใดกันที่คะครืนเข้ากระทบฝั่งความคิดของเรา “แต่ที่ฉันพูดกับเธอ”

          ดาดาวดวงใดที่ค้นหาความมืดแห่งวิญญาณ และ วิญญาณหลับไหลดวงไหนที่รอคอยยามอรุณ

          ถ้าจะให้พูดอย่างที่พระเยซูพูด คงต้องมีทั้งเสียงแท้และเสียงสะท้อนก้องไปทั่ว

          แต่ข้าไม่ต้องการทั้งเสียงแท้และเสียงสะท้อน

     ข้าขอโทษท่านที่ได้เริ่มเรื่องซึ่งไม่อาจจบลงได้ ตอนจบไม่ได้อยู่ที่ริมฝีปากของข้าแล้ว มันกลายเป็นเพลงรักที่ล่องลอยไปตามสายลม

ชายผู้ทำให้กลางวันของท่านให้หนักหน่วง และตามหลอกหลอนท่านในยามราตรีนั้น เป็นที่น่ารังเกียจสำหรับข้า และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะยังให้ข้าฟังคำเขา และครุ่นคิดถึงความต้องการของเขาอีกหรือ

          ข้าเหนื่อยหน่ายกับสิ่งที่เขาพูด ข้าเอียนกับสิ่งที่เขาทำ  ข้าชังสมญานามทั้งหลายแหล่ของเขา ชังชื่อบ้านนามเมืองของเขา สรุปแล้ว ข้าไม่คิดรักใคร่สักสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเขาเลย

          ทำไมท่านไปเรียกเขาว่าประกาศกแห่งมนุษย์ ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นเหมือนเงาแค่วูบหนึ่ง? หอคอยจะไปมองเนินทรายทำไม? หรือจะอุปมาเอาหยาดฝนที่หยัดหยดลงมารวมกันในรอยตีนม้าว่าเป็นทะเลสาบ?

    ข้าไม่เคยจงเกลียดจงชังเสียงสะท้อนจากหุบผาหรือเงาทอดยาวยามอาทิตย์อัสดง แต่ข้าจะไม่ฟังสิ่งโป้ปดที่พร่ำบ่นอยู่ในหัวของท่าน และจะไม่มองเงาสะท้อนจากดวงตาของท่าน

          สิ่งที่เยซูพูด เฮลลิเอลก็พูดได้มิใช่หรือ? ภูมิปัญญาที่เขาแสดงออกมา มีหรือที่กามาลิเอลจะทำไม่ได้? น้ำเสียงเงอะงะของเขาจะเปรียบอะไรกับเสียงของฟิโล? ฉาบฉิ่งที่เขาตี ไม่ได้ผิดแผกจากที่คนรุ่นก่อนเคยตีมาแล้วเลยใช่ไหม?

          ข้าจะสดับเสียงสะท้านก้องจากหุบเหวที่เงียบกริบ  ข้าจะเพ่งตามองเงาทอดยาวยามอาทิตย์อัสดง แต่ข้าจะไม่ฟังเสียงจากใจเขาที่กังวานก้องไปยังใจดวงอื่น และข้าจะไม่แลรูปเงาพ่อมดของเขาที่คนทึกทักเอาว่า ประกาศก ด้วย

          ชายคนนี้กล่าวอะไรใหม่ ในเมื่ออิสยาห์เคยกล่าวมาหมดแล้ว?  ใครกันที่กล้าร้องเพลงเมื่อนมนานมาแล้ว ไม่ใช่ดาวิดหรือ? แล้วพุทธิปัญญาเพิ่งเกิดหรือไร ในเมื่อซาโลมอนก็รับสิ่งเหล่านี้มาจากปู่ จากพ่อของเขาทั้งหมด?

          ไหนประกาศกของเรา ไหนลิ้นที่เชือดเฉือนเหมือนคมดาบ ไหนริมฝีปากที่ร้อนรุ่มดังไฟ?

          คนรุ่นก่อนทิ้งสิ่งใดให้เศษฟางแห่งกาลิลีนั่นสักน้อยหนึ่งไหม? หรือมีลูกไม้เน่าเหลือให้ขอทานจากภาคเหนือกัน? มันจะมีค่าอันใดในเมื่อเขาได้หักปังที่คนเก่าคนแก่ของเรายัดใส่เตา และเทเหล้าองุ่นที่เอามาจากบ่อย่ำของผู้เฒ่าผู้แก่ รดเท้าของพวกท่านเหล่านั้นเอง        

          มือของช่างปั้นตะหากล่ะ ที่ข้านับถือเชิดชู ไม่ใช่มือของคนซื้อหม้อ

          เยซูชาวนาซาเร็ธเป็นใคร และเขาจะเป็นอะไรกันแน่? ชายคนนี้ไม่กล้าพอจะมีชีวิตอย่างที่ตัวเองเป็นหรอก ไม่มีใครใส่ใจกับเขา เขาจะถูกลืม และเรื่องราวของเขาจะจบลง

          ข้าขอร้องท่าน เลิกเล่าเรื่องของเขาให้ข้าฟังเสียทีเถิด ใจข้าเต็มตื้นไปด้วยเรื่องราวของประกาศกยุคเก่าก่อน และเท่านั้นมันก็เพียงพอแล้ว

วันหนึ่งในฤดูใบไม้ผลิ พระเยซูเข้าไปที่ตลาดกลางกรุงเยรูซาเลม กล่าวประกาศถึงเรื่องอาณาจักรสวรรค์

          เขาด่าพวกธรรมาจารย์และฟาริสีว่า คอยแต่วางข่ายและขุดหลุมดักตามทางของผู้ที่จะเดินไปสู่อาณาจักรสวรรค์ เขาประ-ณามพวกนั้นอย่างรุนแรง

          ในกลุ่มคน มีอยู่พวกหนึ่งที่เข้าข้างฟาริสีและธรรมาจารย์ พยายามไล่ยื้อยุดชุดกระชากเขาและพวกเรา

          แต่เขาก็หลบหลีกออกมาได้ และเดินตรงไปยังประตูเมืองทางทิศเหนือ

          เขาหันมากล่าวกับพวกเรา “เวลาของฉันยังมาไม่ถึง ยังมีอีกหลายสิ่งที่ฉันต้องบอกพวกเธอ ยังมีอีกหลายอย่างที่ฉันต้องทำ และหลังจากนั้นฉันจึงจะจากโลกนี้ไป”

          เขาพูดด้วยน้ำเสียงร่าเริง สนุกสนาน “ให้พวกเราขึ้นไปทางเหนือเถิด เราจะไปพบกับฤดูใบไม้ผลิ ตามฉันไปที่เนินเขา เพราะฤดูหนาวได้ผ่านไปแล้ว และหิมะแห่งเลบานอนก็ตกลงมาในหมู่บ้าน เพื่อร่วมร้องเพลงกับลำธาร

    “ทุ่งหญ้าและเถาองุ่นที่ถูกบังคับให้หลับนอน จะตื่นขึ้นร้องรับดวงอาทิตย์ด้วยใบมะเดื่อเขียวกับผลองุ่นรสนุ่ม”

ว่าแล้วเขาก็ออกเดินนำหน้า พวกเราจึงติดตามเขาไปนับแต่วันนั้นเป็นต้นมา

          บ่ายของวันที่สามเรามาถึงยอดเขาเฮอร์โมน ที่นั่นเขาหยุดยืนกวาดตามองลงไปยังบ้านเมืองแห่งพื้นราบ

          ใบหน้าของเขาสุกใสคล้ายเนื้อทอง เขากางแขนออกแล้วกล่าวกับพวกเรา “จงมองดูแผ่นดินในอาภรณ์สีเขียวของนางเถิด  จงมองดูว่าธารน้ำขลิบริมผ้าของนางด้วยด้ายสีเงินได้อย่างไร”

          “เป็นความจริงที่ว่า แผ่นดินนี้ยุติธรรม และทุกสิ่งที่ประกอบกันเป็นนางก็ยุติธรรม

          “แต่มีอีกอาณาจักรหนึ่งซึ่งโพ้นไกลจากแผ่นดินที่เธอเห็นนี้ ที่นั่นฉันได้ปกครองอยู่ ถ้าเธอเลือกและปรารถนาอย่างจริงใจแล้ว พวกเธอจะไปและร่วมปกครองอาณาจักรนั้นพร้อมกับฉัน

          “ใบหน้าของฉันและของพวกเธอจะไม่สวมหน้ากาก  มือของเราจะไม่กำดาบหรือคทา ผู้ที่เราปกครองจะรักเราด้วยสันติ และไม่หวาดกลัวพวกเรา”

          พระเยซูกล่าวเช่นนั้น ทำให้นัยน์ตาของข้ามืดบอดต่ออาณาจักรทั้งหลายในโลก ต่อบรรดาเมือง ต่อกำแพงและหอคอย จิตใจของข้าติดตามอาจารย์ไปสู่อาณาจักรของเขา

          มีอยู่ตอนหนึ่ง ยูดาส อิสคาริโอทเดินนำหน้าไป เขาออกคู่เคียงข้างพระเยซู และกล่าวขึ้น  “ดูเถอะครับ อาณาจักรของโลกนั้นกว้างใหญ่ ดูเถอะครับ หมู่เมืองของดาวิดและซาโลมอนที่จะต่อกรกับพวกโรม ถ้าอาจารย์ขึ้นเป็นกษัตริย์ของชาวยิว พวกเราจะอยู่ยืนข้างอาจารย์ คอยถือดาบเพื่อปกป้องคุ้มกัน พวกเราจะชนะพวกต่างชาติ”

          พระเยซูได้ยินดังนั้นจึงหันไปที่ยูดาส ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ขึ้งโกรธ  แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงน่ากลัวราวแสงแลบในท้องฟ้า  “ถอยออกไป ไอ้ซาตาน ความคิดของเจ้าดังว่า ให้ฉันเดินทางรอนแรมนับปี เพื่อมาปกครองพวกมดปลวกสักวันหนึ่งหรือ?

          “บัลลังค์ของฉันคือบัลลังค์ที่เจ้ามองไม่เห็น ผู้ที่มีปีกบินไปรอบโลก และพบรังหลบภัย เขาจะละทิ้งและหลงลืมมันได้หรือ? 

          “คนเป็นจะได้รับการสรรเสริญเยินยอในขณะที่แต่งกายด้วยตราสังได้หรือ?

          “อาณาจักรของฉันไม่ใช่ของโลกนี้  และบัลลังค์ของฉันก็ไม่ได้สร้างบนกบาลปู่ย่าตาทวดของพวกเจ้า

          “ถ้าเจ้าต้องการสิ่งอื่นใดที่ดีกว่าอาณาจักรแห่งวิญญาณ ก็จงปล่อยฉันไว้ที่นี่ แล้วเดินไปสู่ถ้ำแห่งความตายเถิด ที่นั่นราชาแห่งอดีตกาลกำลังครองบัลลังค์ในหลุมศพของพวกเขา และยอมรับคำสรรเสริญเยินยอบนกองกระดูกปู่ย่าตาทวดของพวกเจ้า

          “เจ้าหลอกลวงฉันให้สวมมงกุฎของอาจม  หน้าผากของฉันจะได้ประดับด้วยดาวลูกไก่ หรือด้วยกอหนามของเจ้ากันแน่?

          “สิ่งนี้ไม่ใช่ความใฝ่ฝันของชนชาติที่ถูกลืม ฉันจะไม่ทนแบกดวงอาทิตย์ของเจ้าไว้บนบ่าของฉัน และไม่ยอมให้ดวงจันทร์ของเจ้าฉายเงาของฉันทาบทึบทางของเจ้า

    “สิ่งนี้ไม่ใช่ความปรารถนาของแม่ที่เปลื้องผ้าอ้อมปล่อยฉันมา แล้วลี้จากไป

          “สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องโศกเศร้าสำหรับพวกเจ้า ฉันจะไม่อยู่ที่นี่เพื่อร่ำไห้

          “เจ้าเป็นใคร เจ้าเป็นอะไรกันแน่ ยูดาส อิสคาริโอท? ทำไมต้องล่อลวงฉันด้วย?

      “เจ้าชั่งฉันบนตาชั่งของเจ้า ตั้งฉันเป็นผู้นำกองทัพผี ให้ชักม้าที่ไม่มีตัวตนเข้าต่อกรกับศัตรูที่รายล้อมใจที่ขึ้งเคียดของเจ้า และเดินทัพไปสู่ความหวาดกลัวของเจ้าเองละหรือ?

          “มีหนอนเน่ามากมายชอนไชที่เท้าของฉัน แต่ฉันไม่ถือสากับมัน ฉันเอือมกับเรื่องล้อเล่น เอือมกับการสงสารไอ้พวกสันหลังยาวที่ว่าฉันเป็นไอ้ขี้ขลาด เพียงเพราะฉันไม่ยอมย่างกรายไปใกล้กำแพงและเชิงเทินปราการของมัน”

          “มันเป็นเรื่องน่าสังเวช ซึ่งฉันต้องการให้มันจบลง แต่ถ้าฉันก้าวเข้าไปสู่โลกใหญ่โตที่คนใหญ่โตอาศัยอยู่นั้น ฉันจะเป็นอย่างไร?

      “พระสงฆ์องค์เจ้าและเจ้านายของพวกเจ้าเรียกร้องเลือดของฉัน พวกเขาอยากให้สมใจก่อนที่ฉันจะมาที่นี่ด้วยซ้ำ ฉันจะไม่เปลี่ยนแปลงกฏบัญญัติ และจะไม่ปกครองพวกหน้าโง่ด้วย

          “ให้พวกหน้าโง่บังเกิดพวกหน้าโง่ด้วยกัน จนมันเบื่อหน่ายกับลูกหลานของมันเถิด

          “ให้คนตาบอดจูงคนตาบอดไปสู่หลุมพราง

          “ให้คนตายฝังตนตาย จนกระทั่งพื้นดินต้องสำรากผลพวงที่ขมขื่นของมัน

          “อาณาจักรของฉันไม่ได้เป็นของโลกนี้ อาณาจักรของฉันคือที่ที่สองหรือสามคนในพวกเธอสัมพันธ์กันด้วยความรัก ในชีวิตที่อบอวลไปด้วยความรักอันสวยงาม ในน้ำใจดี และในความทรงจำที่มีต่อฉัน”  

          จากนั้น เขาหันไปทางยูดาส กล่าวขึ้น     “กลับไปเถิด ไอ้หนุ่ม อาณาจักรของเจ้าไม่ได้อยู่ในอาณาจักรของฉัน”

       ขณะนั้นตะวันกำลังชิงพลบ เขาหันมาหาพวกเรา เอ่ย ขึ้น                       “ให้เราลงจากที่นี่เถิด ค่ำคืนปกคลุมแล้ว ให้เราเดินในแสงสว่าง ในขณะที่แสงสว่างยังเป็นของเรา”

          เขาเดินนำลงจากภูเขา พวกเราตามเขาไป ยูดาสเดินตามมาห่าง ๆ 

          เมื่อเรามาถึงที่ราบ ก็เป็นเวลาค่ำพอดี

          โทมัส บุตรไดโอเฟเนสกล่าวกับเขา “อาจารย์ ขณะนี้ก็มืดแล้ว เรามองไม่เห็นทางเลย ถ้าเป็นความปรารถนาของท่าน ขอนำเราไปสู่แสงสว่างในหมู่บ้านข้างหน้า เพื่อเราจะได้หุงหาอาหารและจัดที่พัก”

          พระเยซูกล่าวกับโทมัส “ฉันนำพวกเธอขึ้นไปบนที่สูงเวลาพวกเธอหิว และฉันนำพวกเธอลงมาในที่ราบพร้อมด้วยความหิวโหยที่สาหัสกว่า แต่ฉันไม่อาจอยู่กับพวกเธอได้ในค่ำคืนนี้ ฉันจะออกไปอยู่ตามลำพัง”

          ซีมอน เปโตรก้าวออกมาและกล่าวขึ้น “อาจารย์ อย่าทิ้งพวกเราให้เดินตามลำพังในความมืดเลย โปรดให้เราไปกับท่านตามทางนี้เถอะ เงาทึมของค่ำคืนไม่อ้อยอิ่งเนิ่นนานนัก และเวลาเช้าจะมาถึงเรา หากท่านปรารถนาเช่นนั้น ดังนี้โปรดอยู่กับเราเถอะ”

          พระเยซูตอบเขา “คืนนี้ หมาจิ้งจอกยังมีโพรงของมัน นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์กลับไม่มีที่ซุกหัวนอน ฉันต้องออกไปตามลำพังจริง ๆ แต่หากพวกเธอต้องการฉัน พวกเธอก็จะพบฉันอีก ฉันจะไปรอพวกเธออยู่ที่ทะเลสาบ”

          พวกเราเดินจากเขามาด้วยใจทุกข์หนัก เพราะไม่เป็นความต้องการของเราเลยที่จะต้องละจากเขามา

          หลายต่อหลายครั้ง พวกเราหยุดเดิน หันไปมองเขา เห็นร่างของเขาดุ่มเดินอยู่โดดเดี่ยว ดูสง่าผ่าเผย เคลื่อนไปทางทิศตะ-วันตก

          ในพวกเรามีอยู่คนเดียวที่ไม่ได้หันไปมองความเดียวดายของเขา คือยูดาส อิสคาริโอท

          ตั้งแต่นั้นมายูดาสได้กลายเป็นคนบูดบึ้งตึงและดูห่างไกลเกินกว่าเราจะเข้าใจ ข้าคิดว่า ในดวงตาของเขานั้นแฝงไว้ด้วยความน่ากลัวที่ไม่อาจคาดคิด

 


 

 

(โดยนักบวชคณะฟรังซิสกัน)

สถานที่ 1

พระเยซูเจ้าถูกตัดสินประหารชีวิต
โอ้พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรับคำตัดสินด้วยความสงบ โดยมิได้ปริปากเลย โปรดสอนลูกให้สงบ ดังเช่นพระองค์เมื่อถูกประจญ

สถานที่ 2

พระเยซูเจ้าทรงแบกไม้กางเขน
โอ้พระเยซูเจ้า กางเขนนี้ควรเป็นของลูก ไม่ใช่ของพระองค์ บาปของลูกเป็นเหตุให้พระองค์ถูกตรึงกางเขน

สถานที่  3

พระเยซูเจ้าหกล้มเป็นครั้งแรก
โอ้พระเยซูเจ้า  อาศัยการหกล้มครั้งแรกของพระองค์ โปรดช่วยลูกอย่าตกในบาปหนักอีก

สถานที่  4

พระเยซูเจ้าทรงพบกับพระมารดา
โอ้พระเยซูเจ้าข้า  โปรดอย่าให้ความอ่อนแอมีชัยชนะเหนือลูกในยามที่ถูกประจญ

สถานที่  5

ซีมอนชาวไซรีนช่วยพระเยซูเจ้าแบกกางเขน
ซีมอนยอมช่วยพระองค์แบกกางเขน โปรดให้ลูกยอมรับความทุกข์ทรมานด้วยความอดทนเพื่อพระองค์

สถานที่  6

นางเวรอนิกาเช็ดพระพักตร์พระเยซูเจ้า
โอ้พระเยซูเจ้าข้า  พระองค์ทรงทิ้งร่องรอยพระพักตร์ศักดิ์สิทธิ์บนผ้าคลุมของนางเวรอนิกาโปรดประทับรอยพระพักตร์ของพระองค์ในดวงใจของลูกตลอดกาล

สถานที่ 7

พระเยซูเจ้าทรงหกล้มเป็นครั้งที่ 2
โดยอาศัยการหกล้มครั้งที่สองนี้ โปรดช่วยยึดเหนี่ยวให้ลูกอย่าทำบาปอีก

สถานที่ 8

พระเยซูเจ้าปลอบโยนสตรีชาวเยรูซาเล็ม
สิ่งปลอบประโลมใจยิ่งของลูกก็คือ การได้ยินพระองค์ตรัสว่า บาปทั้งหลายของลูกได้รับการอภัยแล้ว เพราะลูกรู้จักรัก

สถานที่  9

พระเยซูเจ้าทรงหกล้มเป็นครั้งที่  3
โอ้พระเยซูเจ้าข้า ยามลูกเหนื่อยล้าจากชีวิตโปรดเป็นพละกำลังและประทานความอดทนแก่ลูก

สถานที่ 10

พระเยซูเจ้าถูกถอดฉลองพระองค์
ความบริสุทธิ์แห่งวิญญาณลูก ถูกถอดดังเช่นอาภรณ์ของพระองค์ โปรดห่อหุ้มลูกด้วยอาภรณ์แห่งความสำนึกผิดในบาป

สถานที่ 11

พระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน
พระองค์ทรงให้อภัยแก่ศัตรู โปรดสอนลูกให้รู้จักอภัยและลืม

สถานที่ 12

พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนกางเขน
โอ้พระเยซูเจ้าข้า พระองค์กำลังสิ้นพระชนม์แต่พระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ยังคงทำงานต่อไป ด้วยความรักต่อคนบาปเช่นลูกทั้งหลาย

สถานที่ 13

พระเยซูเจ้าทรงถูกปลดจากกางเขน
โอ้มารดาผู้ระทมทุกข์     โปรดรับลูกสู่อ้อมพระหัตถ์ของพระนาง และช่วยให้ลูกสำนึกผิดในบาปอย่างแท้จริง

สถานที่ 14

พระเยซูเจ้าทรงถูกฝังในคูหา
โอ้พระเยซูเจ้าข้า  เมื่อลูกรับพระกายของพระองค์ในศีลศักดิ์สิทธิ์  โปรดให้ดวงใจของลูกเป็นที่ประทับอันเหมาะสมของพระกายอันน่าเคารพยิ่งของพระองค์

อาแมน

เขาว่ากันว่า เยซูเป็นศัตรูกับโรมและยูเดีย

          แต่ข้าขอบอกว่า เยซูไม่ได้เป็นศัตรูกับใครหรือคนชาติไหนทั้งนั้น

          ข้าเคยได้ยินเขากล่าว “นกฟ้าและขุนเขาไม่ได้ใส่ใจกับอสรพิษในรูมืด

          “ให้คนตายฝังคนตายเถิด ส่วนเธอยังอยู่ท่ามกลางคน เป็น ฉะนั้นจงใฝ่หาชีวิตที่ดีกว่านี้”

          ข้าไม่ใช่ศิษย์ของเขา ข้าเป็นแต่หนึ่งในบรรดาที่มาหลังเขา และอยากเห็นตัวเขาเท่านั้น

          เขามองไปยังโรมและมองมายังเราผู้เป็นทาสทาสีของโรม

          ดุจพ่อมองลูก ๆ กำลังเล่นของเล่น และต่อยตีกันเพื่อแย่งของเล่นชิ้นดี เขาหัวเราะให้แก่ความไร้เดียงสาของเรา

          เขายิ่งใหญ่กว่ารัฐประเทศหรือเผ่าพันธุ์เชื้อชาติ

          เขายิ่งใหญ่กว่าการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงใด ๆ

          เขาโดดเด่นและโดดเดี่ยว เขาคือผู้ตื่นแล้ว

          เขาเช็ดน้ำตาให้เรา และยิ้มหัวกับทีท่าขยะแขยงของเรา

          เราทราบดีว่า พลังอำนาจของเขาย่อมประจักษ์แจ้งแก่ผู้ที่ยังไม่ถือกำเนิดมา 

          เพื่อคนรุ่นต่อไปจะได้เห็น ไม่ใช่ด้วยสายตาของตนเองแต่ด้วยสายตาของเขา

          เยซูคือปฐมเหตุแห่งอาณาจักรที่อยู่เหนือโลกนี้ เป็น อาณาจักรที่จะคงอยู่ต่อไป

          เขาคือลูกหลานของราชาผู้สร้างอาณาจักรแห่งวิญญาณ

          และราชาแห่งวิญญาณเท่านั้นที่ควรเป็นผู้ปกครองโลกใบนี้


 

นักบุญอัลแบร์โต มักโน จึงเรียกแม่พระไว้อย่างเพราะพริ้งว่า “ผู้ร่วมมือในการไถ่บาป”
แม่พระเองเป็นผู้ไขแสดงแก่นักบุญบริยิดว่า

อาดัมและเอวาได้ขายโลกทั้งโลกเพื่อผลไม้เพียงผลเดียว
ในทำนองเดียวกัน
พระมารดาและพระบุตรของพระนางก็ได้ไถ่โลกด้วยดวงใจดวงเดียว

นักบุญอันแซลโมกล่าวว่า พระเป็นเจ้าอาจจะสร้างโลกจากความว่างเปล่าได้
แต่เมื่อโลกได้พินาศไปเพราะบาป พระองค์ไม่ทรงปราถนาที่จะช่วยเหลือโลกโดยปราศจากความร่วมมือของแม่พระ

“พระองค์ผู้สามารถทำทุกสิ่งจากความว่างเปล่า ไม่ทรงปราถนาที่จะซ่อมแซมโลกที่ชำรุดเสียหายโดยปราศจากแม่พระ”


อ่านบทความ

"แม่พระเสนอวิงวอนให้แก่คนบาปทุกคน"